ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    JongKey.} Fiction {.BY airinz, LiTAz, mno9

    ลำดับตอนที่ #7 : [SF] Snow Flake by LiTAz

    • อัปเดตล่าสุด 13 ก.พ. 57


    ทักทาย :’)

    หายไป เดือนเลยค่ะ รอบนี้กลับมาพร้อมฟิคเทศกาลคริสต์มาส (ที่ผ่านไปแล้ว ฮา...) ตั้งใจว่าจะอยากจะลงฟิคให้ได้ทุกเทศกาลสำคัญ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าความพยายามจะเป็นผลมั้ย อันนี้ต้องรอดูกันต่อไปนะคะ TvT

    สำหรับฟิคแสนจะสั้นเรื่องนี้(มันสั้นมากจริงๆขอบอกกกกก) ก็ยังเป็นฟิคจงคีย์ที่รักเหมือนเดิม ถึงแม้เราจะไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นจงคีย์ในแบบที่ทุกคนอยากอ่านกันมั้ยก็เถอะนะ (สปอยล์ว่า ตอนนี้เรากำลังลุ่มหลงในตัวมินโฮมากๆเลยค่ะ ตกบ่อกบแล้วดึงตัวเองกลับมาไม่ได้ ฮรืออออ T_T) ยังไงก็ตาม หวังว่าจะทำให้ทุกคนคิดถึงจงคีย์มากขึ้นหลังอ่านฟิคเรื่องนี้จบนะคะ ฮิ_ฮิ แล้วเจอกันใหม่ (คราวหน้าเอาจงคีย์เยอะๆเลย โฮๆๆ)

     

     

    *******************

     

     

    “ไง”

     

    เสียงเอ่ยทักที่ดังมาจากเหนือศีรษะเรียกให้คนที่กำลังก้มหน้าอ่านหนังสือต้องเงยหน้าขึ้นมอง คิบอมส่งยิ้มให้กับใบหน้าคุ้นเคย ขณะที่คนมาใหม่ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามด้วยท่าทีสบายๆ หนังสือที่เจ้าตัวถือติดมือมาด้วยนั้นถูกวางลงข้างๆกับหนังสือเรียนของเขา

     

    “ตกลงว่ายังไง เรื่องที่ถามไปวันก่อน”

    “เรื่องอะไร?” คิบอมเลิกคิ้วขึ้นคล้ายกับต้องการคำอธิบายเพิ่มเติม... ช่วยไม่ได้ ก็ในเมื่อคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้สรรหาเรื่องมาถามเขาได้ทุกวัน ไอ้ครั้นจะให้ถามมาตอบไปทันทีก็คงไม่ไหว นึกคำตอบให้ไม่ทันจริงๆ

    “คริสต์มาสไง ไปเดินดูไฟที่ไทม์สแควร์กัน เห็นว่าปีนี้เขาทำต้นคริสต์มาสกันใหม่ ใหญ่กว่าต้นเดิมตั้งสองเท่า”

    “อ่า...”

    เด็กหนุ่มครางเสียงเบา ก่อนจะแกล้งก้มหน้ามองหนังสือเพื่อหลบสายตาของอีกฝ่ายที่มองตรงมา

    “ผม... ไม่รู้สิ อาจจะไม่ว่าง”

     

    เงียบไปอึดใจกับคำตอบแสนงี่เง่าของตัวเอง... คิบอมเงยหน้าขึ้น ตั้งใจจะพูดอะไรเพิ่มเติมเพื่อช่วยลดบรรยากาศที่จู่ๆก็ดูอึดอัดขึ้นมา แต่ยังไม่ทันจะได้กล่าวอะไร เสียงหัวเราะของคนตรงหน้าก็ดังขึ้นขัดเสียก่อน

     

    “คริสต์มาสทั้งทีนี่นะ ไปเที่ยวกับเพื่อนก็ต้องสนุกกว่าอยู่แล้ว”

    แม้จะพูดทั้งๆที่กำลังหัวเราะอยู่ ถึงอย่างนั้นคิบอมก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกตลกเหมือนอย่างที่แสดงออกมาเลย

    “ไว้คราวหลังเราค่อยไปด้วยกันก็ได้... พี่ไปเรียนก่อนนะ สายแล้ว”

    หนังสือเรียนที่วางอยู่คู่กับหนังสือของเขาถูกเจ้าของของมันหยิบกลับคืนไป คิบอมเม้มริมฝีปากเข้าหากันแล้วเงยหน้าขึ้นมองคนตรงข้ามที่กำลังจะลุกเดินจากไป


     

    “พี่จงฮยอน...”


