ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : 2. Club
2.Club
คลับยังคงเป็นสถานที่ที่อึกทึกครึกโครมไม่ค่อยจะน่าอภิรมย์เท่าไรอยู่ดี ในความคิดของจงฮยอน ถ้าไม่ติดว่าจำเป็นจริงๆ เขาไม่มีวันก้าวมาเหยียบที่แบบนี้เป็นอันขาด สถานที่นี้อาจเป็นที่สำหรับผ่อนคลายสำหรับใครบางคน แต่สำหรับเขามันก็แค่แหล่งมั่วสุมดีๆ เขาก็อย่างนี้แหละ ชอบมองโลกในแง่ร้าย ...
คนตัวเล็กก้าวเท้าขึ้นชั้นบนไปพร้อมกับคนนำทางที่เป็นการ์ดประจำประตูด้านหน้าคลับ แถวยาวของคลับชื่อดังย่านกังนัมไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยสำหรับเขาที่จำเป็นต้องฝ่าเข้ามาคงต้องขอบคุณเพื่อนตัวดีที่ทำบัตรวีไอพีให้เขา บอกว่าไม่จำเป็นก็คงไม่ได้เพราะเขาค่อนข้างที่จะเกลียดอะไรก็ตามที่มีผู้คนอยู่มาก
เท้าเล็กเหยียบลงบนชั้นสองที่ดูจะสงบกว่าด้านล่างพอสมควรพลางกวาดสายตามองหาเจ้าของผมสีสว่างที่นัดตัวเองออกมา เพราะจำนวนคนที่มี ไม่มากและหัวสีเด่นของเพื่อนสนิททำให้จงฮยอนหาอีกฝ่ายเจอไม่ยาก คนตัวเล็กโค้งให้กับคนที่เดินนำเขามาเป็นการขอบคุณก่อนจะรีบตรงรี่ไปหาเพื่อนรักด้วยสีหน้ารู้สึกผิดเต็มประดา
“มินกิอ่า...” จงฮยอนเดินคอตกทำหน้าหงอยเข้ามาหาเพื่อนที่พองลมแก้มใส่เขาทันทีที่เห็น
“นายมาสาย” คนหน้าสวยพูดสีหน้าบูดบึ้งบ่งบอกว่าบุญไม่รับเป็นอย่างยิ่ง จงฮยอนได้แต่ฉีกยิ้มแหยๆ ให้กับคนตรงหน้าอย่างรู้สึกผิด
“ฉันขอโทษ มัน..เอ่อ....ไอ้นั่นมัน...” คิ้วโก่งสวยผูกเป็นปมแทบจะในทันทีที่คนตรงหน้าพูดถึงสาเหตุการมาสาย มินกิพ่นลมหายใจแรงออกมาก่อนจะ เท้าคางบอกกับคนตรงหน้าว่า “นายควรจะไปหาหมอได้แล้วนะ คิม จงฮยอน”
“ฉันรู้ว่านายกำลังสั่งฉันอยู่ แต่ฉันไม่ไปเด็ดขาด ไปหาให้คนอื่นมองเป็นตัวประหลาดรึไง ไม่มีทางหรอก” คราวนี้เป็นจงฮยอนเองที่ต้องตีหน้าบูดใส่ มินกิพลางแยกเขี้ยวยิ่งฟันเป็นการข่มขู่ไม่ให้คนหน้าสวยมายุ่งเรื่องของตน
“แต่ถ้านายไม่ไปอาการอาจลุกลามได้นะ”
“นายแอบไปมาแล้วก็บอก นายนี่นะ...เฮ่อ เอาเถอะ นายเองก็รู้ ความคิดที่คนอื่นมีต่อคนที่ไปพบจิตแพทย์น่ะมันเป็นยังไง แม้คนพวกนั้นจะรู้อยู่แก่ใจว่าไม่ใช่ทุกคนที่ไปหาจิตแพทย์แล้วจะเป็นบ้าแต่พวกเขาก็คงชินกับการที่ปักใจ เชื่อว่าจิตแพทย์รักษาคนบ้าอยู่ดี”
“แต่นายก็รู้ตัวเองนี่ว่าตัวนายไม่ได้บ้า !” มินกิเถียงเสียงใส
“แต่ฉันกำลังจะเป็นบ้าเพราะมัน ! พอใจรึยังมินกิ ฉันไม่รู้ว่าฉันทำอะไร ลงไปบ้างตอนที่ฉันไม่ได้สตินั่นแหละที่ทำให้ฉันกำลังจะกลายเป็นบ้า !” ร่างเล็กแผดเสียงดังอย่างหงุดหงิดก่อนจะมานั่งกุมขมับตัวเองเพราะความเครียดที่สะสม
มินกิมองคนตรงหน้าด้วยแววตาของความเศร้าใจ จงฮยอนพูดถูกเขาแอบไปหาหมอมาแล้วและข้อมูลที่เขาได้มาจากหมอนั้นยิ่งทำให้เขาเป็นกังวลมากกว่าเดิม..
