ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สถานะของจิว

    ลำดับตอนที่ #2 : ⚛︎ Chapter1: คนดุที่อยากหลีกหนี ⚛︎

    • อัปเดตล่าสุด 21 ก.ค. 67


    Ch.1

    ; คนดุที่อยากหลีกหนี

     

    “ลูกไหน”

    “ค…คะ”

    ฉันรวบกุมมือตัวเองแน่น บีบกำมันเพื่อหลีกเลี่ยงอาการตื่นตระหนกจากการถูกเรียกให้มากที่สุด แม้จะแทบไม่ช่วยอะไรเลยก็ตาม

    “ถ้าสู้ไม่ไหวก็หัดร้องขอความช่วยเหลือให้เป็น”

    “...”

    “นิสัยยอมคน เลิกได้เลิก”

    พลันก้มหน้างุดลงเมื่อสายตาเข้มดุปราดมองมา ฉันส่งเสียงตอบรับเพียง ค่ะ แล้วได้แต่ยืนนิ่งงันอยู่อย่างนั้นจนพี่จิวเป็นฝ่ายหันหลังเดินจากไป ทำให้นอกจากซึมเพราะถูกดุแล้ว ยังได้ลอบมองตามแผ่นหลังกว้างไปด้วยความรู้สึกผิด ที่เขาต้องมาบังน้ำให้กันจนเสื้อเปียกไปด้วย...

    ถึงจะอยากทั้งขอโทษและขอบคุณแค่ไหน ฉันก็ไม่มีความกล้าเหลือพอให้ตามไปรั้งเขาอีก ทำได้เพียงรวบเก็บความรู้สึกทั้งหมดไว้ในใจ แล้วเดินเข้าสตู เพื่อตั้งใจทำงานให้ดีเป็นการตอบแทนเขาเท่านั้น

    “อ้าว มาแล้วเหรอไหน”

    “พี่วา สวัสดีค่ะ”

    “ดีครับ หน้าซีดๆ นะเรา เมื่อกี้เฮียจิวก็พึ่งเข้ามา ไม่ใช่ว่าบังเอิญเจอเฮียแล้วถูกทำให้เสียขวัญมาหรอกใช่มั้ยฮึ?”

    ฉันได้แต่ส่งยิ้มจืดเจือนส่งให้คนโตกว่า เมื่อสิ่งที่เขาพูดมาถือเป็นจริงทุกคำ

    “เห้ย ไม่หงอยดิๆ เฮียดุเท่ากับให้พรนะรู้เปล่า ดูอย่างพี่ดิยังได้พรจากเฮียไม่เว้นวันเลย เอางี้ดีกว่า เดี๋ยววันนี้พี่เอ็นเตอร์เทรนเราตอนทำงานเองดีปะ”

    จากเคยยิ้มไม่เต็มหน้าผันเปลี่ยนเป็นยิ้มได้เต็มที่ในที่สุด

    การได้เข้ามาทำงานในส่วนต้อนรับลูกค้าและเป็นผู้ช่วยช่างสัก โดยมีพี่วาเป็นรุ่นพี่คอยสอนงานรวมถึงคอยดูแลในส่วนที่ฉันขาดเหลือ นับเป็นความโชคดีของฉันมากนัก ด้วยนิสัยที่ถือได้ว่าเป็นคนใจดีและคุยเก่งมากของพี่วา ตัวฉันถึงไม่เคยเกร็งหรือรู้สึกว่าการมาทำงานที่นี่น่าอึดอัดเลย

    ได้เรียนรู้จากพี่เขาก็มากมาย หากไม่มีอะไรผิดพลาดฉันก็อยากเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากที่นี่ให้ดีที่สุด เพราะหากให้เทียบที่ทำงานเก่าของฉันกับสตูแห่งนี้แล้ว...มันช่างแตกต่างกันจนเทียบไม่ติด

    แม้การต้องเสี่ยงเจอเจ้าของสตูแทบทุกวันจะเป็นอะไรที่น่าหวาดหวั่นไม่แพ้กัน แต่เขาก็ยังดีกว่าเจ้านายคนเก่าฉันคนละชั้นเลยเช่นกัน

    แต่เป็นไปได้ก็...ขอไม่เจอดีกว่าล่ะนะ


     