     

    เจ้าของชื่อหยุดชะงัก หมุนตัวกลับมาพร้อมรอยยิ้มทั้งปากและตา หากแต่คำพูดประโยคถัดมาของคิบอมกลับลบรอยยิ้มที่ว่านั่นไปแทบจะในทันที ชายหนุ่มไม่ได้ตอบอะไร นอกเสียจากฝืนส่งรอยยิ้มให้คิบอมอีกครั้ง


     

     ลมหายใจถูกระบายออกมาหลังจากจงฮยอนเดินห่างออกไปไกล คิบอมฟุบหน้าลงบนหนังสือที่เปิดกางทิ้งไว้ เสียงพูดคุยของผู้คนรอบๆตัวดูจะเงียบไปราวกับถูกปิดสวิทซ์ ภายใต้ความมืดสนิทที่เปลือกตาปิดเข้าหากันนั้น น่าแปลกที่รอยยิ้มของจงฮยอนยังคงกระจ่าง ชัดเจนราวกับเจ้าตัวยืนอยู่ตรงหน้าจริงๆ

     

    คิบอมเก็บหนังสือเรียนใส่กระเป๋าสะพายของตัวเอง อารมณ์อยากอ่านหนังสือดูจะหายไปจนหมดเพียงแค่สมองเผลอไปนึกถึงรอยยิ้มสุดท้ายของจงฮยอนเมื่อครู่ เด็กหนุ่มลุกจากโต๊ะไม้พร้อมกับล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาต่อสายถึงเพื่อนสนิท พูดคุยกันเพียงไม่กี่ประโยคคิบอมก็จัดการเก็บเจ้าเครื่องมือสื่อสารเครื่องเล็กกลับไปนอนก้นกระเป๋าตามเดิม สองขาเริ่มก้าวเดินไปตามเส้นทางที่ถูกปกคลุมด้วยละอองสีขาวของหิมะ ทิ้งความสับสนที่ก่อตัวขึ้นเพราะใครบางคนไว้บนโต๊ะด้านหลังโดยไม่หันกลับไปมองอีกเลย...

     

    ไม่ไกลกันนัก จงฮยอนที่กำลังเอนตัวพิงกับผนังตึกไล่สายตาตามแผ่นหลังของคิบอมไปเรื่อยๆ มองดูอีกฝ่ายก้าวห่างออกไปโดยไม่สามารถทำอะไรได้ เช่นเดียวกันกับเหตุการณ์เมื่อครู่ที่เขาไม่สามารถหาถ้อยคำใดมาโต้แย้งคิบอมได้เลย

     

    “เราเลิกกันแล้วนะ”

     

    ใช่... พวกเขาเลิกกันแล้ว ไม่มี เรา ... ไม่มี กันและกันมานานแล้ว

     

     

    *******************

     

     

    เสียงกระดิ่งหน้าร้านดึงให้คนที่ซ่อนตัวอยู่หลังเคาท์เตอร์ต้องเงยหน้าขึ้นมอง เจ้าของคาเฟ่เล็กๆส่งยิ้มให้เพื่อนสนิทที่เพิ่งก้าวเข้าร้านมาก่อนจะเดินตรงไปยังตู้เค้ก มินโฮตักบราวนี่ชิ้นเล็กวางลงบนจานกระเบื้อง พร้อมทั้งชาดอกไม้กลิ่นหอม เมนูฮิตประจำร้านมาเสิร์ฟคิบอมที่ยึดโต๊ะริมหน้าต่างเป็นพื้นที่ส่วนตัวไปแล้ว


     

    ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ว่างข้างๆ เลื่อนแก้วชาไปตรงหน้าคิบอมที่เอาแต่มองวิวนอกร้านผ่านทางกระจกโดยไม่สนใจการมาถึงของเขา

    “ดื่มหน่อยสิ ชาร้านฉันไม่ได้มีดีแค่หอมนะ อะไรที่มันตันๆอยู่ในหัว รับรองว่าหายเกลี้ยง” มินโฮพูดพลางยัดแก้วชาอุ่นๆใส่มือคิบอม

    “วันนี้ลูกค้าเยอะมั้ย” คิบอมถามหลังจากยกแก้วชาขึ้นจิบ ความหนาวเย็นจากอากาศด้านนอกถูกทำให้อุ่นขึ้นทันที กลิ่นหอมของดอกไม้ที่คิบอมก็ไม่รู้ว่าคือดอกอะไรช่วยให้สมองปลอดโปร่งอย่างที่มินโฮอวดอ้างไว้จริงๆ

    “ร้านฉันมันเล็กกระจิ๋ว จะรับลูกค้าได้เยอะซักแค่ไหนกัน” 

                 “พูดพร้อมกับยกนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ขึ้นมาชิดกัน คิบอมมองท่าทางนั่นแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ เด็กหนุ่มกวาดสายตาไปทั่วร้าน ก่อนจะพบว่าร้านของมินโฮในวันนี้ได้ถูกปรับแต่ง รอคอยเทศกาลแห่งความสุขที่ใกล้จะมาถึงในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้าแล้วเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นต้นคริสต์มาสพร้อมกล่องของขวัญสีสันสดใส สายรุ้งสีเขียวและแดงที่พากันพาดไปมาอยู่ตามต้นเสา เค้กที่ถูกแต่งหน้าเป็นซานต้าครอสและกวางเรนเดียร์คู่ใจ มีแม้กระทั่งตุ๊กตาจำลองเอล์ฟตัวเล็กๆซึ่งตั้งเรียงรายอยู่ตามขอบหน้าต่างข้างๆเขาในตอนนี้

     

    “แต่งร้านซะน่ารัก ไม่สมกับหน้าตาเจ้าของร้าน”

    “จริงๆฉันก็อยากแต่งแบบเท่ๆเหมือนกัน ลูกค้าเข้ามาจะได้รู้ทันทีว่านี่น่ะร้านฉัน”