จงฮยอนเป็นโรคที่น่ากลัว...
“เอาล่ะ ฉันจะไม่พูดแล้วเพื่อความสบายใจของนาย” มินกิตัดบทจบการสนทนาก่อนจะยกมือเรียกให้บริกรมาบริการ
“ขอนมสตรอเบอรี่เพิ่มวิปครีมกับไซเดอร์ของร้านครับ จงฮยอนนายเอาขนมอะไรไหม ?”
“ไม่ล่ะ”
“งั้นแค่นี้ล่ะครับ” มินกิพยักเพยิดหน้าให้กับบริกรหนุ่ม
“เฮ่อ...เรียกมาวันนี้เรื่องอะไรล่ะ ?” จงฮยอนถอนลมหายใจแรง ทุกครั้งที่เขามานั่งลงยังที่ตรงนี้หูของเขาก็มักจะได้รับฟังเรื่องทุกข์ใจของร่างบางตรงหน้าเสมอและครั้งนี้คงไม่มีข้อยกเว้น…
เขากับมินกิรู้จักกันมาตั้งแต่ยังเด็กเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ตอนนั้น น่าแปลกที่เขาจำเรื่องราวตอนเป็นเด็กไม่ได้ จำได้เพียงว่าเขาเข้าไปอยู่ในบ้าน ของมินกิเพราะถูกรับเลี้ยงมา ใช่แล้ว...พ่อกับแม่ของเขาตาย...ตายด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ หลังจากขึ้นมัธยมปลายมินกิก็เปลี่ยนไปเพราะเรื่องภายในครอบครัว เขาไม่ยอมบอกว่าคือเรื่องอะไรแต่ที่รู้ๆ คงไม่พ้นจากเรื่องของพี่ชายต่างพ่ออย่างอารอน
มินกิทำให้เขารู้อย่างหนึ่งเกี่ยวกับโลกใบนี้คือ…
'ชีวิตจริงน้ำเน่าเสียยิ่งกว่าในละคร'
มินกิคือลูกคุณหนูขนานแท้แบบที่มีในละครแต่ที่เขาไม่ชอบเอาเสียเลยคือการที่พ่อของเพื่อนรักนั้นทำเหมือนกับตัวเองไม่มีลูกชายหรือภรรยา อาจเป็นเพราะหน้าที่การงานแต่การไม่เปิดเผยฐานะของแม่ของมินกิและมินกิมาโดยตลอด 20 ปีที่ผ่านมานี่ไม่เกินไปหน่อยเหรอ ?
