ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    JongKey.} Fiction {.BY airinz, LiTAz, mno9

    ลำดับตอนที่ #1 : [SF] The Person I Love [1/3] by LiTAz

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.ย. 56


    Title: The Person I Love

    Author: LiTAz

    Status: Short Fiction

    Author's Note:  เพราะนี่คือฟิคชั่น โปรดมองข้ามความเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ด้วยนะคะ (เตือนแล้วนะ!)

     

    *******************

     

    “ออกค่ายที่อุลซาน?” คิมคิบอมละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ แล้วหันไปมองใครบางคนที่กำลังนอนอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่บนเตียงของเขา ใบหน้าเรียวได้รูปของอีกฝ่ายโผล่พ้นขอบหนังสือมาส่งยิ้มหวานให้คิบอมก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วจัดการวางหนังสือการ์ตูนที่อ่านค้างอยู่ลงบนโต๊ะเล็กข้างหัวเตียง

    “อื้ม ไปกับอาจารย์และก็เพื่อนในภาค ช่วงปิดเทอม นายอยู่คนเดียวได้รึเปล่า?” เจ้าของเสียงใสถามอย่างเป็นกังวล

    “อยู่ได้สิ ทำไมเราจะอยู่ไม่ได้ แต่ทำไมไปนานจัง นายต่างหากจะอยู่ได้เหรอ?”

    “อยู่ได้อยู่แล้ว คนอื่นอยู่ได้เราก็ต้องอยู่ได้... แต่คงคิดถึงนาย”

    คิบอมมองคนที่ทิ้งตัวลงไปนอนบนเตียงตามเดิมตั้งแต่ยังพูดไม่ทันจบประโยค มุมปากยกยิ้มพร้อมกับถอดแว่นสายตาที่สวมติดตัวเป็นประจำวางลงบนคีย์บอร์ดแล้วเดินตรงไปยังเตียงตัวเอง ทิ้งร่างลงไปนอนแผ่อยู่ข้างๆคนก่อนหน้า

    ใบหน้าของคนข้างๆหันมามองคิบอม เช่นเดียวกับที่คิบอมจ้องมองคนๆนั้นกลับไป มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก เขาก็แค่ชอบ... ชอบที่จะสบตากับคนๆนี้

    ทั้งดวงตากลมใส จมูกรั้นๆ แก้มสีเรื่อ ไปจนถึงริมฝีปากสีอ่อน ทุกองค์ประกอบที่จัดสรรลงบนวงหน้าของอีกฝ่ายแทบจะถอดแบบมาจากเขาทุกตารางนิ้ว ผิดแต่เพียงว่าทรงผมของเขาที่สั้นตามแบบฉบับผู้ชายวัยรุ่นทั่วไป ในขณะที่เธอกลับมีผลยาวดัดลอน

    “นายคิดถึงพ่อกับแม่มั้ยคิบอม” จู่ๆคิมควีบุนก็เอ่ยขึ้นมา เอนศีรษะพิงลงบนลาดไหล่ของน้องชายฝาแฝด

    “คิดถึงสิ นายล่ะ”

    “คิดถึงเหมือนกัน”

    สองปีแล้วที่ควีบุนกับคิบอมต้องใช้ชีวิตเพียงลำพังสองคนพี่น้อง ไม่มีทั้งพ่อและแม่ ไม่มีแม้แต่ผู้ปกครอง ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง ทั้งคู่ไม่เคยโทษโชคชะตา ไม่เคยโทษว่าเป็นความผิดของใคร เรื่องทุกอย่างที่มันเกิดขึ้น มันก็แค่ต้องเป็นแบบนี้เท่านั้นเอง

     

    *******************

     

    คิบอมมองเพื่อนสนิทที่เอาแต่ชะเง้อคอมองไปยังทางเข้าร้านกาแฟที่พวกเขาพากันมาจับจองตั้งแต่เลิกเรียน ร่างสูงของชเวมินโฮหันกลับมาจิ้มหน้าจอโทรศัพท์ได้ไม่กี่ประโยคก็ยืดคอไปยังประตูแก้วอีกหน เป็นแบบนี้มาร่วมสิบนาทีแล้ว แก้วกาแฟที่คิบอมสั่งมาตอนนี้เริ่มมีหยดน้ำเกาะข้างแก้ว ไม่ต่างอะไรจากแก้วกาแฟของมินโฮ

    คนซึ่งถูกลากตัวออกจากห้องเรียนทันทีที่อาจารย์สอนเสร็จพลิกหน้าหนังสือในมืออ่านอย่างใจเย็น วรรณกรรมเรื่องโปรดดึงดูดความสนใจเสียจนคิบอมไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดอะไรเลยที่ต้องมานั่งรอใครบางคนเป็นเพื่อนมินโฮ หากแต่กลายเป็นมินโฮเสียเองที่ตอนนี้เริ่มจะนั่งไม่ติดเก้าอี้ คอยแต่จะหันไปมองหน้าร้านอยู่ตลอดเวลา

    “จริงๆถ้านัดสาวไว้ก็ไม่ควรจะลากฉันมาเป็นก้างนะ” คิบอมเอ่ยอย่างอดไม่ได้ เด็กหนุ่มยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา ก่อนจะพบว่าว่าเขาทั้งคู่นั่งอยู่ในคาเฟ่แห่งนี้มาได้ครึ่งชั่วโมงแล้ว

    “ไม่ใช่แฟนเว้ย คนนี้เป็นพี่ที่รู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม... แปลกว่ะ ทักไปก็ไม่ยอมตอบ”

     มินโฮชูโทรศัพท์มือถือของตัวเองให้คิบอมดู หน้าจอโปรแกรมแชทมีแต่ข้อความที่มินโฮเป็นคนส่งไป ทว่าไม่มีข้อความตอบกลับแม้แต่ประโยคเดียว

    “เขาอาจจะติดธุระกะทันหันก็ได้ ว่าแต่แกเถอะ นัดรุ่นพี่ไว้แล้วลากฉันมาด้วยทำไม”

    “ก็ไม่มีอะไร แค่อยากให้รู้จักกันไว้เฉยๆ ตั้งใจจะแนะนำให้รู้จักกันตั้งนานแล้วแต่ไม่มีโอกาส... แต่จริงๆฉันว่าแกน่าจะเคยเห็นพี่เขาแล้วล่ะ เดินไปคณะเราก็ผ่านคณะเขาทุกวัน”

    “คณะอะไร” คิบอมถามพร้อมกับใช้ข้อนิ้วชี้ขยับแว่น ความจริงเขาไม่จำเป็นต้องถามมินโฮเลยด้วยซ้ำ เพราะไม่ว่าอีกฝ่ายจะตอบว่าคณะอะไรคิบอมก็มั่นในว่าเขาไม่มีทางเคยเห็นรุ่นพี่ของมินโฮจนถึงขั้นจำหน้าได้อย่างแน่นอน เพราะอะไรน่ะเหรอ? ก็เพราะวันๆเขาแทบไม่เคยจะมองใครเลยยังไงล่ะ แต่ละวันสิ่งที่เขาให้ความสนใจและมองเห็นมีอยู่แค่ไม่กี่อย่าง ควีบุนล่ะหนึ่ง นอกนั้นก็มีหน้ากระดาษ กระดานไวท์บอร์ด อาจารย์ผู้สอน และชเวมินโฮ นอกเหนือไปจากนี้เขาก็แทบจะมองข้ามหรือมองผ่านไปทั้งนั้น

    เสียงโทรศัพท์มือถือของคิบอมดังขึ้นก่อนที่มินโฮจะเอ่ยปากตอบ เด็กหนุ่มมองชื่อซึ่งปรากฏอยู่บนหน้าจอแล้วรีบกดรับทันที

    “ว่าไง?... เราอยู่กับเพื่อน นายกลับแล้วเหรอ?... ได้ งั้นเดี๋ยวเราแวะซื้ออะไรเข้าไปเองแล้วกัน... โอเค...”

    คิบอมเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกงหลังจากพูดคุยกับปลายสายเรียบร้อย ส่งรอยยิ้มเจื่อนให้เพื่อนพร้อมกับขอตัวกลับก่อน

    “ขอโทษนะ ไว้เป็นคราวหน้าแล้วกัน”

    มินโฮหันไปมองหน้าร้านอีกครั้งราวกับหวังว่าจะได้เห็นคนที่รอคอยอยู่ผลักประตูเข้าร้านมาแม้แต่เงาก็ยังดี สุดท้ายเมื่อไม่มีวี่แววว่าเงาของอีกฝ่ายจะผลักประตูเข้าร้านมาอย่างที่หวัง คนตัวสูงจึงหันกลับมาพยักหน้าให้เพื่อนอย่างช่วยไม่ได้

    คิบอมเก็บหนังสืออ่านเล่นของตัวเองลงในกระเป๋าเป้ เอ่ยลาเพื่อนแล้วเดินตรงไปยังประตูร้าน เสียงกระดิ่งดังขึ้นเมื่อเด็กหนุ่มผลักประตูแก้วออกไป จังหวะเดียวกับที่ลูกค้ารายใหม่เดินขึ้นบันไดมาพอดี

    “เดินเร็วๆดิ่วะจงฮยอน ป่านนี้มินโฮมันนั่งด่าฉันเสียหมาหมดแล้วมั้งเนี่ย” ชายหนุ่มที่ดูแก่กว่าคิบอมหันหลังไปพูดกับเพื่อนที่เดินตามหลังมาด้วยท่าทีสบายๆ

    ปลายเท้าที่กำลังก้าวลงบันไดขั้นสุดท้ายหยุดชะงัก คิบอมหันหลับไปมองคนที่เดินสวนเขาไปในตอนแรก ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีชั่งใจว่าจะเดินกลับเข้าไปในร้านดีหรือไม่ แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจหันหน้ากลับมา

    “ขะ ขอโทษครับ”

    คิบอมพูดพร้อมกับขยับตัวมาด้านซ้าย หลังจากหันกลับมาแล้วพบว่าตัวเองกำลังยืนตรงกับใครอีกคนอยู่พอดี ต่างตรงที่อีกฝ่ายยืนต่ำกว่าเขาอยู่หนึ่งขั้นบันได

    “อ๊ะ...” อุทานออกมาเมื่อคนตรงหน้าเลือกที่จะขยับมาด้านเดียวกัน ครั้นพอคิบอมขยับตัวกลับมาทางขวา อีกฝ่ายก็ทำเหมือนกันอีก 

    “ขอโทษนะ”

    คนที่ยืนอยู่ต่ำกว่าเอ่ยพร้อมใช้สองมือจับแขนทั้งสองข้างตรงแนวข้อศอกของคิบอมเอาไว้ ริมฝีปากได้รูปส่งยิ้มให้หลังจากขึ้นมายืนอยู่บนขั้นบันไดเดียวกัน ก่อนที่เจ้าของมือคู่นั้นจะปล่อยออกแล้วเดินตรงไปยังประตูแก้ว

     

    คิบอมเริ่มก้าวเท้าอีกครั้งหลังจากเสียงกระดิ่งเงียบลงเป็นครั้งที่สอง และหลังจากกลับมายืนอยู่บนพื้นถนนเรียบร้อย เด็กหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองประตูร้านอีกหน อาจฟังดูประหลาดถ้าจะบอกว่าใครคนนั้นเดินจากไปแล้ว แต่คิบอมกลับเก็บบางสิ่งบางอย่างของเขาติดตัวมาด้วย

     

    รอยยิ้มที่ดูอบอุ่นนั่น...

     

     

    The difference between the impossible and the possible lies in a man’s determination.

    - Tommy Lasorda -

     

     

    “นะ นายยังสติดีอยู่รึเปล่า?”

    คิบอมคว้าทิชชู่ขึ้นเช็ดปากหลังจากสำลักเส้นสปาเกตตี้จนแสบจมูก เด็กหนุ่มเงยหน้าสบตาแฝดคนพี่ที่กำลังส่งสายตาอ้อนวอนมาให้จากอีกฝั่งของโต๊ะทานข้าว

    “นะ คิบอมน้า”

    “ไม่!

    “คิบอมอ่า... ช่วยเราหน่อยนะ แค่ครั้งเดียวเท่านั้น ถ้าเราไปได้เราก็ไม่รบกวนนายหรอก น้า...”