    คิบอมส่ายหน้าไปมา มองเพื่อนที่นั่งกอดอดยักคิ้วอยู่ข้างๆแล้วอดไม่ได้ที่จะแกล้งทำเป็นย่นจมูกใส่ ทั้งคู่พูดคุยกันอีกนิดหน่อยก่อนที่ลูกค้าคนใหม่จะเดินเข้ามาในร้าน มินโฮลุกกลับไปประจำตำแหน่งของตัวเอง ทิ้งคิบอมให้นั่งจิบชามองวิวนอกหน้าต่างโดยมีตุ๊กตาเอล์ฟเป็นเพื่อนแทน

     

    หนังสือเล่มเดิมกับเมื่อเช้าถูกหยิบออกจากกระเป๋าวางลงตรงหน้า ปลายนิ้วไล่พลิกหน้ากระดาษไปยังหน้าสุดท้ายที่อ่านค้างเอาไว้...

     

    คิบอมถอนหายใจอย่างนึกหงุดหงิดพร้อมจัดการปิดหนังสือตามเดิม ต้นเหตุที่เข้ามาขัดจังหวะการอ่านหนังสือของเขาเมื่อเช้าดูจะตามมาขัดอารมณ์ของเขาถึงที่นี่ เด็กหนุ่มซบหน้าลงบนฝ่ามือทั้งสองข้าง พยายามสลัดภาพของจงฮยอนออกไปให้พ้น แต่ยิ่งทำแบบนั้นใบหน้าของอีกฝ่ายกลับยิ่งดูชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม

     

    ...ความทรงจำไม่ใช่สิ่งที่จะลบเลือนได้ง่ายๆ และสำหรับคิบอมแล้ว การลบความทรงจำที่มีจงฮยอนรวมอยู่ด้วยนั้นมันยากเสมอ และเขาก็ต้องยอมรับด้วยว่าเขาไม่เคยทำมันสำเร็จเลย


     

     สงสัยว่าเขาจะต้องลองพยายามลืมจงฮยอนให้ได้อีกครั้ง...

     

     

    *******************

     

     

    “ตกลงคริสต์มาสนี้ว่างรึเปล่า”

     

    มินโฮเอ่ยถามคนข้างกายขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินกลับหอพักของคิบอม คนถูกตั้งคำถามละสายตาจากปลายเท้าของตัวเองขึ้นมาสบตาเพื่อนสนิทแล้วส่ายหน้าไปมา

    “ยังไม่รู้เลย”

    ทำไมวันนี้ถึงมีแต่คนถามคำถามนี้กับเขานะ... คิบอมหันกลับไปมองถนนเบื้องหน้าตามเดิม คำถามของมินโฮทำให้ภาพของจงฮยอนกลับมาปรากฏในความคิดของเขาอีกครั้ง ทั้งที่อุตส่าห์ลืมไปได้แป๊บนึงแล้วแท้ๆ

    “ถ้าว่าง ไปดูหนังกันนะ”

    “ฉัน... ไม่รู้เหมือนกัน ยังไม่แน่ใจว่าจะไปกับพี่จงฮยอนดีมั้ย”

    “.....”

    “แต่คิดว่าอาจจะไม่ ฉันไม่รู้ว่า...”

    “ถ้าลำบากใจก็ไม่ต้องไปสิ นายไปกับฉันแทนก็ได้”

    คิบอมเพียงแต่ยิ้มให้กับคำชวนนั้น ไม่ได้ตอบตกลงหรือปฏิเสธ แม้ลึกๆแล้วจะรู้ว่าการเอ่ยปากตกลงกับมินโฮจะช่วยให้การปฏิเสธจงฮยอนเป็นไปได้ง่ายขึ้น หากแต่อีกใจหนึ่งกลับอดถามตัวเองไม่ได้ว่า เขาต้องการแบบนั้นจริงๆน่ะเหรอ

     

    ในช่วงที่ตัดสินใจไม่ได้นั้นเอง ฝ่ามือก็ถูกมือของมินโฮกอบกุมเอาไว้ คิบอมหันไปมองเพื่อน หากแต่เจ้าของมืออุ่นกลับไม่พูดอะไรออกมา มินโฮเพียงแค่กุมมือของเขาเอาไว้ท่ามกลางอากาศที่หนาวจัด...


     

    ภายใต้ท้องฟ้าสีหม่น และหิมะที่กำลังตกปรอยลงมา

    มินโฮก้าวขาไปตามถนนเส้นเดิมที่คุ้นเคย ริมฝีปากระบายยิ้มเศร้า รู้ดีว่าเขาทำได้เพียงแค่ช่วยให้มือของคิบอมอุ่นขึ้น...เพียงแค่นั้น

     

     

    ทั้งสองคนหยุดเดินเมื่อมาถึงหน้าหอพักของคิบอม...