แต่ช่างเถอะ ถึงมินกิจะไม่ได้รักที่จะมีชีวิตไร้ตัวตนอยู่บนโลกแบบนี้ แต่เขาก็ไม่ได้ถึงขั้นเกลียดมัน
“รู้อะไรไหมจงฮยอน คนเราทุกคนน่ะ...เกิดมาเพื่ออะไรบางอย่าง ไม่มีใครหรอกที่เกิดมาอย่างไร้ค่า” คนตัวบางตรงหน้าเคยบอกกับเขาเอาไว้ เขาได้แต่ยิ้มรับประโยคนั้นแม้ในใจจะเกิดคำถามว่า 'แล้วเด็กที่โดนทิ้งอยู่ที่ต่างๆ พ่อแม่ ไม่สนใจใยดีล่ะ พวกเขาเกิดมาทำไม'
คนตัวสูงมองแถวอันยาวเหยียดอย่างครุ่นคิดก่อนจะตรงไปหาการ์ดที่ยืนอยู่ประจำประตู เขาไม่ยอมเสียเวลาไปกับการต่อแถวหรอก
“เอ่อ ขอโทษครับ ผมกลับเข้าไปอีกรอบได้ไหมครับคือเพื่อนผมยังอยู่ในนั้น”
“ขอผมดูบัตรผ่านที่คุณได้รับตอนแรกหน่อย” มินฮยอนเลิกคิ้วสูงด้วยความสงสัยว่าบัตรผ่านทางที่ว่ามันคืออะไรก่อนจะหยิบอะไรก็แล้วแต่ที่แบคโฮยัดเยียดใส่มือของเขาให้กับชายตรงหน้าไป เขาจ้องมองปฏิกิริยาของคนตรงหน้าเขม็งหวังว่าเขาจะไม่ได้หยิบบัตรผิดให้นะ
“เชิญครับ” ส่งยิ้มกว้างให้กับคนตรงหน้าในทันทีก่อนจะก้าวเข้าไปในคลับที่ตัวเองเพิ่งจะหนีออกมาอีกครั้งด้วยสีหน้าที่ดูจะสดชื่นกว่าเดิมหลายเท่าตัว
.....
“ไหนนายบอกจะกลับไปทำงานต่อไงมินฮยอน ?” แบคโฮเลิกคิ้วสูงเมื่อเห็นคนคุ้นเคยเดินตรงเข้ามาหาที่เคาน์เตอร์
“บังเอิญว่าเกิดเหตุนิดหน่อยที่ทำให้ฉันต้องกลับเข้ามาน่ะ” มินฮยอนยิ้มบางมีเลศนัยตามแบบฉบับของตัวเองก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบมองหา ร่างเล็ก
ความคิดของมินฮยอนหยุดชะงักเมื่อคิดได้ว่าคนแบบคนตัวเล็กเมื่อครู่คงไม่มีวันมาเต้นอยู่กลางฟลอร์แน่นอนสายตาของเขาก็พลันเปลี่ยนทิศไปที่ชั้น วีไอพี
“มันจะบังเอิญอะไรขนาดนั้น หึ” หัวเราะหึในลำคอ คนตัวเล็กที่เขาเพิ่งเจอเมื่อสักครู่กับนั่งคุยอยู่กับคนหน้าสวยที่ชื่อว่า'เร็น'ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เหตุอะไรของนายวะ ? ไม่ใช่งานไม่เสร็จแล้วมาโทษกันนะเว่ย”
“โทษแน่แต่ไม่ใช่นาย” คำพูดของคนข้างตัวทำให้แบคโฮมึนเข้าไปใหญ่ คิ้วหนาชนกันอย่างจังก่อนที่เจ้าตัวจะเกาหัวแกรกๆ อย่างจนปัญญา
“หมายความว่าไง ?”
“ฉันจะโทษคนอื่นที่ไม่ใช่นายยังไงล่ะแค่นี้ทำเป็นไม่เข้าใจ” เพียงร่างสูงเริ่มบ่นเท่านั้นเขาถึงกับละความสนใจมายังแก้วน้ำสีใสที่บรรจุน้ำสีสวยอยู่ แทบไม่ทัน
แบคโฮกลืนน้ำสีฟ้านั่นลงคอพลางเหลือบมองคนข้างตัวที่ทรุดตัวลงนั่งเรียบร้อยอย่างไม่แปลกใจอะไร เขาเอาแต่เท้าคางพยักหน้าหงึกหงักเออออตามคำบ่นของมินฮยอนไปรอเวลาที่ร่างสูงจะเงียบลง
“จะไปด้วยกันไหม ?” อยู่ดีๆ มินฮยอนก็ถามขึ้นมาดื้อๆ โดยไม่เกริ่นอะไรก่อน
“ไปไหน ?”
