คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : ๑๙.ฮ่องเต้เริ่มเดินหมาก 110%
“นานมากแล้วนะพ่ะย่ะค่ะที่กระหม่อมไม่ได้เห็นฝ่าบาททำพระพักตร์หน้ากลัวเช่นนี้”
แม่ทัพหวังพูดขึ้นพร้อมมองใบหน้าของนายเหนือหัวที่ไม่เหมือนปกปิด ใบหน้าที่สามารถแผ่ความรู้สึกเยือกเย็นปนน่ากลัวของฮ่องเต้สามารถทำให้ใครหลายคนต่างหลบหน้าได้อย่างไม่ยาก
“เมื่อรู้ความจริงทุกอย่างแล้วจะทรงทำเช่นไรต่อหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“เชือดไก่ให้ลิงดูดีหรือไม่?”
ต้วนอี้ฟานพูดขึ้นหลังจากเงียบเกร็งอยู่นาน ถึงจริงๆเขาเองก็ไม่อยากลงมือหนักๆกับตระกูลโจวแต่บางอย่างมันยากเกินจะให้อภัย
“แต่จะทำอะไรก็คงต้องเกรงใจอัครเสนาบดีโจวหน่อย…แต่ดูจากแววตาเจ้าแล้วคงไม่เหลือความเกรงใจแล้วสินะ”
“พี่ใหญ่ท่านก็กล้าพูด”
ต้วนควานลินพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะพูดต่อ
“หากมีใครมาผลักพี่อี้ชิงจนทางแท้งลูกท่านบ้าง
ท่านยังจะเกรงใจพ่อตาอยู่อีกหรือไม่?”
“เจ้าก็พูดกับพี่ใหญ่เกินไปนะน้องหก”
ต้วนซือชุนพูดเสียงเรียบพร้อมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“พี่ใหญ่อย่าไม่โกรธน้องหกเลย…แต่ที่น้องหกได้กล่าวมาก็ถูกนะ
จะให้มาเกรงใจกันแล้วมันจะลงโทษกันอย่างไรได้เล่า”
ฮ่องเต้หนุ่มมองการถกเถียงของเหล่าพี่น้องพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่
“นางต้องได้รับบทลงโทษในสิ่งที่นางทำแน่
แต่หากจะลงโทษนางก็จะมีผลทำให้พวกกบฏที่ตระกูลโจนั้นซุกซ่อนดำเนินการก่อนกบฏขึ้น…แบบนั้นไม่ใช่เรื่องดีแน่”
ต้วนอี้เอินนั่งเท้าคางอย่างหมดมาดฮ่องเต้ผู้แข็งแกร่ง ชายหนุ่มใช้มืออีกข้างนวดขมับอย่างอ่อนเพลียพร้อมพูดต่อ
“ข้าไม่รู้จะทำเช่นไรแล้ว จะลงโทษสองพ่อลูกก็จะทำให้พวกเขาก่อกบฏขึ้น…ข้าไม่ได้กลัวเราสู้ไม่ได้
แต่ข้าเป็นห่วงความปลอดภัยของคนอื่นๆอย่างเสด็จแม่ เตียวเอ๋อร์และก็พี่สะใภ้”
“…”
“…”
“…”
“พวกนางเป็นสตรีถึงจะมีองครักษ์คอยคุ้มกันแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ”
ต้วนอี้เอินถอนหายใจอีกรอบพร้อมก้มหน้ามองพื้นแล้วพึมพำคนเดียวอย่างน่าสงสาร
“ยิ่งตอนนี้ดูเหมือนว่าทางฝ่ายเราจะมีศึกหลายด้านด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ
ถึงกระหม่อมไม่อยากจะพูดเช่นนี้เลยก็ตามแต่กระหม่อมก็ต้องพูด” แม่ทัพหวังที่เงียบอยู่นานพูดขึ้น
“พวกเรารู้ดีว่าหากว่าพวกเราลงโทษโจวหวงกุ้ยเฟยอาจจะทำให้คนตระกูลโจวเริ่มเคลื่อนไหวและก่อกบฏ
เพราะฉะนั้นในฐานะแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นแล้วกระหม่อมอยากจะบอกก็คือ…เราต้องจัดการศัตรูภายนอกก่อนแล้วค่อยจัดการกับพวกศัตรูภายในพ่ะย่ะค่ะ”
“ทีแม่ทัพหวังกล่าวมานั้นก็ถูก
พี่รองท่านก็รู้ว่าหลังจากที่ท่านขึ้นเป็นฮ่องเต้พวกแคว้นฮวงคิดจะเปิดศึกสงครามกับพวกเราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน”