    ควีบุนลุกจากเก้าอี้ของตัวเองแล้วเดินอ้อมโต๊ะมานั่งลงบนเก้าอี้ข้างคิบอม ฝ่ามือบางกุมมือเรียวของน้องชายเอาไว้พร้อมกับยกขึ้นแนบแก้ม

    “แค่ครั้งเดียวเท่านั้น พรีส เรื่องแค่นี้เอง นายทำให้เราได้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” งัดประโยคเด็ดขึ้นมาพูดเมื่อน้องชายยังไม่มีท่าทีจะอ่อนให้

    “เราทำให้นายได้ทุกเรื่องอยู่แล้ว แต่เรื่องที่นายขอครั้งนี้มันมากเกินไป เราทำให้ไม่ได้หรอก” คนเป็นน้องตัดบท ดึงมือตัวเองคืนแล้วคว้าจานสปาเกตตี้เดินไปนั่งที่โซฟาหน้าโทรทัศน์แทน

    “และอีกอย่างนะ ถ้านายไปไม่ได้ก็ควรจะบอกเขาไปว่านายติดธุระ นัดเจอกันใหม่อีกทีก็ได้”

    “ก็แล้วทำไมจะต้องนัดเจอกันใหม่อีกทีด้วยล่ะ แค่นายไปแทนเรา และถ้านายเห็นว่าเค้าใช้ไม่ได้นายก็บอกเค้าไปเลยว่าไม่ต้องมายุ่งกับเราอีก...ปล่อยให้เราไปเจอผู้ชายแปลกหน้า นายไม่ห่วงเราเหรอ?”

    “รอนายกลับมาจากอุลซานแล้วเราไปเป็นเพื่อนนายก็ได้ ให้ตามดูอยู่ห่างๆก็ได้ รับรองว่าเราจะไม่ปล่อยให้ใครมาทำอะไรนายเด็ดขาด”

    ควีบุนมองคนใจแข็งที่เอาแต่เคี้ยวเส้นสปาเกตตี้ตุ้ยๆพร้อมกับจ้องหน้าจอโทรทัศน์ตาเขม็ง ร่างบางลุกขึ้นยืนอย่างขัดใจ ยิ่งเห็นท่าทีของอีกฝ่ายที่ดูไม่ใส่ใจกับคำขอร้องของเธอก็ยิ่งหงุดหงิด

    “ก็ได้ ในเมื่อนายไม่อยากช่วย เราไม่ขอให้นายช่วยก็ได้!

     

    คิบอมวางจานสปาเกตตี้ลงบนโซฟาหลังจากควีบุนเดินเข้าห้องไปพร้อมกับปิดประตูเสียงดังลั่น

    ทำไมถึงจะไม่อยากช่วย ในเมื่อเหลือกันอยู่สองคนแค่นี้ ถ้าเป็นควีบุนเอ่ยปากแล้วล่ะก้อ ถึงจะให้ลำบากแค่ไหนมีเหรอที่คิบอมจะไม่ช่วย แต่สิ่งที่ควีบุนขอครั้งนี้มันช่างเป็นเรื่องพิลึกพิลั่นจนแค่คิดถึงขนก็ลุกทั้งตัวแล้ว

     

    จะให้คิมคิบอมกลายร่างเป็นคิมควีบุนแล้วไปออกเดทกับผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้น่ะ ใครจะไปทำได้!!

     

    โอเค... เขาเคยถูกจับใส่ชุดผู้หญิงก็จริง แต่นั่นน่ะมันผ่านมาแล้วตั้งเป็นสิบปีนะ!

     

    เด็กหนุ่มนั่งมองโฆษณาในโทรทัศน์ที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ พลางนึกถึงคำพูดของพี่สาวเมื่อห้านาทีก่อนหน้า

     

    ไม่ยากเลยคิบอม นายก็แค่ใส่วิก ใส่เสื้อผ้าของเรา ถ้านายไม่ถนัดไม่ต้องใส่กระโปรงก็ได้ ผู้หญิงใส่สกินนี่มีเยอะแยะ ส่วนเรื่องหน้าอกนายไม่ต้องห่วงเลย เราก็ไม่มีเหมือนกัน เดี๋ยวเราให้ยืมแผ่นแปะ แปะปุ๊บดูมเลย รับรองว่าอึ๋มยิ่งกว่านางแบบแมกซิมอีก

     

    มือขวาที่ยังถือส้อมค้างไว้ยกขึ้นแตะบริเวนหน้าอกตัวเองช้าๆโดยไม่รู้ตัว

     

    ... แปะปุ๊บดูมเลย อึ๋มยิ่งกว่านางแบบแมกซิมอีก ...

     

    อึ๋ม... ??

     

    “เฮ้ยยยยย!!

    คิบอมดึงมือตัวเองออกห่างจากหน้าอก เด็กหนุ่มส่งเสียงคราง ซุกหน้าลงกับหมอนบนตัก... ทำไม่ได้ ยังไงก็ทำไม่ได้! ให้ตายก็ทำไม่ได้เด็ดขาด! ไม่มีทาง! ยังไงเขาก็ต้องคุยกับควีบุนให้รู้เรื่อง ต้องอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าทำไมเขาถึงช่วยไม่ได้ และก็ต้องบอกด้วยว่าสิ่งที่อีกฝ่ายขอมันประหลาดและพิสดารแค่ไหน

    คิบอมยกมือสองข้างขึ้นเรียกกำลังใจให้ตัวเองแล้วเดินตรงไปยังประตูห้องนอนของควีบุน ฝ่ามือกำรอบลูกบิดแล้วออกแรงผลักเข้าไปในห้องสี่เหลี่ยม

    “เราว่านะ... ร้องไห้ทำไมอ่ะ

    จากตั้งใจจะมาเคลียร์กลับกลายเป็นต้องตกใจแทนเมื่อเปิดประตูเข้ามาแล้วพบว่าคนที่อยากคุยด้วยกำลังนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่บนเตียง สองขาก้าวยาวๆไปหาคนเป็นพี่แล้วรีบใช้สองมือเช็ดน้ำตาให้

    “ควีบุนอ่า อย่าร้องนะ เราไม่ชอบให้นายร้องไห้นายก็รู้ อย่าร้องสิ เรื่องแค่นี้เอง”

    “ก็นายไม่ช่วย”

    “ก็มันไร้สาระ ปัญญาอ่อนจะตายไป”

    “นะ นายว่าเรา”

    คิบอมมองคนที่เขยิบห่างออกไปพร้อมปล่อยโฮลั่นห้องแล้วถอนใจเฮือก เด็กหนุ่มเหลือบตาขึ้นมองเพดานห้อง ตัดสินใจว่าจะพูดอะไรต่อดีก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ควีบุนปล่อยโฮออกมาอีกรอบ

    “โอเค! ก็ได้! เราไปให้นายก็ได้!” เอ่ยออกไปแล้วก็แทบจะลงไปดิ้นตายกับพื้นให้รู้แล้วรู้รอด เด็กหนุ่มครางเสียงอ่อยก่อนจะทิ้งตัวลงนอนคว่ำบนเตียง   

    “เย้!! เย้ๆๆๆ คิบอมน่ารักที่สุด สุดเลิฟ มาจุ๊บหน่อยซิ” คนที่เมื่อครู่ยังร้องห่มร้องไห้จะเป็นจะตายกระโดดขึ้นทับตัวน้องชายฝาแฝด สองมือตีรัวลงบนหลังคนด้านล่าง ไม่สนใจเสียงโอดครวญที่แข่งกับเสียงหัวเราะของเจ้าหล่อนแม้แต่น้อย

    “แกล้งร้องไห้เหรอ? นายแกล้งเราอีกแล้วนะควีบุน!” คนที่ฝังหน้าลงกับเตียงนุ่มเด้งตัวขึ้นมาจ้องหน้าพี่สาว แว่นสายตาเอียงกะเท่เร่อยู่ตรงปลายจมูก ผมเผ้าฟูชี้คนละทิศละทางเรียกเสียงหัวเราะใสๆของควีบุนให้ดังยิ่งกว่าเดิม

    “ก็นายมันน่าแกล้งนี่น่า ไหนดูซิ ขอพี่สาวดูน้องสาวคนสวยหน่อยว่าต้องแต่งเพิ่มตรงไหนบ้าง” ฝ่ามือบางทาบลงบนแก้มนิ่ม พลิกซ้ายพลิกขวา ไม่สนใจสีหน้าที่ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ของคนในอุ้งมือแม้แต่น้อย

    “จริงๆเราคัพบีนะ แต่ไหนๆจะสวยทั้งทีแล้ว เราว่านายใส่คัพดีเลยดีกว่า อึ๋มทะลุแว่นไปเลย”

    “คิมควีบุน!

    คิบอมอยากร้องไห้...ไม่! ... จะร้องไห้แล้ว จะร้องไห้แล้วจริงๆด้วย!

    “รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะกลายเป็นนางฟ้าในเรื่องซินเดอเรลล่ายังไงก็ไม่รู้แฮะ คิก”

    “ซินเดอเรลล่าแปลงโฉมไปพบเจ้าชายไม่ใช่เหรอนาย บางที...อาจต้องไปเจอบีสท์แทนก็ได้” คิบอมพูดเสียงอ่อย ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างหมดแรงอีกครั้งหลังจากถูกปล่อยให้เป็นอิสระ ควีบุนมองคนที่นอนหลับตาทำหน้าเหยเกแล้วอมยิ้มมุมปาก    

    “เด็กน้อย บีสท์ที่นายว่าก็เจ้าชายเหมือนกันแหละย่ะ”

     

    *******************

     

    หนังสือเล่มหนาที่ถืออยู่ในมือถูกพลิกไปพลิกมาอย่างชั่งใจ คิบอมจ้องชื่อเรื่องบนหน้าปกแล้วขมวดคิ้วเข้าหากัน เพราะหลังจากสอบถามพนักงานถึงหนังสือเล่มที่อยากได้แล้วพบว่าสำนักพิมพ์ประกาศเลื่อนวางขายไปอีกสองเดือนด้วยเหตุผลด้านการแปล เขาก็แทบหมดกระจิตกระใจจะเดินหาซื้อหนังสือเล่มอื่น และหลังจากเดินวนไปทั่วร้านก็มาจบลงที่งานแปลเล่มที่เขากำลังถืออยู่ในมือตอนนี้ ชั่งใจว่าจะซื้อดีหรือไม่ และหลังจากยืนถืออยู่นานสองนาน สุดท้ายคิบอมก็เลือกจะวางมันกลับลงไปที่เดิม พร้อมกับหาข้ออ้างให้ตัวเองเสร็จสรรพว่าใกล้จะสอบไฟนอลแล้ว ถึงซื้อไปตอนนี้ก็ใช่ว่าจะได้อ่านอยู่ดี

    คิบอมเดินออกจากร้านหนังสือตรงไปยังบันไดเลื่อน ตั้งใจว่าจะลงไปหาซื้อของใช้จำเป็นต่อการออกค่ายให้ควีบุนบริเวณชั้นล่าง และในจังหวะที่บันไดกำลังเลื่อนลงด้านล่างนั้นเอง คนสายตาสั้นก็เหลือบไปเห็นใครบางคนที่ดูคุ้นตาอย่างประหลาด

    ผู้ชายที่เคยเจอหน้าคาเฟ่เมื่อหลายวันก่อนยืนอยู่บนบันไดเลื่อนอีกฝั่ง ข้างกายของเขาคือหญิงสาวหน้าตาน่ารักที่ดูยังไงก็รู้ว่าไม่ใช่แค่เพื่อนธรรมดา คิบอมมองวงแขนเรียวที่สอดคล้องกับวงแขนหนาแล้วเบนสายตากลับมา ในจังหวะที่บันไดเลื่อนสวนกันอย่างพอดีนั้น เขามั่นใจว่าได้ยินเธอเรียกอีกฝ่ายว่า “พี่จงฮยอน”

     

    บางครั้งคนเราก็ชอบทำอะไรประหลาดโดยไม่รู้ตัว

     

    คิบอมกำลังมึน กำลังงงว่าตัวเองเดินมาหยุดอยู่หน้าร้านอาหารญี่ปุ่นนี่ได้ยังไง เขาจำได้ว่าตัวเองลงบันไดเลื่อนเพื่อจะไปซุปเปอร์หาซื้อของให้พี่สาว แล้วเขาก็พบจงฮยอน หลังจากนั้น... เขาก็เดินตามอีกฝ่ายมาโดยไม่รู้ตัว

    “บ้าไปแล้วคิบอม”

    พึมพำกับตัวเองก่อนจะหันหลังกลับ แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะแอบหันกลับไปมองหนุ่มสาวคู่เดิมที่ตอนนี้กำลังยืนคุยกันอย่างสนุกสนานระหว่างรอคิวเข้าร้าน ครั้งแรกที่พบกัน  คิบอมคิดว่าจงฮยอนมีรอยยิ้มอบอุ่น แต่พอวันนี้ถึงได้รู้ว่า นอกจากรอยยิ้มอบอุ่นนั่นแล้ว เสียงหัวเราะของอีกฝ่ายก็ยังน่าฟังมากอีกด้วย เสียแต่ว่า...การได้มาเห็นจงฮยอนหัวเราะอยู่กับผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ชวนให้คิบอมยินดีซักเท่าไหร่

     

     

    “คีย์กูนนนนน” เสียงเรียกของเพื่อนสนิทดังขึ้นตั้งแต่คิบอมยังไม่ทันจะเดินมาถึงโต๊ะม้าหิน มินโฮส่งแผ่นกระดาษขนาดเอสี่สองแผ่นให้เพื่อนซึ่งยื่นมือรับมาถืออย่างงุนงง

    “แนวข้อสอบ ไอ้จินอุนมันไปหามาได้เมื่อเช้านี้เอง แกรีบดูเลย ฉันเอาปากกาเน้นไว้ให้แล้ว”

    “ห๊ะ? แนวข้อสอบ? ของวิชาตอนบ่ายเนี่ยนะ?”