“ไปหานางฟ้าของนายไง” หูผึ่งในทันทีที่ได้ยินคำว่า'นางฟ้า' ออกมาจากปากคนข้างตัว ก่อนจะเพิ่งระลึกได้อีกรอบว่านางฟ้าคนนั้นเป็นผู้ชาย
“ไม่ดีกว่า.. เขาเป็นผู้ชาย”
“สมัยนี้ชายชายก็มีเยอะแยะไป” มินฮยอนเริ่มพูดชักจูงอีกฝ่าย มีหรือที่เขาจะบุกเข้าไปหาคนตัวเล็กเพียงคนเดียว ไม่มีวันนั้นซะหรอก
“เอ่อ... ไม่ดีกว่า อาชีพฉันมันไม่เอื้อว่ะ” แบคโฮยังคงหาข้อบ่ายเบี่ยง ต่อไป ขืนเขาไปปล่อยไก่ต่อหน้าคนหน้าสวยมีหวังได้อับอายทำอะไรไม่ถูกแน่
“ก็จริงของนายแต่พูดอย่างนี้เหมือนกับดูถูกตัวเองว่าไม่มีฝีมือยังไงก็ไม่รู้ที่ไม่สามารถสู้ผู้ร้ายได้จนต้องตาย...”
“โอย... ไปก็ได้วะไอ้เพื่อนเวร ! จับทางฉันได้หมด” สารภาพตามตรงตอนนี้เขาอยากจะเอาแก้วน้ำในมือสาดใส่หน้าคนกวนประสาทข้างตัวเต็มแก่
“ใครน่ะ ให้เข้ามาได้อย่างไง ?” ร่างบางชะเง้อหน้ามองไปยังประตูทางเข้าชั้นวีไอพีพร้อมกับความตะขิดตะขวงใจ คนตัวสูงกับคนตัวโตที่กำลังเดินมายังโต๊ะของเขาและจงฮยอนไม่คุ้นหน้าเอาเสียเลย สีหน้าประหลาดของเพื่อนสนิททำให้จงฮยอนต้องหันหลังกลับไปมองผู้มาใหม่บ้างอย่างเสียไม่ได้ด้วย ความสงสัย
“คุณ ?” คนตัวเล็กอ้าปากค้างด้วยความตกใจไม่คาดว่าจะได้เจอกับคนตัวสูงเมื่อครู่อีกครั้งหนึ่ง
“เหมือนคุณจะทำของตกนะครับ” มินฮยอนยกยิ้มให้ร่างเล็กที่หันหน้ามา คิ้วเรียวกระตุกค้างเริ่มลงมือควานหาของที่ตัวเองยัดใส่เอาไว้ในกระเป๋าเสื้อ ใบหน้าคมติดสวยซีดลงในทันทีเมื่อรู้ว่าสร้อยคอที่ควรจะอยู่ที่ลำคอของเขาหายไป ดวงตาเรียวจับจ้องที่ร่างสูงอย่างคาดหวัง
“แหวนนี่...ของคุณใช่ไหมครับ ?” มินฮยอนยกยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นสายตาออดอ้อนดั่งลูกแมวที่คนตัวเล็กส่งมาให้เขา มือเรียวหยิบเอาสร้อยคอสีเงินที่ร้อยแหวนเรียบสวยเอาไว้ออกมาจากกระเป๋าเสื้ออย่างระมัดระวัง
ดวงตาเรียวสวยเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ จงฮยอนตรงรี่เข้าไปดู สร้อยเงินในมือของร่างสูงอย่างรวดเร็ว ของสำคัญที่เขาใส่ติดตัวไว้ตลอดอย่างนั้นจะขาดเอาเสียง่ายๆ เนี่ยนะ ? จงฮยอนเก็บความสงสัยไว้ในใจก่อนจะหยิบแหวนในอุ้งมือของมินฮยอนขึ้นมาดู
