ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สถานะของจิว

    ลำดับตอนที่ #4 : ⚛︎ Chapter 3 : ไม่อยากหรือกลัว? ⚛︎

    • อัปเดตล่าสุด 23 ก.ค. 67


    Ch.3

    ; ไม่อยากหรือกลัว? 

     

    หลังกินข้าวเสร็จเมื่อวาน พี่โซนกับพี่จินเป็นคนอาสามาส่งฉันแทน ซึ่งไร้คำโต้แย้งใดๆ จากคนพาฉันมาด้วย ออกจะยินยอมแบบนิ่งเงียบตามประสาเขา แน่นอนว่าพอเปลี่ยนเป็นรถพี่โซน ฉันคนนี้ก็แทบนั่งหลับได้อย่างสบายใจ แตกต่างจากตอนนั่งเกร็งบนรถพี่จิวลิบลับ

    ลูกไหนคนนี้มุ่งมั่นเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วว่า จะไม่ทะเล่อทะล่ากลับไม่ดูหน้าดูหลัง ให้ต้องเสี่ยงเจอกับเจ้านายคนดุอีกเด็ดขาดเลย

    “มาแล้วเหรอไหน”

    พรึ่บ

    “พี่ปี”

    อารมณ์ในการทำงานของฉันวันนี้ท่าจะสดใสขึ้นเป็นเท่าทวี เมื่อกำลังเก็บกระเป๋าเข้าตู้เตรียมทำงานแล้วเจอพี่ปีร้องทักขึ้นจากทางด้านหลังเข้า เธอคือพี่ช่างสักผู้หญิงคนเดียวของร้านที่ฉันเคยบอกคนนั้นไง

    “พี่ปีกลับจากลาพักแล้วเหรอคะ หนูนึกว่าพี่กลับวันพรุ่งนี้ซะอีก”

    “ความจริงก็ต้องอย่างนั้นแหละนะ แต่ธุระดันเสร็จเร็วกว่าที่คิดเลยได้กลับเร็ว อ้อ พี่ซื้อของมาฝากไหนกับคนอื่นด้วยนะ”

    ฉันเผยยิ้มกว้าง อดทำตัวตื่นเต้นเป็นเด็กๆ ต่อหน้าพี่เขาไม่ได้ หากไม่นับพี่วาผู้คอยสอนงานฉันอย่างใกล้ชิด อีกคนที่ฉันสนิทด้วยมากสุดเห็นคงจะเป็นพี่ปีนี่แหละ

    พี่ปีน่ะเข้ามาทำงานที่นี่ไล่เลี่ยกับฉัน ถือเป็นช่างสักผู้หญิงคนแรกที่พี่จิวยอมรับในฝีมือจนยอมให้เข้ามาร่วมงานด้วย เป็นผู้หญิงที่ทั้งเก่งทั้งเท่ในเวลาเดียวกัน แถมยังใจดีกับฉันมากด้วย

    เป็นสาเหตุให้ทุกครั้งที่มาทำงานฉันมักจะติดพี่ปีมากเป็นพิเศษ มีช่วงว่างเป็นไม่ได้ ต้องได้แวบมาคุยเล่นไม่ก็นั่งกินขนมอร่อยๆ ด้วยกันตลอด สามวันที่พี่ปีลาไปทำธุระ จึงชวนเหงาหงอยเอามากๆ แต่วันนี้ไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว

    “ขนมอันนี้อร่อยมากเลยนะไหน เห็นปุ๊บพี่รู้ปั๊บเลยว่าไหนต้องชอบมาก”

    “พี่ปีซื้ออะไรมาให้หนูก็ชอบทุกอย่างเลยค่ะ”

    พี่ปีอายุใกล้เคียงพี่จิว หากจำไม่ผิดน่าจะอ่อนกว่าเพียงสองปี ทั้งคู่เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมคณะสมัยเรียนมหาลัยมาก่อน แต่ไม่รู้ทำไม ฉันถึงรู้สึกอยากใกล้ชิดกับพี่ปี ต่างจากเวลาต้องเจอพี่จิวลิบลับเลย

    “อีกตั้งสิบนาทีกว่าจะถึงเวลาเข้างาน เรามากินขนมรอกันมั้ยไหน”

    “ค่ะ” ฉันพลันรับคำเสียงแจ่มใส “พี่ปีนั่งรอก่อนนะคะ หนูไปหยิบช้อนส้อมให้เอง”