    “ก็เออดิ่ รีบๆเลย”

    คิบอมโยนกระเป๋าเป้ลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่าง แล้วเริ่มต้นทำความเข้าใจกับแผนกระดาษในมือทีละบรรทัด นานๆทีจึงจะเงยหน้าขึ้นมาถามคำถามกับมินโฮหรืออธิบายส่วนที่ตัวเองเข้าใจให้มินโฮฟัง

    วิชาสุดท้ายของเทอมมาถึงในวันศุกร์สุดท้ายของเดือนมิถุนายน คิบอมอ่านเนื้อหาบนกระดาษซ้ำไปซ้ำมา โดยไม่ลืมเทียบข้อความที่ตัวเองอ่านพร้อมกับไล่ดูเนื้อหาในหนังสือไปพร้อมๆกัน เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากกองหนังสือหลังจากมั่นใจว่าทำความเข้าใจกับเนื้อหาได้ถูกต้องครบถ้วนทั้งหมดแล้ว

    “ไปเฮอะว่ะ” มินโฮเอ่ยชวนหลังจากปิดหนังสือและเก็บกระดาษที่กระจายอยู่เต็มโต๊ะเรียบร้อย “สอบเสร็จทีเถ๊อะ พ่อจะเมาปลิ้นข้ามวันข้ามคืน เออ! เกือบลืม ปิดเทอมนี้ไปพูซานกัน เดี๋ยวฉันขอแม่ก่อนแล้วจะบอกแกอีกทีว่าวันไหน”

    “เรื่องกินเรื่องเที่ยวนี่ขอให้บอกนะ รอสอบเสร็จก่อนดีม่ะ”

    “ต้องชวนไว้ก่อนดิ่ จะได้มีแรงจูงใจในการทำข้อสอบเว้ย”

    คิบอมส่ายหน้าอย่างอ่อนใจกับนิสัยเพื่อน บทสนทนาว่าด้วยเรื่องเที่ยวถูกพับเก็บเมื่อเพื่อนอีกกลุ่มเดินเข้ามาสมทบ และเปลี่ยนไปเป็นเนื้อหาที่ใช้จะสอบแทน คิบอมเหลือบสายตามองเพื่อนข้างกาย ทุกคนดูตื่นเต้น ไม่รู้เพราะว่านี่คือการสอบวิชาสุดท้าย หรือเพราะจะได้ยกภาระเรื่องเรียนค้างเอาไว้ แล้วหนีไปใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานให้เต็มที่ ก่อนจะต้องกลับมาเริ่มต้นภาคเรียนใหม่ในอีกสองเดือนข้างหน้ากันแน่ คงมีแต่เขาที่ไม่ได้ยินดีกับการปิดเทอมนี้แม้แต่น้อย แหงล่ะ เพราะเหตุการณ์ที่รอต้อนรับเขาอยู่มันน่าสยองมากกว่าการนั่งทำข้อสอบสามชั่วโมงนี่ซะอีก

     

     

    You can fool all the people some of the time, and some of the people all the time.

    But you cannot fool all the people all the time.

    - Abraham Lincoln -

     

     

    “อย่าลืมที่เราบอกนะ ถ้าไม่หล่อ...กลับ ถ้าดูนิสัยไม่ดี...กลับ ถ้าแต๊ะอั๋ง...กลับ ถ้าขี้โอ่...กลับ!

    ควีบุนสั่งกำชับ น้ำเสียงสั่นเล็กน้อยขณะจ้องหน้าน้องชายฝาแฝด กระเป๋าเสื้อผ้าวางอยู่บนพื้นคอนกรีตข้างตัว ทั้งคู่กำลังรอแท๊กซี่เพื่อจะส่งควีบุนไปมหาลัยซึ่งเป็นสถานที่นัดรวมพลของนักศึกษาคณะสาธารณสุข

    “ย้ำรอบที่สิบแล้วมั้งเนี่ย”

    “ก็เราเป็นห่วงนายนิ่... ขอโทษนะที่ลากนายมาเดือดร้อนด้วย เราควรจะปฏิเสธไอ้นัดเดทบ้านี่ไปตั้งแต่แรก ไม่น่าไปรับปากยัยมินจองเลย”

    คิบอมมองพี่สาวที่ยืนทำหน้าสำนึกผิดแล้วค่อยๆดึงร่างของคนตรงหน้าเข้ามากอดเอาไว้

    “ไม่เห็นต้องขอโทษเลย เราไม่เดือดร้อนอะไรหรอก พอมาคิดดูดีๆแล้วก็น่าจะสนุกด้วยซ้ำไป”

    จะสนุกอย่างที่คิดจริงๆรึเปล่าคิบอมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่หลังจากได้ลองแปลงโฉมดูเมื่อคืนแล้ว เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันยากจนทนทำไม่ได้ อย่างน้อยเสื้อผ้าที่ควีบุนเตรียมไว้ให้ก็ไม่ใช่ชุดลูกไม้กระโปรงพลิ้วๆอย่างที่จินตนาการถึงตอนแรก คิบอมสวมเสื้อยืดคู่กับสกินนี่ ก่อนจะคลุมทับด้วยโค๊ทตัวใหญ่อีกชั้น รองเท้าก็เป็นร้องเท้าผ้าใบสีสดใสแบบที่วัยรุ่นทั่วไปนิยม อาจจะลำบากนิดหน่อยตรงเรื่องใส่วิก แต่ควีบุนก็เตรียมหมวกไว้ให้แล้ว สวมทับวิกไว้อีกชั้น ป้องกันคิบอมเผลอปัดไปปัดมาจนมันเลื่อนหลุด

    “ต้องขอโทษ ยังไงก็ต้องขอโทษ ขอโทษนะ”

    “อะไรเนี่ย ร้องไห้หรือนาย? แกล้งอำเราอีกรึเปล่า บอกก่อนนะว่ารอบนี้เราไม่หลงกลแน่ๆ” คิบอมเย้าพลางดันตัวหญิงสาวในอ้อมกอดออก มองคนที่ยกหลังมือถูจมูกแล้วอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้เหมือนที่ชอบทำเป็นประจำ

    “เราจะช่วยภาวนา”

    “หืมห์?”

    “ขอให้หมอนั่นทั้งอ้วนทั้งน่าเกลียด ปากเหม็นกลิ่นตัวแรงแถมสิวเขรอะ นายจะได้หาข้ออ้างชิ่งหนีตั้งแต่ไปถึง”

    ฟังคำพูดของพี่สาวแล้วคิบอมก็แทบจะหัวเราะลั่น

    “พอดีล่ะ กว่าจะหาทางชิ่งได้ สลบตั้งแต่ยังไม่ทันอ้าปากพูด”

    ควีบุนสูดน้ำมูกพร้อมกับหัวเราะออกมา หญิงสาวดึงตัวน้องชายเข้ามากอดอีกครั้ง มือบางตบลงลงบนหลังของคิบอม ก่อนจะผละออกแล้วก้มลงหยิบกระเป๋าเดินทางของตัวเองขึ้นมา

    “แล้วเราจะโทรหา นายมีอะไรโทรหาเราได้ตลอดนะ ถ้าเราไม่รับก็ส่งข้อความมา ไม่รู้เหมือนกันว่าทางนู้นจะเป็นยังไงบ้าง... นายต้องดูแลตัวเองดีๆนะ”

    “นายก็ด้วย แค่สองเดือนเท่านั้นแหละ แป๊บเดียวเดี๋ยวก็กลับ”

    ทั้งคู่สบตากันนิ่ง มีถ้อยคำอีกมากมายที่อยากเอ่ยบอก แต่สุดท้ายก็ทำเพียงแค่ส่งยิ้มให้กำลังใจอีกฝ่าย ไม่ใช่ว่าไม่เคยห่างกัน เพียงแต่ไม่เคยต้องห่างกันนานเท่านี้มาก่อน คิบอมโบกมือลาพี่สาวขณะยืนมองอีกฝ่ายขึ้นรถแท็กซี่ไป

    เด็กหนุ่มยืนรอจนกระทั่งรถแท็กซี่สีขาวเลี้ยวเข้าสู่ถนนใหญ่แล้วจึงหันหลังกลับเดินเข้าคอนโดฯ

    ถามว่ากังวลมั้ย ตอบเลยว่ามาก แต่ถึงจะกังวลมากแค่ไหนก็ยังอยากให้เวลาหมุนไปไวๆ เพื่อที่จะได้เริ่ม และจะได้จบอย่างเร็วที่สุด

     

     

    ตามที่ควีบุนบอก สถานที่นัดเดทอยู่แถวๆห้างสรรพสินค้าโคเอ็กซ์มอลล์ คิบอมพยายามตั้งสติตัวเองให้มั่น ทั้งที่คิดว่าการแปลงโฉมบ้าๆบอๆนี่ไม่ใช่เรื่องยากจนทนทำไม่ได้ หากแต่เอาเข้าจริงแล้ว การต้องมาแต่งตัวเป็นผู้หญิงแบบนี้มันไม่ได้ง่ายเลยแม้แต่นิดเดียว เด็กหนุ่มสะดุ้งทุกครั้งที่ส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกายไปสัมผัสถูกคนอื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ มีครั้งหนึ่งที่รู้สึกว่าตัวเองถูกจ้องมอง ครั้นพอหันไปมองหาต้นกำเนิดรังสีแปลกๆขนแขนก็พากันลุกพรึบ เมื่อพบว่าเจ้าของรังสีชวนผวาคือพนักงานบริษัทรุ่นลุงที่กำลังส่งยิ้มแบบมีเลศนัยมาให้อย่างเปิดเผย

     

    เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นหลังจากคิบอมเดินมาถึงหน้าห้างสรรพสินค้าพอดี ชื่อที่โชว์หราอยู่บนหน้าจอทำเอาเด็กหนุ่มแทบจะกดรับไม่ทัน

    “นาย! น่ากลัวมาก! น่ากลัวสุดๆเลย” โอดครวญทันที มือขวายกขึ้นขยับแว่นตาด้วยความเคยชินก่อนจะนึกได้ว่าเขาถอดเก็บมันไว้ที่บ้านและเปลี่ยนมาใส่คอนแทคเลนส์แทน

    คิบอมส่งเสียงครางไปตามสาย และเริ่มต้นเล่าให้อีกฝ่ายฟังถึงความน่ากลัวสุดสยองที่ตัวเองเพิ่งเผชิญมา ควีบุนหัวเราะเสียงใสหลังจากฟังเขาเล่าจบ ปลายสายพูดให้กำลังใจยาวยืด พร้อมทั้งกำชับให้เขาดูแลตัวเองดีๆ และบอกว่าจะติดต่อมาใหม่ หลังจากนั้นก็กดวางสายไป

    เด็กหนุ่มที่กลายร่างเป็นเด็กสาวยัดเครื่องมือสื่อสารกลับเข้าไปในกระเป๋าสะพายใบเล็ก สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อเรียกความเชื่อมั่นของตัวเองกลับคืนมา ดวงตาเรียวเริ่มต้นมองหาเป้าหมายที่คาดว่าจะเป็นคู่เดทของเขาในวันนี้ ควีบุนไม่มีรายละเอียดของอีกฝ่ายมากนักเนื่องจากเจ้าตัวก็ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวเองไปเช่นกัน

    “เร็วๆซี มาเร็วๆ” พึมพำขณะไล่สายตาไปยังกลุ่มคนรอบๆตัว คิบอมยกสองแขนกอดอก พลางหันหน้าเข้าหาตัวตึก และหลังจากยืนอยู่ท่านั้นราวๆห้านาที เสียงเอ่ยทักอย่างไม่มั่นใจนักก็ดังมาจากด้านหลัง

     

    “เอ่อ... คุณ....”