'แก่ มิน ฮายอง ลูกสาวที่รัก' ไม่ผิดแน่ แหวนเงินวงนี้คือของดูต่างหน้าแม่ของเขาที่เขาทั้งรักทั้งหวงแน่นอน
“ตกลงแหวนนั่นใช่ของนายไหมจงฮยอนอ่า ?” มินกิถามเพื่อนรักที่นิ่งเงียบไปด้วยความเป็นห่วงไม่ลืมที่จะหันไปบอกให้การ์ดตัวโตประจำชั้นวีไอพีปล่อยแขนของแขกทั้งสองออก
“ใช่ของฉัน นี่แหวนดูต่างหน้าแม่ของฉันแน่ ขอบคุณนะครับที่เอามาคืน” จงฮยอนหยิบสร้อยเงินที่คล้องแหวนมาสวมใส่ที่คอดั่งเดิมก่อนจะโค้งตัวให้กับคนตรงหน้าไปหลายๆ รอบ
“ทีหลังก็ระวังหน่อยนะครับคุณอาจไม่โชคดีแบบนี้อีกก็ได้ แล้วก็ผมว่าสร้อยมันอาจจะไม่ดีเลยขาดเอาไปให้ช่างดูหน่อยก็ดีนะครับ” มินฮยอนคลี่ยิ้มกว้างพยายามจะกลั้นขำให้ถึงที่สุดกับท่าทางเปิ่นๆ ของอีกฝ่าย
“ผมรู้ครับ คนเราน่ะไม่เหมือนกันหรอกอย่างน้อยคุณคนหนึ่งก็อาจจะเป็นคนดี”
“อาจจะนี่หมายความว่ายังไงครับ”
“อาจจะหมายความว่าคุณอาจเคยทำบางอย่างที่ไม่ดีเอาไว้แต่ผมไม่รู้ ผมเลยเรียกคนอย่างคุณว่าคนดีไม่ได้เต็มปากอย่างไงล่ะครับ” จงฮยอนอธิบายด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป สีหน้าของคนตัวเล็กเปลี่ยนเป็นเฉยชาแทบจะในทันที
มินฮยอนยกยิ้มมุมปากชื่นชมความคิดของคนตัวเล็กตรงหน้าอยู่ภายในใจมีไม่กี่คนนักหรอกที่จะเป็นคนที่มองโลกแบบสีเทาแล้วก็รู้จักใช้ความคิด และจงฮยอนก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนนั้น
“แต่ผมเป็นคนดีแน่นอนครับ”
“คุณ..ผมก็ไม่ใช่คนที่มองโลกในแง่ดีนะครับ ตามความเห็นผมคนทุกคนในโลกก็ล้วนอยากให้คนอื่นเห็นตัวเองเป็นคนดีเป็นพระเจ้ากันทั้งนั้นแหละ” ดวงตาเรียวของจงฮยอนเริ่มหรี่ลงมองมินฮยอนด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไร
“แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนดีอยู่นี่ครับ ผมมินฮยอนครับแล้วคุณล่ะ ?” ร่างสูงเนียนถามชื่อคนตรงหน้าไปอย่างไม่เกรงกลัว แบคโฮลอบถลึงตาใส่เพื่อนของตัวเองเล็กน้อยเป็นเชิงบอกว่ากำลังเสียมารยาทพลางกระตุกชายเสื้อของอีกฝ่ายเป็นการเตือน
“คนที่ทำดีกับผมก็ใช่ว่าจะรู้จักชื่อผมทุกคนหรอกนะครับ...” เป็นการปฏิเสธที่ฉลาดเอาการ มินฮยอนรู้สึกได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาถกเถียงกับคนอื่นได้สนุกขนาดนี้ คนตรงหน้ายิ่งคุยก็ยิ่งน่าสนใจ...