    ทำงานที่นี่มาร่วมเดือน ตำแหน่งของห้องพักรวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ ฉันย่อมรู้บ้างพอควร หยิบช้อนส้อมกลับมาอีกที ในห้องพักพนักงานก็มีพี่วาเพิ่มเข้ามาอีกคนแล้ว

    “พี่วา สวัสดีค่ะ”

    “ดีค้าบ มาเร็วกันทั้งคู่เลยแฮะวันนี้”

    “หนูอาจารย์ปล่อยเร็วค่ะ เลยได้ออกจากห้องมาไว”

    ปกติเลิกเรียนแล้วฉันจะกลับห้องไปเปลี่ยนชุดที่ห้องก่อน หรือถ้าวันไหนขี้เกียจไม่ก็เวลารัดตัวมาก จะเลือกพกชุดมาเปลี่ยนแทน

    “เอ้อ เมื่อกี้วาบอกเฮียเรียกไหนขึ้นไปคุยไม่ใช่เหรอ?”

    อะ อะไรนะคะ

    “เห้ย ใช่ๆ ขนมปีดันอร่อยเกินจนเราเกือบลืมแล้วเนี่ย”

    พี่วาทำท่าเคี้ยวเร็วๆ พลางหันมาบอกในสิ่งที่ฉันพลันขนลุกชันทันทีที่ได้ยิน

    “เฮียบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับไหนอะ ขึ้นไปหาเฮียแกหน่อยนะ”

    “ค่ะพี่วา...”

    ฟุ่บ

    “โถ่ อย่ากลัวไปก่อนสิ ยังไม่รู้เลยว่าเฮียเรียกไปคุยเรื่องอะไร อาจไม่มีอะไรก็ได้ ไหนยังไม่ได้ทำผิดเลยนี่นา”

    ฉันพยักหน้าหงึกหงักใส่พี่ปีผู้ลุกเดินมาลูบหัวปลอบใจกัน ไม่ได้อยากเป็นคนขี้กลัว แต่การได้ยินชื่อเจ้านายมันชวนให้ตื่นตระหนกเข้าขั้นเลยจริงๆ อ่า

    “งั้นพี่วากับพี่ปีกินขนมกันไปก่อนเลยนะคะ เดี๋ยวหนูมา”

    “สู้ๆ นะไหน เฮียไม่ว่าอะไรหรอก รีบคุยรีบกลับมากินของอร่อยด้วยกัน”

    “ใช่ พี่จะแกะใส่จานไว้ให้รอ”

    “เข้าใจแล้วค่ะ”

    กำลังใจจากรุ่นพี่สองคนช่วยให้ฉันใจชื้นขึ้นมาบ้าง หลังรวบรวมแรงใจระหว่างขึ้นมาบันไดได้ระดับหนึ่ง ก็ทำใจเคาะมือลงบนประตูห้องทำงานพี่จิว ได้ยินเสียงเย็นนิ่งตอบกลับมาถึงค่อยๆ เปิดบานประตูพาตัวเองเข้าไปด้านใน

    ร่างกำยำกำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานสีดำตัวใหญ่ รอบห้องทำงานเขาเต็มไปด้วยงานศิลป์มากมายที่ฉันไม่อาจเข้าถึง กระนั้นยังรู้สึกได้ว่าทุกอย่างทุกชิ้นนั้นสวยมาก ดูไม่ต่างจากศิลปะชั้นสูงเลย

    “พี่จิว…สวัสดีค่ะ”

    ฟุ่บ

    การถูกเรียกรั้งพาให้นัยน์ตาคมเข้มปรายขึ้นมองกันชั่วขณะหนึ่ง ก่อนเลื่อนกลับไปมองยังจอคอมที่เขากำลังออกแบบรอยสักอยู่

    สวยจัง…

    เพราะพี่จิวกำลังก้มหน้า เผยเสี้ยวหน้าคมให้ฉันจับจ้องแทน จึงไม่รู้สึกประหม่ามากนัก และหากเขามองมาอีกก็ตั้งแต่จะจ้องแค่จุดใต้ตาซ้ายของเขาแทนการวางสายตาไว้กับดวงตาคม แบบนั้นอาจช่วยให้ฉันพอสงบจิตใจได้บ้าง

    “ต่อไปนี้กลับด้วยกัน”

    “คะ?”

