คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : [SF] The Person I Love [3/3] by LiTAz
[ 3/3 ]
“นายจะทำยังไงต่อ”
ควีบุนถามน้องชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ขณะที่คนถูกถามเอาแต่นั่งมองไอสีขาวบนปากแก้วโกโก้ในมือตัวเอง ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองเธอเลย
สองอาทิตย์แล้วตั้งแต่วันนั้น... มินโฮพาคิบอมกลับมาในสภาพที่พี่สาวอย่างเธอถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ คิบอมเอาแต่ร้องไห้ ขังตัวเองไว้ในห้องสี่เหลี่ยม ไม่ว่าควีบุนจะเอ่ยถามเท่าไหร่ก็ไม่ยอมเปิดปากตอบ มินโฮยืนยันคำเดิมว่าต้องให้เวลาคิบอม
วันนั้น... ควีบุนไม่รู้จริงๆว่าเวลาที่มินโฮว่ามันจะนานแค่ไหน
คิบอมยังคงไปเรียนหนังสือตามปกติ ถึงแม้มินโฮจะบอกว่าน้องชายของเธอแทบไม่ได้หันหน้ามองกระดานเลยก็ตาม คิบอมพูดน้อยลงไปเยอะ บางวันก็แทบจะไม่พูดอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นควีบุนก็รู้ดี ว่าภายใต้ความอ่อนแอที่เห็นอยู่นี้... อะไรบางอย่างบอกเธอว่าคิบอมกำลังขอเวลาคิดและตัดสินใจ
และอะไรบางอย่างที่ว่านั้นก็บอกเธอว่า วันนี้คิบอมพร้อมแล้ว...
“เรารักเค้า”
เด็กหนุ่มพูดพลางเงยหน้าขึ้นสบตาพี่สาว แววตาที่สะท้อนจากลูกแก้วสีเข้มดูแน่วแน่อย่างคนตัดสินใจได้
“และเราก็รู้ ว่าเค้าก็รักเราเหมือนกัน... มันไม่ใช่ซีรีส์แบบที่นายเคยดู เราไม่ใช่นางเอกที่ปลอมตัวเป็นผู้ชายแบบนั้น เรื่องของเรามันตรงกันข้าม”
ไม่มีน้ำตา... ไม่มีความหวาดกลัว...
“เราไม่อยากเลิกรักเค้าทั้งแบบนี้ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงช่วงสั้นๆ แต่ตลอดเวลานั้นเค้าไม่เคยทำอะไรให้เรารู้สึกไม่ดีเลย เค้าดีกับเราทุกอย่าง เพราะฉะนั้น... ถ้าทำได้ เราอยากจะรักษาคนดีๆแบบเค้าเอาไว้”
ไม่ผิดจากที่คิด ถึงอย่างนั้นลึกๆก็ยังแอบหวังว่าจะไม่ออกเป็นแบบนี้ แต่ในเมื่อคิบอมเลือกแล้วเธอจะทำอะไรได้... ควีบุนลุกจากเก้าอี้ ขณะกำลังจะก้าวเข้าไปถึงตัว น้องชายก็ลุกขึ้นยืน สองแขนสวมกอดและกันเอาไว้
“นายเข้าใจเราใช่มั้ย”
“เข้าใจสิ เราเข้าใจนายทุกอย่างนั่นแหละ”
“ขอบใจนะ”
“เด็กโง่ คำๆนี้ไม่จำเป็นเลย”
“…If he’s the right man for you, you can’t just let him slip on by…”
อเมริกาโน่ร้อนตรงหน้าเริ่มอุ่นขึ้นทีละน้อย...
คิบอมไล่สายตาบนหน้าหนังสือทีละหน้า จดชอทโน้ตสำคัญๆลงไปบนสมุดอีกเล่มที่เปิดกางอยู่คู่กัน เด็กหนุ่มลากปากกาเน้นข้อความสีสันสดใสลงไปบนตัวหนังสืออีกรอบ กาดอกจันทน์สำทับจนมินโฮที่นั่งอยู่ข้างๆถึงกับส่ายหน้า
“ถ้ามันสำคัญขนาดนั้น คุณเพื่อนไม่กินมันเข้าไปเลยล่ะครับ”
“ยุ่งน่า” คิบอมส่งค้อนให้แล้วหันหน้ากลับไปจดจ่อหนังสือเรียนของตัวเองต่อ
ครึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาละเลยกับเรื่องเรียนมากเกินไปแล้ว ฉะนั้นก่อนช่วงสอบมิดเทอมจะมาถึง คิบอมจึงต้องรีบเคลียร์บทเรียนทั้งหมดให้เรียบร้อย ไม่อยากให้เรื่องของจงฮยอนเพียงเรื่องเดียวมากลบความสำคัญของเรื่องอื่นไปจนหมด
เพราะถ้าหากสุดท้ายแล้วเรื่องของจงฮยอนจะไม่สำเร็จอย่างที่หวังเอาไว้ อย่างน้อยเรื่องเรียนก็จะช่วยทำให้เขายังคงภูมิใจในตัวเองต่อไปได้
“คีย์กุน”
“หืมม์?” ส่งเสียงโดยไม่หันหน้าไปมอง
“พี่จงฮยอนมาแล้ว” มินโฮเอ่ยกระซิบ
คิบอมเงยหน้าขึ้น มองคนที่ก้าวลงบันไดตึกมาพร้อมกับเพื่อนในภาค
กว่าสองอาทิตย์ที่ไม่ได้เห็นหน้าดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังสบายดี ทำไมนะ... เพียงแค่ได้เห็นหน้าจงฮยอนหัวใจก็เต้นแรงได้ถึงขนาดนี้
คนตกเป็นเป้าสายตาชะงักนิ่งหลังจากก้าวลงบันไดขั้นสุดท้าย ท่าทางของจงฮยอนดูประหลาดใจ ดวงตาคมจ้องกลับมา ก่อนจะเบือนหน้ากลับไปคุยกับเพื่อนตามเดิม
“ดะ เดี๋ยวฉันมานะ” คิบอมพูดกับเพื่อน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงตื่นเต้นนัก
แก้วอเมริกาโน่ที่เริ่มอุ่นถูกคว้าขึ้นมา คิบอมเดินเข้าไปใกล้จงฮยอน ละล้าละลังเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังถูกเพื่อนในภาคล้อมตัวเอาไว้ มือสองข้างที่กุมแก้วกาแฟไว้นั้นเย็นเฉียบ ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน ยืนรออย่างใจเย็นจนกระทั่งนักศึกษากลุ่มใหญ่ตรงหน้าเริ่มแยกย้ายกันไป
อนยูที่เพิ่งสังเกตเห็นคิบอมเบิกตากว้าง เหลือบสายตามองเพื่อนซึ่งแกล้งทำเป็นไม่รับรู้กับการมาของเด็กคณะบริหารแล้วได้แต่ยกมือขึ้นเกาหัว ตัดสินใจไม่ถูกว่าควรจะยืนอยู่ข้างเพื่อนตัวเองตามเดิมหรือเดินแยกออกไปดีกว่ากัน
“พี่จงฮยอน...”
คิบอมเดินเข้าไปใกล้ ไม่ได้สนใจว่าอนยูจะยังอยู่หรือไม่... แก้วอเมริกาโน่ยื่นออกไปตรงหน้า จงฮยอนเพียงแค่ปรายสายตามองโดยไม่พูดอะไร
“ผมซื้อมาฝาก”
คิบอมฝืนยิ้ม มองคนตรงหน้าที่ยังยืนนิ่งโดยไม่สนใจแก้วกาแฟในมือเขาแม้แต่น้อย หัวใจบีบรัดกับท่าที่ที่ได้รับ โดยไม่รู้ตัว... คิบอมฉวยมือของจงฮยอนเอาไว้เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะเดินหนีไป
“ผมขอโทษ” พูดพร้อมกับดึงมือตัวเองกลับคืนมาอย่างตกใจ ในหัวมีแต่คำว่า ‘พลาด’ เต็มไปหมด ... เขาไม่อยากเข้าใกล้จงฮยอนแบบนี้ตั้งแต่ครั้งแรก
“ทำอะไร” เสียงทุ้มติดจะหงุดหงิดถามขึ้น
“มะ หมายถึงกาแฟ หรือว่าจับมือ” เงยหน้าขึ้นมาถามก่อนจะรีบก้มหน้าลงตามเดิมเมื่อเห็นสายตาของอีกฝ่าย
“กาแฟ”
“กาแฟ?” คิบอมมองแก้วอเมริกาโน่ในมือตัวเองแล้วร้องอ๋อขึ้นมา “ก็พี่ชอบนิ่” พูดจบก็ส่งยิ้มให้
“ผมแค่อยากให้ พี่ช่วยรับมันไว้ก็พอ” เอ่ยถ้อยคำที่เตรียมมาให้ฟัง “แค่รับมันเอาไว้”
จงฮยอนมองแก้วกาแฟในมือคิบอม เลื่อนสายตาขึ้นมองรอยยิ้มฝืนๆกับดวงตาที่เริ่มแดงเรื่อแล้วรีบหันหน้าหนี
ทั้งที่คิดว่าคงจะต้องบอกลากันทั้งแบบนั้น แต่คิบอมก็ยังจะเดินกลับมา กลับมาพร้อมคำว่ารักที่สื่อออกทางสายตาจนเขาสัมผัสได้
“ไปกันเถอะ” หันไปพูดกับอนยูแล้วเดินนำไป ปล่อยแก้วกาแฟทิ้งไว้ในมือของคนที่ซื้อมันมา...
“โอเคป่ะวะ” มินโฮถามหลังจากคิบอมเดินคอตกกลับมาที่ม้าหินตามเดิม
“ไม่” ตอบตามตรง หันไปมองแผ่นหลังของจงฮยอนที่เริ่มห่างออกไปทุกที เด็กหนุ่มถอนหายใจแล้วหันมารวบหนังสือเรียนรวมทั้งสมุดโน้ตใส่กระเป๋าเป้
“แต่แกไม่รู้อะไร พี่จงฮยอนน่ะใจดีจะตาย เดี๋ยวเขาก็หายโกรธฉันเองแหละ”
“ถามจริงเฮอะ... อยากร้องไห้รึเปล่า”
คิบอมจัดการรูดซิปกระเป๋าแล้วหันไปสบตาเพื่อน ส่ายหน้าไปมาแทนคำตอบ
“ไม่ใช่เวลามานั่งร้องไห้แล้วมินโฮ... ใช่ว่าฉันไม่รู้ ความจริงแล้วพี่จงฮยอนไม่ได้โกรธฉันหรอก เขาก็ชอบฉันนั่นแหละ แค่เขาชอบฉันในโหมดผู้หญิงเท่านั้นเอง พอฉันกลายเป็นผู้ชายขึ้นมาก็เลยทำให้เขาสับสนและก็วางตัวไม่ถูก แต่ถ้าเราจะรักกัน ฉันก็ต้องทำให้เขารักฉันที่เป็นแบบนี้ให้ได้”
คิบอมยิ้มให้ตัวเอง ยกแก้วกาแฟที่ถูกละเลยขึ้นดื่มจนหมดแล้วคว้ากระเป๋าเป้ขึ้นสะพายบ่า
“ฉันจะไม่ยอมแพ้ แต่ถ้าวันไหนไม่ไหวขึ้นมา... ฉันจะร้องไห้ดังๆ เอาให้แกรำคาญไปเลย” พูดจบก็ลุกจากเก้าอี้หินแล้วก้าวเดินไปทางเดียวกับที่จงฮยอนเดินไปเมื่อครู่
สองอาทิตย์ของการคิดทบทวน คิบอมตัดสินใจแล้วว่าจะยังคงวิ่งต่อไป มันอาจจะเหนื่อยก็จริง แต่ถ้าเอาแต่เดินย่ำอยู่กับที่หรือก้าวถอยหลัง เขาคิดว่าตัวเองคงจะต้องเสียใจมากกว่า
จงฮยอนไม่เคยชอบผู้ชาย ข้อนั้นเขารู้ และก็เข้าใจดีด้วย เพราะฉะนั้นถึงได้ตัดสินใจว่าจะไม่หยุด อยากจะพยายาม... อยากรอจนถึงวันที่อีกฝ่ายจะมองข้ามสามัญสำนึกและรูปลักษณ์ภายนอก รอจนถึงวันที่จงฮยอนพร้อมจะมองลึกลงไปให้ถึงจิตใจที่ซ่อนอยู่ข้างในตัวเขา
ตัดสินใจแล้ว... ว่าจะรอจนกว่าวันนั้นจะมาถึง
มินโฮยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นอีกซักพัก มองเด็กสถาปัตย์ฯที่พากันจับกลุ่มอยู่ใต้ตึกคณะอย่างใช้ความคิด... แต่ไม่ว่าจะคิดยังไงก็คิดไม่ออก ไม่รู้จริงๆว่าในสถานการณ์ตอนนี้ตัวเขาสามารถทำอะไรได้บ้าง
ในระหว่างที่กำลังใช้หัวสมองค้นหาวิธีอยู่นั้นเอง ก็รู้สึกได้ถึงแรงผลักเบาๆบริเวณหัวไหล่ ครั้นพอเงยหน้าขึ้นกลับพบนักศึกษารุ่นพี่อีกคนที่ตัวเองรู้จัก
“มานั่งทำไรอยู่คณะฉันตั้งแต่ต้นเทอมวะ” อีกฝ่ายดูจะแปลกใจไม่แพ้กัน
“ผมแวะมาหาพี่อนยู แล้วนี่พี่จะกลับยัง?”
“กลับดิ่ นัดน้องเอาไว้... อนยูมันกลับไปแล้วนิ่ เห็นลงมาพร้อมกับจงฮยอน”
“อือ เจอกันแล้ว ว่าแต่พี่จะออกไปหน้ามหา’ลัยเลยป่ะ? ผมไปด้วยดิ่”
มินโฮลุกขึ้นยืน และในจังหวะที่กำลังคว้ากระเป๋าขึ้นมาสะพายนั้นเอง หัวสมองที่ทำงานหนักมาหลายวันก็คิดหาวิธีช่วยเพื่อนจนได้
“พี่!” เด็กหนุ่มเอ่ยเรียกคนที่เดินนำอยู่ด้านหน้า “พี่ยังอยากได้เบอร์ของซันฮวาอยู่ป่ะ”
“ซันฮวา? ฮันซันฮวาที่อยู่คณะบัญชี?”
มินโฮพยักหน้า ชูโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้น รอยยิ้มร้ายปรากฏตรงมุมปาก
“ผมจะให้พี่ แลกกับที่พี่ต้องช่วยผมอย่างนึง”
คิบอมนั่งรถไฟคนละสายกับทางกลับบ้านตัวเอง สองแขนกอดกระเป๋าเอาไว้ สองตาจ้องมองไปยังคนที่ยืนอยู่ตรงมุมประตู โคลงหัวไปมากับการกระทำที่ดูเหมือนพวกสโตรกเกอร์ของตัวเอง ต่างกันตรงที่พวกนั้นจะระมัดระวังตัวไม่ให้เป้าหมายสังเกตเห็น ในขณะที่คิบอมไม่คิดจะหลบซ่อนตัวเลยซักนิด ตอนที่จงฮยอนหันมาเห็นก็ส่งยิ้มเปิดเผยไปให้ อีกฝ่ายดูทั้งตกใจและแปลกใจกับการกระทำของเขาไม่น้อย พอส่งมือบ๊ายบายให้จงฮยอนก็หันออกไปมองวิวด้านนอกและไม่หันกลับมามองเขาอีกเลย
บ้านของจงฮยอนอยู่ห่างจากสถานีรถไฟใต้ดินพอสมควร ใช้เวลาเดินเท้าเกือบๆสิบห้านาที คิบอมเดินตามจงฮยอนโดยรักษาระยะห่างเอาไว้ ไม่คิดจะเดินเข้าไปใกล้กว่านี้หรือชวนคุยอะไร เพราะการที่อีกฝ่ายไม่หันกลับมาไล่เขาก็ถือว่าดีมากแล้ว ถ้าหากเข้าไปสร้างความรำคาญให้มากกว่านี้น่ากลัวว่าจงฮยอนอาจจะโกรธขึ้นมาจริงๆ
ยืนรอจนอีกฝ่ายเดินเข้าบ้านไปแล้วจึงค่อยๆก้าวไปหยุดอยู่หน้าประตูรั้ว วางกาแฟกระป๋องที่แวะซื้อจากตู้หยอดเหรียญในสถานีรถไฟลงบนพื้นคอนกรีต ยิ้มให้กำลังใจตัวเองก่อนจะหันหลังกลับทางเดิม
วงเวียนไปเช่นนี้ทุกวัน...