“ย่า คิม จงฮยอน !” เสียงใสตวาดขึ้นมาแทรกกลางบทสนทนาของทั้งจงฮยอนและมินฮยอนอย่างอารมณ์เสีย เขาฟังคนทั้งคู่ทะเลาะกันด้วยคำพูดมานานแล้วแต่เขาก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าทั้งสองนั้นทะเลาะกันเรื่องอะไรนั่นทำให้มินกิหงุดหงิดมากถึงมากที่สุด ดวงตากลมถลึงใส่เพื่อนรักเป็นการออกคำสั่ง
“ชิ... ผมคิม จงฮยอน ยินดีที่ได้รู้จักครับ แล้วก็ช่วยบอกชื่อเต็มกับผมด้วย” เบ้ปากออกมาอย่างขัดใจ เขาจ้องคนตัวสูงเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“ขอโทษแทนจงฮยอนด้วยนะครับเขาก็อย่างนี้แหละเข้ากับคนอื่นยาก ผมเร็นครับ” มินกิแนะนำตัวเองบ้างพร้อมกับรอยยิ้มเป็นมิตร เขามองคนตัวโต ที่ยังไม่ได้แนะนำตัวเองอย่างอยากรู้อยากเห็น
“ขอโทษแทนเพื่อนของผมเหมือนกันนะครับ ผมคัง แบคโฮครับ คุณเร็นไม่มีชื่ออื่นเหรอครับ ?”
“ไม่มีหรอก เพื่อนฉันไม่มีชื่ออื่น” จงฮยอนพูดเสียงดังขัดคนหน้าสวยที่กำลังจะบอกชื่อจริงของตัวเองไปพร้อมกับสีหน้าเย็นชา
มินกิมองเพื่อนของตัวเองอย่างระอาอีกหน้าที่หนึ่งของคนตัวเล็กเห็นจะเป็นการ์ดประจำตัวของเขาเนี่ยแหละ แต่น่าเสียดายที่จงฮยอนทำหน้าที่ได้ดีไม่ขาดตกบกพร่องเสียจนเขาออกจากกรงทองไม่ได้เสียที
ดวงเรียวสวยของจงฮยอนตวัดมองคนทั้งคู่สลับไปมาอย่างไม่ไว้ใจคิ้วเรียวเริ่มกระตุก เขามองไปที่คนตัวสูงที่ยังคงฉีกยิ้มกว้างมาให้กับพวกเขาทั้งสองอยู่อย่างรู้สึกหงุดหงิดใจ
“ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอกก็ได้นะครับ” คำพูดที่ฟังดูดีแต่ประชดประชันเขาเข้าเต็มๆ ทำให้คนตัวเล็กต้องเหยียดยิ้มเหี้ยมออกมา มินฮยอนกระตุกหนวดเขาเข้าเสียแล้ว รอยยิ้มหวานของมินฮยอนเป็นสิ่งที่เขาเริ่มรู้สึกไม่ชอบขึ้นมาดื้อๆ เมื่อรอยยิ้มนั้นช่างไม่มีความจริงใจเอาเสียเลยในความรู้สึกของเขา
“ไม่อยากยิ้มก็ไม่ต้องยิ้มนะครับเพราะมันดูเสแสร้งยังไงพิกล ผมไม่ชอบ” จงฮยอนบอกร่างสูงเสียงเบาพลางหรี่ตามองคนตัวสูงที่เดินเข้ามาประชิดตนเองนิ่งไม่มีท่าทีหวาดกลัว
แบคโฮมองคนทั้งสองสลับกันไปมาอย่างมึนงง มินฮยอนกับจงฮยอนไปแค้นอะไรกันมาถึงไม่มีใครยอมใครเลย แต่จะว่าไปคนตัวเล็กตรงหน้าก็ดูจะเข้ากับเพื่อนสุดประหลาดของเขาได้ดีในระดับหนึ่งถึงบทสนทนาจะเต็มไปด้วยการกวนประสาทอีกฝ่ายหนึ่งก็เหอะ นั่นแหละความเข้ากันของทั้งคู่
‘แต่ฟังแล้วรู้สึกประสาทแทนแฮะ’
