คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บลูเบิร์ด
เจเนลไม่เคยชอบเหล้าองุ่นแม้แต่น้อย
เธอเป็นสตรีวัยสิบหกปีที่เติบโตขึ้นในครอบครัวชนชั้นกลาง
ลอร์ดบิดา โลเกอร์ ลูเธอร์ สืบทอดตำแหน่งเจ้าของโรงตีเหล็กต่อจากท่านปู่และบรรพบุรุษรุ่นก่อนท่านปู่ขึ้นไป
พวกเขานับเป็นผู้ผลิตศาสตราวุธที่มีชื่อเสียง
และได้รับความไว้วางใจจากอาณาจักรมาอย่างยาวนาน ศาสตราวุธทุกชิ้นที่ตีตราค้อนแห่งความมั่งคั่ง
ล้วนเป็นของชั้นดีที่ตระกูลลูเธอร์ผลิตขึ้นทั้งสิ้น
เจเนลเคยเข้าร่วมงานเลี้ยงของชนชั้นกลาง
มารดาจะบังคับให้เธอดื่มเหล้าองุ่นและแสร้งทำเหมือนชื่นชอบมัน
ดวงตาสีเขียวเหมือนมรกต ผิวพรรณขาวสดใสเหมือนฤดูหนาว เส้นผมสีแดงเพลิงโดดเด่น
และรอยยิ้มแห่งความปิติของเธอทำให้ผู้พบเห็นประทับใจได้เสมอ มารดาบอกไว้
เธอต้องกลั้นใจดื่มมัน และฉีกยิ้มโง่เง่าออกมาทุกครั้ง กลิ่นฉุน ๆ
ทำให้เธอแสบจมูกจนต้องกลั้นหายใจ รสชาติหวานเฝื่อน ๆ เจือขมยิ่งเลวร้ายกว่า
เจเนลอดคิดไม่ได้ว่าบางทีเธอคงเป็นชนชั้นกลางคนเดียวในวารีอัสที่ไม่เคยชื่นชอบเหล้าองุ่นแม้แต่น้อย
เจเนลกำลังกวาดสายตารอบ
ๆ ร้านบลูเบิร์ดด้วยความหม่นหมอง มันเป็นร้านที่ถูกตกแต่งอย่างลวก ๆ
โต๊ะเก้าอี้ห้าหกชุดเป็นของทำเองจากไม้มะกอก ซีวา
ญาติผู้พี่อ้อนวอนให้เธอพามาที่นี่
เพียงเพราะได้ยินคำเยินยอของชาวบ้านในจัตุรัสเซนต์มิคาเอล ‘เหล้าองุ่นบลูเบิร์ดหอมหวานที่สุดเท่าที่มีขายในวาริอัส’ เจเนลไม่รู้สึกอย่างนั้น แถมในร้านยังมีคนมากเกินไป
ผู้ชายทั้งสิบกว่าคนในร้านเป็นสามัญชน พวกเขาไว้หนวดเคราดุดัน ผิวกายหยาบและเป็นมันเงา
สวมเสื้อผ้าเก่าเหมือนผ้าขี้ริ้ว
เจเนลรู้สึกเย็นไปทั่วท้องเมื่อรู้ตัวว่าเธอและซีวาเป็นสตรี
และเป็นชนชั้นกลางเพียงกลุ่มเดียวที่นั่งอยู่ในร้าน
“เราขอเปลี่ยนเป็นน้ำแอปเปิ้ลได้ไหมพ่อค้า” เจเนลร้องบอกกับพ่อค้าวัยหนุ่ม
เขาเป็นบุรุษเพียงคนเดียวที่ไม่น่ากลัว
พ่อค้าหนุ่มไม่ขัดข้อง
เขาละสายตาจากหนังสือเล่มหนาบนโต๊ะ และเดินกลับเข้าไปหลังร้าน อึดใจหนึ่ง เขาเดินกลับออกมาพร้อมกับถ้วยโลหะสองใบกับเหยือกที่มีน้ำแอปเปิ้ลอยู่เต็มเปี่ยม
เจเนลยิ้มเจื่อน
ๆ แทนคำขอบคุณ “พวกเขาบอกว่าเหล้าองุ่นที่นี่หอมหวานที่สุดในอาณาจักร
แต่มันยังขมเกินไปสำหรับเรา บางทีลิ้นของเราคงผิดปกติสักอย่าง”
พ่อค้ายิ้มอย่างถ่อมตน
เขารินน้ำแอปเปิ้ลใส่ถ้วยโลหะให้เธอ “ท่านไม่ผิดปกติเลย นายหญิง
เหล้าองุ่นนี้ขมเกินไปสำหรับข้าเช่นกัน แต่ในฐานะพ่อค้า ข้าไม่อาจพูดเช่นนั้น”
เขากระซิบบอก ก่อนหันไปถามซีวา “ท่านก็อยากเปลี่ยนเป็นน้ำแอปเปิ้ลด้วยหรือไม่?”