“ไง พ่อหนุ่มสโตรกเกอร์ ถามจริงๆเถอะ ตึกบริหารไม่มีโต๊ะให้นั่งแล้วหรือไงถึงต้องหอบสังขารมานี่ได้ทุกวัน” อนยูถามพร้อมกับเดินเข้าไปหาคนที่กำลังนั่งเล่นมือถือตัวเองอยู่
คิบอมเงยหน้าขึ้นก่อนจะส่งยิ้มให้คนแก่กว่า เด็กหนุ่มยกมือขยับแว่นตัวเองแล้วสอดสายตามองหาใครบางคนที่มักจะเดินมาพร้อมกับอนยู
“คุยกับอาจารย์อยู่ เดี๋ยวก็ตามลงมา” พูดพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกตัวที่ว่าง “แล้วนี่มินโฮไม่มาด้วยเหรอ”
“วันนี้คลาสบ่ายอาจารย์ยกเลิก หมอนั่นก็เลยขอกลับก่อน บอกว่าขี้เกียจรอ” คิบอมตอบ หันไปส่งยิ้มให้นักศึกษารุ่นพี่ต่างคณะอีกคนที่เพิ่งเดินเข้ามาร่วมวง
“ไงจ๊ะน้องคีย์คนน่ารัก แหม่ วันนี้ก็น่ารักอีกแล้วนะเรา”
คนถูกชมขยับตัวเล็กน้อยเมื่อผู้มาใหม่ก้าวมานั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดียวกัน
“ตรงนี้ก็ว่าง แกจะไปนั่งเบียดน้องมันทำไมวะกวางฮี” อนยูเอ่ยพลางส่ายหน้า นึกหน่ายกับนิสัยชอบหยอดเล็กหยอดน้อยของเพื่อนในกลุ่ม
“บ่นไรครับคุณอนยู น้องคีย์ยังไม่เห็นบ่นเลย เน๊อะ” ส่งเสียงเป็นเชิงถามพร้อมกับหันมายักคิ้วให้
คิบอมเพียงแต่พยักหน้ารับ เพราะเป็นโต๊ะม้าหิน เก้าอี้ไม่ได้เล็กมาก จึงพอจะนั่งสองคนได้อย่างสบาย ไม่ได้รู้สึกอึดอัดเพราะโดนเบียดเลยแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็นึกดีใจกับความหวังดีที่อนยูมีให้
มินโฮบอกว่าอนยูเคยไม่พอใจในตัวเขามาก ถึงแม้ตอนเป็นผู้หญิงจะไม่ได้พูดคุยกันอย่างสนิทสนมมากนัก แต่อีกฝ่ายก็มีรอยยิ้มใจดีให้เขาเสมอ พอรู้ความจริงขึ้นมาก็เลยอดโมโหไม่ได้ แต่หลังจากที่มินโฮพาเขาเข้าไปขอโทษอีกฝ่ายตรงๆ รวมถึงอธิบายเหตุผลทั้งหมดให้ฟัง บอกแม้แต่ความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อจงฮยอนตอนนี้ ยืนยันว่านอกจากการปลอมตัวเป็นผู้หญิงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำลงไปมาจากความรู้สึกที่จริงใจทั้งหมด ท่าทีของอีกฝ่ายก็ค่อยๆเปลี่ยนไปในทางทีดีขึ้น
“วันนี้มีเลี้ยงวันเกิดจียูนซะด้วยสิ มินโฮไม่อยู่ด้วยแบบนี้กลับเลยดีกว่ามั้ง ดูท่าจะดึก”
คิบอมที่เพิ่งเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงหันไปมองอนยู “เลี้ยงวันเกิดเหรอครับ?”
“อืม วันเกิดเพื่อนในภาคน่ะ อย่าตามไปเลย”
รีบพูดเมื่อเห็นคนเด็กกว่าทำท่าจะพูดอะไรขึ้นมา... ต้องรีบห้าม เพราะถ้าไม่ห้ามคิบอมก็จะตามจงฮยอนไปทุกทีนั่นแหละ แรกๆยังคิดว่าจะตามแค่จากมหา’ลัยถึงบ้าน แต่หลังๆถึงได้รู้ว่าจุดประสงค์ของคิบอมคือการตามจงฮยอนไปทุกทีที่อีกฝ่ายไป เคยถามว่าทำแบบนี้ทำไม อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
‘ผมก็กำลังทำให้พี่เค้าชินกับการมีผมอยู่ใกล้ๆไง’
ไม่รู้ว่าจะช่วยทำให้ชินหรือรำคาญมากกว่ากัน...
อนยูลอบมองใบหน้าของคิบอมที่ยู่เข้าหากันแล้วนึกแปลกใจไม่น้อย ตอนเป็นผู้หญิงเขาคุยกับเด็กคนนี้แทบนับคำได้ แต่พอตอนนี้ ดูเหมือนว่าการคุยกับคิบอมจะไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย ทุกวันที่เขาต้องเห็นเด็กนี่มานั่งอยู่บนเก้าอี้ของโต๊ะตัวนี้ เขาว่ามันไร้สาระ แต่ก็ไม่รู้จะพูดกับอีกฝ่ายยังไงให้เข้าใจ
“จงฮยอน!! นายจะไม่ไปงานเลี้ยงวันเกิดฉันเหรอ? ไม่ได้นะ!”
เสียงตะโกนแสบแก้วหูมาพร้อมกับการปรากฏตัวของเจ้าของชื่อ คิบอมมองคนที่เดินลงบันไดมาพร้อมกับเพื่อนร่วมภาค สองแขนของหญิงสาวกอดเกี่ยวอยู่ที่แขนซ้ายของจงฮยอน
“ผัวเมียคู่นี้มันจะตีอะไรกันทั้งวันวะ” คำพูดของกวางฮีดึงสายตาของคิบอมไปจนหมด เด็กหนุ่มหันมามองคนพูด ตกใจกับถ้อยคำที่คนข้างๆเลือกใช้
“ไอ้กวางฮี! ปากเหรอวะที่พูด” อนยูขว้างเศษกิ่งไม้มาจากฝั่งตรงข้าง
“เอ้า พูดความจริง ฉันได้ยินยัยจียูนถามจงฮยอนมันตั้งแต่เช้า ไอ้บ้านี่ก็กั๊กอยู่นั่น”
อนยูเถียงอะไรกวางฮีตอบกลับมา แต่คิบอมไม่ได้สนใจฟัง เด็กหนุ่มเอาแต่มองจงฮยอนที่กำลังเดินลงบันไดมาพร้อมกับหญิงสาวหน้าตาดีคนนั้น อะไรบางอย่างในอกแล่นพล่านจนเจ็บหนึบ ยิ่งอีกฝ่ายไม่สนใจเขามากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกแย่มากขึ้นเรื่อยๆ
คิบอมนั่งรออยู่ตรงนั้นอีกราวๆครึ่งชั่วโมงกว่านักศึกษากลุ่มใหญ่จะตกลงกันเรียบร้อย จงฮยอนตอบตกลงเมื่อถูกเจ้าของงานจี้ถามไม่หยุด อนยูลากกวางฮีซึ่งพยายามชวนแต่คิบอมคุยไปร่วมวงกับเพื่อน ก่อนที่ทั้งหมดจะค่อยๆแยกย้ายกัน
เด็กหนุ่มยืนคว้างอยู่หน้าตึกคณะสถาปัตย์ฯ ทอดสายตามองจงฮยอนที่กำลังเดินไปทางลานจอดรถกับเพื่อนอีกสามคนแล้วตัดสินใจเดินแยกมาอีกทาง ถ้ามีมินโฮอยู่ด้วยเขาอาจจะชวนคนตัวสูงให้ไปเป็นเพื่อนกัน แต่ในเมื่อมินโฮไม่อยู่ และอนยูก็บอกว่าไม่ควรตามไป ฉะนั้น ถ้ายังดื้อจะตามไปอีกคงไม่วายถูกเกลียดเข้าให้ซักวัน
คิบอมมั่นใจมาตลอดว่าจงฮยอนรักเขา แต่ความเฉยชาที่ได้รับทุกวันนั้นก็มากพอจะสั่นคลอนความมั่นใจที่มีอยู่ให้ลดลงทีละนิด
เสียงฟ้าร้องดังตั้งแต่คิบอมก้าวเท้าออกจากรั้วมหา’ลัย ถึงอย่างนั้นสองขาก็ยังคงก้าวต่อไปเรื่อยๆ
ดูเหมือนว่า... คืนนี้ฝนจะตกหนัก...
จงฮยอนแตะเบรกบริเวณหน้าประตูรั้วแล้วผลักประตูรถออกไป รองเท้าคู่เก่งย่ำไปบนพื้นถนนที่เจิ่งนองด้วยน้ำฝน นึกดีใจที่ถูกเพื่อนลากให้ไปต่อ ไม่งั้นมีหวังต้องขับรถฝ่าพายุฝนกลับบ้านเป็นแน่ นาฬิกาข้อมือถูกพลิกขึ้นดูเวลา ก่อนจะพบว่าล่วงเข้าวันใหม่มาได้เกือบสองชั่วโมงแล้ว
“จงฮีนะจงฮี บอกกีที่แล้วว่าอย่าลืมล๊อคประตู” บ่นพึมพำเมื่อเดินมาถึงประตูรั้วแล้วพบว่าไม่ได้คล้องกุญแจเอาไว้ จงฮยอนเดินกลับมายังรถ กำลังจะยัดตัวกลับเข้าไปข้างใน สายตาก็เหลือบไปเห็นก้อนกลมๆข้างเสาไฟฟ้า ชายหนุ่มนิ่วหน้า พยายามทบทวนว่าก่อนออกจากบ้านเมื่อเช้ามีเจ้าก้อนที่ว่านี้มาวางอยู่แล้วหรือยัง หลังจากแน่ใจว่าไม่ สองขาก็ค่อยๆสาวเท้าเข้าไปใกล้
ก้อนที่ว่าใหญ่พอๆกับขนาดของคนๆหนึ่ง...
จงฮยอนกระชากเสื้อคลุมสีเข้มที่คลุมร่างข้างใต้ออก ใบหน้าซีดๆหลบซ่อนอยู่หลังกระเป๋าเป้สีสันสดใส แว่นสายตาที่อีกฝ่ายสวมเป็นประจำร่วงตกวางอยู่บนตัก เส้นผมเปียกลู่ล้อมกรอบใบหน้า เสื้อผ้าเปียกชื้น ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายนั่งอยู่ตรงนี้มาแล้วหลายชั่วโมง
“คีย์! ตื่น! เด็กบ้านี่... คิบอม! ตื่นเดี๋ยวนี้!!” เอ่ยเรียกพร้อมกับเขย่าตัวคนที่ไม่แน่ใจว่าแค่นอนหลับหรือสลบไปแล้วกันแน่
“พี่บอกให้ตื่น! คิบอม!!”
“หืมม์...?” คนถูกปลุกส่งเสียงงัวเงีย ลืมตาขึ้นมา ภาพของคนตรงหน้าพร่าเลือน...
“เด็กบ้า!” จงฮยอนกระแทกเสียงอย่างโมโห หยิบแว่นตาที่ร่วงขึ้นมากระแทกใส่หน้าของคิบอมจนอีกฝ่ายถึงกับร้องครวญ
“เจ็บนะ” บ่นพร้อมกับลูบสันจมูกตัวเอง คิบอมขยับแว่นให้เข้าที่แล้วไล่สายตาไปรอบๆตัวอย่างมึนงง ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อหันมาสบตาจงฮยอน
“พี่...”
“เป็นบ้าไปแล้วหรือไง!”
สองมือยกขึ้นอุดหูตัวเองทันควัน ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ ข้อมือก็ถูกฉุดบังคับให้ลุกขึ้นยืน
“พี่...ดะ เดี๋ยวสิ... เหน็บ... เหน็บกิน...” คิบอมโอดครวญเมื่อถูกจงฮยอนลากถูลู่ถูกัง ขาสองข้างแทบไม่มีแรง แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจ จงฮยอนเปิดประตูรถแล้วยัดคิบอมเข้าไป พร้อมทั้งจัดการคาดเข็มขัดนิรภัยให้เสร็จสรรพ
“ดีแค่ไหนที่ไม่ถูกฟ้าผ่า ใครที่ไหนบอกนายว่าเวลาฝนตกให้ไปนั่งหลบอยู่ใต้เสาไฟฟ้าห๊า!” จงฮยอนตะโกนถามลั่นรถหลังจากทิ้งตัวลงนั่งบนเบาะฝั่งคนขับ
“ก็...” คิบอมเม้มริมฝีปากเข้าหากันเมื่อถูกคนข้างๆตวัดสายตามองมาอย่างเอาเรื่อง
“ฉันจะบ้าตายกับนาย!”