คนตัวโตส่ายหน้าอย่างระอาก่อนจะเดินเลี่ยงสงครามขนาดย่อมของคนทั้งคู่มายังโต๊ะที่มินกินั่งอยู่ ดวงตาใสจ้องมองมาที่เขาอย่างอยากรู้อยากเห็นราวกับเด็กน้อยคนหนึ่ง
“คุณเป็นตำรวจงั้นเหรอ ?” มินกิถามผู้มาใหม่ด้วยความสนอกสนใจแต่อีกใจก็หวาดระแวงกลัวตัวตนของเขาจะโดนเปิดเผยเพราะความไม่ระวังตัว
“ครับ ทำไมคุณถึงรู้ล่ะ”
“ก็คุณมีนามแฝงหนิ...แบคโฮ มันแปลว่าเสือขาวไม่ใช่เหรอ มันไม่น่าจะเอามาตั้งชื่อคน แล้วจะมีสักกี่อาชีพเชียวที่มีนามแฝง” สำหรับตำรวจแล้วเพื่อป้องกันตัวการมีนามแฝงถือว่าเป็นเรื่องดีที่สุด
"ผมอาจจะเป็นพวกนักฆ่าก็ได้นะ ฮะๆๆๆ” กลั้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“คุณเพิ่งบอกไปเองว่าคุณเป็นตำรวจ” มินกิทำหน้ายุ่งใส่คนตัวโตกว่าก่อนจะเริ่มซักถามอีกครั้งหนึ่ง
“แล้วทำไมต้องชื่อแบคโฮล่ะ ?”
“ก็เพราะผมเหมือนเสือขาวยังไงล่ะ สง่า แข็งแกร่ง แข็งแรง และดุดัน” แบคโฮฉีกยิ้มกว้างให้กับคนข้างตัว แต่รอยยิ้มนั่นกลับทำให้หัวใจของมินกิ กระตุกวูบขึ้นมาด้วยความกลัว ภาพของใครบางคนที่เขาไม่อยากคิดถึงฉายขึ้นมาภายในสมอง
รู้หน้าไม่รู้ใจ.. เขาจะไว้ใจคนข้างๆ นี้ได้เท่าไหร่กันเชียว ยิ่งเพิ่งเจอกันแบบนี้...
“เหมาะกับคุณดีนะครับ” ร่างบางปรับสีหน้าของตัวเองอย่างรวดเร็วไม่ให้เป็นที่สังเกตแต่ก็ไม่ไวพอที่จะหลีกหนีสายตาเหยี่ยวของแบคโฮไปได้ คนตัวโตยิ้มรับคำชมของมินกิพร้อมกับคำถามภายในใจเกี่ยวกับสีหน้าประหลาดราวกับคนกำลังหวาดระแวงของอีกฝ่าย
“ขอบคุณครับ”
“คุยกับคุณนี่สนุกดีนะครับ” มินฮยอนยังคงยิ้มและชวนคนตรงหน้าคุยต่อไปโดยไม่ได้ใส่ใจสิ่งรอบตัว
“แต่ผมเบื่อๆ ยังไงไม่รู้สิ มันเหมือนกับพูดเรื่องเดิมๆ ให้คนทัศนคติเหมือนกันฟังซ้ำๆ ซากๆ หลายสิบรอบ” ตามตรงตอนนี้จงฮยอนชักรู้สึกรำคาญคนตรงหน้าขึ้นมาแล้วแม้มินฮยอนคนนี้จะเอาของสำคัญของเขามาคืนก็เถอะ
“คุณรำคาญผม ?” คิ้วโก่งเลิกขึ้นสูงด้วยความแปลกใจ น้อยคนนักที่อยากจะหนีไปไกลๆ เพราะความรู้สึกรำคาญเมื่ออยู่ใกล้กับเขาและก็น้อยคน นักเช่นกันที่เขาจะเดินเข้ามาหาเองโดยไม่ต้องเสนอตัวเข้ามา คนตรงหน้าเป็น คนที่แปลกประหลาดและน่าสนใจจริงๆ
“ครับผมรำคาญ” จงฮยอนยอมรับตรงๆ ปิดบังไปก็ไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไร มินฮยอนยกยิ้มมุมปากอย่างได้ใจที่คนตรงหน้าเริ่มแสดงสีหน้าออกมามากขึ้นนอกจากการยิ้มและการนิ่งโดยไม่รู้ตัว