     

    มินโฮคลายมือตัวเองออก ร่างสูงส่งยิ้มให้เพื่อนสนิทที่กำลังทำสีหน้าปั้นยากก่อนจะมองผ่านไปยังใครอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลกันนัก

    “ให้ขึ้นไปส่งที่ห้องมั้ย”

    คิบอมส่ายหน้า เหลือบสายตาไปยังจงฮยอนที่ยืนสูบบุหรี่อยู่หน้าตึกแล้วหันกลับมายิ้มตอบมินโฮ

    “ขอบใจนะที่เดินมาเป็นเพื่อน”

    “ก็แค่เดินมาเป็นเพื่อนเท่านั้นเอง”

    มินโฮวางมือบนบ่าคนตรงหน้าพร้อมส่งยิ้มให้เหมือนทุกที จากทางหางตา เขามองเห็นจงฮยอนโยนก้นบุหรี่ทิ้งแล้วเดินกลับเข้าไปในรั้วหอพักโดยไม่หันกลับมามองอีก และดูเหมือนว่าเพื่อนสนิทของเขาจะรู้แล้วเช่นกัน คิบอมชำเลืองสายตาไปมองก่อนจะรีบหันสายตากลับมาหาเขาอย่างรวดเร็ว


     

    “ฉันเข้าตึกก่อนนะ”

    “อืม ส่วนเรื่องดูหนัง ถ้ายังไงบอกฉันอีกทีแล้วกัน”

     

    มินโฮจับตัวคิบอมหมุนพร้อมกับออกแรงผลักจนอีกฝ่ายก้าวเท้าสะดุด ร่างสูงหัวเราะเบาๆก่อนจะเป็นฝ่ายหมุนตัวกลับแล้วค่อยๆก้าวจากมา รอยยิ้มบนใบหน้าเลือนหายแทบจะในทันทีที่หันหลังให้ อะไรบางอย่างภายใต้อกข้างซ้ายกำลังขยับตัวอย่างอ่อนแรง ถึงอย่างนั้นสองขาซึ่งก้าวจากมาก็ยังคงก้าวต่อไปอย่างมั่นคง


     

    ทำได้แค่นี้... และเป็นได้แค่นี้...

    ได้แค่อยู่ใกล้ๆ เป็นได้แค่คนที่อยู่ข้างๆ ไม่มากไปกว่านี้ และไม่มีทางไปได้ไกลกว่านี้...


     

     

    คิบอมมองคนที่ยืนอยู่ตรงประตูทางเข้าหอ ชั่งใจว่าระหว่างเอ่ยทักทายกับเดินผ่านไปโดยไม่ต้องสนใจ แบบไหนจะดีกับตัวเขามากกว่ากัน แต่ในระหว่างที่ยังตัดสินใจไม่ได้นั้นเอง จงฮยอนก็เป็นฝ่ายเดินเข้ามาหยุดยืนตรงหน้า...

    ในขณะที่ยังคิดหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ร่างทั้งร่างก็ถูกจงฮยอนดึงเข้าไปจนชิดพร้อมทั้งใช้สองแขนโอบกอดเอาไว้ คิบอมหลับตาลง ได้กลิ่นบุหรี่จางๆผสมกับกลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคย เพียงแค่นั้น หัวใจก็เต้นแรงเสียจนนึกกลัวว่าเจ้าของอ้อมกอดจะเผลอได้ยินเข้า... เขาไม่อยากให้จงฮยอนได้ยิน ไม่อยากให้รู้แม้กระทั่งว่าคิบอมโหยหาอ้อมกอดของจงฮยอนมากแค่ไหน

    เสียงกระซิบถ้อยคำสั้นๆดังชิดอยู่ข้างหูพร้อมกับอ้อมแขนที่คลายออกอย่างรวดเร็ว คนเอาแต่ใจในความคิดคิบอมส่งรอยยิ้มเศร้ามาให้ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ดีว่าตอนนี้เขากำลังรู้สึกอย่างไร 

    คิบอมมองจงฮยอนที่หันหลังเดินกลับเข้าไปในตึก ทิ้งเขาเอาไว้พร้อมกับคำพูดที่ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจริงใจกับคำพูดของตัวเองมากแค่ไหน คำพูดเดิมๆที่จงฮยอนพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก ต่อให้ฟังซ้ำซักกี่รอบ ความหมายของมันก็ไม่เคยเปลี่ยน


     

    คำว่าขอโทษของจงฮยอน... มันยังมีน้ำหนักพอให้คิบอมเชื่อถือได้อีกมั้ยนะ

     

     

    *******************

     

    .

    .

    .

    คริสต์มาสปีนี้ ไม่มีหิมะ...

     

    ชาดอกไม้กับเค้กชิ้นเล็กถูกวางลงตรงหน้าลูกค้าประจำ มินโฮยิ้มให้เพื่อนสนิทที่วันนี้ก็ยังคงยึดโต๊ะในมุมหนึ่งของร้านเขาเป็นที่พักพิงเพื่อหลบอากาศหนาวเย็นด้านนอก วันนี้คิบอมมาถึงร้านเขาช้ากว่าทุกที คนที่ปกติมักจะใช้เวลาหมดไปกับการนั่งอ่านหนังสือหรือไม่ก็เปิดดูแม็กกาซีนฆ่าเวลา วันนี้กลับเอาแต่นั่งมองแก้วชาตรงหน้าโดยไม่สนใจอะไร  ปล่อยให้ควันสีขาวที่ลอยวนอยู่เหนือปากแก้วค่อยๆจางหายไป กลายเป็นแก้วชาเย็นชืด ร้อนถึงเจ้าของร้านที่ต้องหาแก้วชาแก้วใหม่มาเปลี่ยนให้


     