ต้วนซือชุนพูดเสริม
“แถมพวกแคว้นฮวงเองก็เริ่มขยายอำนาจอาณาเขตและยึดแคว้นต่างๆมากมายเพื่อเสริมกำลังรบของแคว้นมันเอง”
“แล้วดูเหมือนว่าน้องสาวของกันเตียวต้องการเป็นภรรยาเจ้าอีกคนด้วยนิ”
ต้วนอี้ฟานขึ้นพูดพร้อมหัวเราะในลำคอ “อย่ามองข้าอย่างนั้นน้องรัก
พี่ชายของเจ้ารู้หลายเรื่องแต่แค่ไม่พูดเท่านั้นเอง”
“แต่น้องก็ไม่คิดว่าแคว้นเหอจะกล้าทำสงครามกับพวกเราหรอก
พวกเขาเป็นแคว้นที่ดูรุ่งเรืองทางการค้ามากกว่าการรบ” ต้วนควานลินพูดขึ้น
“แต่หากพวกเราจะเปิดศึกรบกับแคว้นฮวงแล้วพวกแคว้นเหอจะสนับสนุนเราแค่ไหนนี่สิ”
หวังเจียเอ๋อร์หรือแม่ทัพหวังพยักหน้ารับเมื่อได้ฟังคำพูดของชินอ๋องแต่ละคนแล้วหันหน้ามามองนายเหนือหัวที่กำลังแสยะยิ้มอย่างน่ากลัวอยู่อีกด้าน
ใบหน้าของผู้เป็นในตอนนี้นับได้ว่ากำลังยิ้มอย่างน่ากลัวที่สุดเท่าที่เขาเลยเห็นมาเลยก็ว่าได้
“ฝ
ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพหวังหันไปถามผู้เป็นนายซึ่งกำลังทำหน้าเจ้าเล่ห์อยู่ “ฝ่าบาททรงมีแผนอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“พึ่งคิดได้เมื่อครู่เอง”
ฮ่องเต้หนุ่มพูดอย่างภูมิใจ
“เจียเอ๋อร์คงต้องฝากให้เจ้าฝึกทหารของเราทั้งหมดให้แข็งแกร่งขึ้น
พี่ใหญ่หากไม่เกินความสามารถท่านมากเกินไปละก็ข้าอยากให้ท่านเข้าประชุมงานทุกอย่างกับข้า
ส่วนน้องสี่มีเรื่องหนึ่งที่พี่ชายอยากให้เจ้าทำและเรื่องที่จะให้เจ้าทำนั้นนับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากเลยทีเดียว
ส่วนน้องหกหน้าที่ของเจ้าคอยจับตาดูคนตระกูลโจวให้ดี”
“พี่รองที่บอกว่าให้จับตาดูคนตระกูลโจวนั้นหมายถึงอัครเสนาบดีโจวกับโจวจือหยวีเพียงแค่สองคนใช่หรือไม่?”
ต้วนควานลินภาวนาของให้เป็นอย่างที่เขาบอกแม้ในใจจะรับรู้ว่าคำตอบน่าจะไม่ใช่
ฮ่องเต้หนุ่มส่ายหน้าไปมาแทนคำตอบพร้อมยิ้มบางๆให้น้องชายก่อนจะพูดต่อ
“ทุกคนในตระกูลโจวรวมถึงพวกกบฏของตระกลูโจวด้วย” ฮ่องเต้หนุ่มพูดเสียงเรียบ
“เจ้าเองก็มีก็มีทหารฝีมือดีที่เจ้ากับเจียเอ๋อร์ช่วยกันฝึกมาไม่ใช่หรือ…ใช้พวกนั้นให้เป็นประโยชน์สิน้องรัก”
“ข้าจะให้พวกทหารแฝงตัวอยู่กับคนพวกคนตระกูลโจวส่วนข้าจะ…จะจับตาดูอัครเสนาบดีโจวเองพ่ะย่ะค่ะ”
ต้วนควานลินพูดอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก…ใครมันจะอยากจับตาดูตาเฒ่าคนหนึ่งละ!!!
“คนของน้องหกมีผู้หญิงด้วยสินะ
ใช้ให้หมดนะน้องหก” น้ำเสียงเยือกเย็นจนน่ากลัวทำให้คนอายุน้อยที่สุดในห้องพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว
ฮ่องเต้หนุ่มหันไปหาน้องชายอีกคนก่อนจะพูดต่อ “ส่วนน้องสี่งานที่อยากจะให้เจ้าทำก็คือไปเจรจากับแคว้นเหอ”
“พี่รองท่านพูดจริงหรือ!!”
ต้วนซือชุนที่ตอนแรกนั่งใจเย็นอยู่นั้นแทบจะสำลักชาในมือ “ข้าเข้าใจนะเรื่องเราต้องการกำลังบางส่วนจากแคว้นเหอและพวกเสบียงอาหาร
แต่เพราะเหตุใดถึงเป็นข้าเล่า?”
