ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    JongKey.} Fiction {.BY airinz, LiTAz, mno9

    ลำดับตอนที่ #2 : [SF] Until We Meet Again [1/2] by mno9

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.ย. 56


    Title: Until We Meet Again
    Author: mno9
    Status: Shot fiction - Ongoing
    A/N: หนูเป็นไรเตอร์หน้าใหม่...ในเด็กดีน่ะนะ = =;;;



    จนกว่าจะถึงวันนั้น...รอได้ไหม?


    *****************


    ร่างหนายืนจดจ้องอยู่ที่ภาพภาพหนึ่งในงานแสดงผลงานภาพวาดในแกเลอรี่ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่กลางใจกรุงโซล เวลาค่ำแบบนี้ผู้คนบางตาจนเรียกได้ว่าแทบจะไม่เห็นใครเลยก็ว่าได้ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจอะไร ชายหนุ่มไม่แน่ใจนักว่าเขาหยุดยืนอยู่ตรงนี้นานเท่าไหร่ แต่กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีเขาก็รู้สึกถึงแรงสะกิดที่หัวไหล่ จึงได้หันกลับไปมองเจ้าของสัมผัสดังกล่าว วาดยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่คือใคร อีกฝ่ายจึงได้ยิ้มตอบก่อนจะเปิดบทสนทนา


    “ว่าแล้วว่าต้องมาอยู่ตรงนี้...”


    “อื้ม...ว่าแต่วันนี้...”


    “วันนี้เจ้าของงานคงไม่เข้าหรอก...ถ้าอยากเจอ คงต้องเข้ามาพรุ่งนี้ตอนบ่ายๆล่ะ” คำตอบของคนตรงหน้าทำให้ชายหนุ่มหัวใจฟีบลงเล็กน้อยแต่ก็ยังวาดยิ้มจางออกไปแทนการขอบคุณ


    “อย่าทำหน้าเศร้าอย่างนั้นน่า อย่างน้อยเขาก็กลับมาให้เจอแล้วไง อยู่นายจะพยายามแค่ไหนเท่านั้นแหละ” มือเรียวยกขึ้นตบบ่าให้กำลังใจชายหนุ่มก็ได้แต่พยักหน้ารับคำ...หวังว่ามันจะเป็นแบบนั้น หวังว่าจะได้เจอกัน...เขาหวัง


    พูดคุยกันอยู่ได้พักหนึ่งก่อนที่ร่างโปร่งบางกว่าจะพลิกดูนาฬิกาข้อมือก่อนจะยิ้มแหยๆ เห็นอย่างนั้นก็เข้าใจได้ในความหมาย คงถึงเวลาต้องบอกลากันแล้ว


    “ต้องกลับแล้วใช่รึเปล่า”


    “อื้ม ต้องไปแล้วล่ะ โทษทีนะ”


    “ไม่มีอะไรต้องขอโทษสักหน่อย กลับเถอะ อีกสักพักฉันก็จะกลับแล้วล่ะ” อีกฝ่ายพยักหน้ารับทำท่าจะเดินจากไปแต่ก็หันหลังกลับมาพูดออะไรบ้างอย่าง


    “ขอให้โชคดีล่ะ โอกาสลอยมาใกล้มือขนาดนี้แล้ว”


    “ขอบใจนะแทมินอ่า”


    ยืนมองแผ่นหลังบางเดินจากไปก่อนจะลอบยิ้มออกมาคนเดียว เหลียวมองภาพวาดที่ตรึงความสนใจของเขาเอาไว้อีกครั้ง ขณะที่กำลังคิดว่าคงต้องกลับเสียทีเพราะใกล้เวลาที่แกเลอรี่จะปิดแล้ว ระหว่างที่กำลังจะก้าวออกจากบริเวณดังกล่าว เสียงฝีเท้าที่เดินใกล้เข้ามาก็ทำให้เขาชะงัก


    หน่วยตาคมหยุดที่ผู้มาใหม่ รู้สึกราวกับว่าเวลากำลังหยุดเดินเมื่อพบว่าอีกฝ่ายคือใคร


    “คิบอมอ่า”


    “จงฮยอน....”