    “ฉันดื่มได้น่า แค่ตอนนี้ยังไม่อยากดื่มเท่านั้นเอง” คิบอมร้องท้วงเมื่อมินโฮวางแก้วชาใบใหม่ลงตรงหน้า

    “นายไม่ได้ดื่ม แต่นายได้กลิ่น และตอนนี้มันก็ไม่มีกลิ่นแล้ว”

     

    มินโฮมองชาแก้วเก่าบนถาดในมือแล้วเหลือบสายตาไปยังเพื่อนที่กำลังทำสีหน้าใช้ความคิด ทั้งที่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ยื่นมือเข้ามายุ่งให้ตัวเองต้องลำบาก แต่พอเห็นสีหน้าและท่าทางเหมือนเด็กหลงทางของเพื่อนแล้วก็อดไม่ได้ สุดท้ายคนที่ตอนแรกตั้งใจแค่จะนำแก้วชามาเสิร์ฟก็จำต้องนั่งลงบนเก้าอี้ วางถาดไว้ตรงพื้นที่ว่างข้างๆ ทอดสายตามองคนฝั่งตรงข้ามที่เอาแต่นั่งมองวิวนอนหน้าต่าง

     

    “คิบอม... รู้มั้ยว่าฉันอยู่ตรงนี้”

     

    เอ่ยถามออกไปโดยไม่รู้ตัว มารู้อีกทีก็ตอนที่ใบหน้าของเพื่อนสนิทหันกลับมาเอียงคอมองเขาอย่างสงสัยในคำถามนั่น

    “เห็นเอาแต่นั่งเหม่อ” มินโฮพูดพลางหัวเราะ ดีใจที่หาทางออกให้ตัวเองได้โดยที่คิบอมไม่นึกติดใจอะไร

    “ตกลงคิดได้หรือยังว่าจะไปดูหนังกับฉันหรือว่าจะกลับห้องเลย”

    “ฉัน...”

    คิบอมเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเลือกทางไหนดี

    “อยากไปกับฉันมั้ย?” คนที่เฝ้ารอคำตอบเอ่ยถามในที่สุด “...นายเลือกได้นะ”

    “ฉัน...”

     

    มินโฮมองเพื่อนที่เอาแต่ก้มหน้า ทั้งที่เขาควรจะเป็นฝ่ายเจ็บปวดกับท่าทีของคิบอม แต่เอาเข้าจริงเขากลับไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลยซักนิด เขาอยากจะช่วย อยากจะแบ่งปันเอาความลำบากใจที่อีกฝ่ายมีมาแบกไว้บนบ่าของตัวเอง อยากจะทำอะไรก็ได้ให้คนตรงหน้าเขาตอนนี้มีแต่รอยยิ้ม... อยากจะทำทุกอย่าง ทุกทางที่เขาสามารถทำได้



     

    “ฉันอยากไปเจอเขา”



     

    คิบอมเงยหน้าขึ้นมา สบตามินโฮที่นิ่งไป

    “ฉันควรไปเจอเขามั้ย”

    คนที่ไม่ได้เตรียมใจว่าจะต้องเจอคำถามตรงไปตรงมาแบบนี้เงียบไปอึดใจ ก่อนจะค่อยๆฉีกยิ้มแล้วรีบพยักหน้าให้

    “ควรสิ”

    “แต่ฉันไม่แน่ใจ”


    คิบอมมองควันสีขาวที่ยังลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือปากแก้วชา ดูเหมือนว่าความไม่แน่ใจจะกัดกินความมั่นใจของเขาจนแทบไม่มีเหลือ... นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเลิกกับจงฮยอน พวกเขาทะเลาะกัน บอกเลิกกัน กลับมาคบกัน ทะเลาะกัน และจบลงด้วยการเลิกกัน ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าถ้าหากกลับไปคบกันอีกครั้งแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น ถ้าหากต้องเลิกกันอีก คิบอมกลัวว่ามันอาจเป็นครั้งสุดท้าย กลัวว่าเขาอาจจะต้องบอกลาจงฮยอนจริงๆในสักวันหนึ่ง

     

    วันที่จงฮยอนเหนื่อยเกินกว่าจะวิ่งตามเขา...


     

    “ถ้าคิดว่าไม่ไหวก็อย่าดันทุรัง”

    “.....”

    “แต่ถ้าคิดว่ายังไปไหวก็ห้ามหยุดเด็ดขาด”

    พูดออกไปจนได้... พูดในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความรู้สึกของตัวเองออกไปจนได้

     

    มินโฮลอบมองท่าทางที่ของคิบอมแล้วตัดสินใจลุกขึ้นยืน ฝ่ามือกว้างวางลงบนบ่าของเพื่อนก่อนจะบีบเบาๆ ทว่าในจังหวะที่เดินจากมานั้นเอง เสียงครูดเก้าอี้กับพื้นจากทางด้านหลังกลับเรียกให้มินโฮต้องหันมาอีกครั้ง ใบหน้าของเพื่อนตอนนี้ดูคล้ายมั่นใจในอะไรบางอย่าง... บางอย่างที่มินโฮพอจะรู้ว่าคืออะไร

    “ฉันไม่แน่ใจว่ามันจะโอเค” น้ำเสียงคนพูดสั่นในตอนแรก “แต่ฉันอยากลองดูอีกครั้ง และถ้ามันพลาดอีก ฉันก็จะลองอีก จะลองไปจนกว่าพี่จงฮยอนเขาจะไม่ต้องการฉัน”

    “.....”