“เจียเอ๋อร์ไปไม่ได้ด้วยสองเหตุผล”
ฮ่องเต้หนุ่มชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งเดียวพร้อมพูดขึ้น “ข้อแรกเลยนะ
มันจะแปลกถ้าให้แม่ทัพใหญ่ไปไหนมาไหนนอกแคว้นโดยไม่มีเหตุศึกสงครามและข้อสอง…เพราะเจียเอ๋อร์ต้องฝึกทหารเพื่อเตรียมตัวออกรบ
แค่นี้พอหรือไม่?”
“แล้วท่านจะให้ข้าไปคนเดียวอย่างนั้นหรือ?”
ต้วนซือชุนที่ไม่รู้จะเถียงอย่างไรแล้วได้แต่ทำใจยอมรับภาระงานจากพี่ชาย
“แน่นอนว่าต้องมีคนไปกับเจ้าแน่อยู่แล้ว
ใครจะให้น้องชายสุดที่รักไปไหนมาไหนคนเดียวได้ลงคอกันเล่า”
น้ำเสียงของฮ่องเต้หนุ่มทำให้คนฟังทั้งสี่รู้ได้ทันทีว่าเสแสร้งสุดๆ “ส่วนพี่ใหญ่ที่ให้เข้าประชุมงานทุกงานกับข้าก็เพราะถ้าข้าออกรบคนที่จะจัดการงานราชการจะต้องเป็นท่าน”
“เฮ้อ
เจ้ามันเอาแต่ใจจริงๆเลย” ต้วนอี้ฟานถอนหายใจอย่างปลงใจ
“เรื่องสงครามนั้นฝ่าบาทจะออกรบเองอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
คำถามของแม่ทัพหวังทำให้ชินอ๋องทั้งสามพากันเงียบไปพร้อมกัน
“จริงๆให้หนึ่งในชินอ๋องหรือกระหม่อมนำทัพเองเมื่อถึงเวลาจริงก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่ การออกรบเพื่อปกป้องแคว้นทั้งแคว้นจะให้เป็นหน้าที่ของคนอื่นที่ไม่ใช้ฮ่องเต้ได้อย่างไรกันเล่า”
ฮ่องเต้หนุ่มพูดพร้อมยิ้มบางๆ “อีกอย่างที่นี้ก็มีพี่ใหญ่คอยปกครองอยู่…อย่ากังวลให้มากเรื่องเลย
เดี๋ยวใกล้ถึงเวลาพวกเราค่อยมากว่ากันอีกที”
“ทุกอย่างก็เป็นอย่างที่กระหม่อมเล่ามาพ่ะย่ะค่ะ”
โหย่วเจียนคุกเข่าอยู่ตรงหน้าผู้เป็นนายพร้อมลอบเงยหน้ามองผู้เป็นนายเป็นครั้งคราว
“เหนียงเหนียงจะทรงทำเช่นไรต่อหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“โหย่วเจียนนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เปิ่นกงจะถามแบบนี้”
แบมแบมสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เจ้ากับเสี่ยวไจ้มีอะไรที่ปกปิดเปิ่นกงไว้กันแน่”
“เหนียงเหนียง กระหม่อมกับเสี่ยงไจ้แค่…”
องครักษ์หนุ่มกัดปากแน่ก่อนจะยอมพูดความจริงที่ผู้เป็นนายถามออกไป
“พระมารดาของเหนียงเหนียงยังทรงมีชีวิตอยู่พ่ะย่ะค่ะและอยู่ในแคว้นต้วนด้วย แม้จะไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงก็ตาม”
“…เล่าต่อสิ”
“เมื่อก่อนกระหม่อมและเสี่ยวไจ้ได้รับความช่วยเหลือจากอดีตพระสนมพ่ะย่ะค่ะ
พวกเราจึงสัญญาว่าจะตามรับใช้อดีตพระสนม…แต่ก่อนที่อดีตพระสนมจะโดนไล่ออกจากวังนางได้สั่งพวกเราให้ดูแลเหนียงเหนียงให้ดีแทนส่วนของนางและไม่ต้องพูดเรื่องที่เกี่ยวกับนางให้เหนียงเหนียงฟังพ่ะย่ะค่ะ”
โหย่วเจียนพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า “หลังจากคลอดเหนียงเหนียงนางก็มาอยู่ที่แคว้นต้วน