    “วันไหนที่เธอมาทำงาน รอกลับพร้อมกัน”

    พี่พูดอะไรออกมาคะ ให้กลับด้วยกันแบบเมื่อวานงั้นเหรอ ไม่มีทางเด็ดขาดเลย

    “เงียบคือคำตอบว่ายังไง?”

    เนื้อเสียงยามเอ่ยของคนตรงหน้าช่างสั่นขวัญกันได้ดีเหลือล้น ทำฉันได้แต่ยืนบีบมือตัวเองแน่น ข้างขมับบางชื้นไปด้วยเหงื่อ

    “ไม่สะดวก ไม่อยาก หรือกลัว?

    ฉันช้อนตาขึ้นมองคนถาม สานสบดวงตาแสนเฉยชาของพี่จิว ใจสั่นจนการขบคิดทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องตอบเขาว่าอะไร จะปฏิเสธดังใจคิดก็ไม่กล้า จะให้พยักหน้ารับก็ไม่อาจทำใจรับได้ด้วยเช่นกัน

    ต้องนั่งเกร็งกลับบ้านแบบเมื่อวานไปตลอด แค่คิดก็เหมือนจะเป็นโรคซึมเศร้าแล้ว พี่คิดอะไรของพี่อยู่กันแน่คะ…

    “ถ้าอึดอัดเวลาอยู่ใกล้ก็ไม่ต้องฝืน”

    “ปะ เปล่านะคะ”

    ไม่ถึงขั้นนั้นสักหน่อยนะ เขาไม่ได้ทำอะไรไม่ดีให้ฉัน ให้ใช้คำว่าอึดอัดมันดูร้ายแรงไปแล้วอ่า

    “กลัว?”

    พรึ่บพรั่บๆ

    คงเพราะสบตาอยู่ และฉันดันกลัวจริงดังเขาคาด อาการคนกลัวถึงได้แสดงออกไปในทางตรงกันข้าม ด้วยการส่ายหน้าแทนคำตอบจริง ซึ่งนั่นดูเป็นการตัดสินใจผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่สำหรับฉัน…

    “ก็ดี”

    หะ หืม

    “เพราะพี่ก็ไม่มีอะไรให้เธอต้องกลัว”

    พี่…เข้าใจผิดแล้วค่ะ

    “ต่อไปนี้รอกลับพร้อมกัน”

    “...”

    “ทุกวัน”

    เมื่อกี้ฉันทำอะไรลงไป…

     

    [JIW PART]

    ชื่อของลูกไหนเข้ามาอยู่ในความสนใจผมครั้งแรก เพราะเธอเป็นหนึ่งในต้นเหตุที่ทำให้จินต้องเสียน้ำตาครั้งใหญ่ การปฏิบัติและทัศนคติที่มีต่อเธอจึงไม่อาจเรียกว่าเริ่มต้นได้ดี

    แต่เมื่อความจริงปรากฏ ลูกไหนสามารถยืนยันความบริสุทธิ์ใจของต่อเธอสายตาผมได้ อะไรที่เคยอคติผมก็พร้อมปรับ โซนเคยมาเตือนผมถึงสตูเรื่องการปฏิบัติตัวต่อน้องสาวเขา และเมื่อวานที่เรียกคุยก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของลูกไหน

    โซนกลัวว่าใจผมจะยังมีอคติ กลัวว่าผมจะไปรังแกน้องเขายามลูกไหนต้องทำงานอยู่ที่นี่ มันเป็นเรื่องพอเข้าใจได้สำหรับมุมมองของคนเป็นพี่ แต่ในเวลาเดียวกันผมกลับรู้สึกเหมือนถูกมองเป็นคนไม่รู้จักโต แยกแยะไม่ได้ระหว่างความจริงกับเรื่องเก่าก่อน ช่วงหนึ่งตอนคุยถึงได้กล่าวไปว่า หากเขาดูแลจินดี ผมก็จะดูแลน้องเขาให้ดี ทุกอย่างผมยึดความเท่าเทียมเป็นหลักไม่ว่าเรื่องอะไร