ซีวายืดตัวตรง
อาภรณ์ผ้าไหมสีเหลืองทองรัดตึงแนบเนื้อหนัง
ผ้าคลุมขนเป็ดสีดำไม่อาจซุกซ่อนสัดส่วนโค้งเว้าคับแน่นของเธอได้ “ไม่ล่ะ เหล้าองุ่นนี้ไม่หอมหวานอย่างคำโฆษณา แต่เราหลงรักความขมขื่นของมัน”
เธอบอกเสียงเรียบ และยกถ้วยโลหะขึ้นจิบเบา ๆ
มารดาของเจเนลเคยบอกว่าชาวตะวันออกพูดมีนัยยะเสมอ
ซีวา เรวิน เป็นหญิงงามวัยสิบแปดปี และเป็นชาวตะวันออกอย่างไม่ต้องสงสัย “เราจะดื่มน้ำแอปเปิ้ลให้หมด หมดเหยือกนี่เลย” เจเนลบอกเนือย
ๆ “หากท่านเลิกพูดจาเหมือนชาวตะวันออก”
เธอยกน้ำแอปเปิ้ลขึ้นดื่มจนหมดถ้วย
ล้างความขมในลำคอ
“หนนี้ท่านจะอยู่นานเท่าไหร่?” เจเนลถามขึ้น “เราอยากให้ท่านอยู่ตลอดไป”
“เราก็อยากอยู่กับเจ้าตลอดไป วาลันซ่าไม่มีน้องสาวน่ารักเหมือนเจ้า”
ซีวาบอก เธอฝืนยิ้มอย่างไม่สบายใจ นัยน์ตาสีเข้มดูเศร้าสร้อยลง “ถ้าท่านพ่อเสร็จธุระกับลอร์ดเกอร์เมื่อไหร่ เราจะลองคุยเรื่องย้ายมาอยู่ที่วาริอัสเสียที
ย้ายมาอยู่อย่างถาวร”
“จริงหรือ?” เจเนลถาม และเธอกำลังครุ่นคิด
บิดาของซีวาเป็นขุนนางในวาลันซ่า คาร์ล เรวิน เขาเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของคาร์ลี่ เรวิน
ลูเธอร์ มารดาของเจเนล เขามีศักดิ์เป็นท่านลุงของเจเนลอย่างไม่ต้องสงสัย
และเจเนลยืนยันได้ว่า ท่านลุงของเธอเฉลียวฉลาดไม่แพ้ลอร์ดบิดาของเธอ แต่เธอยังไม่เข้าใจ
เหตุใดท่านลุงผู้เฉลียวฉลาด ถึงไม่ฉลาดพอที่จะถอนตัวจากเรื่องวุ่นวายทางการเมืองในอาณาจักร
“ตามความเห็นเรา ท่านควรคุยกับท่านลุงอีกเรื่องหนึ่ง”
เจเนลเสนอ “ท่านต้องบอกท่านลุง เขาชราเกินกว่าจะนั่งโต้วาทีอยู่ในสภาแล้ว
ท่านพ่อบอกว่าอาณาจักรให้อิสระแก่ขุนนางอาวุโส เราอยากให้ท่านมาอยู่ด้วยกันที่นี่
ท่านทั้งคู่”
“เจเนล อาณาจักรมองผลประโยชน์ของตนเท่านั้น” ซีวากระซิบ
เธอขมวดคิ้วอย่างจริงจัง “ไม่ใช่ความผิดของพวกเขาเลย
โทษพวกเขาไม่ได้” เธอย้ำอย่างหนัก
เจเนลไม่ออกความเห็น
เธอซดน้ำแอปเปิ้ลนิ่ง ๆ และพยายามเปลี่ยนเรื่องพูดคุย ไม่นานทั้งคู่ก็ลืมความตึงเครียดเมื่อครู่ไปโดยสิ้นเชิง
พวกเธอสนทนากันหลายเรื่องตามประสาญาติสนิทที่ไม่ได้พบกันถึงเกือบครึ่งทศวรรษ
บัดนี้เห็นได้ชัดว่าซีวาเติบโตเป็นสาวเต็มตัว และเธองดงามราวกับทวยเทพสร้างขึ้น เธอมีผิวกายสีทองอร่าม
เส้นผมสีดำเงางามยาวจรดสะโพก ดวงตาสีเข้มเหมือนมณีนิล เข้ากับใบหน้าคมคายอย่างชาวตะวันออก
หอนาฬิกาหน้าวิหารเซนต์มิคาเอลตั้งอยู่อย่างท้าทาย
เข็มของมันชี้เป็นเส้นตรง บ่งบอกเวลาหกโมงเย็น แสงอาทิตย์อัสดงเปลี่ยนเป็นสีส้มแก่
ๆ อากาศเริ่มเย็นตาม
เจเนลดึงผ้าคลุมขนแกะสีเทาห่มไว้อย่างลวก
ๆ เธอหรี่ตามองญาติผู้พี่ที่เริ่มเมา ก่อนจะถอนหายใจแรง ๆ เธอพยายามมองไปรอบ ๆ