    “พี่ฝากด้วยนะไหน มีอะไรด่วนโทรหาพี่ได้ตลอดเลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ”

    “ค่ะพี่วา”

    เป็นเวลาเกือบหกโมงเย็นแล้ว อีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงจะเป็นเวลาปิดสตู พี่วาซึ่งมีเหตุจำเป็นต้องขอเลิกงานก่อนจึงได้ฝากฝังกับฉันให้ดูแลงานต่อ

    ช่วงที่เหลือจึงมีเพียงฉันคนเดียว โชคดีที่วันนี้ลูกค้าใหม่เข้าไม่เยอะ ส่วนมากเป็นรายที่จองคิวสักไว้ล่วงหน้าแล้ว ฉันที่พึ่งมีประสบการณ์ทำงานร้านสักมาเพียงหนึ่งเดือนจึงพอเอาตัวรอดเวลาลูกค้าเข้ามาถามรายละเอียดได้บ้าง

    “ขอโทษนะครับ”

    ช่วงเวลาแอบเหม่อจบลงเมื่อเสียงเรียกจากลูกค้าคนใหม่ดังขึ้น ครั้นเงยหน้ามองพบเป็นผู้ชายในชุดนักศึกษาคนหนึ่งกำลังส่งยิ้มเป็นมิตรให้รออยู่แล้ว

    “สวัสดีค่ะ ต้องการสอบถามเรื่องไหนเป็นพิเศษรึเปล่าคะ”

    “ผมอยากมาสักครับ”

    “ไม่ทราบว่าได้จองคิวไว้มั้ยคะ”

    “เปล่าครับ ผมแค่ได้ยินชื่อร้านมานานแล้ว ขับผ่านร้านพอดีเลยอยากสักขึ้นมา ไม่ทราบว่าพอจะมีคิวว่างให้ผมสักคิวมั้ยครับ”

    คงเพราะตลอดเวลาผู้พูดไม่คลายรอยยิ้มบนหน้าลงเลย บุคลิกเขาถึงได้กลายเป็นคนเข้าถึงง่ายไปโดยปริยาย ค่อนข้างแตกต่างจากลูกค้าส่วนมากที่ฉันได้เจอ เพราะต่างมีบุคลิกคล้ายคลึงกับเจ้าของร้านเป็นส่วนใหญ่

    ส่วนลูกค้าอีกกลุ่มที่ฉันเจอบ่อยช่วงนี้ก็คือลูกค้าผู้หญิง เนื่องจากแผนขยายฐานลูกค้าของเจ้าของร้าน ซึ่งข้อดีคือที่ร้านมีพี่ช่างสักผู้หญิงเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งคน และฉันก็มักได้ไปช่วยงานพี่เขาบ่อยๆ ด้วย ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้พี่เขาลางาน ฉันคงได้แวบไปเล่นด้วยแล้ว

    “ถ้าเป็นคิววันนี้ไม่มีว่างแล้วค่ะ แต่หากเป็นวันอื่นลูกค้าสามารถจองคิวและมัดจำคิวช่างไว้ได้เลยค่ะ ไม่ทราบว่าได้ดูแบบมาเป็นพิเศษมั้ยคะ ว่าชอบแบบไหนและสนใจสักกับช่างท่านไหน”

    “จิวครับ”

    ปลายนิ้วฉันซึ่งกำลังกดเข้าดูตารางคิวออนไลน์ของช่างสักในร้านเกิดชะงักนิ่ง จากคำเรียกค่อนข้างห้วนสั้นต่อพี่จิวของคนตรงหน้า ทั้งที่เทียบแล้วพี่จิวอายุมากกว่าฉันถึงหกปี และผู้ชายคนนี้ที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษา ดังนั้นเขาย่อมต้องอ่อนกว่าพี่จิวมากไม่ต่างกัน

    หรือฉันเป็นพวกซีเรียสเรื่องพวกนี้มากเกินไปนะ...?