จงฮยอนสบถออกมาอีกสองสามประโยค มองคนที่นั่งตัวลีบกอดกระเป๋าตัวเองเอาไว้แล้วก็ยิ่งโมโห
“นายนี่มันตัวปัญหาของแท้เลย”
“ผมไม่ได้...” คำพูดถูกขัดเมื่อเสื้อโค๊ทซึ่งวางพาดอยู่หลังเบาะคนขับถูกโยนใส่หน้า คิบอมรับมันเอาไว้แล้วเงยหน้ามองเจ้าของรถที่สตาร์ทเครื่องเรียบร้อย ถ้อยคำมากมายถูกกลืนหายไปในลำคอ หากแต่อะไรบางอย่างกลับเต็มตื้นอยู่ในอกแทน
เด็กหนุ่มก้มมองเสื้อโค๊ทสีดำของจงฮยอนในมือตัวเองแล้วหันกลับมามองทางด้านหน้า ยกเสื้อขึ้นคลุมตัวเองเอาไว้จนถึงจมูก กลิ่นโคโลญที่จงฮยอนใช้เป็นประจำยังติดอยู่จางๆ และเพียงแค่ได้กลิ่นนั้นก็พลอยทำให้ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาเมื่อคิดขึ้นได้ว่า เขาไม่ได้สูดกลิ่นของจงฮยอนมานานมากแล้ว
เป็นช่วงเวลาที่ถูกความเงียบปกคลุมเอาไว้ ได้ยินเพียงแค่เสียงแอร์จากคอนโซลหน้ารถ
“อ๊ะ! แย่แล้ว” ดูเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ คิบอมล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา ไม่ผิดจากที่คาด... หน้าจอดับสนิท กดยังไงก็ไม่มีวี่แววจะติดเลยซักนิด
“ไม่นะ เครื่องนี้เก็บเงินเป็นปีเลยนะ ติดสิติด” แต่ไม่ว่าจะกดเท่าไหร่ กดท่าไหน หน้าจอโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟนก็ยังคงดับสนิทเหมือนเดิม คิบอมพิงศีรษะกับเบาะหลังจากเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเสื้ออย่างยอมแพ้
วิวข้างทางเปลี่ยนไปเรื่อยๆ อาจเพราะว่าดึกมากแล้วบนท้องถนนก็เลยโล่งอย่างน่าเสียดาย คิบอมขดตัวเข้าหาริมประตู ทั้งหนาว ทั้งเพลีย ทั้งง่วง อยากจะหลับให้รู้แล้วรู้รอด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอดทนถ่างตาไว้... เขาอยากอยู่กับจงฮยอนแบบนี้ต่อไปอีกนานๆ
จู่ๆหน้าต่างด้านข้างก็ถูกเลื่อนลง ดูเหมือนจงฮยอนจะจัดการปิดแอร์แล้ว
“ขอบคุณครับ”
ส่งเสียงตอบไปอย่างอู้อี้หลังจากสูดน้ำมูก แกล้งไอออกมาเนื่องจากไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าที่เสียงบี้อยู่ตอนนี้เพราะกำลังร้องไห้
“อย่ายื่นหัวออกไป”
เสียงทุ้มเอ่ยปรามเมื่อคิบอมพาดศีรษะตัวเองลงกับขอบกระจก เด็กหนุ่มดันตัวกลับ และครั้งนี้ก็ไม่มีแม้แต่เสียงขานรับ คิบอมพยักหน้ารัวๆหลังจากดึงเสื้อโค๊ทขึ้นคลุมหน้าจนมิด
จงฮยอนปรายตามองคนที่หลบตัวอยู่หลังเสื้อโค๊ทของเขาแล้วเบนสายตากลับมายังถนนด้านหน้าตามเดิม นึกโมโหตัวเองที่อยากให้เส้นทางนี้ยาวไกลไปจนหาจุดหมายปลายทางไม่เจอ
โซนาต้าสีขาวจอดเทียบตรงฟุตบาตรหน้าคอนโดฯ คิบอมซึ่งยื่นหน้าออกจากเสื้อโค๊ทมาได้ซักพักปลดล็อคเข็มขัดนิรภัย เด็กหนุ่มเหลือบสายตามองเสี้ยวหน้าด้านข้างของจงฮยอนแล้วหลุบสายตากลับมาตามเดิม
“ขอบคุณนะครับที่มาส่ง”
อีกฝ่ายไม่ตอบอะไร
“เสื้อพี่เปียกหมดแล้ว ไว้ผมจะซักมาคืนนะ”
“ไม่เป็นไร”
“แต่ว่า...”
“ดึกแล้ว”
ดูเหมือนอีกฝ่ายต้องการจะตัดบทกับเขาเพียงแค่นี้
คิบอมก้าวลงจากรถ ถือเสื้อโค๊ทสีดำติดมือลงมาด้วย ไม่สนใจว่าเจ้าของของมันจะบอกว่าเป็นหรือไม่เป็นไร
“พี่จงฮยอน” เอ่ยเรียกพร้อมกับย่อตัวลงให้ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับกระจกรถ
“พี่รำคาญผมมากรึเปล่า? พี่จะรำคาญผมเท่าไหร่ก็ได้นะ ขออย่างเดียว ปล่อยให้ผมทำในสิ่งที่อยากทำ... ถ้าวันไหนผมเหนื่อย ผมจะหยุดของผมเอง”
มือที่กำรอบพวงมาลัยรถเกร็งขึ้นโดยที่คิบอมไม่ทันสังเกตเห็น...
“แล้วก็ ผมรู้ว่าพี่อาจจะลืม แต่ว่า... เสื้อตัวนี้ผมขอนะ ถือว่าเป็นของขวัญวันเกิดสำหรับผมปีนี้แล้วกัน”
“ขับรถดีๆนะครับ”
คิบอมโค้งตัวลง หันหลังเดินเข้าคอนโดฯพร้อมกับกอดเสื้อโค๊ทไว้แนบอก
สองมือซึ่งกำรอบพวงมาลัยรถไว้แน่นคลายออกช้าๆ จงฮยอนเอนศีรษะพิงกับเบาะ ระบายลมหายใจออกมาพร้อมกับปิดเปลือกตาลง ก้อนเนื้อตรงอกข้างซ้ายยังคงเต้นแรงไม่หยุด ตลอดทางที่ขับรถมา กลัวเหลือเกินว่าความเงียบที่เกิดขึ้นจะทำให้อีกฝ่ายได้ยินมัน
จงฮยอนยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู ตัวเลขเล็กๆบนหน้าปัดบอกให้รู้ว่าล่วงเข้าวันที่24มาสองชั่วโมงกว่าแล้ว...
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคิบอมถึงไปรอเขาอยู่แบบนั้น...
“…It’s a fool who looks for logic in the chamber of the human heart…”
บางทีจงฮยอนอาจจะเป็นคนโง่คนนั้นก็ได้
“เฮ้ย ทำไมงานไม่เพิ่มเลยวะ” อนยูพูดพร้อมกับชะโงกหน้ามองกระดาษเขียนแบบของเพื่อน
“กำหนดส่งพรุ่งนี้นะโว้ยยย” ระบายอารมณ์ตึงเครียดของตัวเองแล้วหันไปมองงานของเพื่อนคนอื่นๆ ให้แน่ใจว่างานกลุ่มที่แบ่งหน้าที่กันรับผิดชอบนั้นเดินหน้าไปอย่างที่ควรจะเป็น
“ก็กำลังคิดอยู่” จงฮยอนตอบ เคาะปลายนิ้วลงบนพื้นโต๊ะม้าหิน
“ไอ้ที่ว่าคิดนี่ คิดถึงใครป่ะวะ” กวางฮีเงยหน้าขึ้นมาทัก คลี่ยิ้มร่าเมื่อถูกสายตาคมๆของเพื่อนตวัดมอง
อนยูขมวดคิ้วมุ่น หันไปหากวางฮีพลางเลิกคิ้วสูงอย่างสงสัย
“เอ้า นี่แกไม่ได้สังเกตเหรอว่าวันนี้น้องคีย์ไม่มา” กวางฮีตอบ ก้มหน้าแรเงาบนแผ่นกระดาษสีขาวต่อ
“เออว่ะ ไม่ได้สังเกต” อนยูหันไปมองโต๊ะม้าหินที่คิบอมมักจะยึดครองไว้ราวกับเป็นโต๊ะส่วนตัว แต่วันนี้มันกลับว่างเปล่า “แปลก”
“แบบนี้ต้องโทรหา” ไม่พูดเปล่า กวางฮีล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วต่อสายถึงบุคคลที่กลายเป็นหัวข้อสนทนาทันที “อ่าว ไม่ติดว่ะ” พอลองกดโทรอีกรอบก็ยังไม่สามารถติดต่อได้เหมือนเดิม
“ทำไมมึงมีเบอร์น้องเค้าด้วยวะ” มินอู... เพื่อนอีกคนในกลุ่มเงยหน้าถามอย่างสงสัย
“กูเก่งไง หลอกขอเค้ามาได้ อยากได้ป่ะ? แต่กูไม่ให้หรอก อิอิ”
อนยูมองกวางฮีที่เอาแต่หัวเราะคิกคักแล้วหันหน้าไปหาเพื่อนสนิท ไม่แน่ใจว่าภายใต้สีหน้านิ่งเฉยที่จงฮยอนแสดงออกมานั้นเจ้าตัวกำลังคิดอะไรอยู่
“มินอูมันจะอยากได้ไปทำไม เบอร์ผู้ชาย ไม่ใช่เบอร์ผู้หญิง” อนยูหันหน้ากลับไปพูดกับกวางฮี
“จริง กูไม่ใช่พวกโฮโมนะเว้ย”
“ใครสนวะ” กวางฮียิ้มมุมปาก วางดินสอไม้ในมือลงแล้วท้าวสองแขนลงบนโต๊ะ มองอนยูที มินอูที แล้วหันไปสบตากับจงฮยอน
“กูก็ไม่ใช่โฮโม แต่กับคนนี้... กูอยากลอง”
“.....”
มินอูอ้าปากค้าง เช่นเดียวกับอนยูที่มองหน้าคนฝั่งตรงข้ามอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“เด็กนั่นหน้าตาดีจะตายไป น่ากลัวว่าถ้าได้ลองซักทีจะติดใจไม่อยากเลิก”
“พอเฮอะ” มินอูเอ่ยปราม คว้ากระดาษเขียนแบบของตัวเองที่เพิ่งทำเสร็จส่งให้เพื่อน “เอาไปทำต่อไป จะได้เลิกฟุ้งซ่าน”
กวางฮีปรายตามอง วางแผ่นงานลงบนพื้นที่ว่างของเก้าอี้ข้างตัว
“อยากเห็นหน้าตอนกูทำให้ถึงฉิบหาย”
“.....”
“พ่อจะเล่นให้ร้องครางทั้งคืน...”
“จงฮยอน! หยุด!!!” อนยูตะโกนห้ามพร้อมกับรั้งแขนของเพื่อนที่เงื้อขึ้นสูงเอาไว้ เช่นเดียวกับมินอูที่รีบวิ่งมาคั่นกลาง ใช้สองแขนยกขึ้นดันอกกวางฮีกับจงฮยอนเอาไว้ ความวุ่นวายซึ่งเกิดขึ้นในชั่วพริบตาดึงดูดความสนใจจากเพื่อนร่วมภาคให้หันมามองเป็นตาเดียว
“มึงจะทำไรกู” กวางฮีตะโกนถามพร้อมกับส่งยิ้มยั่ว
จงฮยอนข่มกรามแน่น ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม ปลายหมัดห่างจากใบหน้าของเพื่อนไม่ถึงคืบ สบตากวางฮีที่จ้องตรงมาอย่างท้าทาย ก่อนจะตัดใจลงมือลงในท้ายที่สุด
ชายหนุ่มคว้ากระเป๋าสัมภาระแล้วหันหลังเดินแยกออกมา ไม่สนใจเสียงตะโกนเรียกของอนยูรวมถึงสายตาอีกหลายสิบคู่
ปลายเท้าเตะอัดพื้นถนนหลังเดินพ้นตึกคณะ หวังดับอารมณ์ที่กำลังเดือดพล่านของตน หัวใจเต้นแรง สองมือสั่นๆยกขึ้นลูบหน้า สัมผัสได้ถึงเม็ดเหงื่อที่ไหลซึมออกมาตามไรผม
"โธ่เว้ย!"
เกลียดคิบอมที่เป็นต้นเหตุให้เขาทำอะไรไม่สมกับเป็นตัวเอง ถึงอย่างนั้นกลับเกลียดตัวเองมากกว่าที่จนถึงตอนนี้ก็ยังเอาแต่คิดถึงคนต้นเหตุนั้นไม่เลิก
กระวนกระวาย ทุกข์ใจ แค่เห็นคิบอมส่งยิ้มให้คนอื่นก็หงุดหงิด ทั้งที่ควรจะรำคาญแต่กลับชอบใจเมื่อถูกไล่ตาม ยิ่งเห็นอีกฝ่ายทุ่มเทให้มากแค่ไหนก็ยิ่งมีความสุข โมโหตัวเองที่เอาแต่คอยมองหา... คาดหวังทุกวันว่าหมอนั่นจะแวะมานั่งรออยู่ใต้ตึก
เกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็หยุดตัวเองไม่ได้...
"เจริญมาก ทิ้งงานเอาไว้แล้วหนีมานั่งดื่มอยู่นี่"
อนยูพูดหลังจากทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้หมุนหน้าเคาท์เตอร์บาร์ หันไปขอแก้วกับพนักงานแล้วหันกลับมาหาเพื่อน
"กวางฮีมันก็ปากไวแบบนี้อยู่แล้ว"
"เรื่องของมัน"
"เอาน่า ขอโทษแล้วก็ถือว่าจบกันไป"
จงฮยอนหมุนแก้วในมือเล่น ไม่ตอบอะไร
"แต่ว่า... ดูเหมือนหมอนั่นจะเล็งคีย์อยู่จริงๆ"
"....."
"กันๆไว้หน่อยก็ดี กวางฮีเวลาบ้ามันยิ่งบ้าไม่เหมือนใครอยู่"
แก้วซึ่งถูกหมุนเล่นในมือหยุดค้างหลังจากอนยูพูดจบ จงฮยอนจัดการเครื่องดื่มที่ยังเหลือติดก้นแก้วจนหมด ก่อนจะคว้ากุญแจรถแล้วลุกหนีออกมา
"ถูกทิ้งแล้วนะครับ" พนักงานที่ยืนอยู่อีกฝั่งของเคาท์เตอร์พูดพร้อมกับยื่นแก้วทรงสูงให้ อนยูพยักหน้า ยิ้มน้อยๆขณะรับแก้วมา
"ปล่อยมันไปเถอะ ไอ้พวกปากไม่ตรงกับใจพรรค์นั้น อยู่ด้วยมากๆแล้วหงุดหงิด"
"คนหนุ่มก็แบบนี้"
"พูดเหมือนตัวเองแก่?"
"เค้าเรียกว่าเป็นผู้ใหญ่ครับ... อีกแก้วมั้ย?"
"ไม่ล่ะ พรุ่งนี้มีงานต้องส่งอาจารย์ ไปก่อนนะ" ธนบัตรถูกวางลงบนโต๊ะข้างแก้ว อนยูลุกจากเก้าอี้แล้วเดินตรงไปยังทางออก ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ ร่างสมส่วนหันกลับมาหาพนักงานคนเดิมที่ยังคงยืนมองเขาอยู่
"จุน วันเสาร์นี้นายทำงานมั้ย"
"วันเสาร์นี้ซึงโฮมาแทนครับ"
"อ่าวเหรอ... งั้นไม่เป็นไร"
"แต่ถ้าอนยูจะแวะมา ผมขอแลกเวรกับซึงโฮได้นะ"
"อ่า... อืม ฉันจะแวะมา"
ให้คำยืนยันแล้วหันตัวกลับมาตามเดิม ทิ้งอีจุนที่ยืนอยู่ตำแหน่งเดิมไว้พร้อมกับรอยยิ้มมุมปาก
*******************
ฝนตกหนักจนน่าเบื่อ...