     

    เด็กหนุ่มตัวแข็งทื่อ รู้สึกได้ถึงฝ่ามือเย็นเฉียบของตัวเอง ... เป็นไงเป็นกัน ...  คิดแค่นั้นแล้วค่อยๆหันหลังกลับมา คนตัวบางไล่สายตาจากปลายเท้าของอีกฝ่ายขึ้นมาเรื่อยๆจนกระทั่งสบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลเข้ม

    ราวกับอวัยวะบางอย่างที่อยู่ลึกลงไปในอกด้านซ้ายกำลังกระแทกกระทั้นผิวเนื้อเพื่อต้องการจะกระโดดออกมา ดวงตาพร่าเลือนไปชั่วขณะ เช่นเดียวกับสมองที่จู่ๆก็เบลอเสียจนลืมไปแล้วว่าตัวเองมาทำอะไรอยู่ตรงนี้

     

    คิบอมยิ้มให้อีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว เช่นเดียวกัน...กับจงฮยอนที่กำลังส่งยิ้มคืนให้หญิงสาวผมสีน้ำตาบลอนด์ตรงหน้า

     

     

    The truth is I gave my heart away a long time ago. My whole heart and I never really got it back

    - Sweet Home Alablama –

     

     

     

    คิบอมไม่รู้ตัวจริงๆว่าเขาเดินเข้ามาในห้างสรรพสินค้านี้ตั้งแต่ตอนไหน และตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ในมือเขาถือดอกคาร์เนชั่นเอาไว้ จงฮยอนเป็นคนให้เขาเหรอ? ให้ตอนไหนล่ะ? และถ้าไม่ใช่จงฮยอนจะเป็นใครได้อีก ในเมื่อเขาไม่ได้ซื้อดอกไม้ให้ตัวเองซักหน่อย

    “หืมห์?” เผลอส่งเสียงออกมาเมื่อจู่ๆก็ถูกใครบางคนแตะที่ข้อศอก ก่อนจะพบว่าเจ้าของสัมผัสเมื่อครู่มาจากคนข้างกายที่กำลังยืนยิ้มเจื่อนอยู่ในตอนนี้

    “ไม่สบายรึเปล่า พี่เรียกเราตั้งหลายทีแล้ว”

    “เรียก? อ๋อ... กำลังคิดอะไรเพลินๆ...ค่ะ” คิบอมต่อวลีจบประโยคอย่างยากเย็น

    “หรือว่าเรื่องที่พี่เล่ามันไม่สนุก?”

    “มะ ไม่ใช่นะ ฉันแค่...” คิบอมยกมือขึ้นลูบหางคิ้วตัวเอง แล้วจึงหันมาสบตาอีกฝ่าย จงฮยอนยังคงทำสีเป็นหน้ากังวลซึ่งคิบอมพอจะเข้าใจความคิดของคนตรงหน้าได้

    “ฉันขอตัวไปห้องน้ำแป๊บนึง พี่รอฉันอยู่ตรงนี้นะ” พูดจบก็หันตัวกลับแล้วรีบเดินออกมาจากตรงนั้นทันที

     

    “ขอให้หมอนั่นทั้งอ้วนทั้งน่าเกลียด ปากเหม็นกลิ่นตัวแรงแถมสิวเขรอะ นายจะได้หาข้ออ้างชิ่งหนีตั้งแต่ไปถึง”

     

    คิบอมอยากรู้จริงๆว่าควีบุนทำบุญด้วยอะไร ทำไมคำภาวนาของเจ้าหล่อนถึงได้ออกมาตาลปัตร คนละทิศละทางแบบนี้!

    แผ่นหลังบางพิงทาบกับผนังบริเวณหัวมุมลับตาคน โทรศัพท์เครื่องเล็กถูกหยิบขึ้นมาจากกระเป๋าสะพายข้างสีหวาน ปลายนิ้วจดจ่ออยู่เหนือชื่อของคนที่คิบอมคิดถึง ทันใดนั้นภาพของจงฮยอนยามส่งยิ้มให้เขาเมื่อไม่กี่สิบนาทีก่อนหน้าก็โผล่แว่บเข้ามา เด็กหนุ่มยืนมองชื่อบนหน้าจออย่างลังเล จนในที่สุดก็ตัดสินใจเก็บมันกลับลงไปในกระเป๋าตามเดิม

    แค่วันเดียว... คงจะไม่เป็นอะไร ก็แค่วันเดียวเท่านั้น ยังไงซะถึงโทรหาควีบุน อีกฝ่ายก็ต้องบอกให้เขาทนเดทกับจงฮยอนจนหมดวันอยู่ดี เพราะฉะนั้น... จะเป็นอะไรไป ก็แค่วันนี้วันเดียวเท่านั้นเอง

     

    คิบอมเดินกลับไปหาจงฮยอน ริมฝีปากคลี่ยิ้มเมื่อคนที่ยืนรออยู่ในตอนแรกหันกลับมาพร้อมกับส่งยิ้มให้

     

    *******************

     

     “อยู่มหาลัยสตรีอีฮวาเหรอ? บังเอิญจัง พี่ก็มีน้องสาวเรียนอยู่ที่นั่น ควีบุนเรียนคณะอะไรล่ะ?”

    “คณะสา...”

    บทสนทนาถูกขัดจังหวะเมื่อพนักงานชายเดินนำอาหารมาเสิร์ฟพอดี

    “สปาเกตตี้สไปซี่แฮมครับ”

    คิบอมก้มมองจานสปาเกตตี้ของตัวเองแล้วเงยหน้ามองจานรีซอตโตของจงฮยอน

    “เคยลองทานมั้ย?” เหมือนจะรู้ความคิดของอีกฝ่ายจนอดถามออกมาไม่ได้

    “ฉันว่ามันเหมือนข้าวผัด จะสั่งทีไรเสียดายตังค์ทุกที”

    จงฮยอนก้มมองเมนูของตัวเองแล้วเงยหน้ามองคิบอม ก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างชอบใจกับคำตอบ

    “จริงด้วยสิ เหมือนจริงๆด้วย”

    ทั้งที่ไม่เห็นจะมีอะไรน่าขำ แต่คิบอมก็ยังหัวเราะตามจงฮยอน

    ตลอดมื้ออาหารกลางวัน จงฮยอนชวนคิบอมคุยเรื่องทั่วๆไป รวมถึงถามเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว(ของควีบุน)อีกนิดหน่อย จำพวก... ชอบทานอะไร ชอบฟังเพลงแนวไหน งานอดิเรกเป็นยังไง และในเมื่อคิบอมมั่นใจว่าพ้นจากวันนี้ไปคงจะไม่มีโอกาสได้พบกับจงฮยอนในร่างของควีบุนอีกแล้ว จะเป็นอะไรไปหากคำตอบที่เขาตอบจงฮยอนไปจะเป็นข้อมูลของตัวเขาเอง แหงล่ะ มันไม่ถูกต้องหรอก แต่จะว่าไป เขาว่ามันก็ผิดมาตั้งแต่เริ่มต้นนั่นแหละ

     

    “หนังที่ชอบเหรอ? อืมม...” คิบอมทวนคำถามของจงฮยอนขณะเดินออกจากร้านอาหาร “The Intouchables?”

    “หืมม์?”

    “หนังฝรั่งเศสน่ะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับคนดำที่ถูกจ้างให้ไปดูแลคนป่วยผิวขาวที่เป็นอัมพาตทั้งตัว ฉันเห็นแผ่นมันกำลังลดราคาก็เลยลองซื้อไปดู ที่ไหนได้ สนุกอย่างงี้เลย” ยืนยันคำพูดตัวเองพร้อมกับยกนิ้วโป้งสองข้างขึ้นมา ริมฝีปากคลี่ยิ้มก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นร้านหนังสือใกล้ๆ

    “พี่ชอบเข้าร้านหนังสือมั้ย?”

    จงฮยอนละสายตาจากรอยยิ้มชวนมองไปยังร้านหนังสือขนาดใหญ่แล้วพยักหน้า

    “ไม่ถึงกับชอบ แต่ถ้ามีเพื่อนชวนเข้า...” เจ้าของคำตอบไหวไหล่ก่อนจะผายมือไปยังทางเข้าร้าน “ก็ไม่มีปัญหา เชิญครับ”

    ทั้งคู่พากันเดินเข้าร้านหนังสือ คิบอมตรงรี่ไปยังชั้นหนังสือวรรณกรรมก่อนจะพบว่าเล่มที่ตัวเองตามหาตั้งแต่ก่อนสอบไฟนอลยังไม่วางชั้นเช่นเดิม สุดท้ายเลยตัดสินใจซื้อนิยายฆาตกรรมที่จงฮยอนแนะนำติดมือมาหนึ่งเล่ม (จงฮยอน: เพื่อนพี่อ่านอยู่ เห็นมันบอกว่าสนุกดี)

    เป้าหมายถัดมาคือร้านขายแผ่นซีดีที่จงฮยอนชอบ คิบอมยืนมองคู่เดทที่ดูราวกับจะหลุดไปอยู่อีกโลก ความสนใจทั้งหมดดูเหมือนจะตกไปอยู่ที่แผ่นซีดีนับพันแผ่นตรงหน้า ไม่รู้เขายืนมองอีกฝ่ายอยู่นานแค่ไหน รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่จงฮยอนเลือกซื้อแผ่นซีดีเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินกลับมาหาเขา คิบอมฟังจงฮยอนพูดถึงศิลปินที่ชอบ แนวเพลงที่ชอบ รวมถึงเครื่องดนตรีที่ชอบ ฟังไปเรื่อยๆโดยไม่รู้สึกเบื่อหรือรำคาญแม้แต่น้อย เสียงของจงฮยอนน่าฟังพอๆกับเรื่องที่เจ้าตัวเล่า บางทีจงฮยอนก็พูดเรื่องตลกขึ้นมา บางทีก็จะเปลี่ยนไปพูดเรื่องวิชาการ หรือบางทีก็จะพูดเรื่องเกี่ยวกับตัวของจงฮยอนเอง

    คิบอมไม่ชอบพูด คิบอมชอบฟัง และการที่ได้ฟังจงฮยอนพูดนั้นก็ทำให้คิบอมสนุกมาก น่าเสียดายที่พอวันนี้จบลง เขาคงจะไม่ได้ฟังเรื่องสนุกๆจากจงฮยอนอีก...

     

     

    “พี่ส่งฉันแค่นี้ก็พอ เดินไปอีกนิดก็ถึงคอนโดฯฉันแล้ว” คิบอมพูดขึ้น สองมือกุมถุงหนังสือของตัวเองเอาไว้

    ทั้งคู่กำลังยืนอยู่ข้างทางขึ้นลงสถานีรถไฟใต้ดินซึ่งคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ฟ้ามืดได้ซักพักแล้ว แต่แสงไฟจากท้องถนนและร้านรวงใกล้ๆก็ทำให้ตลอดเส้นทางยังดูคึกคักไม่ต่างจากช่วงเย็น

    “วันนี้ฉันสนุกมาก ตอนแรกก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าจะไปดีรึเปล่า แต่ว่า...” คิบอมสบตาและส่งยิ้มให้จงฮยอน “ดีจังที่ตัดสินใจไป”

     

    ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่วันเดียวก็ตาม

     

    ความรู้สึกหนังอึ้งท่วมท้นที่อกของคิบอมเมื่อคิดว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้จะกลายเป็นอดีตทันทีที่เขาสองคนหันหลังให้กันในไม่อีกกี่นาทีข้างหน้า ถึงแม้จะเป็นควีบุน แต่เขาก็คือคิบอมไม่ใช่เหรอ ถ้าหากวันพรุ่งนี้หรือวันไหนเขาได้พบจงฮยอนอีกครั้ง เขาจะสามารถบอกจงฮยอนได้รึเปล่าว่าเขาคือเขา

    แน่ล่ะว่าไม่ได้ จะให้เขาที่เป็นผู้ชายเดินเข้าไปหาจงฮยอน ถามจงฮยอนว่าจำเขาได้ไหม คนที่เคยแต่งตัวเป็นผู้หญิงแล้วไปนัดเดทด้วยกัน... แค่คิดก็ยังรู้สึกว่ามันไร้สาระเต็มทน

    “ควีบุน...”