เพื่อให้แน่ใจว่าเธอและญาติผู้พี่ไม่ได้กำลังถูกใครมองเป็นพิเศษ เธอกำลังมองไปเรื่อย
ๆ โดยไม่ใส่ใจรายละเอียด กระทั่งหยุดอยู่ที่พ่อค้าเหล้าองุ่นคนเดิมอีกครั้ง
เจเนลจ้องมองเขา
เหมือนแมวป่าช่างสงสัยที่จ้องมองลูกเต่าอย่างสงสัย
พ่อค้าเหล้าองุ่นเป็นชายที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน
เขาตัวเล็กบางเหมือนกับผู้หญิง เส้นผมสีน้ำตาลยาวสองนิ้วชี้ไปทุกทิศทาง
นัยน์ตาสีเทาเหมือนครุ่นคิด และสวมเสื้อแขนยาวหลวม ๆ สีเขียวเปื้อนเป็นดวง กับกางเกงสีน้ำตาลทำจากหนังจิ้งจอกราคาถูก
พ่อค้าเหล้าองุ่นคือสามัญชน
เสื้อผ้าของเขายืนยันความจริงเรื่องนี้ แต่เจเนลยังระคายใจ กว่าสามชั่วโมงแล้วที่เขานั่งอยู่ที่เดิม
บนเก้าอี้ที่มุมหนึ่งของร้าน เพียงลำพัง นิ้วชี้ไล่ไปบนกระดาษสีเหลืองบนหนังสือปกหนา
สายตาจ้องตามนิ้วโดยไม่คลาดแม้วินาที
กว่าสามชั่วโมงที่เขาเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับหนังสือเล่มนั้น
เจเนลเห็นเขาขายเหล้าองุ่นให้กับลูกค้า และกลับไปหมกมุ่นกับมันอีกครั้ง
และอีกครั้ง และอีกครั้ง
ลอร์ดบิดาบอกว่าหนังสือคือเครื่องประดับของชนชั้นกลาง
ผู้รู้อักษรมีราคาในตัวเองเสมอ
“เจ้ามองหาอะไรเจเนล” ซีวาถามเสียงหวานจ๋อย เธอมองตาม
บัดนี้เธอดูเมามากกว่าหกส่วน “พ่อค้าหน้าหวาน
เราลืมไปได้ยังไงว่าเจ้าก็เติบโตขึ้น เจ้าไม่ใช่เด็กหญิงขี้อายอีกแล้ว”
เจเนลปฎิเสธทันควัน
“เราแค่สงสัยเท่านั้น! เขาเอาแต่อ่านสิ่งนั้น ตั้งแต่เราเข้ามาที่นี่
น้อยคนที่จะทนอ่านตำราเล่มหนาได้นานขนาดนี้ อีกอย่าง…” เธอพูดเสียงเบาลง
“เขาเป็นเพียงสามัญชน”
ซีวาจ้องมองพ่อค้าเหล้าองุ่นด้วยแววตาครุ่นคิด
และจากนั้น เธอตะโกนร้องเรียกเขา เจเนลไม่ทันตั้งตัว “พ่อค้า เราขอเวลาสักเดี๋ยวได้ไหม?” เธอว่า ก่อนหันมากระซิบบอกกับเจเนล
“เราคิดว่ามันต้องน่าสนใจแน่ ๆ ”
พ่อค้าหนุ่มพยักหน้าไกล
ๆ เขาละสายตาจากหนังสืออีกหน และเดินตรงมาที่โต๊ะของเจเนล “ท่านอยากได้อะไรเพิ่มเติมหรือไม่? นายหญิง” เขายิ้ม ก่อนจะรินน้ำแอปเปิ้ลให้กับเจเนล หนนี้เขารินเหล้าองุ่นให้ซีวาด้วยเช่นกัน
เจเนลส่งสายตาเข้มข้นให้ญาติผู้พี่
“ท่านเรียกเขามา ซีวา”
ซีวายิ้มตอบ
เธอย้อนถามกับพ่อค้า “นั่งลงก่อนได้ไหม?” เธอว่า พร้อมกับเสยผมขึ้น กำไลทองคำขาวประดับเพชรบนข้อมือ สะท้อนรับแสงอาทิตย์อัสดงเป็นประกายระยับ
พ่อค้าขยับตัวนั่งลงบนเก้าอี้คั่นกลางระหว่างทั้งสอง
การร่วมโต๊ะกับสตรีชนชั้นกลางถึงสองคนไม่อาจทำให้เขารู้สึกยินดีขึ้นมาได้ เขายิ้ม
แต่เจเนลรู้ว่ามันเป็นรอยยิ้มที่มีความกังวลซ่อนอยู่ “เรื่องที่พวกท่านอยากคุยกับข้า นายหญิง ข้าขอถามตรง ๆ เถิด
มีบางอย่างในร้านที่ทำให้พวกท่านไม่ชอบใจหรือไม่?”