    เคยมีมุมมองต่อลูกไหนยังไง วันนี้ผมไม่มีความคิดเห็นเช่นนั้นหลงเหลือ เธออายุไล่เลี่ยจิน การต้องมองเด็กคนหนึ่งเป็นน้องขึ้นมาอีกคน ผมไม่คิดว่าเป็นเรื่องยากเย็น หากเธอเป็นเด็กดี สักวันผมคงเอ็นดูเธอได้ไม่ต่างจากจิน

    ซึ่งหากให้เริ่มดูแล สิ่งแรกที่ผมพอคิดออกคือไปส่งเธอหลังเลิกงาน จากการได้เห็นกับตาไปเมื่อวาน ว่าแค่เดินทางมาทำงาน สำหรับเด็กคนนี้ยังกลายเป็นเรื่องอันตรายได้ เกิดอะไรขึ้นมา ผมย่อมเป็นคนแรกที่โซนหมายหัว ที่เป็นสาเหตุหลักเรื่องดูน้องเขาได้ไม่ดี ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลทั้งหมดที่ผมเรียกลูกไหนมาคุย

    “ตะ แต่วันนี้หนูมีนัดกับพี่จินหลังเลิกงานแล้ว คงไม่สะดวกกลับกับพี่ค่ะ...”

    “ที่ไหน”

    “เวิร์คช็อปแถวห้างค่ะ”

    “พาไปได้”

    ลูกไหนช้อนตากลมใสขึ้นสบกับผม เป็นเช่นทุกครั้งที่ยังไม่ทันเริ่มนับหนึ่งเธอก็เบี่ยงตาหลุบหนีกัน อาการนั้นรวมถึงการเม้มปากซ้ำอยู่หลายทีของเธอด้วย

    ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ เหมือนผมไปรังแกอะไร

    “แค่อยู่รับส่ง ไม่ได้จะไปเกะกะ”

    จินไม่เคยออกจากห้องโดยไม่ทำท่าจะเหมาของทั้งห้างกลับบ้าน ผู้หญิงสองคนไปด้วยกัน จะไปสะดวกอะไร

    “หนูเปล่าคิดแบบนั้นนะคะ ไม่ได้คิดว่าพี่จะไปเกะกะ…”

    ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกล้าจดจ้องผม เพียงเพราะอยากยืนยันความนึกคิดของตัวเอง

    เป็นท่าทีที่ดูใสซื่อสมกับเป็นเด็กอายุพึ่งยี่สิบ

    “ไม่คิดก็รอให้ไปด้วยหลังเลิกงาน”

    “...”

    “หรือถ้าคิดทีหลังก็บอก”

    ลูกไหนทำตาโตทั้งที่ปกติก็กลมโตมากพออยู่แล้ว

    “พูดตรงกันได้ ไม่ติด”

     

    [LOOKNAI PART]

    หากสามารถร้องไห้ต่อหน้าคนเป็นเจ้านายได้ ฉันคงหลั่งน้ำตาจนท่วมห้องทำงานเขาไปแล้ว ตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยรู้สึกห่างไกลกับคนอายุมากกว่าตัวเองขนาดนี้มาก่อนเลย พี่โซนเองก็โตกว่าฉันเกือบสี่ปี บุคลิกนิสัยก็คล้ายคลึงกับพี่จิวอยู่มาก แต่ไม่รู้ทำไม…การเข้าถึงอารมณ์ความคิดเขาถึงเป็นเรื่องยากเย็นต่างกับพี่โซนนัก

    แล้วต่อแต่นี้ไป ฉันยังต้องกลับบ้านกับคนที่ตัวเองไม่อาจเข้าใจเขาได้อีก ต้องอยู่บนรถแสนเงียบงันด้วยกันทุกวันหลังทำงาน แค่คิดก็น้ำตาตกในลอยซึมกลางทะเลแล้ว

    ชีวิตของลูกไหนนี่นะ…

    “วันนี้เลิกเร็วทั้งที ทำไมทำหน้าเป็นแมวหงอยขนาดนั้นล่ะไหน”

    ฉันยิ้มแหยส่งให้พี่วา ขณะกำลังเก็บของใส่กระเป๋าที่พึ่งไปหยิบมาด้วยใจที่ห่อเหี่ยว

    “หนูทำหน้าแบบนั้นเหรอคะ”

    “ใช่สิ ไม่เชื่อถามปีได้เลย”

    “ไหนมาดูสิ ใครทำอะไรลูกไหนของเรา”