จงฮยอนยื่นมือออกไปลดอุณหภูมิความเย็นของแอร์ภายในรถ สองแขนยกขึ้นกอดตัวเองเอาไว้หลังจากปรับเบาะให้เอนตัวลง สอดส่ายสายตาผ่านที่ปัดน้ำฝนหน้ารถไปยังคอนโดฯขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่อีกฝากของถนน
ดูเหมือนจะกลายเป็นคนโง่ไปแล้วจริงๆ
ดึกดื่นขนาดนี้ยังจะมาจอดรถตากฝน นั่งหนาวอยู่ในรถเพียงลำพัง ครั้นจะหยิบเอาเสื้อคลุมตัวเก่งที่มักจะเก็บไว้ในรถเสมอมาห่อตัว ก็นึกขึ้นได้ว่าถูกใครบางคนยึดเป็นของขวัญวันเกิดไปแล้วเมื่อคืนวาน
ยอมรับว่าผิดหวังที่เมื่อบ่ายเดินลงบันไดมาแล้วไม่พบคนที่ควรพบเหมือนทุกวันรออยู่ใต้ตึก แต่พอคิดดูอีกทีจึงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนเจ้าตัวไปนั่งตากฝนรอเขาอยู่ร่วมหกชั่วโมง ไม่แปลกถ้าจะไม่สบายจนมาเรียนไม่ไหว หรือถึงจะมาเรียนไหวก็คงหมดแรงมานั่งส่งยิ้มให้เขาอยู่ดี
ทั้งที่รู้อย่างนั้นแต่ก็ยังหงุดหงิดเมื่อคิบอมหายไปจากสายตา
จงฮยอนสตาร์ทรถแล้วค่อยๆหมุนพวงมาลัยเข้าสู่ถนนเส้นหลัก... ตอนอีกฝ่ายเป็น'ผู้หญิง'เขายังไม่เคยต้องทำอะไรแบบนี้เลย... มาเฝ้ามองบ้านเค้าเพื่อจะได้หายคิดถึงแบบนี้ น่าทุเรศตัวเองชะมัด
สองขาที่กำลังก้าวตรงไปยังห้องนอนหยุดอยู่หน้าห้องของน้องสาวเมื่อเห็นแสงไฟลอดผ่านช่องประตูออกมา คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน อดแปลกใจไม่ได้ว่าดึกป่านนี้แล้วทำไมน้องสาวที่มีเรียน7โมงเช้าในวันพรุ่งนี้ถึงยังไม่หลับไม่นอนอีก ฝ่ามือหนากำรอบลูกบิดประตูแล้วออกแรงผลักเข้าไป
“จงฮี ทำอะไรอยู่”
คนที่นั่งมองอะไรอยู่ในมือตัวเองสะดุ้งทันทีหลังจากได้ยินเสียงทักของพี่ชาย เด็กสาวยัดของบางอย่างในมือลงไปใต้หมอน ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นคลุมกระดาษสีหวานลายต่างๆซึ่งกระจัดกระจายอยู่เต็มเตียง จงฮยอนมองการกระทำนั้นอย่างงุนงงปนขำ
“เตรียมของขวัญให้ใครอยู่”
ถามพร้อมกับเดินไปนั่งอยู่ตรงปลายเตียง จงฮยอนกระชากผ้าห่มสีฟ้าอ่อนที่จงฮีพยายามยื้อเอาไว้ออก คนเป็นน้องส่งเสียงฮึดฮัด ปล่อยหมัดเล็กๆลงบนไหล่ด้านหลังของพี่ชายดังอั๊ก
“เด็กบ้า...” จงฮยอนโอดครวญ แกล้งทิ้งตัวลงนอนพร้อมกับพลิกตัวไปมา
“สมน้ำหน้า!” จงฮีลงเสียงหนัก ก่อนจะยกเท้าขึ้นยันตัวจงฮยอนแล้วออกแรงถีบจนอีกฝ่ายกลิ้งตกเตียงลงไปกองอยู่บนพื้น
“ยัยซู่โม่!”
จงฮยอนกล่าวหลังจากยันตัวขึ้นมาเกาะของเตียงเรียบร้อย ชายหนุ่มมองสีหน้าบึ้งตื้งของน้องสาวแล้วหัวเราะร่า รู้ดีเลยล่ะว่าถ้าได้ลองลงมือลงเท้าแบบนี้แปลว่าเจ้าตัวกำลังเขินอะไรอยู่ และถ้าให้ทาย เขาว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับกระดาษห่อของขวัญพวกนี้แน่
“เตรียมของขวัญให้แฟนเหรอ?” พอถามเสียงกลั้วหัวเราะออกไปก็โดนหมอนข้างลอยมากระแทกหน้าเต็มๆ
“ไม่ใช่แฟน! คะ ใครจะอยากได้ยัยนั่นเป็นแฟนกัน” จงฮีตะโกนปฏิเสธ รอยแดงจางๆปรากฏอยู่ข้างแก้ม
“เอ๋ ผู้หญิงหรอกเหรอ?” คนที่เอาแต่หัวเราะร่วนในตอนแรกชะงักไปกับคำพูดที่เพิ่งได้ยินผ่านหู
จงฮีส่งค้อนให้พี่ชายแล้วล้วงมือเข้าไปใต้หมอน หยิบของบางอย่างที่ซ่อนเอาไว้ออกมา
ริบบิ้นผูกผมสีขาวลายจุดสีชมพู กับริบบิ้นสีชมพูลายจุดสีขาว...
“พี่ว่าให้ของแบบนี้เป็นของขวัญวันเกิด คนรับจะชอบมั้ย?”
ท่าทางเอียงอายแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนทำเอาจงฮยอนถึงกับตอบไม่ถูก ครั้นพอถูกรบเร้าเข้าจึงค่อยก้มหน้ามองริบบิ้นสองเส้นในมือน้องสาวอย่างจริงจัง
“จะให้ทั้งสองเส้นเลยเหรอ?”
“บ้า! ใครจะให้สองเส้นกัน ของเค้าเส้นนึงสิ!”
“อ่อ ไว้ใช้คู่กัน”
พอพูดออกไปก็ถูกฝ่ามือเล็กๆฟาดลงบนต้นแขนอย่างแรง
“อะไร?!”
“พูดทำไม!”
แก้มสีชมพูแดงเรื่อ เรียกร้อยยิ้มให้ติดอยู่ตรงมุมปากของคนเป็นพี่อย่างง่ายดาย
“วันเกิดเพื่อนเหรอ?” สุดท้ายก็เลิกล้มความคิดอยากแกล้ง จงฮยอนขยับตัวขึ้นไปนั่งอยู่ข้างน้องสาว ใช้ปลายนิ้วลูบไปบนริบบิ้นสีหวานทั้งสองเส้น
“อื้อ ไม่ค่อยสนิทหรอก แต่วันเกิดทั้งทีก็เลย... ตกลงพี่ว่าไง”
“ว่าไงว่า?”
“เอ้า ก็ที่ถามไปไง พี่ว่าให้ของแบบนี้เป็นของขวัญวันเกิดคนรับจะชอบมั้ย?”
“ต้องชอบสิ! ก็จงฮีตั้งใจให้เค้านิ่ อะไรที่เราตั้งใจให้ ยังไงคนรับเค้าก็ต้องรู้สึกดีที่ได้รับอยู่แล้ว”
“พี่คิดงั้น?”
“คิดงั้นสิ! ว่าแต่วันเกิดใคร? พี่รู้จักรึเปล่า? หรือว่าวันเกิดแทยอน?” ถามไปถึงเพื่อนสนิทของน้องสาว หากแต่ได้รับปฏิกิริยาส่ายหน้าคืนมาแทน
“พี่นี่! ก็บอกไปแล้วไงว่าไม่ค่อยสนิท แล้วจะเป็นแทยอนไปได้ไงเล่า”
“จริงด้วยแฮะ”
“เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ พี่ต้องรู้จักสิ พี่ยังเคยถามเค้าอยู่เลย จำได้มั้ยตอนที่เค้าออกค่ายน่ะ ควีบุนไง เมื่อวานวันเกิดควีบุน”
ชื่อที่หลุดออกจากปากของน้องสาวลบรอยยิ้มขอจงฮยอนแทบจะในทันที แต่ดูเหมือนคนพูดจะไม่ทันได้สังเกต
“อาทิตย์หน้ามีนัดเลี้ยงวันเกิดให้ควีบุนล่ะ ตอนแรกว่าจะจัดอาทิตย์นี้ แต่อาจารย์นัดสอบเก็บคะแนนวันจันทร์พอดีก็เลยเลื่อนออกไป ดีเหมือนกัน นี่ยังสรุปไม่ได้เลยว่าจะจัดที่ไหน ตอนแรกว่าจะไปผับ แต่เดี๋ยวคงต้องดูอีกที”
จงฮีพูดพร้อมกับจัดการเลือกริบบิ้นหนึ่งเส้นใส่ลงในกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ
“วันเกิดควีบุนปีที่แล้วเค้าไม่ได้ไป ก็...นะ ตอนนั้นยังไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่ แต่จะว่าไปตอนนี้ก็ใช่ว่าจะสนิทขึ้นกว่าเดิม คุยกันทีไรจบด้วยทะเลาะกันทุกที”
“แล้วทำไมถึงอยากจะซื้อของขวัญให้เค้าอีกล่ะ” จงฮยอนถาม มองท่าทีของน้องสาวอย่างนึกแปลกใจ
“ก็แค่อยากให้ ไม่ได้เหรอ?” ถามกลับหลังจากวางกล่องสี่เหลี่ยมรวมทั้งกระดาษห่อของขวัญลงบนโต๊ะข้างเตียง
จงฮีหันกลับมามองพี่ชายที่ยังนั่งนิ่งพร้อมทั้งส่งสายตาเป็นเชิงตั้งคำถามมาให้
“ไม่มีเหตุผลใช่มั้ยล่ะ? แต่บางทีเหตุผลก็ไม่จำเป็นสำหรับเรื่องบางเรื่องหรอก” พูดพลางยัดตัวเองเข้าไปซุกอยู่ใต้ผ้าห่ม ดวงตากลมใสจ้องตรงไปยังพี่ชาย
“พี่...”
“ว่าไง?”
“ไม่ได้ชอบควีบุนจริงๆนะ?”
“.....”
“แต่... ถ้าพี่ชอบ...”
“พี่ไม่ได้ชอบคนชื่อควีบุน ไม่เคยชอบ” พูดก่อนจะส่งยิ้มให้ ยืนยันคำตอบของตัวเองไปพร้อมกับรอยยิ้มนั้น “ดึกแล้ว นอนซะ พรุ่งนี้มีเรียนเช้าไม่ใช่เหรอ”
จงฮยอนตบผ้าห่มเบาๆ ฝ่ามือลูบลงบนศีรษะของน้องสาวแล้วเอื้อมมือไปปิดสวิทช์โคมไฟ
“เดี๋ยวพี่...” จงฮีเอ่ยเรียกอีกหนเมื่อพี่ชายกำลังจะเปิดประตูออกไป “ไม่อยากรู้เหรอว่าทำไมเค้าถึงเลิกหาคำตอบของเหตุผล”
“...ทำไมล่ะ?”
“เพราะสำหรับเค้า การจะเจอคนที่ทำให้เราสบายใจเพียงแค่ได้อยู่ใกล้ๆ มันยากกว่าการยอมรับในสิ่งที่เราเป็นเยอะเลย... แค่นั้นแหละ”
ผ้าห่มถูกดึงขึ้นคลุมจนมิด จงฮยอนมองร่างของจงฮีที่กลืนหายไปกับความมืดในห้องแล้วก้าวออกมา ไม่ลืมปิดประตูให้อย่างเบามือ
ชายหนุ่มล้วงโทรศัพท์มือถือรวมทั้งกระเป๋าสตางค์ออกมาวางบนโต๊ะอ่านหนังสือแล้วเดินไปทิ้งตัวลงบนเตียงกว้าง สองมือยกขึ้นปิดหน้า... อยากจะหัวเราะให้ตัวเองที่แม้แต่ในเวลานี้ก็ยังคิดถึงรอยยิ้มชวนมองนั่น คิดถึงกลิ่นหอมๆเวลาที่เขากดจมูกลงบนแก้มนุ่ม หรือแม้แต่ความรู้สึกที่จะเหมือนจะละลายยามได้สัมผัสริมฝีปากสีอ่อน
แต่ครั้นจะให้‘ยอมรับ’อย่างที่จงฮีว่าแล้วกลับไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ให้ทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เขาก็ทำไม่ได้
ตอนนี้... สับสนจนไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงต่อไป
*******************
“ไหวเหรอวะ กลับบ้านไปนอนไป”
มินโฮมองเพื่อนสนิทที่กำลังเดินอยู่ข้างกาย ใบหน้าซีดๆถูกปิดทับด้วยหน้ากากอนามัยไปกว่าครึ่ง หูแว่วได้ยินเสียงสูดน้ำมูกเป็นพักๆ
“ไม่ไหวแล้วจะมาเรียนได้ไง” คิบอมพูดหลังจากจัดการดึงสิ่งที่คาดทับใบหน้าตัวเองออก
“มาเรียนกับไปนั่งเฝ้าผู้ชายมันต่างกันป่ะวะ” คนตัวสูงพูดแล้วเดินนำไปยังม้าหินใต้ตึกคณะสถาปัตย์ฯ ไม่สนใจค้อนวงใหญ่ที่เพื่อนส่งให้แม้แต่น้อย
รออยู่ไม่นาน จงฮยอนก็เดินลงบันไดมาพร้อมกับอนยู...
“น้องคีย์!!”
เสียงตะโกนเรียกของกวางฮีดังนำมาก่อน สองเท้าก้าวลงบันไดมาเร็วๆ กระแทกไหล่จงฮยอนจากทางด้านหลัง จนคนที่เดินอยู่ดีๆอดหันมามองหน้าไม่ได้
“โทษทีว่ะ เผอิญรีบ” กวางฮีกระตุกยิ้มมุมปากให้แล้วรีบเดินไปนั่งลงข้างๆคิบอม
อนยูมองการกระทำของเพื่อนในกลุ่มอย่างนึกระอา เขารู้จักนิสัยของเพื่อนแต่ละคนดี กวางฮีเป็นประเภทยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ เรื่องของคีย์ก็คงไม่ต่างกัน ลองได้มีใครเอ่ยปากห้ามแล้ว รับรองว่าเจ้านั้นจะยิ่งหาทางเข้าใกล้คีย์ยิ่งกว่าที่เคยทำอย่างแน่นอน ติดก็แต่เพื่อนอีกคน ไม่รู้ว่าจะอดทนได้อีกนานแค่ไหน
“ไม่สบายเหรอ? ว่าแล้วเชียว แล้วนี่ทานยารึยัง มินโฮ... แกดูแลเพื่อนภาษาอะไรของแกวะ”
คิบอมมองมือข้างหนึ่งของตัวเองที่ถูกคนข้างกายถือวิสาสะคว้าไปกุมเอาไว้ พยายามจะดึงกลับก็ถูกกวางฮียื้อเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
“ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับ แค่มีไข้นิดหน่อย”
“อ่า... จริงด้วย ตัวรุ่มๆ”
ดวงตาเรียวเบิกขึ้นอย่างตกใจเมื่อกวางฮีทาบมือลงบนแก้มของเขาโดยไม่ทันตั้งตัว ฝ่ามือเย็นๆของรุ่นพี่ต่างคณะไล้ลงมาตามลำคอ และก่อนที่มืออีกข้างของกวางฮีจะตามมาสัมผัสลงบนตัวเขา แขนข้างขวาก็ถูกกระชากอย่างแรง คิบอมเงยหน้าขึ้นมองจงฮยอน ก่อนจะสบเขากับดวงตาสีเข้มที่กำลังจ้องตรงมาอย่างไม่พอใจ
“ดะ เดี๋ยวสิ พี่จงฮยอน!”
คิบอมตะโกนเรียกชื่ออีกฝ่ายเมื่อถูกดึงตัวออกจากวงสนทนา มือบางคว้ากระเป๋าเป้ของตัวเองได้ทันก่อนที่สองขาจะเดินตามจงฮยอนไป แรงบีบบริเวณต้นแขนไม่ลดลงเลย ดูเหมือนจงฮยอนแทบจะไม่ได้สนใจเสียงเรียกของเขาเลยด้วยซ้ำ
เจ็บแขน... ทั้งที่เจ็บจนอยากจะสะบัดแขนของตัวเองออก แต่ถึงอย่างนั้นก็เลือกจะปิดปากเงียบ ปล่อยให้อีกฝ่ายลากดึงเขาต่อไปเท่าที่ต้องการ... ไม่อยากให้วินาทีที่จงฮยอนปล่อยมือจากเขามาถึงเลยจริงๆ
“จะเอายังไงกับฉัน”
จู่ๆจงฮยอนก็หยุดเดิน คนด้านหน้าหันกลับมา คราวนี้ต้นแขนทั้งสองข้างถูกอีกฝ่ายยึดเอาไว้แน่นกว่าเดิม
“พูดสิ นายจะเอายังไงกับฉันกันแน่ จะเอาอะไรอีก!”