“ไม่มีเรื่องแบบนั้นเลย เจ้าเพียงทำให้ญาติผู้น้องของเราร้อนใจ” ซีวาบอกด้วยความมั่นใจเต็มที่ “พ่อค้า เจ้ามีชื่อไหม?”
“ชื่อของข้าคือเอริค บลูเบิร์ด นายหญิง” เขาบอกด้วยใบหน้าประหลาดใจ
“เราคือซีวา เรวิน” ซีวาตอบรับ เธอส่งสายตายิ้ม ๆ ให้เจเนล
“ส่วนเราคือเจเนล… เจเนล ลูเธอร์”
เอริคลุกขึ้นพรวดเหมือนถูกไฟลวก
เขารีบน้อมศีรษะให้ทั้งคู่อย่างตกใจ “อย่างที่คิด
ท่านคือบุตรสาวของลอร์ดโลเกอร์… เจเนล ลูเธอร์
เส้นผมสีแดงเพลิงของท่านงดงามสมคำร่ำลือ” เอริคบอก “ส่วนท่าน สุภาพสตรีชาวตะวันออกที่งดงามที่สุดที่ข้าเคยพบมาก่อน
ผู้คนที่นั่นต้องร่ำลือเรื่องของท่าน”
เจเนลเพิกเฉย
เธอไม่ให้ราคากับคำชมของเอริค สตรีชนชั้นกลางล้วนคุ้นเคยกับคำพูดตามมารยาท เธอบอกให้เอริคนั่งลง
ก่อนจะเริ่มพูดอย่างเป็นทางการ “เอริค บลูเบิร์ด
เราเห็นเจ้าอ่านหนังสือเล่มนั้นอยู่หลายชั่วโมง เจ้าเป็นสามัญชนที่รู้อักษร เป็นคนแรกที่เราเคยพบมาก่อน
หากเจ้าไม่ว่าอะไร เราอยากคุยกับเจ้าเรื่องนั้น” เธอตัดเข้าประเด็น
“เจ้ารู้อักษรจริง ๆ หรือ?”
เอริคยิ้มเจื่อน
ๆ “ข้าไม่บอกอย่างนั้น นายหญิง
สาเหตุที่ข้ายังอ่านหนังสือเล่มเดิมอยู่นานสองนาน ก็เพราะข้าไม่เข้าใจ
ข้าไม่เคยเรียนอ่านอักษรเหล่านี้”
“แล้วเหตุใดเจ้าถึงเอาแต่จ้องมัน”
“ข้าเชื่อว่าหากข้าทุ่มเทมากพอ สักวันข้าคงเข้าใจ” เอริคตอบอย่างมั่นใจ
เจเนลส่ายหัวด้วยความเวทนา
“เอริค เจ้าทุ่มเทได้ดี แต่ยังขาดประสบการณ์ เจ้าจำเป็นต้องรู้จักอักษร
หากเจ้าอยากอ่านหนังสือ” เธอบอก “เราขอลอง
อ่านหนังสือของเจ้าได้ไหม เราจะได้บอกเจ้าได้ว่าเจ้ากำลังทุ่มเทไปเพื่ออะไร”
เอริคเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ
“ท่านอยากลองดู? ข้ายินดีอย่างยิ่ง
แต่มันเก่ามากจนข้าไม่กล้ายกมันออกมา นายหญิง ข้ารบกวนท่าน…” เขาลุกจากเก้าอี้ช้า ๆ
“ไม่เป็นไร พวกเราจะเดินไปเอง” เจเนลเข้าใจ เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้
พร้อมกับญาติผู้พี่ ทั้งคู่เดินตามเอริคไปที่โต๊ะของเขาอย่างว่าง่าย
สามัญชนในร้านมองพวกเธอเป็นตาเดียวด้วยความสงสัย
“เล่มนี้แหละ” เอริคผายมือไปที่โต๊ะของเขาอย่างระมัดระวัง
เจเนลเดินเข้าไปใกล้