แต่เมื่อไม่กี่ปีก่อนตอนที่กระหม่อมมาเยี่ยมนาง…นางกำลังป่วยหนักจนรักษาไม่ได้และจะตายในไม่อีกไม่กี่ปี”
“แม่…งั้นหรือ …จะตายด้วยงั้นหรือ”
แบมแบมทวนสิ่งที่พึ่งได้รู้เมื่อครู่พร้อมหัวเราะเยาะตัวเองเบาๆก่อนจะพูดขึ้น “เปิ่นกงคงออกนอกวังไม่ได้ไปอีกสักพักใหญ่ๆเลย…พรุ่งนี้เจ้าก็พาหลินไจ้ฟ่านไปดูอาการเสด็จแม่ของเปิ่นกง
ส่วนเรื่องที่ชินอ๋องซือชุนจะไปแคว้นเหอนั้น…จะทำเช่นไรดีละเนี่ย”
“กระหม่อมคิดว่าฝ่าบาทน่าจะให้กระหม่อมหรือเสี่ยวไจ้ไปกับชินอ๋องนะพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดของโหย่วเจียนทำให้แบมแบมพยักหน้าตาม
“กระหม่อมคิดว่าฝ่าบาทน่าจะให้เสี่ยวไจ้ไปกับชินอ๋อง เพราะตอนนี้ฝ่าบาททรงห่วงความปลอดภัยของเหนียงเหนียงเป็นอย่างมาก”
แบมแบมพยักหน้ารับพร้อมยกยิ้มบางๆ
“ทั้งๆที่เปิ่นกงคิดว่าเปิ่นกงรู้ทุกอย่างแล้วนะ
แต่ฝ่าบาทก็ยังรู้เรื่องที่เปิ่นกงไม่อยากให้รู้อีก
ชีวิตมันช่างวุ่นวายเสียเหลือเกิน”
“กระหม่อมคิดว่าเหนียงเหนียงจะทรงแก้แค้นโจวหวงกุ้ยเฟยเสียอีก”
คำพูดของโหย่วเจียนทำแบมแบมทำหน้าไม่พอใจเล็กน้อย
“ตอนแรกก็ว่าจะทำละนะ
แต่ฝ่าบาทมีเรื่องวุ่นวายมากเกินพอแล้ว” แบมแบมตอบเสียงเรียบ
“อีกอย่างหากเรื่องทุกอย่างจบลงแล้วยังไม่ทรงลงโทษนางอีกละก็…ถึงเวลานั้นค่อยแก้แค้นทั้งฝ่าบาทและก็โจวหวงกุ้ยเฟยด้วย
ไม่สิ! ทั้งตระกูลโจวเลยน่าจะดีกว่า”
“กระหม่อมคิดว่าเหนียงเหนียงให้ฝ่าบาทจัดการจะดีกว่านะพ่ะย่ะค่ะ”
โหย่วเจียนพูดขึ้นพร้อมหัวเราะแห้งๆ
ในหัวเขาเริ่มขึ้นถึงตอนที่นายหญิงของเราลงมือลงโทษโจวหวงกุ้ยเฟยกับคนตระกูลโจวด้วยตัวเองขึ้นมาในทันที…มันต้องน่ากลัวแน่ๆ
“แล้วเรื่องที่ว่าตระกูลโจวมีกองกำลังที่พร้อมจะก่อกบฏก็เรื่องจริงด้วยสินะ
อื่ม…ไหนจะดูเหมือนอีกไม่นานจะมีสงครามอีกต่างหาก”
แบมแบมพึมพำพร้อมเดินไปมาก่อนจะหยุดนิ่งแล้วจึงหันไปพูดกับโหย่วเจียนด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“หากเกิดสงครามขึ้นมาจริงๆสถานะของพวกเราคงย่ำแย่แน่ๆ จึงเป็นฮองเฮาแต่ตัวเปิ่นกงและพวกเจ้ามาจากต่างแคว้น…ต้องแย่แน่ๆถ้าพวกขุนนางคิดจะใส่เล่ห์กลอะไรในช่วงจังหวะนั้น
ถึงเปิ่นกงกับชินอ๋องอี้ฟานจะไม่ได้เกลียดกันแต่ก็ไม่ได้ดีกัน”
“เช่นนั้นหากพวกเราโดนใส่ความในช่วงนั้นจริงๆต้องแย่แน่ๆพ่ะย่ะค่ะ”
แบมแบมถอนหายใจก่อนจะพูดขึ้น
“ไว้ค่อยคิดอีกทีแล้วกัน แต่ตอนนี้คงต้องเขียนจดหมายให้ชินอ๋องซือชุนเสียก่อน
คงต้องให้ส่งให้เสด็จย่าสินะ”
มือเรียวหยิบกระดาษขึ้นมาแล้วนิ่งไม่ครู่ก่อนจะเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา “น่าจะเขียนไปหาพี่ใหญ่กับน้องสาวสุดที่รักเสียหน่อย…เขียนเชิงข่มขู่น่ะนะ”
|
ความคิดเห็น