คนถูกตะคอกส่ายหน้าช้าๆ ริมฝีปากอ้าออกก่อนจะเม้มเข้าหากันแน่น ทำได้แค่สบตาอีกฝ่ายที่จ้องตรงมา ไม่เข้าใจเลยว่าจงฮยอนโมโหเรื่องอะไร
“ไปให้พ้นหน้าฉัน”
“.....”
“จะไปหลอกใครอีกที่ไหนก็ไป แต่เลิกวุ่นวายกับฉันซักที”
“พี่...”
เอ่ยออกไปได้แค่นั้น เจ็บปวดกับคำพูดของอีกฝ่ายจนคิดอะไรไม่ออก
“แต่ผมรักพี่”
“เลิกพูดกับฉันแบบนี้ได้แล้ว! นายคิดว่าตัวเองเป็นใคร หลอกลวงคนอื่น พอถูกจับได้ก็เอาคำว่ารักมาอ้าง ไล่ตาม เอาแต่ใจ แล้วก็มาพูดว่าอยากหยุดเมื่อไหร่ก็จะหยุดเอง คิดว่าตัวนายเป็นใคร อยากทำอะไรก็ทำงั้นเหรอ”
“ไม่ใช่! ผมไม่ได้...”
“สนใจแต่ความรู้สึกตัวเองอยู่คนเดียวหรือไงคิบอม นายมีสิทธิ์ทำอะไรก็ได้ที่นายอยากทำหรือไง คนอื่นต้องอยู่เฉยๆแล้วก็ยอมรับการตัดสินใจของนายแค่นั้นใช่มั้ย”
“ไม่ใช่นะ! ฟังผมสิ!”
“ฉันเหนื่อยกับเด็กเอาแต่ใจแบบนายเต็มทีแล้ว พอกันที อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก”
แรงบีบบริเวณต้นแขนลดลงช้าๆเมื่อจงฮยอนค่อยๆคลายมือออก คิบอมใช้หลังมือเช็ดแก้มตัวเองเมื่อจู่ๆน้ำตาก็ไหลลงมา สายตาจ้องมองแผ่นหลังของคนตรงหน้าที่เริ่มห่างออกไป ไม่ว่ายังไงจงฮยอนก็ไม่ยอมหันกลับมา แม้ว่าเขาจะเอ่ยเรียกซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ตาม
“พี่ไม่เคยฟังผมเลย ไม่ยอมฟังผมอธิบายบ้างเลย!!”
คิบอมตะโกนทั้งน้ำตา ภาพของจงฮยอนที่เดินจากไปซ้อนทับกับภาพเดียวกันเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน
วันนั้น... จงฮยอนก็ทิ้งเขาไปแบบนี้
เหนื่อยแล้ว... ร้องไห้จนเหนื่อย คิดถึงจนเหนื่อย พยายามจนเหนื่อย ทุ่มเทจนเหนื่อย ทำไมการรักจงฮยอนถึงทำให้เขาเหนื่อยได้มากขนาดนี้ แล้วทำไม ทั้งที่เหนื่อยขนาดนี้... ถึงยังเลิกรักไม่ได้
คิบอมก้มหน้ามองพื้น รู้สึกเจ็บร้าวไปทั้งอก ไม่รู้เลยว่าตัวเองจะอดทนต่อไปได้อีกนานแค่ไหน
“…What is worth living for? What is worth dying for?
The answer to each is the same only LOVE…”
“ไม่มาหรอก ไม่ต้องมองหา”
อนยูพูดเมื่อเห็นเพื่อนทอดสายตาไปยังโต๊ะหินที่ใครบางคนมักจะมานั่งเป็นประจำ เจ้าของประโยคลอบยิ้ม นึกสะใจกับสีหน้าเจ็บปวดของเพื่อนสนิทไม่น้อย
แต่ไหนแต่ไรอนยูคิดมาตลอดว่าสิ่งที่คิบอมทำลงไปมันผิด แต่พอวันนั้น... วันที่จงฮยอนลากคิบอมออกไป สภาพของเด็กคนนั้นตอนเดินกลับมาทำเอาเขานึกโมโหเพื่อนตัวเองไม่น้อย คิบอมเอาแต่ร้องไห้ ไม่ว่ามินโฮจะพูดปลอบยังไงเด็กนั่นก็ร้องไห้ไม่หยุด เป็นครั้งแรกที่เขาอดคิดไม่ได้ว่าจงฮยอนทำเกินไป
ทั้งที่ใครๆก็ดูออกว่าเพื่อนเขารักเด็กนั่น... แต่ก็ยังจะทำให้เรื่องมันวุ่นวายมากขึ้น
คิบอมไม่โผล่หน้ามาที่คณะเขาอีกเลยตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้ก็ครบหนึ่งอาทิตย์พอดี และอนยูก็ดีใจไม่น้อยที่เรื่องมันออกมาเป็นแบบนี้ ยอมรับเลยว่าการได้เห็นจงฮยอนเฝ้ามองหาคิบอมแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มันทำให้เขาสะใจมาก
“ฉันว่าเขาคงจะไม่มาให้แกเห็นหน้าแล้วล่ะ” อนยูพูดเมื่อเดินถึงบันไดขั้นสุดท้าย
“แกคงดีใจแล้วสินะ” พูดจบก็เดินตรงไปหามินอู ยื่นพิมพ์เขียวที่ถือติดมือมาส่งให้เพื่อนในกลุ่ม ไม่สนใจเพื่อนสนิทอย่างจงฮยอนที่เอาแต่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมหลังจากฟังคำพูดเหน็บแนมของเขา
“มีแค่นี้ใช่ป่ะที่ให้แก้? โอเค เดี๋ยวคืนนี้จัดการให้” มินอูพูด จัดการม้วนพิมพ์เขียวลงไปในซูมใส่แบบ ข้างๆกันคือกวางฮีที่กำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่
“ไม่มีไรให้ฉันทำนะ งั้นฉันไปก่อนล่ะกัน” กวางฮีหันมาพูดกับอนยูหลังจากเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง
“อยากช่วยมินอูมันมั้ยล่ะ”
“ไม่อ่ะ”
“โห ซึ้งน้ำตาจะไหล แสดงอาการว่าอยากช่วยกูหน่อยก็ได้นะ”
“งานแค่นี้กูรู้มึงทำได้อยู่แล้วน่า กูไปก่อนนะ นัดคีย์เอาไว้ ไม่อยากให้เขารอนาน” กวางฮีพูดกับมินอูแล้วหันไปยักคิ้วให้อนยู
สองหนุ่มยืนมองจนกระทั่งกวางฮีเดินเลี้ยวมุมตึกไปแล้วจึงค่อยหันกลับมาสบตากัน ต่างฝ่ายต่างเงียบ ไม่มีใครพูดหรือแสดงความคิดเห็นใดๆ
อนยูปรายตามองจงฮยอนที่ยังคงยืนอยู่กับที่ ใบหน้าของเพื่อนเรียบตึงกว่าทุกที และเหมือนจะรู้ตัวว่าถูกลอบมองอยู่ จงฮยอนกระชับกระเป๋าบนบ่าแล้วเดินตรงไปทางหน้าคณะ ไม่สนใจสายตาสองคู่ที่ไล่ตามไปแม้แต่น้อย
จงฮยอนก้าวเท้าไปเรื่อยๆ แทนที่จะเดินตรงไปยังสถานีรถไฟใต้ดินชายหนุ่มกลับเลือกเดินไปอีกทาง เขายังไม่อยากกลับบ้านตอนนี้ แต่ครั้นจะให้เฉพาะเจาะจงไปที่ไหนซักแห่งเขาก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนดี สุดท้ายเลยตัดสินใจเดินเรื่อยเปื่อยอยู่รอบๆมหา’ลัยแทน
ชายหนุ่มแวะซื้อน้ำอัดลมกระป๋องจากมินิมาร์ทแล้วเดินไปนั่งพักอยู่แถวๆสนามเด็กเล่น มองวัยรุ่นหนุ่มสาวที่นั่งคุยกันเป็นคู่ๆแล้วอดคิดถึงใครบางคนไม่ได้ กระป๋องน้ำอัดลงที่ยังดื่มได้ไม่ถึงครึ่งถูกโยนลงในถังขยะก่อนที่จงฮยอนจะลุกหนีออกมา มือทั้งสองข้างซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋ากางเกง สองขาก้าวไปตามถนนเส้นเล็ก จนกระทั่งถึงสี่แยก
ยืนรอไม่นานสัญญาณไฟก็เปลี่ยนเป็นสีเขียว ผู้คนจำนวนมากพากันเดินสลับไปมา ขวักไขว่เสียจนน่าปวดหัว จงฮยอนก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่รีบเร่ง ระหว่างที่เดินมาถึงกลางถนน สายตาก็เหลือบไปเห็นใครคนหนึ่งเข้า ต่างฝ่ายต่างหยุดนิ่งเมื่อหันมาสบตากัน
จงฮยอนละสายตาจากอีกฝ่ายแล้วก้าวต่อไป ในจังหวะที่กำลังจะเดินสวนกันนั้นเอง มือเล็กๆของควีบุนก็คว้าข้อมือของเขาเอาไว้ หญิงสาวก้าวมายืนดักอยู่ด้านหน้าจงฮยอน ดวงตาเรียวรีที่เหมือนกับน้องชายฝาแฝดของเธอจ้องตรงไปยังชายหนุ่มไม่กระพริบ
“ฉันคิดว่าเราควรคุยกัน... คุณจงฮยอน”
“.....”
กรีนทีลาเต้วางลงตรงหน้าควีบุน พร้อมๆกับอเมริกาโน่ร้อนของจงฮยอน...
หลังจากบอกลาเพื่อนๆตรงสีแยก ควีบุนก็เดินนำจงฮยอนมายังคาเฟ่แห่งหนึ่ง ทั้งสองสั่งเครื่องดื่มของตัวเองแล้วเดินหาที่นั่ง ควีบุนวางกระเป๋าสะพายข้างของตัวเองลงบนเก้าอี้หลังจากเจอโต๊ะว่างบริเวณด้านในของร้าน
จงฮยอนอาสาเป็นคนเดินไปเอาเครื่องดื่มจากบาริสต้ามาให้ควีบุน และหลังจากที่เครื่องดื่มวางลงตรงหน้า ทั้งคู่ก็เอาแต่นั่งมองมัน ต่างฝ่ายต่างเงียบ จมอยู่ในความคิดของตัวเอง
ควีบุนมองเครื่องดื่มของตัวเองอยู่ซักพัก จนหยดน้ำข้างแก้วเริ่มกลายเป็นเม็ดหนา... หญิงสาวเงยหน้าขึ้น ก่อนจะพบว่าสายตาของจงฮยอนจ้องตรงมาที่เธอตั้งแต่แรกแล้ว
“เหมือนกันจัง” จงฮยอนพึมพำกับตัวเอง รอยยิ้มเศร้าจุดอยู่ตรงมุมปาก
ควีบุนถอนหายใจบาง เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นหน้าของจงฮยอนอย่างชัดเจน ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคิบอมถึงได้ยึดติดกับผู้ชายคนนี้นัก... ความอบอุ่น การปกป้องดูแล เธอสัมผัสได้ตั้งแต่เห็นจงฮยอนครั้งแรก ถึงอย่างนั้น ความอ่อนไหวของอีกฝ่ายก็มากไม่แพ้กัน
“คุณเคยชอบผู้ชายมาก่อนรึเปล่า”
คำถามที่ไม่คิดว่าจะได้ยินทำเอาคนถูกตั้งคำถามถึงกับเลิกคิ้วสูง รู้สึกเหมือนโดนหญิงสาวตบหน้าโดยไม่ตั้งตัว
“ไม่” จงฮยอนตอบเสียงห้วน
“แต่คุณชอบคิบอม”
“.....”
“คุณไม่ได้ชอบผู้ชายทุกคน คุณแค่ชอบคิบอม... คุณเข้าใจที่ฉันพูดรึเปล่า”
คำพูดของควีบุนดึงอารมณ์กรุ่นของจงฮยอนที่ไต่ขึ้นสูงให้ร่วงลงมาจนกลายเป็นว่างเปล่า หญิงสาวไม่ได้แสดงท่าทีขบขันแม้แต่น้อย เธอสบตาเขา และกลายเป็นเขาเสียเองที่เลือกจะเบือนหน้าหนี
“เด็กคนนั้นก็ไม่เคยชอบผู้ชายมาก่อนเหมือนกัน แต่วันนี้เขารักคุณ”
ควีบุนมองจงฮยอนที่เอาแต่ก้มหน้ามองแก้วกาแฟของตัวเอง แล้วยกสองแขนขึ้น ท้าวคางลงไปบนหลังมือ
“คุณรู้ตั้งแต่ตอนที่กอดฉันแล้ว คุณแค่จูบฉันเพื่อยืนยันให้แน่ใจ” หญิงสาวย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่พูซาน
“ถ้าคุณเพียงแค่ต้องการผู้หญิงซักคน... จะลองคบกับฉันดูก็ได้นะ”
ควีบุนอมยิ้มเมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมา จงฮยอนขมวดคิ้วแน่น ดูแปลกใจกับคำพูดของเธอไม่น้อย
“แต่ถึงจะคบกับฉันที่หน้าเหมือนคิบอมแค่ไหน ฉันก็ไม่ใช่คิบอมของคุณอยู่ดี อย่างน้อย... สิ่งนี้ก็ยืนยันได้”
แก้วกรีนทีถูกเลื่อนเข้ามาใกล้จงฮยอน ชายหนุ่มมองเครื่องดื่มสีเขียวอ่อนในแก้วทรงสูงแล้วถอนหายใจ ใช้ฝ่ามือเลื่อนมันกลับไปหาเจ้าของ แล้วจัดการฝังใบหน้าลงบนฝ่ามือทั้งสองข้าง
เขาไม่ได้ต้องการคบกับควีบุน... จริงอยู่ว่าหลังจากรู้ความจริงตอนแรก เขาอดคิดไม่ได้ว่าถ้าคนที่มานัทเดทในวันนั้นคือควีบุนตัวจริงเรื่องมันคงไม่ยุ่งยากแบบนี้ แต่จากวันนั้นจนถึงวันนี้เขารู้แล้วว่ามันไม่ใช่ ทุกอย่างดำเนินมาถึงขนาดนี้แล้ว การคิดหวังให้เรื่องย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้งมันเป็นไปไม่ได้ คนที่เขารักตอนนี้คือคิบอม ที่สำคัญกว่านั้น ไม่มีอะไรยืนยันได้เลยว่าถ้าคนวันนั้นคือควีบุนตัวจริง เขาจะรักเธอหรือไม่
“ให้โอกาสตัวคุณเอง และก็ให้โอกาสน้องชายฉัน ให้เค้าได้ยืนอยู่ข้างคุณในฐานะของคิมคิบอม... ลองสัมผัสให้ถึงหัวใจของเค้า แล้วคุณจะรู้ว่าเค้าไม่ได้เปลี่ยนไปเลย เค้ายังเป็นคีย์ของคุณตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้”
ควีบุนส่งยิ้มให้คนที่เงยหน้าขึ้นมาจากฝ่ามือ ร่างบางคว้ากระเป๋าสะพายแล้วลุกขึ้นยืน รอยยิ้มหวานถูกลบหายจากใบหน้าเมื่อหญิงสาวเอ่ยประโยคต่อมา
“แต่ถ้าคุณทำไม่ได้ ก็ปล่อยเขาไว้แบบนี้ แล้วซักวันเขาก็จะลืมคุณไปเอง
คุณจงฮยอน... ในฐานะของพี่สาว ฉันไม่สามารถทนเห็นน้องชายของฉันเจ็บปวดเพราะคุณไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว หวังว่าคุณจะเข้าใจ”
จงฮยอนเอนหลังพิงพนักเก้าอี้หลังจากควีบุนเดินออกจากคาเฟ่ไป ภายในอกบีบรัดอย่างอึดอัดและสับสนกว่าที่เคย... ลึกๆแล้วเขารู้ดีว่าคำตอบของเรื่องนี้คืออะไร บางทีอาจจะรู้มาตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ เพียงแต่เขากลัวเกินกว่าจะยอมรับมัน เลยตัดสินใจเลือกวิธียื้อมันเอาไว้ ยืดเวลาออกไปให้นานเท่าที่จะทำได้...