    “หืมม์?” คนที่ยืนก้มหน้าจมอยู่ในความคิดตัวเองเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงทุ้ม จงฮยอนกำลังทำหน้าเหมือนเมื่อช่วงสาย เมื่อตอนที่เขาทั้งคู่เดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้าแล้วคิบอมยังนึกไม่ออกว่าควรจะทำยังไงต่อไป

    “พี่จงฮยอน ช่วยอะไรอย่างนึงได้มั้ย เรียกชื่อฉัน...”

    “เอ๋?”

    “คีย์...ชื่อเล่นน่ะ เป็นชื่อที่เพื่อนๆชอบเรียก”

    “คีย์เหรอ?... อ่า มาจากควีบุน? แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่เมื่อเช้าล่ะ ปล่อยให้พี่เรียกควีบุนๆอยู่ได้” จงฮยอนยิ้มให้คนที่กลับไปยืนก้มหน้าตามเดิม

    “วันนี้พี่ก็สนุกมากเหมือนกัน ขอบคุณนะที่ตัดสินใจไป ถ้าควีบุน... พี่หมายถึง ถ้าคีย์คิดว่ามันสนุก พรุ่งนี้เราไปเที่ยวด้วยกันอีกมั้ยล่ะ?”

    คิบอมเงยหน้ามองจงฮยอนทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ คนตรงหน้ายังคงส่งยิ้มให้เขา เป็นรอยยิ้มจริงใจ ไม่ได้มีท่าทีจะล้อเขาเล่นแม้แต่น้อย

    “พรุ่งนี้?” เอ่ยถามเสียงเบาเสียจนอีกฝ่ายแทบไม่ได้ยิน

    “พรุ่งนี้ วันถัดไป วันของวันถัดไปด้วย” จงฮยอนย้ำ

    “.....”

    “พรุ่งนี้พี่จะมารออยู่ตรงนี้ตอนสิบเอ็ดโมง ถ้าคีย์ว่าง เราจะไปหอศิลป์ เดินดูแกลลอรี่แบบที่คีย์ชอบ”

    คิบอมสบตาจงฮยอนนิ่ง ความรู้สึกหนักอึ้งที่ถ่วงหัวใจอยู่เมื่อครู่ดูจะเทียบกับความรู้สึกในตอนนี้ไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว ริมฝีปากก็ยังรู้สึกหนักเกินกว่าจะฝืนยิ้มให้อีกฝ่ายได้ เขาทำได้แค่ยืนมองจงฮยอนเดินกลับไปยังทางขึ้นลงสถานี ไม่ได้รับปากหรือเอ่ยปฏิเสธ ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้แต่แรกแล้วว่าคำตอบคืออะไร

    ครั้งแรกยังพออธิบายได้ว่าคือเหตุจำเป็น แต่ถ้าหากมีครั้งที่สองหรือสามตามมาคงไม่พ้นต้องกลายเป็นคนหลอกลวง และสุดท้ายก็จะต้องถูกเกลียดอย่างแน่นอน

     

     

    เสียงโทรศัพท์มือถือซึ่งตั้งเพลงไว้เฉพาะดังต่อเนื่องและสั่นครืนอยู่บนโต๊ะหัวเตียง ปลุกคนที่เพิ่งจะข่มตาหลับก่อนฟ้าสางไม่กี่ชั่วโมงให้ถีบตัวเองขึ้นมากดรับ กรอกเสียงไปตามคลื่นสัญญาณอย่างงัวเงีย

    “นาย เราหลับอยู่” พูดพร้อมกับทิ้งตัวลงไปนอนตามเดิม

    “นอนอะไรของนาย นี่มันจะเที่ยงแล้วนะ”

    “อืมม เราง่วง...... ห๊ะ?! นายว่ากี่โมงแล้วนะ?” คนที่ตั้งใจจะพูดไปหลับไปลืมตาขึ้นมองนาฬิกาบนผนังฝั่งตรงข้าม ประโยคที่สร้างความปั่นป่วนให้คิบอมทั้งคืนจนต้องอาศัยแกะทั้งฟาร์มมาช่วยให้หลับดังขึ้นในหัวอีกครั้ง

     

    พรุ่งนี้พี่จะมารออยู่ตรงนี้ตอนสิบเอ็ดโมง

     

    “เมื่อวานเรายุ่งมาก พอมาถึงอาจารย์ก็เรียกประชุม เสร็จแล้วก็ต้องออกไปทำความรู้จักและแนะนำตัวเองกับคนในชุมชน กว่าจะกลับถึงที่พักก็มืดแล้ว ไหนจะต้องเก็บของอีก กว่าจะได้กินข้าว กว่าจะรอคิวอาบน้ำ ยัยบ้าจงฮีก็ยังจะเรียกประชุมต่ออีกรอบ เราเลยลืมเรื่องของนายไปเลย ตื่นมาตอนเช้าว่าจะโทรหานาย แต่เห็นว่ามันยังเช้าอยู่คิดว่านายคงยังไม่ตื่น ตกลงเมื่อวานเป็นยังไงบ้าง”

     ควีบุนส่งเสียงตามสายมายาวยืด ในขณะที่คนปลายสายกลับไม่ได้สนใจถ้อยคำนั่นแม้แต่น้อย คิบอมเอาแต่จ้องมองเข็มนาฬิกาบนหน้าปัด ภาพเหตุการณ์เมื่อวานฉายวนอยู่ในหัว ตั้งแต่วินาทีแรกที่หันไปพบจงฮยอน รวมถึงอีกๆหลายวินาที หลายๆนาที และหลายๆชั่วโมงต่อจากนั้น

    เด็กหนุ่มกลับมาสนใจโทรศัพท์ในมืออีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงตะโกนเรียกชื่อเขา

    “ก็ไม่เป็นยังไง ไปกินข้าวกัน และก็เดินเล่นอีกนิดหน่อย” สายตายังคงจ้องนิ่งอยู่ที่นาฬิกา

     

    อีกยี่สิบนาทีจะเที่ยง...

     

    “แล้วหมอนั่นเป็นยังไงบ้าง เทคแคร์ดีรึเปล่า? ทำอะไรรุ่มร่ามมั้ย?”

    “เปล่า... เราหมายถึงเขาเทคแคร์ดี และก็ไม่ได้ทำอะไรรุ่มร่าม”

    “แต่นายบอกปฏิเสธไปแล้วใช่มั้ยล่ะ? ดีแล้ว ผู้ชายดีๆที่ไหนจะไปนัดเดทสุ่มสี่สุ่มห้ากันบ้าง”

    “แล้วที่นายล่ะ ไปตกลงนัดเดทกับเขาได้ยังไง”

    “ความผิดเราเมื่อไหร่กัน นู่นนน โทษยัยมินจองนู่นเลย มีอย่างที่ไหนแอบไปลงชื่อแทนเรา เฮ่อะ! คนน่ารักๆแบบเราไม่คบใครมั่วซั่วหรอก!

     

    อีกสิบห้านาทีจะเที่ยง...

     

    พรุ่งนี้พี่จะมารออยู่ตรงนี้ตอนสิบเอ็ดโมง

     

    คิบอมไม่อยากเป็นคนหลอกลวง แต่มันก็ยากเหลือเกินที่ต้องเลือกจะเป็นคนดี

     

    “ควีบุน”

    “ว่าไง?”

    “แค่นี้ก่อนนะ เราต้องรีบออกไปทำธุระ... นัดมินโฮเอาไว้ แล้วเราจะโทรหาทีหลังนะ”

    “อ่าวเหรอ อื้อ เราก็จะไปทานข้าวแล้วเหมือนกัน งั้นไว้ค่อยคุยกันนะ”

    “อืม ดูแลตัวเองล่ะ”

    คิบอมวางโทรศัพท์มือถือแล้วรีบลุกเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว ลึกๆแล้วเขาก็ตอบตัวเองไม่ได้เช่นกันว่าอยากให้จงฮยอนรอเขาอยู่หรือไม่ บางทีอาจจะดีกว่าถ้าหากไปถึงหน้าสถานีแล้วพบว่าจงฮยอนถอดใจกลับบ้านไปแล้ว แบบนั้นเขาก็ยังมีข้ออ้างให้แก้ตัวเองว่าเขามาแล้วนะ แต่เป็นจงฮยอนเองต่างหากที่ขี้เกียจรอเขา หากเป็นแบบนั้นจริง เขาคงไม่มีอะไรให้ต้องเสียใจมาก

     

    เพียงแต่ในโลกของความจริงมันมักจะสวนทางกับความฝันเสมอ

     

    คิบอมปล่อยมือที่ใช้จับวิกผมวิ่งมาตลอดทางลงข้างตัว เด็กหนุ่มหายใจหอบจนเจ็บไปทั้งคอ ทว่าที่หัวใจกลับเต้นแรงและริมฝีปากกลับยิ้มกว้างเมื่อเห็นใครบางคนยังคงยืนกอดอก สวมหูฟัง เอนตัวพิงกำแพงรอเขาอยู่

     

    “พี่จงฮยอน” เรียกชื่ออีกฝ่ายพร้อมกับเดินเข้าไปหยุดยืนตรงหน้า

    คนแก่กว่าถอดหูฟังออก ขณะที่ริมฝีปากคลี่ยิ้ม

    “ทำไมถึงยังรอ...”

    คนถูกถามไหวไหล่... ดูเหมือนจงฮยอนจะชอบทำแบบนี้จริงๆ

    “เรื่องปกติไม่ใช่เหรอ ผู้หญิงก็แต่งตัวนานแบบนี้อยู่แล้ว”

    อีกฝ่ายดูไม่ทุกข์ไม่ร้องเลยซักนิดที่ต้องยืนรอเขาเป็นชั่วโมง ฝ่ามือหนายื่นมาตรงหน้า และคิบอมก็ไม่ลังเลยซักนิดที่จะส่งมือตัวเองให้

     

    *******************

     

     “บอกความจริงมา แกหายไปไหน ทำอะไร ทำไมฉันไม่เคยเจอแกเลยตั้งแต่สอบเสร็จ”

    คิบอมเพ่งสายตามองเพื่อนสนิทที่กำลังนั่งจังก้าเป็นยักษ์ปักหลั่นแล้วตั้งท่าจะคว้าแก้วน้ำตรงหน้าขยับเข้ามาใกล้ตัว แต่ก็ถูกมินโฮมือไวคว้าไปซะก่อน

    “บอกความจริงฉันมา ยังไงวันนี้ฉันก็ต้องรู้ให้ได้”

    “ฉันก็อยู่ห้องนั่นแหละ ขี้เกียจออกไปไหน มันร้อน” ตอบพร้อมคว้าแก้วน้ำคืนมาจนได้ มือซ้ายดันคานแว่นที่ตกลงมาอยู่ปลายจมูกกลับขึ้นไปตามเดิม

    “อยู่แต่ในห้อง? ตลอดหนึ่งเดือนเนี่ยนะ?”

    “อา.. ฮะ” รับคำไม่เต็มเสียง

    “คีย์กุน”

    “ฉัน... ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีหรอกน่า”

    “แปลว่าแอบไปทำอะไรอยู่... บอกมาเดี๋ยวนี้เลย”

    “ไม่มีอะไรหรอกน่า ติดธุระนิดหน่อย เอาไว้จัดการเรียบร้อยแล้วจะเล่าให้ฟัง... พี่จงฮยอน” คิบอมเงยหน้าขึ้นมา ทว่าสายตากลับมองเลยไปด้านหลังของมินโฮแทน ชื่อของคนที่เพิ่งเปิดจะประตูเข้าร้านมากลืนหายลงไปในคอ

    มินโฮมองท่าทางเหมือนถูกผีหลอกตอนกลางวันของเพื่อนแล้วหันตัวไปมองด้านหลัง ริมฝีปากคลี่ยิ้มพร้อมกับโบกมือให้ชายหนุ่มสองคนที่กำลังยืนคุยกับพนักงานตรงบริเวณทางเข้าร้าน

    “พี่อนยู พี่จงฮยอน ทางนี้พี่!