    = = = = = = = = = = = =



    เสียงเซ็งแซ่ดังขึ้นที่หน้าบอร์ดสำหรับติดประกาศข่าวความเป็นไปที่เกิดขึ้นภายในรัวโรงเรียน มันคงไม่ได้ดึงความสนใจจงฮยอนเท่าไหร่หากว่าเรื่องที่คนกำลังกล่าวถึงกันอยู่นั้นไม่ได้เกี่ยวกับ..คิมคิบอม..


    “หมอนั่นได้รางวัลอีกแล้ว”


    “เดี๋ยวก็คงทำเป็นเชิดอีกตามเคย”


    “คนอะไรเย็นชาชะมัด”


    เท่าที่จับใจความได้เสียงเหล่านั้นกลับกลายเป็นการค่อนแคะเสียมากกว่าที่จะชื่นชมยินดีให้สมกับที่เพื่อนร่วมโรงเรียนอย่างที่มันควรจะเป็น


    น่าสมเพช พวกคนขี้อิจฉา


    จงฮยอนทำท่าจะเดินผ่านจากกลุ่มคนพวกนั้นไปเพราะไม่อยากจะได้ยินคำกล่าวร้ายต่างๆนานาพวกนั้น เขาอยากจะเอ่ยอะไรออกไป ก่นด่าคนพวกนั้น ตอกหน้าคนพวกนั้น แต่เลือกที่จะไม่ทำ...เขาไม่ควรเสียพลังงานไปกับเรื่องดังกล่าว มันสูญเปล่า เพราะนอกจากคนพวกนั้นจะไม่เปลี่ยนความคิดแล้ว ความรู้สึกที่มีต่อคนที่ถูกกล่าวถึงก็อาจจะยิ่งติดลบมากขึ้นก็ได้ คงต้องปล่อยให้ความอิจฉาสุมใจคนพวกนั้น เพราะอย่างไรเสีย คิบอมก็คงไม่สนใจคำกล่าวหาของคนที่ไม่คู่ควรอยู่แล้ว





    เสียงออดบอกเวลาเลิกเรียนดังขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ระหว่างที่เพื่อนร่วมห้องส่วนใหญ่พร้อมใจกันโกยข้าวของลงกระเป๋า แต่จงฮยอนกลับเลือกที่จะทำมันอย่างค่อยเป็นค่อยไป และแทนที่จะเดินตรงไปยังประตูด้านหน้าของโรงเรียน เพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานที่เรียนพิเศษเช่นเดียวกับคนอื่นๆ เขากลับเลือกที่จะเดินลึกเข้าไปที่ตึกกิจกรรมด้านในของบริเวณโรงเรียนมากกว่า


    เวลาที่รอคอยกำลังจะเริ่มขึ้น


    แทนที่จะมุ่งหน้าไปยังห้องชมรมดนตรีสากลอย่างที่ควรจะเป็น ฝีเท้าของเขากลับชะงักลงเล็กน้อยเมื่อเดินถึงหน้าห้องชมรมศิลปะ หน่วยตาคมลอบมองเข้าไปผ่านกระจกใส แต่ทั้งห้องกลับว่างเปล่า ลอบถอนหายใจออกมาเบาๆเมื่อความหวังว่าจะได้พบคนที่อยากจะพบนั้นคล้ายว่าจะดับวูบลง แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อมีมือหนึ่งสัมผัสลงบนบ่า


    หวังว่าจะเป็นคนคนนั้น....แต่ก็....ไม่ใช่


    “มองหาคิบอมอยู่หรือไง” เสียงเล็กเอ่ยถามออกมาเมื่อเห็นว่าเพื่อนร่วมชมรมกำลังทำตัวลับๆล่อๆอยู่ที่หน้าห้องชมรมศิลปะเหมือนอย่างเคย แต่วันนี้คงไม่ใช่วันโชคดีของจงฮยอนเป็นแน่