ไม่ต่างอะไรจากคนเห็นแก่ตัว
*******************
“ยังไม่นอนอีกเหรอ?”
ควีบุนถามหลังจากเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนของน้องชายแล้วพบว่าคนในห้องยังคงนอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียง
“เดี๋ยวสรุปเรื่องนี้เสร็จเราก็จะนอนแล้ว... นายมีอะไรรึเปล่า?” คิบอมมองพี่สาวที่ลากเก้าอี้มานั่งอยู่ข้างๆเตียงแล้วยันตัวลุกขึ้นนั่ง
“ก็แค่อยากรู้เฉยๆว่าตอนนี้นายเป็นยังไงบ้าง เล่าให้เราฟังหน่อยสิ”
“หมายถึงเรื่องอะไร? ถ้าเป็นเรื่องพี่จงฮยอน เราบอกนายแล้วไงว่าเราไม่ตัดใจง่ายๆหรอก เพียงแต่...” คิบอมยิ้มให้ตัวเอง “ตอนนี้เราเหนื่อยนิดหน่อย ไว้ฟื้นฟูสภาพจิตใจตัวเองได้เมื่อไหร่เดี๋ยวเราค่อยกลับไปง้อเค้าอีกที”
“นายไม่กลัวเหนื่อยฟรีบ้างเหรอ? บางทีเค้าอาจจะทำใจให้ชอบผู้ชายไม่ได้”
คำถามของพี่สาวทำเอาคิบอมไปต่อไม่ถูก เด็กหนุ่มถอดแว่นสายตาวางลงบนหนังสือตรงหน้า ถอนหายใจเบาๆเมื่อสมองพาลไปคิดถึงหน้าของบุคคลที่สามขึ้นมา
“บอกเราได้มั้ยว่าอะไรทำให้นายมั่นใจในตัวเค้าขนาดนั้น”
“เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร เราแค่ทำในสิ่งที่คิดว่าควรจะทำ... มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว”
“รู้มั้ย บางทีเราก็โมโหนะ ไม่เข้าใจว่าทำไมนายต้องไปรักคนใจร้ายแบบนั้นด้วย”
คิบอมอมยิ้มหลังจากฟังคำตัดพ้อของควีบุน
“พี่จงฮยอนไม่ได้ใจร้ายหรอก เค้าแค่กำลังสับสน... ถ้าเราตัดใจหันหลังให้เค้า เราก็จะเสียเค้าไปทันที แต่ถ้าเราคอยรั้งเค้าเอาไว้ เราเชื่อว่าซักวันเค้าจะกลับมาเป็นพี่จงฮยอนของเราคนเดิม”
“นายเชื่อเพราะคิดว่าตัวเองควรเชื่ออีกล่ะสิ” ควีบุนส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ มองน้องชายฝาแฝดที่ยังคงส่งยิ้มมาให้อย่างอับจนคำพูด
“ควีบุน ช่วยอะไรหน่อยสิ” คิบอมยื่นมือออกไปกุมทับฝ่ามือบางเอาไว้ สบตาเรียวใสที่จ้องตรงมา
“เป็นกำลังใจให้เรา และก็เชื่อว่าเราจะทำสำเร็จ”
ช่างเป็นคำขอร้องที่น่าหัวเราะที่สุดในโลก ควีบุนดึงมือตัวเองออกแล้วเปลี่ยนไปคว้ามือของคิบอมมากุมไว้แทน วางมืออีกข้างลงไปพร้อมกับบีบกระชับเบาๆ ริมฝีปากคลี่ยิ้ม บอกคำตอบของตัวเองออกมาโดยไม่จำเป็นต้องเสียเวลาคิดแม้แต่วินาทีเดียว
“เราก็ทำแบบนั้นมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
ไม่เข้าใจเลย ทำไมคิบอมถึงได้ขอร้องอะไรไร้สาระแบบนี้... สำหรับควีบุนแล้ว ถึงคิบอมไม่ขอ ยังไงก็จะให้อยู่ดีนั่นแหละ ไม่ว่าผู้ชายคนนั้นจะงี่เง้าแค่ไหนในความคิดของเธอ แต่ถ้าคนๆนั้นทำให้คิบอมมีความสุขได้ ควีบุนก็จะยอมรับเค้า
หมายถึง... ถ้าหมอนั่นทำให้คิบอมมีความสุขได้จริงๆนะ
“…Never make someone your everything
Because once they are gone, you’ll have nothing…”
มินโฮกำลังยืนหาวหวอดๆอยู่หน้าหอพัก...
เด็กหนุ่มในชุดเสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้นคลุมเข่าพยักหน้าให้เพื่อนร่วมหอที่เดินสวนไปมาแล้วก้มหน้าจิ้มโทรศัพท์มือถือต่อ ไม่นาน โซนาต้าสีขาวคุ้นตาก็ขับเข้ามาจอดเทียบ กระจกรถถูกเลื่อนลง เผยให้เห็นใบหน้าของรุ่นพี่คนสนิท
“ขึ้นมาสิ”
“ห๊า? ไปไหน?” มินโฮถาม ตาโตๆเบิกขึ้นกว่าเดิม
ถูกโทรตามให้ลงมารออยู่หน้าหอก็งงแล้ว นี่ยังจะถูกพาไปไหนก็อีกไม่รู้ แล้วขอโทษเถอะ ดูสภาพเขาตอนนี้ซิ อย่าได้คิดจะออกไปโฉบอวดสาวที่ไหนเชียว
“ขึ้นมาเถอะน่า” จงฮยอนออกคำสั่ง เห็นสีหน้าอึกอักของอีกฝ่ายแล้วเอื้อมตัวไปผลักประตูรถให้เปิดออก ส่งสายตาเชิงบังคับไปให้จนเด็กตัวสูงต้องจำใจขึ้นรถมาด้วย
“บอกไว้ก่อนนะว่าผมไม่มีเงินติดตัว มีแค่มือถือเครื่องเดียว พี่พาผมออกไปแล้วต้องพากลับมาส่งด้วย”
มินโฮพูดหลังจากคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย ชำเลืองมองคนขับที่กำลังเงยหน้ามองกระจกหลังโดยไม่ตอบอะไรกลับมาแล้วได้แต่ยกมือเกาศีรษะ... ไม่รู้อีกฝ่ายจะมานึกอยากขับรถกินลมชมวิวอะไรกับเขาเอาดึกป่านนี้
และหลังจากนั่งเงียบมาตลอดทาง คนที่ไม่รู้ว่าจะถูกพาไปไหนในตอนแรกก็ถึงกับอ้าปากค้างเมื่อเริ่มเห็นจุดหมายปลายทางอยู่ด้านหน้า
น้ำพุสีสวยทิ้งตัวลงมาจากสะพานสูง เรียงแถวไปตลอดความยาวของสะพานบันโพ... ถ้าถามว่าสวยมั้ยก็จะตอบว่าสวยมาก แต่ที่อ้าปากค้างนี่ไม่ใช่เพราะตะลึงในความสวยตรงหน้า แต่เพราะไม่เข้าใจว่าจงฮยอนจะพาเขามาที่นี่ทำไมต่างหาก
“โทษนะพี่ แต่มันไม่โรแมนติกไปหน่อยเหรอวะ”
มินโฮถามหลังจากจงฮยอนดับรถเรียบร้อย เด็กตัวสูงปลดล๊อคเข็มขัดแล้วเปิดประตูรถออกไปยืนเก้ๆกังๆ หันซ้ายหันขวา มองคู่รักสองถึงสามคู่ที่ยังคงเดินจับมือกันอยู่ริมแม่น้ำทั้งที่ดึกมากแล้ว ไล่สายตาตามหลังจงฮยอนที่เดินตรงไปยังริมแม่น้ำแล้วกลับมาก้มมองสภาพตัวเอง ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเลือกเดินตามจงฮยอนไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
ฝ่ามือหนาทาบลงบนราวเหล็ก จงฮยอนทอดสายตามองน้ำพุสายเล็กแต่ละสายด้านหน้า ภาพเหตุการณ์เมื่อเกือบสี่เดือนก่อนโผล่ขึ้นมาในหัว ทั้งรอยยิ้ม คำพูด หรือแม้แต่เสียงร้องไห้... จำได้ดีว่าวันนั้นตัวเองมีความสุขมากแค่ไหน ทั้งถูกสารภาพรัก ทั้งได้โอบกอดเด็กคนนั้นไว้ในอ้อมแขน แปลกดีเหมือนกัน พอวันนี้กลับไปย้อนคิดถึงอีกครั้ง ทำไมถึงไม่ได้รู้สึกมีความสุขเหมือนตอนนั้นเลยซักนิด
“หนาวเป็นบ้า” มินโฮบ่นอุบหลังเดินตามมาทัน เด็กหนุ่มในชุดเสื้อกล้ามเอนหลังพิงราวเหล็กพลางยกแขนขึ้นกอดตัวเองเอาไว้
“คีย์บอกชอบฉันครั้งแรกที่นี่”
จู่ๆจงฮยอนก็พูดขึ้นมา ปิดปากมินโฮที่เปิดอ้าเตรียมจะบ่นเรื่องภูมิอากาศให้รีบเงียบไว้ตามเดิม
“คิดดูสิ ถูกคนที่เราชอบมาบอกว่าชอบ เป็นแกแกจะดีใจแค่ไหน”
“.....”
“แต่พอบอกว่าชอบฉันจบ เค้าก็บอกฉันต่อว่าอย่าเกลียดเค้า... มันไม่เข้าท่าเลย ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมฉันจะต้องเกลียดเค้า ฉันชอบเค้าจะตาย ชอบมาก... มากกว่าผู้หญิงทุกคนที่เคยชอบมา จนถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกอย่างนั้น”
“ในเมื่อพี่ยังรู้สึกเหมือนเดิม แล้วทำไมพี่ถึงยังเดินหนีมันอีก” มินโฮถามอย่างไม่เข้าใจ
จงฮยอนอมยิ้มเศร้า ยิ่งได้ฟังคำถามของคนข้างๆก็ยิ่งเศร้า ทำไมน่ะเหรอ...
“เพราะมันยากไง กับการที่จะกลับไปเชื่อใจคนที่เคยหลอกลวงเรา”
เพราะเขาอ่อนไหวมากเกินไป และเพราะหัวใจคนเรามันเปราะบางมากกว่าที่คิด สุดท้ายแล้วเมื่อถึงทางต้องเลือก ใครบ้างที่ไม่อยากเลือกจะดูแลหัวใจของตัวเอง... สิ่งที่บอกคิบอมไปเมื่อหลายวันก่อนไม่ใช่แค่คำพูดที่พูดออกไปเพราะอารมณ์โกรธ แต่นั่นคือสิ่งที่เขาคิดมาตลอด
‘ปล่อยให้ผมทำในสิ่งที่อยากทำ... ถ้าวันไหนผมเหนื่อย ผมจะหยุดของผมเอง’
แม้แต่ในเวลานี้ ทุกสิ่งที่คิบอมทำก็เป็นเพียงแค่ความเอาแต่ใจของตัวเอง ทำลงไปโดยที่ไม่เคยถามว่าเขาต้องการมันรึเปล่า ถึงจะชอบใจแค่ไหน แต่ลึกๆแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่ามันไม่ยุติธรรมสำหรับเขาเลย
“แต่รู้อะไรมั้ย ถ้าพี่ไม่เสี่ยง พี่นั่นแหละจะต้องเป็นคนเสียใจที่สุด”
มินโฮพูดขึ้นหลังจากเงียบไปนาน และความเงียบที่ยาวนานก็เกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากมินโฮพูดจบ
“มันรักพี่มากนะ มันบอกผมตลอด มันบอกว่ามันรู้ว่าพี่ก็รักมัน”
“ทุกคนเอาแต่พูดว่าคิบอมรักฉัน”
“เพราะมันรักพี่จริงๆไง”
“แล้วทำไมถึงไม่พูดความจริงตั้งแต่แรก ทำไมถึงต้องรอจนฉันรู้เอง” จงฮยอนหันหน้ามาหารุ่นน้อง น้ำเสียงยังคงเรียบนิ่งเหมือนก่อนหน้า
คิดถึงวันสุดท้ายที่พูซาน ถ้าเพียงวันนั้นคิบอมจะพูดความจริงออกมา บอกเขาว่าตัวเองไม่ได้เรียนคณะนั้น อย่างน้อยก็ยังจะช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นบ้าง แต่นี่...หลอกกันแล้วหลอกกันอีก หลอกจนเขาไม่รู้ว่าเขาสามารถเชื่อคำพูดอะไรของเด็กคนนั้นได้บ้าง
“ผมไม่รู้หรอกว่าทำไม” มินโฮหันตัวเข้าหาอีกฝ่ายเช่นกัน “ถ้าพี่อยากรู้ พี่ก็ควรจะไปถามมันเอง และถ้าพี่อยากได้คำตอบ พี่ก็ควรจะฟังที่มันพูดบ้าง”
“... แกไม่รู้อะไรเลย”
เพราะฟังมาแล้วต่างหาก ถึงได้เจ็บปวดอยู่แบบนี้
จงฮยอนหันหน้ากลับไป ชายหนุ่มข่มตาลงเมื่อภาพของคิบอมยังคงตามมารบกวนเขาไม่เลิก
อยากเจอ อยากเข้าใกล้ อยากสัมผัส อยากทำทุกๆอย่างเหมือนที่เคยทำ ผิดที่ว่าเขามันขี้ขลาดเกินไป หรือเขาควรจะปล่อยทุกอย่างไว้แบบนี้อย่างที่ควีบุนว่า แล้วรอเวลา... ให้คิบอมค่อยๆลืมเขาไปเอง
สองอาทิตย์แล้วนับตั้งแต่เจอคิบอมครั้งสุดท้าย อีกฝ่ายหายตัวไปโดยที่เขาไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง จริงอยู่ว่าเขาชอบเวลาที่คิบอมอยู่ใกล้ๆและคอยไล่ตาม แต่มันก็น่าเจ็บใจทุกครั้งเวลาเห็นคนอื่นใช้โอกาสนั้นในการเข้าใกล้คิบอมแทน คิดเอาง่ายๆว่าถ้าอีกฝ่ายไม่มาหาเขาคนอื่นก็คงหาหนทางใกล้ชิดไม่ได้ โง่แสนโง่... โง่จนลืมคิดไปว่าการเอ่ยปากไล่คิบอมไปให้พ้นจากสายตาก็เท่ากับเป็นการปิดตายตัวเองและเปิดโอกาสให้คนอื่นได้ง่ายขึ้น
ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายเอ่ยปากไล่แท้ๆ แต่ก็ยังจะเอาแต่คิดถึงและอยากเห็นหน้าอยู่ทุกวัน
“การเชื่อใจใครซักคนมันยากนะมินโฮ”
จงฮยอนพูดขึ้นขณะทอดสายตามองแม่น้ำฮันที่ตอนนี้กลายเป็นสีดำเงาวับ แผ่นน้ำสะท้อนเป็นคลื่นน้อยๆเพียงแค่ถูกสายลมพัดผ่าน... อ่อนไหวเหมือนหัวใจของเขาในตอนนี้ไม่มีผิด
“แต่ถ้าเค้าเป็นคนที่เรารัก ผมว่ามันก็ไม่น่ายากเกินไปนะ”
เด็กหนุ่มวางมือลงบนบ่าคนเป็นพี่ บีบเบาๆราวกับต้องการให้กำลังใจ รู้ดีว่าจงฮยอนอาจจะแค่กำลังหลงทางและหาทางออกไม่เจอ แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็เชื่อมั่นในตัวพี่ชายคนนี้เสมอ อีกทั้งยังมั่นใจด้วยว่า ท้ายที่สุดแล้ว คนๆนี้จะต้องหาทางออกที่ดีที่สุดให้ตัวเองและเพื่อนของเขาได้อย่างแน่นอน
ความรัก... สำหรับมินโฮแล้วมันเป็นสิ่งแปลกประหลาดที่สุดในโลก มันทำให้คนแข็งแกร่งที่สุดกลับกลายเป็นเด็กตัวเล็กๆ และทำให้เด็กตัวเล็กๆที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ลุกขึ้นมาปกป้องใครบางคนไว้ได้ มันสรรค์สร้าง ขณะเดียวกันก็คอยทำลายโดยไม่รู้ตัว ถึงอย่างนั้น ทุกคนรอบๆตัวเขาก็ยังออกตามหาและไขว่คว้ามันอยู่ตลอดเวลา
“เค้าบอกแกเหรอ ว่าเค้ารู้ว่าฉันรักเค้า”
“อืม มันบอกว่ามันแน่ใจ และมันก็ยังบอกด้วยว่ามันจะทำให้พี่ยอมรับมันที่มันเป็นแบบนี้ให้ได้”
คนตอบคำถามเอนตัวพิงกับราวเหล็กอีกหน เพิ่งสังเกตว่ารอบๆบริเวณตอนนี้เหลือเพียงเขากับจงฮยอนแค่สองคนเท่านั้น
“ความรัก...”