    เจ็บ... เจ็บอย่างที่คิดเอาไว้ ถึงอย่างนั้นรอยยิ้มของมินโฮในตอนนี้ก็ออกมาจากใจ เป็นรอยยิ้มแบบที่เขาเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะสามารถทำมันได้

     

    คนตัวสูงพยักหน้า นึกดีใจที่การกระทำของเขาช่วยทำให้คิบอมยิ้มออกมาได้ในที่สุด

    “ถ้างั้นจะรออะไร รีบไปหาเขาสิ”

    “แต่...เขาอาจจะไม่อยู่รอแล้ว”

    ไม่รู้ตัวเลยว่านั่งอยู่ที่นี่มาร่วมสามชั่วโมงแล้ว คิบอมละสายตาจากวิวด้านนอกมายังเพื่อนสนิท ที่ตอนนี้เดินเข้ามาหยุดยืนตรงหน้า

    “งั้นก็ต้องรีบไป” มินโฮพูดแล้วหันไปหยิบกระเป๋าสะพายของคิบอมขึ้นมา จัดการคล้องเข้าแขนของเพื่อนให้เรียบร้อย

    “แต่ถ้าไปแล้วเขาไม่อยู่รอจริงๆ... โทรหาฉันนะ ฉันจะรีบไป”

    คิบอมเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าของคำพูด มีหลายอย่างที่อยากบอกเพื่อนคนนี้ แต่ไม่เป็นไร... ยังมีเวลาอีกมากสำหรับเขาและมินโฮ

    “ขอบใจนะ”



     

    มินโฮมองแผ่นหลังที่เริ่มห่างออกไปไกลผ่านประตูแก้ว แสงไฟข้างนอกในเทศกาลแห่งความสุขนี้ส่องสว่างจนเขาสามารถมองตามคิบอมไปได้เรื่อยๆแม้ผู้คนด้านนอกจะมากแค่ไหนก็ตาม

                 เจ้าของร้านยิ้มกับตัวเองเมื่อร่างของคิบอมค่อยๆกลืนหายไปกับฝูงชนในที่สุด 
    ชายหนุ่มเดินกลับมานั่งที่ประจำด้านหลังเคาท์เตอร์ ปลายนิ้วกดปุ่มเครื่องเล่นเพลง หวังให้เสียงเพลงช่วยขับกล่อมความเศร้าในจิตใจออกไป ทีละเล็ก ทีละน้อย


    สำหรับมินโฮแล้ว คำว่าเพื่อนสนิทมันเป็นกำแพงที่กว้างใหญ่เกินไป แม้จะเคยคิดอยากข้ามกำแพงนั้นไปซักแค่ไหน แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ หากยิ่งฝืนทำอะไรตามใจตัวเองมากเกินพอดี สุดท้ายคนที่จะตกจากกำแพงลงมาเจ็บหนักคงหนีไม่พ้นตัวเขาเอง ตราบเท่าที่ยังสามารถทำได้ มินโฮหวังเพียงแค่...เมื่อไหร่ก็ตามที่คิบอมอ่อนล้าจนเกินไป อีกฝ่ายจะหันมาเห็นว่าเขายังยืนอยู่ตรงนี้เสมอ

     

    เหมือนภูเขาที่กดถ่วงหัวใจเอาไว้มานานได้ถูกยกออก แม้จะถูกยกออกไปอย่างไม่ระมัดระวังจนเศษหินเผลอบาดเนื้อเข้า แต่อีกเดี๋ยวมันก็จะหาย อีกเดี๋ยวมันก็ผ่านไป และแผลนี้...ก็จะแห้งสนิทเอง

     

    เขาก็แค่ต้องรอ...

     

     

    *******************

     

     

    ถ้าเธอต้องการจากฉันไปจริงๆ

    มีเพียงสองสิ่งที่ฉันอยากขอร้องให้เธอช่วยโกหกกัน

    ได้โปรดยิ้มให้ฉัน และบอกฉันทีว่าทั้งหมดเป็นแค่เรื่องล้อเล่น

    ได้โปรดกอดฉันเอาไว้ และบอกฉันที ว่าพรุ่งนี้เราจะพบกัน...อีกครั้ง

     

     

    คิบอมก้าวไปข้างหน้าอย่างรีบเร่ง ไม่มีเวลาแม้แต่จะหันไปขอโทษคนที่ตัวเองเดินชน ริมฝีปากคลี่ยิ้ม หัวใจเต้นแรงจนคิดว่าคงไม่สามารถควบคุมมันไว้ได้


    คนเรามักจะเป็นแบบนี้เหมือนกันหมดรึเปล่านะ

    ช่วงเวลาที่ยากที่สุดก็คือช่วงเวลาที่ต้องตัดสินใจว่าจะเลือกทางซ้ายหรือขวา หากแต่พอได้ลองตัดสินใจเลือกเดินไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูง่ายจนน่าหัวเราะ

    เด็กหนุ่มมองกลุ่มคนตรงหน้าที่กำลังพากันแหงนมองต้นคริสต์มาสต้นใหญ่ ริมฝีปากหอบอากาศเย็นเฉียบเข้าสู่ร่างกายเพื่อช่วยบรรเทาความเหนื่อยหอบตลอดเส้นทางที่วิ่งมา นาฬิกาข้อมือถูกยกขึ้นดูเวลา ก่อนที่สายตาจะกวาดมองไปรอบๆตัวเพื่อมองหาใครบางคน

     

    “ผมเอาแต่ใจใช่มั้ยล่ะ ถ้ามันทำให้พี่เหนื่อยนักก็เลิกกันสิ เลิกกันก็ได้!