    “ถามมากนะอีแทมิน” พอถูกถามอย่างรู้ใจเข้าหน่อยก็ทำเป็นพาล แทมินได้แต่ส่ายหน้าอย่างหน่ายๆ ในเมื่อเจ้าตัวแสดงออกว่าชื่นชอบคิมคิบอมเพื่อนร่วมห้องของเขาขนาดนั้น ไม่ใช่แค่เขาหรอกที่รู้เรื่องนี้ ใครต่อใครที่รู้จักคิมจงฮยอนพอสมควรก็น่าจะตีความหมายกิริยาของอีกฝ่ายผิดไป


    “วันนี้หมอนั่นคงไม่มาที่ชมรมหรอก เห็นว่ามีเรื่องต้องคุยกับอาจารย์หมวดศิลปะน่ะ” อีแทมินแจงข้อมูลเพิ่ม


    “งั้นเหรอ...อื้ม”


    “นายควรจะขอบคุณฉันไม่ใช่หรือไง”คราวนี้แทมินคว้าไหล่หนาของคนท่ามากเอาไว้ก่อน รู้สึกหมั่นไส้นิดๆที่อีกฝ่ายเอาแต่ทำท่าทีวางเฉยทำเหมือนไม่สนใจเพื่อนของเขาต่อหน้าคนอื่นอยู่ได้ การทำอะไรตรงกับความต้องการของหัวใจมันยากนักหรืออย่างไร


    “เออๆ ขอบใจ พอใจหรือยัง ทีนี้ก็ไปชมรมกันได้แล้ว ป่านนี้คนอื่นคงรอแล้ว”


    ว่าแล้วก็รีบตัดบทเดินนำหน้าร่างของเพื่อนร่วมชมรมไปยังห้องชมรมดนตรีสากลทันที ไม่รอให้แทมินได้ค่อนแขะอะไรอีก ไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจเจตนาและความหวังดีของอีกฝ่าย เพียงแต่จงฮยอนรู้สึกว่าเขายังไม่พร้อมจะเผชิญกับความรัก(?)อย่างเต็มรูปแบบในตอนนี้ เขายังอยากเป็นคนที่มองคิมคิบอมอยู่ห่างๆแบบที่เป็นอยู่ก็เท่านั้น...จงฮยอนคิดว่ามันดีที่สุดแล้วสำหรับช่วงเวลานี้


    แต่บางที...เขาอาจจะชะล่าใจจนเกินไป





    เด็กหนุ่มบิดขี้เกียจหลังจากละสายตาจากการบ้านตรงหน้า แม้จะเบื่อเต็มทนก็สุดท้ายเขาก็ทำมันเสร็จจนได้ มือหนาคว้าเอาสมุดโน้ตสันลวดไม่มีเส้นของตัวเองก่อนจะเดินออกไปที่ระเบียงของหอพักหมายจะนั่งขีดๆเขียนๆอะไรเล่น อาจจะได้ไอเดียสำหรับแต่งเพลงใหม่ก็ได้


    แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อกลิ่นอะไรบางอย่างลอยเข้าจมูกมาจากห้องด้านข้าง ...กลิ่นน้ำมันสน... จงฮยอนรู้สึกว่าหัวใจของตนเองกำลังเต้นถี่ขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าควรจะเอ่ยทักทายเพื่อนข้างห้องซึ่งแทบไม่เคยได้พบหน้ากันจังๆเลยสักครั้ง หรือเดินหลบเข้าห้องไปราวกับว่าเขาไม่เคยยืนอยู่ตรงนี้กันแน่