    “เอ่อ คงต้องเป็นช่างท่านอื่นแทนนะคะ เพราะช่วงนี้คุณจิวไม่สะดวกรับงานเลยค่ะ”

    ได้ยินจากพี่วามาว่าพี่จิวกำลังวุ่นกับธุรกิจใหม่ในมือหลายอย่าง หนึ่งปีให้หลังมานี้จึงวางมือจากการสักไปมากพอควร เพื่อหันไปมุ่งเน้นตรงการบริหารคนและร้านแทน จะกลับมาลงมือเองก็ต่อเมื่อเป็นคนสนิทและรูปแบบงานน่าสนใจเข้าตาเขาเท่านั้น เช่นนั้นฉันจึงต้องแจ้งกับลูกค้าไปตามตรง

    “น่าเสียดายจังครับ นึกว่าจะมีหวังได้สักกับคนดังเหมือนคนอื่นเขาบ้าง”

    “ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะ”

    คนตรงหน้าส่ายหน้าทั้งรอยยิ้ม ฉันจึงกล่าวถามต่อเช่นที่ควรจะเป็น เช่นว่าเขามีแบบในใจมั้ย อยากออกแบบเองหรือให้ทางเราออกแบบให้ ถ้าสนใจล็อกคิวไว้เลยก็ได้ แต่หากอยากกลับไปดูแบบอีกทีก่อนก็ไม่มีปัญหา พูดแล้วก็แอบดีใจกับตัวเองที่วันนี้สามารถพูดคุยกับลูกค้าได้ไหลลื่นขึ้นอีกหน่อยแล้ว

    “จองคิวช่างแล้ว จองคิวคุณด้วยได้มั้ยครับ”

    “…”

    แต่แล้วจู่ๆ ถ้อยคำกึ่งหยอกล้อกึ่งจริงจังนั้น กลับริบคืนห้วงอารมณ์ดีใจของฉันให้แทนที่ด้วยความอึกอักฉับพลัน

    จบลงแบบเดิมทุกทีเลย…

    “ฮ่าๆ ผมทำคุณซีเรียสเหรอครับ อย่าใส่ใจคำพูดผมขนาดนั้นเลยนะ”

    ฉันก็อยากทำให้ได้ แต่พอเจอเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำติดๆ เข้า ในใจย่อมจัดการความรู้สึกได้ยากขึ้นทุกที

    “เอาเป็นว่าผมขอลงคิวไว้ก่อนเลยแล้วกันนะครับ กับช่างคนไหนก็ได้เลยแล้วแต่คุณจะใจดีลงให้”

    การออกมาทำงานทำให้ฉันเข้าในโลกของความเป็นจริงมากขึ้น ว่าที่ทุกคนพร่ำบอกว่ามันไม่ง่ายดายนักนั้นเป็นเช่นไร ซึ่งฉันไม่อยากท้อตั้งแต่เริ่มได้เพียงไม่กี่ก้าว ใครๆ ต่างต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ฉันเองก็จะทำให้ได้ด้วยเช่นกัน


     

    เวลาเลิกงานของฉันมาถึงพอดีหลังลงคิวให้ลูกค้าเสร็จสิ้น เป็นวันที่เหมือนจะคล้ายวันธรรมดาทั่วไป แต่สิ่งที่เจอเล่นเอาทำแอบซึมไม่น้อย พอเลิกงานถึงได้อยากรีบกลับห้องรีบไปพักมากกว่าทุกวัน

    ไม่เป็นไร ถึงจะเป็นวันที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ถ้าได้พักแล้วเริ่มใหม่ พรุ่งนี้ต้องสดใสกว่าวันนี้ได้แน่ๆ

    กึก

    ขณะชั่งใจว่าจะเดินออกไปเรียกรถหน้าปากซอย หรือเรียกผ่านแอปให้มารับหน้าสตูดี สายตาพลันปะทะเข้ากับดวงตาคมดุคู่หนึ่ง ซึ่งเจ้าของนั้นไม่ใช่ใครอื่น...แต่เป็น พี่จิว คนที่ฉันไม่ชินทุกครั้งที่ต้องเจอ

    แล้วเห็นตอนไหนไม่เห็น ดันมาเจอตอนเขากำลังยืนพิงรถสูบบุหรี่ในระยะใกล้ขนาดนี้…ฉันควรต้องแสดงออกยังไง ต้องทักหรือบอกลาอะไรแบบนั้นรึเปล่านะ