     

    ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายเอ่ยลาก่อนแท้ๆ แต่ก็ยังคอยคิดถึงอยู่ทุกวัน กลัวอยู่ลึกๆว่าจะหันมาแล้วไม่เจอเขายืนอยู่ที่เดิม กลัวเหลือเกินว่าคำว่า รอ ของจงฮยอนจะหายไปในซักวัน...

     

    “.....”

     

    คิบอมก้มหน้าลงกับพื้น ก่อนจะค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา จ้องตรงไปยังคนที่เอาแต่ยืนมองเขานิ่งอยู่ไม่ไกล


     

    สองขาก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อน

    สองมือซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าเสื้อโค๊ทเพื่อควานหาไออุ่น

    สองตาไม่ละไปไหน สบนิ่งกับดวงตาคมของคนที่ระยะห่างลดน้อยลงทุกที

     

    “ผมคิดว่าจะมาไม่ทันแล้ว”

    เอ่ยเสียงแผ่วจนไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายได้ยินรึเปล่า

    “ผม...”

    ในจังหวะที่ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อ คนตรงหน้าก็ทิ้งน้ำหนักลงบนไหล่ของเขา ศีรษะของจงฮยอนซบนิ่งอยู่อย่างนั้น นานจนคิบอมไม่กล้าขยับตัว

    “พี่... ยังอยากคบกับผมต่อมั้ย”

     ไม่รู้ว่าตอนที่จงฮยอนขอคบกับเขาในครั้งแรกนั่น เจ้าตัวจะรอคอยคำตอบด้วยความรู้สึกไม่มั่นใจเหมือนเขาในตอนนี้ไหม ทั้งคาดหวัง แต่ทว่าก็อึดอัดจนไม่อยากได้ยินคำตอบ


     

    จงฮยอนกุมมือของคิบอมที่แนบอยู่ข้างลำตัวเอาไว้ คำถามของคิบอมตอบไม่ยากเลย... ไม่ยากเลยซักนิด


    “นึกว่าจะไม่มาแล้ว”

    เสียงสั่นๆเอ่ยออกมา พร้อมกับแรงบีบกระชับสองมือที่แน่นขึ้น

    จงฮยอนผละตัวออกช้าๆ มองเด็กหนุ่มตรงหน้านิ่ง ไม่รู้ตัวเลยว่าดวงตาของตัวเองเริ่มแดงขึ้นทีละน้อยจนคนที่กำลังสบตากลับมาอดใจเสียไม่ได้

    “ไม่จบแค่นี้แน่”

    “พี่จงฮยอน...”

    “ยังไปได้ไกลกว่านี้... เรื่องของเรา ต้องไปได้ไกลกว่านี้แน่

    คิบอมมองจงฮยอนที่เอาแต่ก้มหน้านิ่ง เลื่อนสายตาไปยังไหล่หนาที่สะท้อนขึ้นลง ก่อนจะค่อยๆดึงมือตัวเองออกแล้วเปลี่ยนมากุมมือของอีกฝ่ายไว้แทน

    “พี่ยังไม่ตอบผมเลยนะ”

    ถึงจะเอ่ยถามออกไปแต่จงฮยอนก็ยังเอาแต่นิ่งเงียบ ในความรู้สึกตอนนี้ช่างยาวนานจนคิบอมคิดว่าเขาคงไม่สามารถเฝ้ารอคำตอบจากจงฮยอนได้แล้ว

     

    “อย่าเอาแต่ร้องไห้สิ เงยหน้าตอบผมก่อน”

     

    พอถูกแหย่ด้วยน้ำเสียงร่าเริง คนที่กำลังสูดน้ำมูกฟุดฟิดก็หลุดหัวเราะออกมา จงฮยอนเงยหน้าขึ้น พยักหน้ารัวๆโดยไม่เสียเวลาคิด ในวินาทีนั้นเอง ฝ่ามือของคิบอมก็เลื่อนขึ้นสัมผัสผิวแก้มทั้งสองข้าง สบตาคมที่ยังคงแดงเรื่อแล้วโถมตัวเข้ากอดจงฮยอนไว้โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว

    “ขอบคุณนะที่รอ ผมคิดว่าพี่จะไม่รอผมแล้ว”

    “ต้องรอสิ ถึงไม่มาพี่ก็รอ พี่รอได้... ถ้าเป็นคิบอม จะให้รอนานแค่ไหนก็ได้”

    “... รู้แล้ว”

     

    ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอบอุ่นจากอ้อมแขนของจงฮยอนหรืออะไรกันแน่ถึงทำให้คนที่เพิ่งจะยิ้มและหัวเราะเมื่อครู่ จู่ๆก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะร้องไห้ออกมา คิบอมสูดหายใจลึก กระชับสองแขนของตัวเองให้แน่นขึ้นเมื่อจงฮยอนทำท่าจะถอยห่างออกไป