    “เอ่อ...นาย ขอโทษนะ กลิ่นมันไม่ค่อยดีใช่มั้ย แต่ให้ล้างในห้องแม่บ้านหอจะว่าเอาน่ะ” เสียงที่ดังมาจากข้างห้องรั้งเอาความคิดทุกอย่างของจงฮยอนให้กลับมาตรึงอยู่กับเด็กหนุ่มข้างห้อง หนำซ้ำอีกฝ่ายยังชะโงกหน้ามาทำหน้าราวกับว่ากำลังทำผิดใหญ่หลวงใส่เขาอีก...จงฮยอนแทบจะไปต่อไม่เป็นทีเดียว


    “อะ เอ่อ ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไรเลย ฉันแค่ไม่คุ้นน่ะ แต่ก็โอเคนะ ไม่มีปัญหา แค่จะออกมาสูดอากาศน่ะ” เด็กหนุ่มรีบโบกไม้โบกมือบอกว่าไม่เป็นไรแทบไม่ทัน


    “แต่นายก็เลยต้องมาสูดกลิ่นน้ำมันสนแทนเลย” เรียวหน้าหวานยังฉายแววรู้สึกผิดอยู่ไม่หายที่กลายเป็นคนทำลายบรรยากาศของเพื่อนข้างห้องเข้าจนได้


    “ฉันไม่เป็นไร จริงๆนะ ไม่ต้องคิดมากหรอก” ว่าแล้วก็ทำลายความคิดจะเดินหลบเข้าห้องของตัวเองด้วยการนั่งลงกับพื้นระเบียงพร้อมกับกางสมุดสันลวดของตนเองออกราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับกลิ่นรบกวน


    “เอ่อ...งั้นก็ ตามสบายนะ เอ่อ....นาย...”


    “จงฮยอน...คิมจงฮยอนน่ะ”


    “อื้ม ตามสบายนะจงฮยอน...ฉันคิมคิบอม ยินดีที่ได้รู้จัก” แนะนำตัวเสร็จเรียวปากบางก็วาดยิ้มกว้าง โหนกแก้มขาวยกขึ้นอย่างน่ารัก...ใครกันนะที่เอาแต่พูดว่าคิมคิบอมเย็นชาอย่างนั้น ไร้ความรู้สึกอย่างนี้...คนพวกนั้นน่ะ ไม่สมควรได้รับรอยยิ้มแบบที่เขากำลังได้รับจริงๆนั่นแหละ



    ...

    จงฮยอนนึกขอบคุณความบังเอิญ ไม่สิ จริงๆเป็นความตั้งใจของเขาเองมากกว่าที่ขยันแง้มหน้าออกมายังระเบียงหอทุกคืนด้วยความหวังว่าจะได้พบกันเพื่อนข้างห้องอีกครั้ง ยอมรับว่าไม่ใช่ทุกวันหรอกที่คิบอมจะออกมาล้างนั่นล้างนี่อย่างที่บังเอิญพบกันในครั้งแรก แต่อย่างน้อยมันก็เป็นเรื่องที่ทำให้จงฮยอนยิ้มได้ แม้สุดท้ายจะลงเอยด้วยการพูดคุยกันเพียงไม่กี่คำก็ตาม


    เด็กหนุ่มพยายามเพ่งสมาธิของตัวเองให้จดจ่ออยู่กับการแต่งเพลงใหม่เพื่อใช้ในการประกวดวงดนตรีที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่กลิ่นน้ำมันสนที่ลอยเข้ามาเตะจมูกกลับทำให้เขาจิตใจปั่นป่วนขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ ไม่ใช่เพราะรำคาญ หากแต่เป็นเพราะคนที่กำลังใช้มันล้างพู่กันของตนเองต่างหาก


    “นี่คิมจงฮยอน...” ไม่ทันขาดคำเสียงเรียกของคนข้างห้องก็ทำให้เขาสะดุ้งเฮือกขึ้นมาด้วยความตกใจ เมื่อเจ้าของเสียงเรียกเห็นอาการของเพื่อนข้างห้องก็อดจะหัวเราะออกมาไม่ได้


    “ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ตกใจนะ” พูดไปพลางหัวเราะไปพลาง แต่ก็อดจะชะโงกตัวมามองด้วยท่าทางเป็นห่วงไม่ได้


    “ไม่เป็นไร แค่คิดอะไรเพลินๆน่ะ ว่าแต่มีอะไรเหรอ”


    “อ๋อ ว่าจะถามตั้งหลายทีแล้วน่ะว่านายออกมานั่งทำอะไรตรงนี้แทบทุกวันเหรอ”


    “คือว่า.....”