    คิบอมหลับตาแน่น ภาวนาให้ภาพของจงฮยอนที่เขาเห็นอยู่ตอนนี้ป็นเพียงอาการทางจิตที่คิดไปเอง เขาอาจจะคิดถึงจงฮยอนมากเกินไป แต่ครั้นลืมตาขึ้นมา ภาพที่ว่ากลับชัดเจนยิ่งกว่าเดิม แถมยังชัดขึ้นเรื่อยๆ

    “โทษทีว่ะ กะเวลาผิดไปนิดหน่อย รอนานป่ะ”

    อนยูพูดพลางตบบ่ามินโฮ ชายหนุ่มหันมายิ้มให้คิบอมแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ว่างข้างๆรุ่นน้องตัวสูง

     

    “มีไรป่ะพี่” มินโฮเอ่ยถามอย่างสงสัยเมื่อคนที่เดินตามอนยูมาถึงโต๊ะกลับไม่ยอมนั่ง เอาแต่ยืนมองเพื่อนเขานิ่ง สีหน้าของอีกฝ่ายดูทั้งประหลาดใจ งง และสับสนปนๆกันไป ในขณะที่คนโดนจ้องอย่างเพื่อนเขายิ่งแล้วใหญ่ คิบอมก้มหน้าเสียจนคางแทบชิดอก

    “เปล่า” จงฮยอนตอบแล้วเดินไปนั่งลงข้างคิบอม หากแต่ยังไม่วายเหลือมองคนข้างๆเป็นระยะ

     

    “พี่อนยู พี่จงฮยอน นี่เพื่อนผมเอง คนที่จะแนะนำให้รู้จักกันตั้งหลายรอบแล้วล่มทุกรอบนั่นล่ะ ชื่อคี..”

    “คิบอม!!

    จู่ๆคนที่เอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาก็โผล่งชื่อตัวเองออกมาเสียงดังลั่นจนโต๊ะข้างๆพากันหันมามอง คิบอมจ้องมินโฮนิ่งแล้วค่อยๆหันไปยิ้มให้อนยู รวมถึงจงฮยอน(ซึ่งต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่ง)

    “ผมชื่อคิบอมครับ คิมคิบอม เป็นเพื่อนสนิทของมินโฮ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” เอ่ยแนะนำตัวพร้อมกับก้มศีรษะลงตามมารยาท

    “ส่วนนี่พี่อนยู รุ่นพี่โรงเรียนเก่าฉัน แล้วนั่นพี่จงฮยอน เป็นเพื่อนสนิทของพี่อนยู และตอนนี้ก็สนิทกับฉันด้วย”

    “ขอโทษนะ นายรู้จักผู้หญิงที่ชื่อควีบุนรึเปล่า?” จงฮยอนที่ไม่ได้สนใจการแนะนำตัวหันมาถามคิบอม

    “.....”

    “คือ ขอโทษนะ แต่เขาเหมือนนายมาก มากจนน่าตกใจ... เป็นแฝดกันเหรอ”

    “เอ่อ...” คิบอมเหลือสายตามองเพื่อนซึ่งนั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะ มินโฮกำลังเลิกคิ้วสูงส่งมาให้เขา

    “ครับ ควีบุนเป็นพี่สาวฝาแฝดของผมเอง”

    “อ่า.. ว่าแล้วเชียว ไม่เห็นคีย์เคยบอกว่ามีแฝดมาก่อน เกือบช๊อคแล้วมั้ยล่ะ” จงฮยอนหัวเราะออกมาหลังจากพูดจบ

    “คีย์?” มินโฮทวนชื่อที่เพิ่งวิ่งผ่านกลางวงสนทนาอย่างงุนงง

    “ฝาแฝดของคิบอมไง เป็นผู้หญิง แต่หน้างี้เหมือนกันเปี๊ยบ”

    “ฝาแฝดของคิบอม... ชื่อคีย์?” มินโฮถามจงฮยอนแล้วหันมามองเพื่อนที่เริ่มหน้าซีด

    “อ๋อ... เด็กผู้หญิงที่แกจีบอยู่ตอนนี้ใช่ม่ะ” อนยูเงยหน้าจากเมนูอาหารเอ่ยเสียงล้อเลียน ร้อนถึงคนถูกพาดพิงต้องรีบส่งเสียงเฮ้ยออกมาห้ามเอาไว้

    “กลัวไรวะ น้องชายเขาก็อยู่นั่งอยู่ด้วย ฝากเนื้อฝากตัวเลยดิ่ จริงจังไม่ใช่ไง?”

    “เพิ่งเริ่มต้นคุยกันเอง”

    “เหรอ ได้ข่าวไปรับไปส่งมาทั้งเดือน”

    “ก็ฉันเป็นคนชวนเขาไปเที่ยวก็ต้องไปรับ มันก็ถูกแล้ว”

    “ก็เลยต้องไปส่งด้วย ซื้อดอกไม้ให้ด้วย”

    “ก็...บางวันของมันเยอะ เลยช่วยถือไปส่ง” จงฮยอนตอบพลางยกมือขึ้นลูบท้ายทอยตัวเองไปมา

    “เดี๋ยวนะพี่ คือ พี่จงฮยอน...กำลังจีบฝาแฝดของคีย์..ของคีบอม ฝาแฝดของคีบอมที่พี่จงฮยอนกำลังจีบอยู่ตอนนี้...ชื่อคีย์?”

    มินโฮเอนหลังพิงพนักเก้าอี้เมื่อจงฮยอนพยักหน้าให้ คนตัวสูงจ้องคิบอมนิ่ง “ไม่เห็นรู้มาก่อนว่าแฝดของคิบอมชื่อคีย์ ปกติเห็นเรียกแต่ควีบุน”  

    คนถูกจ้องเหลือบสายตาขึ้นมองเพื่อน สีหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้ออกมาเต็มทน

     

    “ฉันว่าเราสั่งอาหารเลยเฮอะ หิวแล้วเนี่ย” อนยูพูดก่อนจะหันไปเรียกพนักงานซึ่งยืนรออยู่ห่างๆ “พิซซ่ามั้ย? ขอพิซซ่าถาดหนึ่งครับ หน้าซีฟู๊ด พวกนายเอาอะไร”

    “ฉันขอซุปเพิ่มด้วย เอาเป็นซุปเห็ดนะครับ คิบอมล่ะ?”

    คนถูกเรียกชื่อสะดุ้งเล็กน้อย เด็กหนุ่มละสายตาจากมือสองข้างซึ่งประสานกันอยู่บนตักแล้วค่อยๆยื่นมือออกไปหยิบเมนูกลางโต๊ะ

    “ของหมอนี่เอาเป็นสปาเกตตี้สไปซี่แฮมแล้วกัน” มินโฮดึงเมนูคืนจากมือเพื่อนแล้วยื่นส่งให้พนักงาน คนตัวสูงยกสองมือกอดอก มองเพื่อนสนิทที่กลับไปนั่งก้มหน้าก้มตาอย่างใช้ความคิดขณะที่อนยูกับจงฮยอนยังคงหาเรื่องคุยกันได้เรื่อยๆ

    คิบอมมองมือทั้งสองข้างของตัวเองนิ่ง หัวใจเขาตอนนี้เหมือนกลองชุดที่ถูกตีแรงๆซ้ำไปซ้ำมา อึดอัด ปวดหนึบ และ เจ็บ...

     

    เด็กผู้หญิงที่แกจีบอยู่ตอนนี้ใช่ม่ะ

    จริงจังไม่ใช่ไง

     

     

    We write our own destiny. We become what we do.

    - Madame Chiang Kai -

     

     

    “แล้วทีนี้จะทำยังไงต่อ?” มินโฮเอ่ยถามเป็นประโยคแรก หลังจากแยกย้ายกับอนยูและจงฮยอนพวกเขาก็พากันย้ายมายังคาเฟ่เล็กๆ ทั้งคู่เอาแต่นั่งมองกันไปมา อาการแบบนี้ของคิบอมแปลเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย นอกจากจะเป็นการย้ำให้มินโฮแน่ใจว่าสิ่งที่เขาคิดอยู่ตอนนี้มันถูกต้อง

    เด็กหนุ่มเริ่มต้นเล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนฟังอย่างช้าๆ ค่อยๆอธิบายถึงความจำเป็น ก่อนจะจบด้วยการยอมรับว่าคนผิดคือตัวเขาเอง

    “ฉันแค่อยากอยู่ใกล้ๆพี่จงฮยอนอีกหน่อย อีกแค่วันเดียวก็ยังดี พอคิดแบบนี้ก็เลย...”

    “ก็เลยหลอกเขาไปเรื่อยๆ แล้วแกจะหลอกเขาไปอีกนานแค่ไหน หรือต้องรอให้เขารู้ความจริงก่อนว่าแกไม่ใช่ผู้หญิง”

    “.....”

    “นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลยนะ” มินโฮถอนหายใจอย่างหัวเสีย “แกคิดว่าเขาจะรับได้มั้ยถ้าผู้หญิงที่ตัวเองจีบอยู่ทุกวันกลายเป็นผู้ชายขึ้นมา แล้วถามหน่อยเฮอะ แกเองไม่รู้สึกอะไรเลยหรือไงที่ต้องไปไหนมาไหนกับเขาในสภาพแบบนั้น หรือว่าแกสนุก? แต่ฉันบอกแกได้เลยนะว่าพี่จงฮยอนเขาไม่มีทางสนุกกับแกแน่  เขาจะโกรธ และก็อาจจะโกรธมากด้วยถ้าเขารู้ความจริงทั้งหมด”

    คิบอมจ้องมองฝ่ามือของตัวเองโดยไม่เอ่ยอะไร เขาไม่ได้สนุกที่ต้องอยู่ในสภาพแบบนั้น มันฟังดูทุเรศถ้าหากเขาจะบอกเพื่อนว่าถึงเขาจะไม่สนุก แต่อย่างน้อยเขาก็มีความสุขกับมัน

    “อย่าเพิ่งบอกพี่จงฮยอนนะมินโฮ ฉันจะเป็นคนบอกเขาเอง...ฉันจะบอกเขาแน่ๆ” เอ่ยย้ำเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางที่ดูไม่เชื่อของเพื่อน

    “เมื่อไหร่?”

    “เมื่อ...เมื่อ...”

    “ฉันจะไม่บอกพี่จงฮยอน เพราะยังไงฉันก็อยู่ข้างแก แต่ถ้าเขาถาม ฉันจะไม่โกหก ตกลงมั้ย”

    คิบอมสบตามินโฮแล้วจำใจพยักหน้า

     

    ดูเหมือนการเล่าเรื่องให้มินโฮฟังจะเป็นการทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมดให้ตัวเองทำความเข้าใจอีกรอบเช่นกัน หนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขามัวแต่สนุกกับการอยู่ข้างๆจงฮยอนจนลืมความจริงที่ว่าเขาไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้น ถึงการแสดงออกทั้งหมดจะเป็นเขา แต่ยังไงซะคีย์คนนั้นก็ไม่มีตัวตนอยู่จริงๆบนโลกใบนี้ สุดท้ายไม่ว่าจะยังไง เขาก็ไม่สามารถยืนอยู่ข้างๆจงฮยอนในสภาพนั้นได้ตลอดไปอยู่ดี

     

    คิบอมเงยหน้ามองเพื่อนเต็มตา ภาพของมินโฮตอนนี้ไม่ชัดเอาซะเลย อะไรบางอย่างทำให้คิบอมมองหน้าอีกฝ่ายได้ไม่ถนัด

    “ฉันไม่รู้ว่าชอบเขาตอนไหน”

    นั่นคือความจริง คิบอมไม่รู้เลยว่าเริ่มชอบจงฮยอนตั้งแต่ตอนไหนและเมื่อไหร่ เขาคิดมาตลอดว่ามันอาจเป็นเพียงแค่ความประทับใจ

    “ฉันรู้ว่าเขาชอบฉัน แต่เขาจะเลิกชอบฉันเพราะฉันไม่ใช่ผู้หญิงแค่นั้นเหรอมินโฮ”

    คำถามของเพื่อนทำเอามินโฮตอบอะไรไม่ถูก จริงอยู่ว่าพี่จงฮยอนที่เขารู้จักไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล แต่เรื่องบางเรื่อง...อย่างเช่นเรื่องนี้ ขนาดเขาเองยังอดคิดไม่ได้ว่ามันค่อนข้างจะมากเกินไป แล้วคนที่ถูกหลอกมาตั้งแต่ต้นอย่างจงฮยอนจะทนรับมันได้มากแค่ไหนกัน อาจจะทนได้ แต่รับได้มั้ย...เขาไม่แน่ใจ

    คนตัวสูงยื่นมือออกไปตบบ่าเพื่อนเบาๆ ปล่อยให้คนที่อดกลั้นมาตั้งแต่หนึ่งชั่วโมงก่อนร้องไห้ออกมาเงียบๆ พัดพาความไม่สบายใจทั้งหมดที่มีให้ไหลไปพร้อมกับหยดน้ำตาแต่ละหยด

     

    ถ้าวันหนึ่ง... ถ้าจงฮยอนจะถามหาเหตุผลในสิ่งที่คิบอมทำลงไป เขาคงตอบได้แค่เพียง ทำเพราะอยากทำ มันอาจฟังดูไร้เหตุผล แต่นั่นก็คือเหตุผลทั้งหมดที่เขามี

     

    *******************

     

     “ตกลงว่าคีย์ไปได้รึเปล่า”

    คิบอมมองคนข้างกายที่หยุดเดินกะทันหัน แล้วค่อยก้าวเท้าต่อไปข้างหน้า เด็กหนุ่มในคราบหญิงสาวเดินไปหยุดอยู่ริมแม่น้ำฮัน ทอดสายตามองน้ำพุหลากสีตรงหน้าก่อนจะหันกลับมามองจงฮยอนที่ยืนรอฟังคำตอบอยู่

    “พูซานเลยเหรอ?” ถามกลับอย่างไม่แน่ใจนัก

    “งานดนตรีระดับประเทศเลยน้า ถ้าคีย์ไม่สบายใจจะไปกับพี่ จะชวนเพื่อนไปด้วยก็ได้” จงฮยอนพูดพร้อมกับเดินเข้าไปใกล้ ใช้ฝ่ามือของตัวเองกุมมือคิบอมเอาไว้ แล้วกึ่งจูงอีกคนให้เดินเข้าไปชิดริมขอบแม่น้ำมากกว่าเดิม

    “จริงสิ ชวนคิบอมไปด้วยก็ได้นิ่ มินโฮมันก็ไป สองคนนั่นสนิทกันไม่ใช่เหรอ?”