“พี่ว่าไงนะ?” เพราะมัวแต่หันไปมองรอบตัวจึงได้ยินอีกฝ่ายพูดไม่ชัด
“แค่จะบอกว่า... ความรักนี่มันไม่ง่ายเลยจริงๆ”
จงฮยอนถอนใจยาวหลังจากพึมพำออกมา ชายหนุ่มยังคงมีรอยยิ้มเศร้าให้ตัวเองขณะที่เงยหน้ามองน้ำพุด้านหน้าซึ่งกำลังทิ้งตัวลงสู่แม่น้ำ... เป็นวินาทีเดียวกันกับที่ความสับสนบางอย่างในหัวใจได้ถูกปล่อยทิ้งออกไป
บางอย่างที่เล็กน้อยเหลือเกิน หากแต่ก็มากพอที่จะช่วยให้จงฮยอนตัดสินใจได้แล้วว่าเขาควรจะก้าวต่อไปทางไหน
*******************
เสียงวิ่งตึงตังอยู่หน้าห้องเรียกคนที่กำลังจดจ่ออยู่กับโมเดลในมือให้เงยหน้าขึ้นอย่างสงสัย คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ก่อนที่ชิ้นส่วนสีขาวขนาดเล็กจะถูกวางลงบนโต๊ะสี่เหลี่ยม จงฮยอนเดินตรงไปยังประตูห้องนอน ยังไม่ทันจะหมุนลูกบิด ประตูก็ถูกผลักเข้ามาเสียก่อน ใบหน้าของน้องสาวที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางมากกว่าถูกวันล้ำเส้นเข้ามาในห้องนอนของเขาเป็นอันดับแรก
“ดึกป่านนี้แล้วจะออกไปไหนอีก” เอ่ยถามทันทีที่ประตูเปิดกว้าง จงฮยอนไล่สายตาตั้งแต่ศีรษะลงมาจนถึงปลายเท้าของจงฮี
“ก็บอกไปตั้งแต่อาทิตย์ก่อนนู้นแล้วไงว่ามีนัดเลี้ยงวันเกิดให้ควีบุน”
“แต่นี่มัน...” จงฮยอนหันกลับมามองนาฬิกาบนผนังห้อง “จะสามทุ่มแล้ว?”
“แล้วใครที่ไหนเค้าไปผับกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืดบ้างเล่า... ขับรถไปส่งเค้าหน่อยสิ”
จงฮยอนกรอกตาไปมา กอดอกมองน้องสาวที่ส่งยิ้มหวานมาให้ ก่อนจะพยักหน้าพร้อมกับอมยิ้มมุมปาก
“ขอเปลี่ยนชุดก่อน ห้านาทีเดี๋ยวลงไป”
“ฮื่อออ ต่อให้พี่ใส่แค่กางเกงเกงในตัวเดียวไป เพื่อนเค้ามันก็ไม่ถือหรอก เผลอๆจะชอบมากกว่าด้วยซ้ำ” พูดไปขำไป จนคนเป็นพี่อดยื่นมือออกไปเขกหน้าผากเจ้าของความคิดประหลาดๆนั่นไม่ได้
“ผู้หญิงที่ไหนเค้าพูดจาแบบนี้กันบ้าง ลงไปรอข้างล่างเลยไป”
“โอเค อย่าช้านะคะ.. อ่อ! แต่ถ้าสนใจจะใส่แค่กางเกงในตัวเดียวไปจริงๆ รบกวนหยิบผ้าขนหนูติดไปด้วยนะ ในรถแอร์มันเย็น ระวัง...จะสั่น”
จงฮีหัวเราะคิกคักพลางหันหลังวิ่งลงบันไดไป ทิ้งให้พี่ชายได้แต่ยืนอ่อนใจกับนิสัยก๋ากั่นของน้องสาวอยู่หลังบานประตู
“แล้วนี่จะกลับกี่โมง ให้พี่อยู่รอมั้ย?” จงฮยอนถามหลังจากจอดรถที่หน้าผับแห่งหนึ่ง
“โนโนโน คืนนี้เค้าจะไปค้างที่ห้องอนซุก ไม่ต้องห่วงนะ ไว้ถ้ากลับเมื่อไหร่เดี๋ยวจะโทรบอกอีกที”
“แน่ใจ?”
“ชัวร์! ไปล่ะ” จงฮียกมือบ๊ายบายแล้วเปิดประตูรถลงไป
จงฮยอนมองตามหลังเด็กสาวไป พยักหน้าน้อยๆเมื่อเห็นเพื่อนของน้องสาวที่กำลังยืนรวมกลุ่มกันอยู่หน้าผับชี้ไม้ชี้มือตรงมาทางเขา ต่างจากหญิงสาวอีกคนที่กำลังยืนทำหน้าเหมือนถูกผีหลอก ควีบุนมองหน้าจงฮีที่เพิ่งเดินมาถึงแล้วตวัดสายตามายังเขาอีกหน ดูเหมือนเธอจะไม่รู้มาก่อนว่าเขาเป็นพี่ชายของเพื่อนในภาค
ชายหนุ่มส่งยิ้มกลับไปแล้วจัดการหมุนพวงมาลัยรถเลี้ยวเข้าสู่ถนนใหญ่
กระจกข้างถูกเลื่อนลงหลังจากจงฮยอนขับห่างออกจากย่านแหล่งท่องเที่ยงกลางคืน ข้อศอกถูกยกขึ้นพาดขอบหน้าต่างขณะที่รถจอดติดไฟแดงอยู่กลางสี่แยก นึกถึงท่าทางตกใจของควีบุนเมื่อครู่แล้วก็หัวเราะออกมา
ปลายนิ้วเคาะลงบนพวงมาลัย สายตามองตัวเลขสีแดงบนป้ายจราจรที่ลดลงเรื่อยๆ ทันใดนั้นเอง ภาพของใครอีกคนที่หน้าตาเหมือนควีบุนราวกับพิมพ์เดียวก็ซ้อนทับขึ้นมา...
‘ฉันชอบพี่... พี่อย่าเกลียดฉันนะ’
‘มีอีกหลายเรื่องที่พี่ไม่รู้เกี่ยวกับฉัน ถ้าพี่รู้ พี่อาจจะเกลียด’
“พี่จงฮยอน... ฉันรักพี่”
‘ผมแค่อยากอยู่ข้างๆพี่’
‘ผมอยากอยู่ข้างๆพี่ในฐานะของคิบอม’
‘พี่จะรำคาญผมเท่าไหร่ก็ได้นะ’
“พี่จงฮยอน... ผมรักพี่”
เสียงบีบแตรจากรถคันข้างหลังดึงสติของจงฮยอนให้กลับมาสนใจท้องถนนด้านหน้าตามเดิม ชายหนุ่มจัดการเลื่อนเกียร์แล้วกดเท้าเหยียบคันเร่ง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่นราวกับคนที่กำลังใช้ความคิดหนัก...
“ออกไปเดินเล่นตอนนี้ไม่ดึกไปหน่อยเหรอครับคุณคิบอม”
เสียงทักทายจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดังขึ้นเมื่อเจ้าของชื่อเดินผ่านป้อมเล็กๆบริเวณทางเข้าคอนโดฯ คนถูกทักหยุดยืน หันมาส่งยิ้มให้คุณลุงใจดี
“เดินเล่นตอนนี้ไม่ไหวมั้งครับ นี่กะว่าจะออกไปหาซื้ออะไรมารองท้องมื้อดึกหน่อย เอาอะไรมั้ยครับ เดี๋ยวผมซื้อมาฝาก”
“โอ๊ย ไม่เป็นไรครับ ผมทานข้าวเรียบร้อยแล้ว เชิญตามสบายเลยครับ” คุณลุงตอบปัด ยกมือโบกเป็นเชิงปฏิเสธรัวๆ
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” คิบอมส่งยิ้มอีกครั้งแล้วเริ่มก้าวเท้าต่อ
เด็กหนุ่มเดินตามถนนมาเรื่อยๆ เป้าหมายคือมินิมาร์ทซึ่งอยู่ไม่ห่างจากที่พักมากนัก และถึงแม้ว่าจะเป็นเวลาค่อนข้างดึกแล้วก็ตาม แต่เพราะอาศัยอยู่ในย่านชุมชนสองข้างทางจึงยังดูสว่างเพราะแสงไฟจากร้านค้ารวมไปถึงคาเฟ่ที่เปิดรอต้อนรับลูกค้าตลอด24ชั่วโมง
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นเมื่อเจ้าตัวเดินมาถึงหน้ามินิมาร์ทพอดี คิบอมมองชื่อบนหน้าจอแล้วจึงกดรับสาย
“ว่าไง?”
“พรุ่งนี้มีนัดติวเศรษฐศาสตร์แถวๆหน้าภาค แกจะไปมั้ย?” มินโฮกรอกเสียงมา
“ใครติวให้?”
“ไม่รู้เหมือนกัน ดงอุนมั้ง”
“อืมม... แล้วแกจะไปรึเปล่า?” คิบอมถามกลับพร้อมถอยมายืนหลบอยู่ข้างๆตู้โทรศัพท์
“ถ้าตื่นทันก็ว่าจะไป แต่ถ้าแกจะไปยังไงก็โทรมาปลุกฉันด้วยแล้วกัน”
“สรุปแล้วคือแกจะให้ฉันโทรไปปลุกพรุ่งนี้ว่างั้นเถอะ”
“9โมงนะจ๊ะ”
คิบอมย่นจมูก แต่ก็อืออารับคำไป เด็กหนุ่มเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกงวอร์มแล้วเดินตรงไปยังมินิมาร์ท
ขนมปังแพร์ถูกหยิบออกจากชั้นวางพร้อมกับนมจืดหนึ่งกล่อง คิบอมยื่นมือไปรับถุงหิ้วเล็กๆมาถือไว้แล้วค่อยก้าวออกจากร้าน
กล่องนมถูกเจาะหลังจากเดินกลับมาได้ครึ่งทาง คิบอมหยุดยืน งับหลอดดูดนมอยู่เยื้องๆหน้าเต้นท์ขายของทานเล่น เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแล้วแอบเบ้ปากกับตัวเองเมื่อฟ้ากว้างแสนกว้างที่ตนกำลังมองอยู่นั้นหาดาวแทบไม่เจอซักดวง มีเพียงพระจันทร์กลมโตที่ลอยเด่นอยู่เพียงลำพังอย่างอ้างว้าง
อดนึกถึงนิทานเรื่องพระจันทร์สองดวงที่ควีบุนเคยเล่าให้ฟังสมัยเป็นเด็กไม่ได้
พระจันทร์สองดวงที่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขมาอย่างยาวนาน แต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้พระจันทร์ดวงหนึ่งตัดสินใจบอกลาพระจันทร์อีกดวงเพื่อไปติดตามพระอาทิตย์แทน พระจันทร์ที่ถูกบอกลาพยายามตามหาพระจันทร์อีกดวง แต่ไม่ว่าจะตามหายังไงก็หาไม่พบซักที จนในที่สุดก็ตัดสินใจระเบิดตัวเองเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเพื่อให้เศษเสี้ยวนั้นช่วยกันตามหาพระจันทร์อีกดวงที่หายไป นานวันผ่านไป พระจันทร์ที่หลงใหลไปกับแสงของพระอาทิตย์ก็ได้เรียนรู้ว่าแสงของพระอาทิตย์นั้นส่องสว่างมากเกินไป เพราะนอกจากพระจันทร์แล้ว พระอาทิตย์ก็ยังส่องแสงไปยังดาวดวงอื่นอีกมากมายด้วย พระจันทร์ดวงนั้นจึงตัดสินใจกลับมาหาพระจันทร์ที่เคยคู่กัน แต่ก็พบว่ามันสายไปแล้ว พระจันทร์ทั้งสองดวงไม่อาจอยู่คู่กันได้อีกต่อไป
ควีบุนบอกเขาว่าดาวดวงเล็กๆที่เห็นคือเศษเสี้ยวของพระจันทร์ที่ถูกทิ้ง มันจะส่องประกายเฉพาะในคืนที่ไม่มีพระจันทร์ ขณะที่...ถ้าคืนไหนเราเห็นพระจันทร์เต็มดวงส่องสว่างจ้า อย่างคืนนี้ เราก็จะมองไม่เห็นดวงดาวเหล่านั้นเช่นกัน
ถึงแม้จะรู้ว่าเรื่องที่ได้ยินมาตั้งแต่เด็กเป็นเพียงแค่นิทานเรื่องหนึ่ง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าไปด้วยทุกครั้งยามได้แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแบบนี้... เขาแค่อยากรู้ว่าพระจันทร์จะเหงามากมั้ย ลอยอยู่ดวงเดียวแบบนั้นมาตั้งกี่ร้อยล้านปีแล้วก็ไม่รู้
“...เพ้อเจ้อใหญ่แล้วคิบอม”
เด็กหนุ่มส่ายหน้าให้กับความคิดไร้สาระของตัวเอง เพิ่งสังเกตว่ากล่องนมในมือตอนนี้ว่างเปล่าแล้วเรียบร้อย เขาจัดการโยนมันลงไปในถังขยะใกล้ๆแล้วเริ่มขยับเท้าไปข้างหน้า
หากแต่ยังไม่ทันจะก้าวต่อไป เท้าขวาที่ยกขึ้นมาก็ถูกวางกลับลงมาอยู่ข้างเท้าซ้ายตามเดิม ดวงตาภายใต้กรอบแว่นใสสั่นไหว พร้อมๆกับหัวใจที่เริ่มเต้นแรง
“...จงฮยอน...”