    “ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไรนะ แค่ถามดูน่ะ” คนถามเอ่ยออกมาเสียงอ่อนอ่อยเมื่อเห็นว่าจงฮยอนทำท่าทีอึกอักเพราะคำถามของตนเอง


    “ไม่ใช่แบบนั้น บอกได้ ไม่ใช่เรื่องที่บอกไม่ได้หรอก ก็แค่แต่งเพลงน่ะ” เสียงทุ้มรีบเอ่ยตอบยืดยาวด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดว่าเขาพยายามบ่ายเบี่ยงไม่ตอบคำถามทั้งที่จริงแล้วเขาเพียงแค่ประหม่าก็เท่านั้น


    “แต่งเพลงหรอ...เจ๋งอ่ะ!”


    “ไม่ขนาดนั้นหรอก แต่งไว้เล่นกันในวงน่ะ”


    “เท่ห์จะตายไป มีเพลงเป็นของตัวเองด้วยนะ ชาตินี้ฉันคงไม่มีโอกาสจะมีเพลงของตัวเองด้วยซ้ำ” ว่าแล้วก็ทำหน้าม่อยอีกครั้ง


    “เอาน่า คนเรามันก็ต้องมีความสนใจต่างกันไป เหมือนกันที่ฉันคงไม่มีภาพวาดของตัวเองนั่นแหละ ไม่ต้องทำหน้าเศร้าหรอกน่า”


    “งั้นเรามาแลกกันมั้ยล่ะ นายเขียนเพลงให้ฉัน แล้วฉันจะวาดรูปให้นาย” นัยน์ตาเรียวพราวระยับขึ้นมากับความคิดของตนเอง



    “...เอางั้นก็ได้ ดีล!”



    To be continue...



    สวัสดีค่ะ...ทั้งคนที่คุ้นเคย และคนที่ไม่เคยรู้จักกัน ฮา ตอนนี้ (ที่กำลังพิมพ์) เป็นเวลาสี่ทุ่มสี่นาทีค่ะ...ถือว่าเป็นวันเกิดน้องเลยแล้วกันเนอะ :) ค่ะ ฟิกชั่นเรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อฉลองวันเกิดคิมคิบอมเด็กน้อยของเรา หลังจากที่ไม่ได้ขีดๆเขียนอะๆอะไรมานาน จะบอกว่าอู้ก็ใช่ ฮ่าฮ่า แต่จริงๆมันเป็นเรื่องของจังหวะชีวิตน่ะค่ะ


    เพราะว่าห่างหายไปนานอีกนั่นแหละ ภาษาก็เลยเพี้ยนๆไปเยอะเลย ฮ่าฮ่า บางทีมันก็อาจจะเกินเยียวยาไปแล้วก็ได้นะ แต่เราก็ตั้งใจเขียนอย่างเต็มที่ง่ะ ถึงมันจะไม่ได้ดีเหมือนเมื่อก่อนแล้วก็เถอะ T-T ปวดใจเบาๆ ฮา


    เอาเป็นว่าไม่มีอะไรมากค่ะ...จะพยายามเอาตอนจบมาลงให้ได้เร็วที่สุด สารภาพเลยว่ายังแต่งไม่เสร็จหรอก T-T แต่ก็จะรีบมานะ


    สุดท้ายนี้ก็

    Happy Birthday Kim Kibum

    พี่สาวรักหนูเสมอนะ ;_;


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×