หนังสือเล่มหนานอนสงบนิ่งอยู่บนโต๊ะ มันเก่ากว่าตำราพิชัยยุทธ์หนึ่งพันปีของเซอร์ไดม่อน
ไร้ซึ่งความน่าเกรงขาม มันสิ้นหวังเกินกว่าสิ่งที่เจเนลเคยเรียกว่าหนังสือ
ปกของมันเป็นหนังกระทิงสีน้ำตาลแดงที่ซีดจนไม่เหลือเค้าเดิม
อักษรสลักชื่อเลือนหายไป เห็ดราที่เคยผาสุกอยู่บนปก กลายเป็นเพียงซากแห้ง ๆ รอวันผุพัง
เจเนลพยายามไม่ใส่ใจรูปลักษณ์ของมัน
เพราะตราบเท่าที่มันยังทำหน้าที่ของตัวเองได้ก็นับว่ามีค่าเพียงพอ เธอบอกตัวเอง
และพยายามเพ่งมองตัวอักษรจาง ๆ บนกระดาษสีน้ำตาลเหมือนใบไม้แห้ง และเธอต้องประหลาดใจอีกครั้ง
ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามคาด เธอขมวดคิ้วแน่น และจ้องมันนิ่ง ๆ เหมือนถูกสะกดเอาไว้
“ซีวา ท่านมาดูนี่หน่อย” เธอส่งเสียงเรียกญาติผู้พี่ “นี่มันคืออะไรกัน”
ซีวาสนใจ
เธอสร่างเมากลับมาเป็นปกติแล้ว เธอเคลื่อนตัวมายืนข้าง ๆ และจ้องหนังสืออย่างพินิจ
ก่อนจะพยักหน้า และส่งเสียงอืมในลำคอ “เอริค… เจ้าบอกว่าหากเจ้าจ้องมองมันนานพอ
เจ้าจะเข้าใจมันได้ อย่างนั้นหรือ?”
“ข้าไม่กล้ายืนยัน นายหญิง”
“อักษรในเล่มนี้ ไม่ใช่ภาษาของวาริอัส ไม่ใกล้เคียงเลย” เจเนลบอกเคร่งเครียด
“ไม่ใช่ภาษาวาลันซ่าเช่นกัน” ซีวาเสริม
“เรื่องนั้น ข้าคิดว่าข้ารู้อยู่แล้ว นายหญิง” เอริคบอกด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ข้ารู้จักอักษรที่เป็นภาษากลางของอาณาจักรทั้งห้า
ข้าเดาว่าอักษรนี้เป็นภาษาของชนเผ่าโบราณที่อยู่ในลองฟรอซ (อาณาจักรทิศเหนือ)
บางทีข้าอาจจะเข้าใจอักษรทั้งหมดหากได้กลับไปอ่านภาษากลางของลองฟรอซอีกครั้ง มันคล้ายคลึงกันอยู่สามในห้าส่วน”
“เอริค เจ้าบอกว่า เจ้าไม่เคยเรียนอ่านอักษร…” เจเนลว่า
“ข้าจดจำอักษร โดยหวังว่าวันหนึ่งเมื่อข้าเห็นมันจากที่ไหนสักแห่ง
ข้าอาจได้รู้ความหมายของมัน นายหญิง จากประสบการณ์ของข้า
ข้าพบว่าหากข้าจดจำมันได้แล้ว ข้าจะค่อย ๆ รู้ความหมายของมัน รู้ทีละตัว” เอริคว่า
เจเนลไม่พูดอะไร เธอครุ่นคิด เธอเห็นบางสิ่งในชั่วขณะหนึ่ง เมื่อแสงแดดสีทองแทรกผ่านรูเล็ก ๆ บนผนัง เข้ามาในร้าน เอริคยืนอยู่ตรงหน้าของเธอ ในเสี้ยววินาทีหนึ่งนั้น เธอมองเห็นบุรุษผู้ซึ่งที่มีราคาในตัวเอง ชนิดที่ไม่เคยมีผู้รู้อักษรคนใดอาจเปรียบเทียบได้
.
ความคิดเห็น