คนตัวสูงโน้มตัวลงมาเรื่อยๆ จนจงฮยอนนึกหวั่นใจเตรียมก้าวเท้าถอยหลังหนีแต่ติดที่ว่ามือไวคว้าแขนทั้งสองข้างของเขาเอาไว้ได้ก่อน
ใบหน้าหล่อคมคายไร้ที่ติค่อยๆ โน้มเลยใบหน้าของร่างเล็กไปยังใบหูเล็ก ลมหายใจร้อนที่สัมผัสกับใบหูและต้นคอทำให้จงฮยอนถึงกับเกิดอาการเลิ่กลั่กทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาดื้อๆ
"แต่ผมสนใจคุณนะครับ" เสียงกระซิบที่ดังขึ้นข้างหูทำให้คนตัวเล็กเกร็งไปทั้งตัวและเริ่มสั่นเทาขึ้นมาเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
มินฮยอนนึกขำอยู่ในใจเมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่ายผู้ชายด้วยกันโดนตัวแค่นี้ก็ตัวสั่นมันช่างขัดกับความคิดที่เป็นผู้ใหญ่เกินตัวอะไรขนาดนั้น แปลกคนจริงๆ นั่นแหละ
“กลัวผมเหรอ ? ฮ่าๆๆ” เป็นครั้งแรกที่มินฮยอนหัวเราะออกมาจากใจ คนตัวเล็กที่เพิ่งพูดคุยกันไม่ถึงวันทำเขาหัวเราะได้ทั้งที่การหัวเราะมันยากมากสำหรับคนอย่างเขา
“ไม่ได้กลัว ฉันรู้สึกมัน..ยังไงก็ไม่รู้ตอนโดนผู้ชายด้วยกันโดนตัว มันแปลกๆ” ในที่สุดจงฮยอนก็หลุดพูดเป็นกันเองกับคนตัวสูงจนได้และไม่วายที่มือเล็กๆ นั่นจะออกแรงดันตัวของคนตรงหน้าออกไปให้ห่างพร้อมกับสีหน้ายู่ยี่พิลึก
“ฮ่าๆๆ จงฮยอนนี่แปลกคนจริงๆ นะ!” มินฮยอนยังคงไม่หยุดหัวเราะ จงฮยอนได้แต่ก้มหน้ามองพื้นด้วยความอับอายที่โดนหาว่าแปลกคน เขารู้ว่าตัวเองแปลกแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนคนอื่นหาว่าแปลกแถมคนที่ว่าเขานั้นยังเป็นคนที่เขารู้สึกรำคาญอย่างบอกไม่ถูกอีกต่างหาก
“แล้วนายสนใจฉันตรงไหนล่ะ ?” หัวใจของจงฮยอนยังคงเต้นเป็นจังหวะปกติแน่นอนอยู่แล้วว่าเขาไม่มีทางหวั่นไหวกับคนที่เพิ่งเจอแล้วมาบอกว่า 'สนใจ' หรอก
“ตอนแรกผมสนใจนิสัยของจงฮยอน การกระทำ แล้วก็ความคิด แต่ตอนนี้...ผมสนใจในตัวของจงฮยอน ทุกอย่างที่เป็นจงฮยอน..”
“หึ จะจีบฉันรึไง พูดอย่างนี้น่ะ บอกไว้ก่อนว่าฉันไม่ใช่พวกผู้หญิงที่จ้องนายตาเป็นมันหรอกนะ” เขาแสยะยิ้มออกมาก่อนปรายตาไปมองผู้หญิงที่นั่ง อยู่ใกล้ที่สุด สายตาวาววับที่จ้องพวกเขาทั้งสองแทบจะกลืนกินทำตัวของเขา ชาวาบขึ้นมาอย่างขนลุก
“จีบงั้นเหรอ ? ใช้คำนั้นก็ได้ถ้าจงฮยอนต้องการ แต่สำหรับผมแล้วผมอยากเรียกมันว่าการ 'ศึกษา' มากกว่าน่ะครับ”
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น