    เริ่มกลายเป็นลูกไหนคนเลิ่กลั่กอีกแล้ว

    ฟุ่บ

    ภาพมวนบุหรี่ภายใต้นิ้วมือเรียวสวยถูกบดขยี้ลงบนที่เขี่ยบุหรี่ ตกอยู่ในสายตาฉันทั้งหมด ดังนั้นถึงเผลอคิดเพ้อเจ้อว่าตัวเองอาจเป็นเหมือนบุหรี่มวนนั้นก็ได้ หากยืนนิ่งอยู่ตรงนี้ต่อไป พอรวบรวมความกล้าที่เหลือเพียงน้อยนิดขึ้นได้ ฉันพลันโค้งศีรษะส่งให้เขาแล้วคิดหนีทันที ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวหนีดังใจคิด น้ำเสียงเยียบเย็นเกิดเปล่งพูดขึ้นเสียก่อน

    “ขึ้นรถ”

    อะ...อะไรนะ

    “พี่จะไปส่ง”

    ไม่นะ ฉันไม่ไป

    “อย่าต้องให้พูดซ้ำ”

    ไม่เอาสิ ไม่เอาแบบนี้…


     

    ถึงคิดอยากปฏิเสธแทบใจจะขาด เมื่อได้เผชิญกับความเป็นจริง ฉันจะเอาใจกล้าแกร่งที่ไหนไปบอกกับเขาว่า ไม่ค่ะ หนูขอกลับเองเถอะนะ นอกจากยอมขึ้นรถมากับเขาแล้ว ยังยอมให้เขามาส่งโดยไร้คำกล้าแย้งแม้แต่คำเดียว

    ยี่สิบนาทีให้ความรู้สึกราวยี่สิบชั่วโมง เมื่อต้องมาอยู่บนรถกับพี่จิว จากคนครองนิสัยนิ่งขรึมเป็นทุนเดิม มายามต้องใช้สมาธิในการขับรถ ความเงียบในตัวเขายิ่งแผ่ขยาย สงบจนฉันกลัวว่าเสียงหัวใจตัวเองจะดังเพียงพอให้เขาได้ยินไปด้วย

    ไม่เคยนั่งรถกับใครแล้วเกร็งขนาดนี้มาก่อนเลยนะ…

    Rrr Rrr

    เสียงเรียกเข้ามือถือซึ่งอยู่ๆ ก็แผดร้องขึ้น ทำฉันสะดุ้งด้วยความตกใจ ก่อนที่เสียงฝาแอร์พอตถูกพับปิดซึ่งดังตามติดจะทำให้คิดได้ว่า นั่นไม่ใช่สายเรียกเข้าจากโทรศัพท์ตัวเอง ครั้นเหลือบแลมองคนตัวสูงข้างกาย ถึงเห็นว่าพี่จิวกำลังเสียบแอร์พอตเข้าหูเพื่อรับสายดังกล่าว

    [มีอะไรจิน]

    อ่า เป็นพี่จินน้องสาวแท้ๆ ของพี่จิวนี่เองที่โทรมา

    ฉันรู้จักพี่จินนะ เธอเป็นแฟนของพี่โซน ฉันน่ะชอบพี่จินมาก เพราะเธอเป็นคนที่ทั้งสวยแซ่บทั้งใจดีที่สุดในโลก

    [พี่กำลังขับรถ]

    ฟุ่บ

    จังหวะการหายใจสะดุดลง เมื่อนัยน์ตาดำขลับเคลื่อนมาสบลงที่กัน อาการตื่นตูมไปเองกำเริบอีกครั้งเพียงถูกเขามองจนเผลอกำมือสายคาดเบลท์แน่น

    [ลูกไหนอยู่กับพี่]

    คะ คุยอะไรกันอยู่นะสองพี่น้องคู่นี้ ทำไมถึงมีชื่อเราไปเอี่ยวด้วยได้…

    [ต้องถามก่อน]

    “...”