    “คือ... คิบอม... เห็นว่าจะไปต่างจังหวัดกับเพื่อนอีกกลุ่ม คงไปด้วยไม่ได้” คนมีชนักติดหลังเอ่ยตอบไม่เต็มเสียงพลางหลบสายตาด้วยการแสร้งทำเป็นหันไปมองอย่างอื่นแทน

    “แต่เดี๋ยวฉันจะลองคุยกับคิบอมดู ถ้ามินโฮไปด้วยก็คงไม่เป็นไร”

    พอได้ฟังคำตอบที่มีแนวโน้มว่าจะไปในทางบวก คนตีสีหน้ายุ่งในตอนแรกก็ค่อยยิ้มออกมาได้

    คิบอมยังคงมองจงฮยอนนิ่งถึงแม้อีกฝ่ายจะหันหน้ากลับไปมองวิวข้างหน้าแล้วก็ตาม

    บริเวณริมแม่น้ำฮันยังคงมีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาถึงแม้เวลานี้ท้องฟ้าจะมืดแล้วก็ตาม น้ำพุสีสวยที่พ่นออกมาจากสะพานบันโพดึงดูดสายตาของนักท่องเที่ยวให้พากันจ้องมองจนไม่มีใครนึกอยากสนใจคนอื่นๆรอบตัว

    คิบอมกระชับมือตัวเองซึ่งตอนนี้สอดประสานกับมือของจงฮยอนเอาไว้ ยื้อเบาๆให้คนที่เอาแต่มองวิวเพลินหันหน้ามา

    มันไม่ใช่อะไรที่โรแมนติกหรือสวยหรูเหมือนในวรรณกรรมบางเรื่องที่คิบอมเคยอ่านเจอ แต่เสี้ยวนาทีที่ได้สบตาและจ้องลึกลงไปในดวงตาสีเข้มนั่นก็มากพอจะทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงกว่าที่เคย สัมผัสจากริมฝีปากของจงฮยอนทั้งนุ่มนวลและอ่อนโยนในคราวเดียวกัน... อ่อนโยนจนน่ากลัวว่ามันจะเป็นแค่ฝันดีในคืนหนึ่งเพียงเท่านั้น

     

    “คีย์?” จงฮยอนเรียกชื่อคนที่จู่ๆก็กอดเขาเอาไว้ สองแขนของอีกฝ่ายโอบรอบเอวเขาไว้แน่น เสียงสะอื้นเบาๆบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวกำลังร้องไห้

    “พี่ขอโทษ” ทั้งที่คิดว่าคีย์อาจจะโกรธเรื่องจูบเมื่อครู่จึงได้กล่าวขอโทษไป แต่ทันทีที่พูดจบ คีย์กลับยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม

    “ฉันชอบพี่”

    สองมือที่งกๆเงิ่นๆเนื่องจากไม่รู้จะวางลงตรงไหนชะงักนิ่งเมื่อได้ยินคำพูดของคนในอ้อมแขน

    “ฉันชอบพี่”

    คิบอมถอยห่างออกมา มองจงฮยอนผ่านม่านน้ำตา

    “อย่าเกลียดฉัน” ...ในวันที่พี่รู้ความจริงแล้ว ขอเพียงอย่างเดียวเท่านั้น...ช่วยอย่าเกลียดกัน

    จงฮยอนยกสองมือขึ้นประคองใบหน้าที่ยังเปื้อนทางน้ำตา มุมปากยกยิ้มก่อนจะดึงคนตรงหน้าเข้าสู่อ้อมกอดอีกครั้ง

    “พี่ก็ชอบคีย์ ชอบมาก”

    คำพูดที่รอฟังก่อให้เกิดความหวั่นไหวในหัวใจจนน้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ไหลออกมาอีกหน คิบอมฝังหน้าลงบนลาดไหล่ของจงฮยอน ปล่อยให้น้ำตาไหลซึมลงบนเสื้อเชิ้ตสีขาวของอีกฝ่าย

    “มีอีกหลายเรื่องที่พี่ไม่รู้เกี่ยวกับฉัน ถ้าพี่รู้ พี่อาจจะเกลียด”

    “มีอีกหลายเรื่องเหมือนกันที่คีย์ยังไม่รู้เกี่ยวกับพี่ ถ้าคีย์รู้ คีย์อาจจะไม่ชอบมัน”

    “มันไม่เหมือนกัน”

    คิบอมใช้หลังมือเช็ดน้ำตาตัวเอง ดวงตาแดงกล่ำทอดมองจงฮยอนก่อนจะเบือนหนีไปอีกทางเมื่อเห็นรอยยิ้มอบอุ่นนั่น

    “งั้นก็ให้เวลาพี่เยอะๆสิ ให้พี่ค่อยๆได้เรียนรู้แต่ละเรื่องของคีย์”

    จงฮยอนไม่เข้าใจ ต่อให้พูดยังไงอีกฝ่ายก็ไม่มีทางเข้าใจ ทางเดียวที่จะเข้าใจได้ก็คือคิบอมต้องพูดความจริงเท่านั้น แต่...มันไม่ง่ายเลย

    คิบอมปล่อยให้จงอยอนกุมมือเอาไว้ขณะเดินกลับมาขึ้นรถโดยไม่พูดอะไรอีก หัวใจยังคงเต้นแรง ทว่าอัตราการเต้นของมันกลับทำให้เจ็บเสียจนปวดหนึบแทน อยากจะเข้าข้างตัวเองว่าในเมื่อเขาทั้งคู่ก็รู้สึกเหมือนกัน มันคงไม่ยากอะไรถ้าหากคีย์จะไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่จงฮยอนเชื่อมาตลอด หากแต่เขารู้ดีว่ามันไม่ง่ายเช่นนั้น

    สองอาทิตย์แล้วนับตั้งแต่เจอมินโฮครั้งสุดท้าย อีกเพียงแค่เดือนเดียวมหาลัยก็จะเปิดเทอมและควีบุนก็จะกลับจากอุลซาน ก่อนที่จงฮยอนจะได้เจอควีบุนตัวจริง เขาคงต้องหาจังหวะบอกจงฮยอนให้ได้ บางที...เขาอาจต้องพูดมันเร็วๆนี้

     

     

    “ควีบุน... ควีบุน!... ย๊าาา ยัย-คี-รี-บูนนน!!!!!

    เสียงตะโกนเรียกเต็มสองหูปลุกคนที่เผลองีบหลังให้ตื่นขึ้นอย่างตกใจ คนที่มือยังกำปากกาค้างเอาไว้ตวัดสายตามองเจ้าของเสียงปลุกชวนประสาทแตกตาเขียว นึกอยากจะหยิบสมุดรายงานที่เขียนค้างเอาไว้ฟาดซักทีสองที

    “ฉันไปหลับบนหัวเธอหรือไง ยุ่ง!

    “อยากยุ่งตายล่ะ!” คนอุตส่าห์หวังดีสวนกลับทันควัน “ถ้ารู้ว่าปลุกแล้วจะโดนว่าแบบนี้นะ ปล่อยให้นอนฝันร้ายร้องไห้ตายไปเลยซะดีกว่า” พูดจบก็เดินหนีไปนั่งบนเก้าอี้อีกตัวบริเวณมุมห้อง

    คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างแปลกใจกับคำพูดของเพื่อนร่วมภาค ฝ่ามือยกขึ้นสัมผัสใบหน้าตัวเองก่อนจะพบคราบน้ำตาและแพขนตาที่ยังคงเปียกชุ่ม

    “ฉันร้องไห้เหรอ?”

    “เธอไม่ได้ร้องไห้หรอก เธอแค่ผีเข้าแล้วก็เลยเป็นบ้าเป็นบอสะอึกสะอื้นน่ารำคาญมาก”

    “ไม่ต้องกวนซักครั้งจะได้มั้ยจงฮี”

    “เห็นทีจะไม่ได้นะควีบุน”

    “ทำไม?”

    “ไม่ทำไม แค่ไม่ได้ ไม่อยากทำ อยากกวน!

    พูดพร้อมเดินกลับมาอีกรอบ สองมือยกขึ้นท้าวเอว เชิดหน้าปรายตามองควีบุนซึ่งยังนั่งอยู่บนเก้าอี้

    “ประหลาดคน” ควีบุนว่า

    “เธอมันก็คนประหลาดเหมือนกันนั่นแหละ” พูดจบก็คว้าสมุดรายงานบนโต๊ะหนีออกนอกห้องไปทันที

    “นั่นมันของฉันนะ!

    “อยากได้ก็ตามมาเอาคืนสิ”

    ควีบุนถอนหายใจหน่ายแล้วรีบวิ่งตามจงฮีไป กว่าจะยื้อแย่งจนได้สมุดกลับคืนมาควีบุนก็ลืมความฝันของตัวเองไปเสียสนิท...

     

    *******************

     

     “นี่ค่ะ ขอบคุณที่ใช้บริการนะคะ”

    คิบอมยื่นมือรับถุงหนังสือจากพนักงานห่อปกพร้อมส่งยิ้มให้ วรรณกรรมเรื่องโปรดที่ตามหาตั้งแต่เดือนก่อนถูกหยิบออกจากถุงอย่างเบามือขณะยืนอยู่หน้าร้าน

    “คิบอม?!

    เจ้าของชื่อหันไปมอง ดวงตาภายใต้กรอบแว่นเบิกกว้างเมื่อเห็นคนที่กำลังเดินตรงเข้ามาหา

    “ใช่จริงๆด้วย” จงฮยอนยิ้มร่า

    “จำพี่ได้รึเปล่า?” ชายหนุ่มส่งยิ้มให้คนที่ยังยืนนิ่งแล้วเลื่อนสายตาไปยังหนังสือในมืออีกฝ่าย

    “คะ ครับ พี่จงฮยอน”

    “มาคนเดียวเหรอ?”

    “ครับ แล้วพี่...”

    “นัดอนยูไว้น่ะ พอดีมันชวนมาหาซื้อหนังสือเอาไว้สำหรับทำโปรเจคเทอมหน้า แล้วนี่จะกลับรึยัง นัดใครไว้รึเปล่า?”

    “เปล่าครับ ผมแค่แวะมาซื้อหนังแล้วก็จะกลับเลย”

    “งั้น...ไปดื่มกาแฟด้วยกันซักแก้วก่อนมั้ยล่ะ?”

    จงฮยอนเอ่ยชวน และถึงแม้จะลังเลในตอนแรก แต่สุดท้ายคิบอมก็ตัดสินใจพยักหน้าให้

     

    ทั้งคู่เลือกร้านกาแฟไม่ใกล้ไม่ไกลจากร้านหนังสือมากนัก จงฮยอนยังคงสั่งอเมริกาโน่แบบที่ชอบ ในขณะที่คิบอมเลือกสั่งเป็นมอคค่าเย็น

    แม้ในช่วงแรกบทสนทนาจะดูเก้อเขินกว่าปกติ แต่พอผ่านไปเรื่อยๆ จงฮยอนก็เริ่มสรรหาสารพัดเรื่องมาชวนคิบอมคุย แน่นอนว่าคิบอมไม่ชอบพูด แต่ไหนแต่ไรที่เขาชอบฟังเสียงของจงฮยอน และจนถึงตอนนี้ก็ยังคงเป็นแบบนั้น จงฮยอนไม่ได้ชวนเขาคุยเรื่องเกี่ยวกับควีบุนอย่างที่นึกกังวลแต่แรก และเขาก็นึกขอบคุณจริงๆที่อีกฝ่ายไม่ทำแบบนั้น เพราะแม้จะเป็นช่วงสั้นๆ แต่อย่างน้อยเขาก็อยากหัวเราะไปกับจงฮยอนในฐานะของคิบอม

    “พี่เคยเห็นผมที่มหาลัยด้วยเหรอ?”