     

    “กอดผมอีกสิ อย่าเพิ่งปล่อยนะ”


     

    หิมะกำลังตก... ดูเหมือนว่าวันนี้อากาศจะหนาวเกินไป ถึงทำให้เขาพูดจาแปลกๆออกมาแบบนี้


     

    ท่ามกลามความมืด อากาศเย็นเฉียบ และหิมะที่กำลังพากันโรยตัวลงมา บริเวณลานกว้างที่มีต้นคริสต์มาสต้นใหญ่ตั้งเด่นเป็นศูนย์กลาง ที่นั่น... คิบอมกำลังยิ้ม


     

    ยิ้มให้ตัวเองขณะถูกคนสำคัญกอดเอาไว้แน่น

    เพิ่งรู้เหมือนกันว่าอ้อมกอดของจงฮยอนไม่ได้ช่วยแค่ให้ร่างกายอุ่นขึ้น... แต่ยังช่วยให้หัวใจของเขาอุ่นตามไปด้วย

     

     

    *******************

     

     

    กลิ่นชาหอมๆในช่วงเช้าของวันสิ้นปีส่งกลิ่นอบอวลไปทั่วร้านตั้งแต่คิบอมผลักประตูเข้ามา เจ้าของร้านในชุดกันเปื้อนสีครีมส่งยิ้มให้ลูกค้าคนแรกของวัน ก่อนจะมองเลยไปยังลูกค้าคนที่สองซึ่งก้าวตามคิบอมมาติดๆ


     

    “ขอชา... ชาอะไรนะที่วันนั้นนายชงให้ฉัน ห๊อมหอม”

    มินโฮมองคนที่ยื่นหน้าข้ามเคาท์เตอร์มาหาแล้วเอ่ยปากตอบ

    “ดอกลาเวนเดอร์”

    “นั่นแหละ ขอแก้วนึงนะ แล้วพี่จงฮยอนเอาอะไรดี เอาชาเหมือนผมมั้ย” คิบอมหันหน้าไปถามคนที่เดินมาหยุดยื่นอยู่ข้างๆ

    “พี่ขอเป็นกาแฟดีกว่า... เอกเพรซโซ่ร้อนแก้วนึงนะ”

    มินโฮพยักหน้ารับออเดอร์ มองเพื่อนสนิทตัวเองที่กึ่งลากกึ่งจูงจงฮยอนให้เดินไปหาที่นั่งในร้านแล้วจึงหันกลับมา...



     

    อาจเพราะเป็นวันสิ้นปีจึงทำให้ร้านมีลูกค้าเข้าออกตั้งแต่เช้า มินโฮวุ่นอยู่กับงานในมือจนไม่มีเวลามานั่งคุยกับคิบอมและจงฮยอน นานๆทีถึงจะเงยหน้าขึ้นมามอง และทุกครั้ง ภาพที่เห็นก็จะเป็นภาพของคิบอมที่เอาแต่คุยจ้ออย่างอารมณ์ดี โดยมีจงฮยอนนั่งกอดอก ฟังไปเรื่อยๆโดยไม่เอ่ยขัด

    ริมฝีปากระบายยิ้มกับตัวเอง จำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นคิบอมอารมณ์ดีแบบนี้มันผ่านมากี่เดือนแล้ว นานจนเขาเกือบลืมไปแล้วว่าคิบอมเองก็มีมุมด้านนี้เหมือนกัน

     

     

    “ไปก่อนนะ แล้วไว้จะแวะมาใหม่ ว่าแต่พรุ่งนี้นายปิดร้านรึเปล่า?”

    “ยังไม่แน่ใจ ว่าจะปิด แต่ก็ไม่รู้จะไปไหน”

    “หยุดพักผ่อนบ้างเถอะน่า หาเวลาให้ตัวเองซะบ้าง จะได้ไม่ต้องโสดข้ามปีข้ามชาติ”

    มินโฮเพียงแต่ส่งยิ้มให้กับคำแนะนำนั่น สายตาไล่ตามคิบอมที่รีบเดินกลับไปหาจงฮยอนซึ่งยืนรออยู่ มองคนสองคนที่พากันจับมือก้าวออกจากร้านเขาไป...


     

    ชายหนุ่มเดินไปยังโต๊ะที่คิบอมกับจงฮยอนจับจองกันตั้งแต่เช้า ในจังหวะที่กำลังก้มตัวเก็บถ้วยชาของคิบอมนั้นเอง คำพูดของเพื่อนเมื่อครู่ก็ดังขึ้นมาอีกรอบ


     

    หาเวลาให้ตัวเองงั้นเหรอ?


     

    นั่นสินะ... ดูเหมือนว่าเขาจะต้องหาเวลาให้ตัวเองซะบ้าง

    พรุ่งนี้ก็เป็นวันใหม่ ปีใหม่แล้ว... เขาเอง ก็ต้องเป็นคนใหม่เหมือนกัน

     

    มินโฮยิ้มออกมาขณะเดินกลับไปที่เคาท์เตอร์...

     

     

    END.

     

     

    Thank  Beautiful theme... nuenghae

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×