    [ดื้อนะจิน]

    ขนาดสุ้มเสียงทุ้มกล่าวดุคนปลายสาย คนไม่มีส่วนเช่นฉันยังแอบตื่นตระหนกตามด้วย

    แล้วพี่จินล่ะ เวลาโดนพี่ดุจะกลัวบ้างมั้ยนะ ถ้าเป็นฉันคงได้หน้าหดเหลือสองนิ้วทุกวันแน่แล้ว

    ฟุ่บ

    “จินจะคุยด้วย”

    สัมผัสกรุ่นร้อนจากปลายนิ้วซึ่งเกิดจากการสวมแอร์พอตเข้าให้กันนั้น ชวนให้ช่องท้องปั่นป่วนอย่างไม่อาจควบคุม กลัวเขาก็เรื่องหนึ่ง ตกใจกับความใกล้ชิดก็นับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

    ฉันค้นพบตอนนี้…ว่าการอยู่ใกล้ผู้ชายที่ชื่อจิว สร้างอาการแทรกซ้อนให้ตัวฉันได้มากมายกว่าที่คิด

    เป็นสัญญาณเตือนว่าหาทางหลีกเลี่ยงได้ ต่อไปก็ควรหลีกให้ดีที่สุด

    [ไหน]

    [คะพี่จิน]

    [กินข้าวกัน]

    หืม?

    [ตอนนี้เหรอคะพี่จิน?]

    ตอนนี้ที่ใกล้จะทุ่มหนึ่งตรงเต็มทีแล้ว

    [ใช่ พี่โซนบอกทักหาแล้วเธอไม่ตอบ แต่เธออยู่กับพี่จิวก็ดี จะได้มาพร้อมกัน]

    ฉันเหลือบมองคนข้างกายโดยไม่รู้ตัว ครั้นเผลอสบตาคมเข้าพอดี ก็พลันหลุบหนีแทบไม่ทัน

    [หนูไม่ได้จับมือถือเลยค่ะ]

    ข้อความจากพี่โซนเลยพานไม่เห็นไปด้วย

    [พี่โซนไม่ว่า แค่อยากให้เธอมากินข้าวด้วย]

    แม้ในใจจะแอบคิดไปแล้วว่าการร่วมโต๊ะกับพี่ชายพี่จินช่างเป็นเรื่องน่าหลบหนี แต่แฟนพี่จินอย่างพี่โซน บุคคลซึ่งฉันนับถือไม่ต่างจากพี่ชายแท้ๆ เป็นคนเอ่ยปากชวนทั้งที ปฏิเสธไปก็คงเสียน้ำใจ แค่กินข้าวคงไม่ใช่เรื่องยากขนาดนั้น ไม่ได้กินกันแค่สองคนนี่นะ

    [หนูไปด้วยก็ได้ค่ะพี่จิน]

    [แบบนี้ค่อยสมกับเป็นลูกไหนเด็กดี]

    ถึงน้ำเสียงของคนปลายสายจะติดนิ่งไม่ต่างกับคนเป็นพี่ชาย แต่ฉันยังรับรู้ถึงความเอื้อเอ็นดูที่เจืออยู่ไม่น้อยได้

    ชอบพี่จินคนสวยที่สุดเลย

    [พี่ขอคุยกับพี่จิวหน่อย]

    [ค่ะ]

    ครั้งนี้ฉันไม่เสี่ยงให้เหตุการณ์เหมือนก่อนหน้าเกิดซ้ำ พลันถอดหูฟังออกแล้วยื่นส่งให้คนตั้งใจขับรถด้วยตัวเอง

    “พี่จินขอคุยด้วยค่ะ”

    พี่จิวรับหูฟังคืนไป เขาพูดคุยกับน้องสาวต่อเพียงสองสามประโยคก่อนวางสายลง

    เราไม่ได้พูดคุยอะไรกันต่อจากนั้น คงด้วยต่างคนต่างรู้อยู่แล้วว่าต้องไปกินข้าวด้วยกันต่อ ติดแค่ฉันไม่รู้ว่าคือร้านไหนเพราะลืมถามตอนคุย แต่จะให้ถามคุณคนขับเอาดื้อๆ ตอนนี้ ฉันขอยอมเก็บความอยากรู้ไว้จนถึงร้านจะดีกว่า…

     

    #ของจิว 

    พี่จิว said; นี่ยังไม่เรียกดุ แค่พูดคุยตามปกติ 

    ลูกไหน said;

    sds

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×