    พี่ปีขยับแทรกกลางระหว่างฉันกับพี่วาเข้ามาสังเกตกันอย่างใกล้ชิด ก่อนส่งมือมาลูบผมฉันเบาๆ ทั้งรอยยิ้มขำ

    “มีแมวหงอยอยู่ตรงนี้จริงๆ ด้วยแฮะ”

    “ง่า”

    ไหนๆ พวกพี่ก็จับได้ขนาดนี้แล้ว ให้หนูงอแงใส่ด้วยเลยได้มั้ยคะ

    ถึงปกติไหนจะเป็นเด็กดี ไม่ค่อยชอบงอแง แต่ตอนนี้ชักอยากกลายเป็นเด็กดื้อขึ้นมาแล้วค่ะ

    “อ้าวเฮีย จะกลับแล้วเหรอครับวันนี้”

    “อืม”

    พลันหันขวับตามการมองของพี่วา พบร่างสูงในเสื้อเชิ้ตสีดำกับกางเกงสแล็คเนื้อดีสีเดียวกันกำลังเดินลงบันไดมา ไม่รอให้มีโอกาสสบตาฉันเป็นเบี่ยงหลบตาสีเข้มเขาทันพลัน

    “รอที่รถ”

    กระนั้นยามเมื่อร่างสูงเดินผ่านหน้าเคาน์เตอร์ต้อนรับไป ยังไม่วายออกถ้อยคำสั่งในโทนเสียงนิ่งดุให้ใจสั่นขวัญเสียได้อยู่

    “หืม เมื่อกี้เฮียบอกใครอะ?”

    “ไม่ใช่เราแล้วหนึ่งอะ บอกปีเปล่า”

    “ไม่นะ ยังไม่ถึงเวลาเราเลิกงานเลย”

    “หรือเฮียจะหมายถึง…ไหนเหรอ?”

    “หนู…หนูกลับก่อนนะคะ พี่ๆ ก็กลับบ้านกันดีๆ นะ เจอกันวันจันทร์ค่ะ”

    ฉันรีบร้อนออกมาจากจุดยืน ด้วยกลัวว่าหากพี่เขาถามอะไรมากกว่านั้นจะตอบไม่ถูกเอา เรื่องต้องกลับกับเจ้านายทุกวันนี้ดูเป็นเรื่องไม่ปกติเอาซะเลย เพราะอย่างนั้นหลบเลี่ยงได้ก็ควรหลบไม่ให้ใครรู้เป็นดีที่สุด

    ฟุ่บ

    พรึ่บ

    “จินได้บอกมั้ยว่าจะไปยังไง?”

    ฉันเผลอนั่งตัวตรงไม่รู้ตัว เมื่อขึ้นรถมาได้แล้วโดนเจ้าของรถโพล่งถามเข้าให้

    “พี่โซนไปส่งค่ะ”

    ใบหน้าคมสันผินมองหน้ากระจกรถ ไม่ได้ตอบรับหรือคืนกลับคำพูดใดกลับมา ทำฉันลอบพรูลมหายใจด้วยความโล่งอก ตื่นกลัวได้แม้กระทั่งเขาถามเลยเหรอเรา

    “คาดเบลท์ด้วย”

    “...”

    “ลูกไหน”

    “คะ? อ่า ค่ะคาดแล้วค่ะ”

    มัวโฟกัสไม่เป็นเรื่อง กว่าจะรู้ตัวว่าเขาเตือนกันว่าอะไรก็ถูกร่างสูงปรายตามองดุเข้าให้แล้ว โถ่ สติทั้งหลายจงกลับมาเดี๋ยวนี้เลย เขาก็แค่พี่ชายของพี่จินเอง เลิกตื่นตูมเป็นเด็กๆ ได้แล้วนะ

    “เด็กมักขี้กลัว”

    หะ หืม

    “เด็กมักหวาดระแวง”

    เอ่อ

    “ไม่ใช่เด็ก ก็ไม่ต้องสนใจฟัง”

    ฉันไม่ใช่เด็ก แต่บังเอิญมีอาการตรงกับที่เขาว่ามาแทบทุกอย่างเลย แบบนี้...มันหมายความว่ายังไงกันนะ…?

     

    #ของจิว

    เมื่อสุดหล่อปากแจ๋วใส่น้อง สุดหล่อจะโดนคุณรี้ดทำอย่างนี้

    sds

    โดนแน่55555555

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×