    “พี่คิดว่าพี่เคยเห็นนะ อาจจะเคยเห็นตอนอยู่กับมินโฮ แต่ตอนนั้น...” จงฮยอนเว้นคำเอาไว้ มุมปากยกยิ้มเมื่อคนรอฟังทำจมูกย่นพลางบ่นอุบอิบแต่ก็ยังอุตส่าห์ลอยมาเข้าหู

    “ไม่ได้สนใจ”

    “ก็มันเห็นผ่านๆเอง อีกอย่างมินโฮมันก็เป็นฝ่ายมาหาอนยูถึงคณะแทบทุกครั้งนั่นแหละ คิบอมเองก็ไม่ได้มาด้วยไม่ใช่เหรอ”

    “แบบนั้นพูดว่าไม่เคยเห็นกันมาก่อนยังรู้สึกดีซะกว่า”

    “เอาน่า ตอนนี้ก็รู้จักแล้วนี่ไง”

    คิบอมเหล่มองจงฮยอนที่ยกแก้วกาแฟโบกไปโบกมาตรงหน้าเขาแล้วหลุดยิ้มออกมาในที่สุด

    เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ดึงจงฮยอนที่มัวแต่เผลอมองรอยยิ้มของคนตรงหน้าให้หันมาสนใจต้นกำเนิดเสียงรูปทรงสี่เหลี่ยมแทน

    “รออยู่คาเฟ่” กรอกเสียงไปตามคลื่นสัญญาณทันทีที่กดรับ

    คิบอมมองจงฮยอนที่พูดคุยกับคนปลายสายแล้วหันออกไปมองนอกร้าน สายตาจ้องตรงไปยังร้านขายแผ่นซีดีฝั่งตรงข้ามที่เขาเคยเข้าไปกับจงฮยอนในวันนัดเดทวันแรก

    เด็กหนุ่มหันกลับมาอีกครั้งหลังจากสังเกตว่าเสียงคุยโทรศัพท์เงียบไปแล้ว น่าแปลกเมื่อพอหันมา สิ่งแรกที่เห็นคือใบหน้าของจงฮยอนที่กำลังจ้องตรงมาทางเขา

    “พี่จงฮยอน?” เอ่ยเรียกเบาๆ

    “เหมือนกันมากเลยนะ”

    “ครับ?”

    “นายกับคีย์น่ะ เหมือนจนพี่คิดว่าเป็นคนๆเดียวกัน”

    “.....”

    จงฮยอนส่ายหน้าพลางหัวเราะให้ตัวเอง “แฝดนี่นะ ก็ต้องเหมือนกันเป็นธรรมดา”

    “พี่จงฮยอน”

    คิบอมเรียกชื่อคนที่ตั้งท่าจะลุกจากเก้าอี้

    “ผม... ผม...” ผมคือควีบุน... ได้แต่ต่อประโยคในใจเงียบๆ เพราะไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่กล้าพูดมันออกไป

    “หืมม์?”

    “ผมจะกลับแล้ว” คิบอมถอนใจยาว มองจงฮยอนที่ทำท่างุนงงกับท่าทีของเขาแล้วคว้ากระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพาย

    “ขอบคุณที่เลี้ยงกาแฟนะครับ” เด็กหนุ่มโค้งตัวลงเล็กน้อยแล้วรีบเดินหนีออกมา เพราะถ้าขืนยังยืนอยู่ตรงนั้นมีหวังเขาได้ร้องไห้ออกมาแน่นอน

    คิบอมทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ไม้ซึ่งตั้งอยู่ในมุมหนึ่งของห้างสรรพสินค้า ความมั่นใจที่จะพูดความจริงกับจงฮยอนหลังกลับจากพูซานดูห่างไกลออกไปทุกที เพราะเพียงแค่คิดจะพูดออกมาก็ยังรู้สึกว่ามันยากเต็มทน... ในเวลาแบบนี้ถ้าหากควีบุนอยู่ด้วยก็คงจะดี อย่างน้อยถ้าได้ยินเสียงของอีกฝ่ายก็คงจะพอทำให้รู้สึกดีขึ้น

     

    R... R…..R………

     

    โทรศัพท์มือถือสั่นและส่งเสียงอยู่ในกระเป๋ากางเกง คิบอมหยิบมันขึ้นมา และเพียงแค่ได้เห็นชื่อคนโทรเข้ามาบนหน้าจอ ก้อนแข็งๆบางอย่างตรงคอก็แทบทำให้เขาร้องไห้ออกมาจริงๆ

    “คิบอม เราเอง”

    “ควีบุน”

    ปลายสายเงียบไปหลังจากเขาเรียกชื่อ... มันเป็นความเข้าใจแบบที่เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าคืออะไร แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นแบบนี้มาตลอดยี่สิบปี

    “เราไม่สบายใจ” น่าแปลกที่คราวนี้เสียงของคนปลายสายดูสั่นกว่าคราวแรก

    “เราไม่ได้เป็นอะไร เราแค่มีเรื่องไม่สบายใจ”

    “เรารู้...”

    เงียบกันไปทั้งคู่ คิบอมมองมือข้างที่ว่างของตัวเองอยู่อย่างนั้นทั้งที่มันก็เป็นปกติเหมือนเดิม

    การไม่พูดอะไรเลย บางครั้งก็เป็นคำปลอบใจที่ดียิ่งกว่าคำพูดไหนๆ

    “เราจะเล่าให้นายฟังตอนที่นายกลับมา ไม่ต้องห่วงเรานะ มันยังไม่มีอะไรแย่ เราแค่เป็นกังวลกับมัน”

    “นายจะผ่านมันไปได้ ไม่ว่าเรื่องอะไรที่นายกังวล นายจะผ่านมันไปได้”

    “เรารู้”

    คิบอมยังคงถือโทรศัพท์ค้างไว้ในมือแม้ควีบุนจะวางสายไปนานแล้ว ภาพรอยยิ้มของจงฮยอนคอยแต่จะโผล่ขึ้นมาทำลายกำลังใจเขาอยู่เรื่อยๆ ถ้าหากบอกความจริงไป แล้วจงฮยอนจะไม่ยิ้มให้เขาอีก เขาคงต้องเสียใจ...และเจ็บปวดมากๆอย่างแน่นอน

     

     

    “ตกลงว่าแกจะบอกความจริงพี่จงฮยอนหลังกลับจากพูซาน?”

    มินโฮถามหลังจากเดินมานั่งลงบนขอบเตียง เด็กหนุ่มตัวสูงมองคนที่นอนเหยียดตัวพลางยกแขนขึ้นก่ายหน้าผากอย่างใช้ความคิด

    “ก็คงต้องเป็นแบบนั้น ฉันอยากบอกความจริงเขาก่อนที่ควีบุนจะกลับมา”

    “ฉันเห็นด้วยนะ ยิ่งแกบอกความจริงเขาเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น ถ้ามัวแต่รอแล้วพี่จงฮยอนไปเจอควีบุนตัวจริงล่ะก็ แกเสร็จแน่ เขาไม่ฟังแกอธิบายชัวร์ๆ”

    “ฉันก็คิดงั้นเหมือนกัน” คิบอมถอนใจเฮือก ก่อนจะเขยิบตัวไปด้านซ้ายเมื่อมินโฮทิ้งตัวลงมานอนอยู่ข้างกัน

    “ถามจริงๆเฮอะคีย์ แกรักเขาเหรอวะ”

    “ฉันชอบเขามากนะ แต่รักรึเปล่า... แกว่าคนเราจะสามารถรักใครคนนึงได้ภายในระยะเวลาแค่เดือนสองเดือนมั้ย”

    “เยอะแยะไป ไม่งั้นเขาจะมีคำว่ารักแรกพบบัญญัติขึ้นมาบนโลกไงเล่า”

    “ก็จริง”

    คิบอมระบายลมหายใจออกมาอีกรอบ เด็กหนุ่มพลิกตัวตะแคง ใช้มือขวายันศีรษะตัวเองเอาไว้พลางจ้องมองมินโฮที่กำลังนอนหลับตาดูสบายอารมณ์จนน่าหมั่นไส้

    “ฉันเห็นแกมีแฟนมาตั้งเยอะ เคยมีใครที่แกรักจริงบ้างมั้ย บอกหน่อยสิว่ามันรู้สึกยังไงตอนต้องเลิกกัน”

    “ก็...เจ็บ”

    “แล้วไงอีก?”

    “เจ็บหนัก เจ็บนาน แกไม่อยากตกอยู่ในสภาพนั้นหรอก” มินโฮลืมตาขึ้นแล้วพลิกตัวหันมาสบตาเพื่อน “ขนาดฉันยังทนแทบไม่ได้ แล้วแกเป็นใคร คิดว่าจะทนได้มากกว่าฉันหรือไง”

    “.....”

    “ถ้าแกไม่อยากเสียใจแกก็ต้องรั้งเขาเอาไว้ให้ได้ เพราะถ้าเขารักแกจริง ต่อให้แกเป็นแบบไหน เป็นใคร เขาก็รัก... ไม่ว่าแกจะเปลี่ยนไปแค่ไหน หรือถึงขั้นอาจจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนก็ตาม”

    คำพูดของมินโฮฟังดูคล้ายให้กำลังใจ แต่ขณะเดียวกันก็เพิ่มพูนความหวาดกลัวให้เขามากยิ่งขึ้นไปอีก เหมือนเดินอยู่บนเส้นเชือกที่มองไม่เห็นปลายทาง ทั้งเหนื่อยและหวาดหวั่น จนบางครั้งก็นึกอยากให้ตัวเองผลัดตกลงไปซะให้รู้แล้วรู้รอด

    “ปัญหามีอยู่ข้อเดียว คือฉันไม่รู้ว่าเขารักฉันมากแค่ไหนเท่านั้นเองมินโฮ”

     

    .

    .

     

    2BC.

     

    Talk: สวัสดีค่ะ! ไม่เจอกันตั้งนานเลยนะคะ ^_^ ห่างหายจากการแต่งฟิคไปพอสมควร (ถ้านับคร่าวๆ...เหมือนจะไม่ได้แต่งฟิคมาราวๆ2ปีแล้ว ^^; ) พอลองกลับมาแต่งอีกก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า “การแต่งฟิคนี่มันเป็นศาสตร์ที่ยากจริงๆเลย!” ต้องขอบคุณคิโบมี่จริงๆที่ทำให้ไฟในตัวเราซึ่งมอดดับไปแล้วจุดติดขึ้นมาอีกรอบ... ไม่ได้มีโมเม้นท์อะไรนะคะ!! ฮ่าๆๆๆๆ แค่คิดว่าอยากแต่งฟิควันเกิดให้น้องแค่นั้นเองค่ะ

    ตอนแรกตั้งใจว่าจะวันชอทแล้วจบเลย แต่พอยิ่งแต่งก็ยิ่งยาวออกไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็เลยต้องแบ่งพาร์ทลงแทน ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ อาจจะดูประหลาดๆไปซักหน่อย แต่ก็เป็นพล๊อตที่เคยคิดไว้ตั้งนานแล้ว เพียงแต่ไม่กล้าแต่งออกมา TvT พอได้กลับมาลงมือแต่งฟิคอีกรอบ ก็เลยอยากลองดูซักที ถ้าคนอ่าน อ่านแล้วชอบ ก็จะดีใจมากๆค่ะ

    ขอบคุณนรด.และไอรินที่กลับมาร่วมโปรเจคด้วยกันอีกครั้ง แม้ว่ามันจะเป็นแค่โปรเจคเล็กๆที่เล็กมากๆ แต่พอทำแบบนี้แล้วเหมือนได้ย้อนกลับไปตอนโรงงานนรกเลยอ่ะ (คิดถึงรูมเมท วาเลนไวท์ และอัลฟอเบตที่สุด T_T) อย่าเพิ่งแขวนปากกาเลยนะเธอออ มามีความสุขด้วยกันในมโนแลนด์แบบนี้ไปอีกนานๆเถอะ คึ!

     

    HAPPY BIRTHDAY KIM KEYBUM

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×