เสียงเรียกชื่อคนตรงหน้าหลุดแผ่วผ่านริมฝีปาก คิบอมไม่กล้าแม้แต่จะกระพริบตา เขาไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นอยู่ตอนนี้เป็นความจริง จงฮยอนยืนอยู่ตรงหน้าเขาจริงๆ หรือเป็นเพียงภาพฝันที่เขาคิดไปเองกันแน่
บางทีเขาอาจจะเป็นเหมือนพระจันทร์ดวงนั้น ที่คอยเอาแต่เฝ้าคิดถึงพระจันทร์อีกดวง
สองขาเริ่มขยับไปข้างหน้าเมื่อภาพของจงฮยอนไม่มีทีท่าจะจางหายไปอย่างที่นึกกลัว ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ไม่ยิ้มให้เขาเลย ยืนอยู่นิ่งๆ มองตรงมาที่เขา ไม่พูดอะไร ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
อยากรู้ อยากถามว่ามาที่นี่ได้ยังไง ตามเขามาเหรอ หรือแค่บังเอิญผ่านมาเท่านั้น... จะแบบไหนก็ช่างเถอะ เขาไม่สนใจ มันไม่สำคัญเลยว่าจงฮยอนมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง สิ่งเดียวที่คิบอมสนใจตอนนี้มีแค่จะทำยังไงเพื่อไม่ให้จงฮยอนหันหลังจากไปมากกว่า
ฝ่ามือสั่นเทาค่อยๆเอื้อมออกไปกุมมือของจงฮยอนเอาไว้ สบตาอีกฝ่ายที่จ้องตรงมา เพียงแค่นี้ก็รู้สึกอยากร้องไห้ออกมาเต็มทน แต่เขาจะไม่ร้องหรอก จะไม่ร้องไห้ออกมาตอนนี้เด็ดขาด
“ไป... ไปเดินเล่นกันมั้ย” เสียงแหบหวานถูกเอื้อนเอ่ย ฝ่ามือของจงฮยอนนั้นเย็นเฉียบ ต่างจากฝ่ามือของคิบอมที่อุ่นจัดจนร้อน
“.....”
คนอ่อนกว่ายิ้มออกมาเมื่อจงฮยอนพยักหน้าให้ช้าๆ
ในค่ำคืนที่พระจันทร์เต็มดวง ท่ามกลางผู้คนที่ยังคงเดินผ่านไปผ่านมา
ณ ถนนเส้นเล็กๆนั่น
คิบอมกำลังกุมมือของจงฮยอนเอาไว้...
เก้าอี้ไม้ตัวยาวในสวนสาธารณะเล็กๆถูกยึดครองโดยชายหนุ่มสองคน
คิบอมแกล้งเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า หลายครั้งที่สายตาคอยแต่จะแอบชำเลืองมองคนข้างกาย ขณะที่จงฮยอนเอาแต่นั่งนิ่ง ดูเหมือนจะพุ่งความสนใจไปที่ปลายเท้าของตัวเองเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
“อากาศเริ่มเย็นแล้ว”
คิบอมพูดขึ้นหลังจากที่เขาสองคนเอาแต่นั่งเงียบมาร่วมสิบนาที
“ปลายฤดูแบบนี้ผมชอบไปเดินเล่นที่ยออิโดบ่อยๆ ที่นั่น ช่วงใบไม้ร่วงจะสวยมากๆเลย” เด็กหนุ่มพูดกับตัวเองไปเรื่อยๆ “แต่จะว่าไป ข้างๆคณะศิลปะศาสตร์ม.เราก็มีต้นสนเยอะเหมือนกัน ปีที่แล้ว พอเรียนเสร็จ ผมลงทุนเดินอ้อมเพื่อจะได้เดินผ่านต้นสนพวกนั้นทุกวันเลยนะ”
“ชวนมินโฮไปด้วยมันก็ไม่ไป สุดท้ายผมก็เลยต้องเดินกลับ...”
“น้องสาวฉันเรียนอยู่คณะสาธารณะสุข มหา’ลัยอีฮวา”
“.....”
รอยยิ้มบนใบหน้าเลื่อนหายไปทันทีที่จงฮยอนพูดขึ้น คิบอมละสายตาจากต้นสนซึ่งปลูกเรียงอยู่ข้างๆสวนสาธารณะมายังมือทั้งสองข้างตัวเองที่วางอยู่บนตัก ค่อยๆกุมมือที่เริ่มเย็นและชื้นเหงื่อนั่นเข้าหากัน
“ถ้านายบอกฉันตั้งแต่วันแรก ฉันก็คงจะรู้ตั้งแต่วันนั้นว่านายโกหก... เด็กสาธารณะสุขจะมาออกเดทกับฉันได้ยังไง ในเมื่อนักศึกษาของคณะนั้นทุกคนต้องเดินทางไปออกค่ายที่ต่างจังหวัด”
สายลมเย็นยามดึกพัดผ่านพวกเขาทั้งคู่ ถึงอย่างนั้นกลับไม่มีใครขยับตัวแม้แต่น้อย
“ทันทีที่นายบอกฉันว่านายเรียนคณะนั้น มหา’ลัยนั้น ก็เท่ากับว่านายสารภาพความจริงทั้งหมดแล้วว่าเด็กผู้หญิงที่ชื่อคีย์ไม่มีตัวตนอยู่จริงๆ... ทำไมฉันถึงมองไม่ออกนะ”
ท้ายประโยค จงฮยอนหันหน้ามามองใบหน้าด้านข้างของคิบอม ฝ่ามือหนายกขึ้นสัมผัสผิวแก้มของคนข้างกายช้าๆ บังคับให้อีกฝ่ายต้องหันหน้ามา
“นายรู้มั้ยว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน”
เสียงทุ้มสั่นเล็กน้อย ถึงอย่างนั้นคนพูดก็ยังพยายามฝืนยิ้มออกมา
“ความเชื่อใจถูกทำลาย คนในฝันที่สุดท้ายแล้วก็มีชีวิตอยู่แค่ในฝัน นายรู้มั้ยว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน”
“ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้คนที่ฉันรักคือใครกันแน่ คีย์ที่ไม่มีอยู่จริง หรือคิบอมที่ฉันไม่รู้จัก นายรู้มั้ย ว่าฉันเจ็บปวดแค่ไหน”
“.....”
ดวงตาเรียวหลุบต่ำ ความกล้าหาญมากมายดูเหมือนจะถูกทำลายลงเพียงแค่ได้สบตาคมนั่น ขอบตาร้อนผ่าว ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่กล้าเบี่ยงหน้าหนี
“จะให้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ให้กลับมาคุยกันเหมือนเดิม นายคิดว่ามันง่ายแบบนั้นเหรอคิบอม”
จงฮยอนปล่อยมือตัวเองพร้อมหันหน้ากลับมา เบือนสายตากลับมายังพื้นหญ้าด้านหน้า ก้อนเนื้อในอกกำลังเต้นอย่างอ่อนแรง... อ่อนล้ากว่าที่เคย...
คิบอมวางมือทั้งสองลงบนแขนของจงฮยอน กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลลงมาพร้อมเอ่ยคำขอร้อง
“ขอโอกาสให้ผม ผมสัญญา...ผมจะทำให้ได้ ผมจะทำให้พี่รักผมให้ได้ ขอแค่พี่ลืม... แค่ลืมคีย์คนนั้นไปซะ ได้มั้ย พี่ช่วยลืมเค้าได้มั้ย”
ถึงแม้ความทรงจำเหล่านั้นจะต้องถูกลบเลือนไปก็ช่าง ถ้าหากจะทำให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกครั้ง ต่อให้ต้องลบอีกซักกี่ความทรงจำเขาก็ไม่สนใจ
ทั้งที่คิดว่าไม่สน... แต่น้ำตาหยดแรกกลับไหลผ่านแก้มลงมาเพียงแค่คิดว่าจะต้องลืมเลือนความทรงจำเหล่านั้นไปจริงๆ
มุมปากได้รูปยกขึ้นเล็กน้อยทันทีที่ได้ยินคำพูดของคิบอม จงฮยอนระบายลมหายใจยาว ผิดหวังกับคำพูดของคนข้างกายเหลือเกิน ดูเหมือนว่าจนถึงตอนนี้ คิบอมก็ยังไม่เข้าใจอะไรเลย
“อย่าคิดว่าทุกเรื่องมันจะง่ายเหมือนเวลานายพูดโกหกสิ” จงฮยอนดึงมือที่จับแขนเขาไว้ออกแล้วลุกขึ้นยืน
เขาควรจะรู้ตั้งแต่แรกว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ เขาไม่น่าตัดสินใจมาคุยกับคิบอมเรื่องนี้เลย ไม่ควรมาเจอคิบอมวันนี้เลยด้วยซ้ำ เด็กคนนี้ไม่พยายามจะเข้าใจในตัวเขา ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เขาต้องการจริงๆคืออะไร
“ถ้านายคิดว่าความทรงจำของฉันกับเค้ามันไม่มีค่า ฉันไม่แคร์ แต่อย่ามาสั่งให้ฉันโยนความทรงจำพวกนั้นทิ้ง เพราะฉันจะไม่มีวันทำอย่างที่นายต้องการ”
จงฮยอนหันมาพูดกับคิบอม ดวงตาคมเริ่มแดงเรื่อ
เจ็บปวดใช่มั้ย... เจ็บปวดกันทั้งคู่ ยิ่งพยายามประสานรอยร้าวนั้นแค่ไหน น้ำในแก้วก็ยิ่งรั่วซึมออกมาจากจุดที่เรามองไม่เห็น แล้วเราควรจะทำยังไงต่อไปดี ทนประคองมันอยู่แบบนี้ รอเวลาให้แก้วแตก ให้เศษแก้วพวกนั้นบาดมือของเราจนเจ็บจนเสียใจมากกว่าเดิม หรือควรจะปล่อยให้มันตกลงพื้นตั้งแต่วันนี้ เราอาจจะเสียดายที่มันแตก หรืออาจจะอ้างว้างในวันที่มองหาแล้วไม่เจอมัน แต่อย่างน้อย เราทั้งคู่ก็ไม่ต้องทนเสียเวลากับมันอีกต่อไป
“ไม่ว่านายจะพูดยังไง ฉันก็จะไม่มีทางลืม”
คิบอมลุกขึ้นยืน ใช้หลังมือเช็ดน้ำตาบนหน้าตัวเอง สบตาอีกฝ่ายที่จ้องตรงมาอย่างไม่ยอมแพ้
“แล้วพี่จะให้ผมทำยังไง! ผมรักพี่ อยากให้พี่เป็นของผม แต่ถ้าพี่ยังไม่ลืมคีย์อยู่แบบนี้แล้วผมควรจะทำยังไงต่อ พี่เสียใจเป็นคนเดียวหรือไง พี่คิดว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาผมมีความสุขหรือไงเล่า!”
ตะโกนใส่หน้าจงฮยอนพร้อมกับน้ำตาที่ร่วงผ่านแก้ม ใบหน้าของคนตรงหน้าพร่าเลือนจนคิบอมไม่รู้เลยว่าเจ้าตัวทำหน้าแบบไหนอยู่และกำลังมองเขาด้วยสายตาแบบใด
ทุกครั้ง... ไม่ว่าจะถูกเมินแค่ไหนก็บอกตัวเองให้อดทนไว้ ถึงจะถูกเดินหนี ถูกไล่ ถูกทำให้เสียใจกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ฝืนทนมาตลอด เขาทนได้... เพราะเขาคิดว่าสิ่งที่จงฮยอนสับสนอยู่คือการพยายามยอมรับเขาที่เป็นแบบนี้ แต่มันไม่ใช่เลย คิบอมเพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่าสิ่งที่จงฮยอนต้องการจริงๆไม่ใช่เขาที่กำลังยืนอยู่ตรงนี้ แต่เป็นเขาที่ไม่มีตัวตนคนนั้นต่างหาก เป็นคีย์... เป็นภาพลวงตาโง่ๆที่เขาสร้างมันขึ้นมาด้วยมือของตัวเอง
“หรือต้องให้กลับไปเป็นคีย์ แบบนั้นใช่มั้ยที่พี่ต้องการ”
“ไม่ใช่” เสียงของจงฮยอนสั่นกว่าที่คิด แปลกที่มันกลับทำให้คิบอมยิ่งเจ็บกว่าเดิม
“โกหก! พี่รักคีย์ แต่พี่ไม่รักผม เพราะอะไร? เพราะเป็นผู้หญิงก็เลยถูกรักได้ใช่มั้ย สำหรับพี่ ขอแค่เป็นผู้หญิงก็พอแล้วใช่มั้ย!”
“หยุดนะคิบอม!”
ต้นแขนถูกจับกระชาก คิบอมจ้องหน้าจงฮยอนผ่านม่านน้ำตาหนา จู่ๆก็นึกเกลียดคนตรงหน้าขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล อยากให้เจ็บปวด อยากให้เจ็บเหมือนที่เขากำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้
ริมฝีปากเหยียดยิ้มโดยไม่รู้ตัว...
“หายไปแหละดีแล้ว ไม่ต้องกลับมาอีกเลยยิ่งดี พี่จะไม่มีวันได้เจอคีย์อีก ไม่มีวัน”
“.....”
จงฮยอนมองใบหน้าเปื้อนทางหน้าตา มือที่กำรอบแขนคิบอมตกลงข้างตัวช้าๆ... ไม่มีใครพูดอะไรต่อ...
“ผม... ผมขอโทษ... ผมไม่ได้ตั้งใจ...”
รอยยิ้มเศร้าถูกส่งให้คนที่ยังคงร้องไห้ไม่หยุด ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมองเห็นรึเปล่า แต่ตอนนี้... คงพอได้แล้ว
ชายหนุ่มหมุนตัวเดินจากมา ทิ้งเสียงตะโกนเรียกชื่อเขาไว้ข้างหลัง ออกแรงปลดแขนของคิบอมที่กอดรอบเอวเขาไว้ออก รวมทั้งดึงแขนตัวเองที่ถูกอีกฝ่ายฉุดรั้งเอาไว้คืน
ท่ามกลางสวนสาธารณะเล็กๆที่ถูกปกคลุมด้วยความมืด มีเพียงแสงไฟไม่กี่ดวงที่ช่วยเพิ่มเติมแสงสว่างนั้น
เสียงร้องไห้ของคิบอมดังสลับกับเสียงเรียกชื่อของเขาไม่หยุด
“… People cry not because they’re weak,
It’s because they’ve been strong for too long…”
กุญแจรถถูกล้วงออกจากกระเป๋ากางเกง ดูเหมือนจงฮยอนจะลืมไปแล้วว่ามันใช้ทำอะไรได้บ้าง เขาจับลูกกุญแจเสียบเข้าสู่ร่องเล็กๆบนประตูรถ ก่อนจะเผลอปล่อยมันหลุดมือ
เจ้าของมือสั่นๆก้มตัวเก็บพวงกุญแจขึ้นมาแล้วจัดการเปิดประตูรถต่อ
“โธ่เว้ย!!” สบถออกมาเมื่อพวงกุญแจที่ว่าตกลงพื้นอีกรอบ
จงฮยอนทรุดตัวลงนั่งบนพื้นถนน สองมือดึงทึ้งผมตัวเองพร้อมกับปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา คำพูดและเสียงร้องไห้เมื่อครู่ของคิบอมยังคงก้องสะท้อนอยู่ในหูทั้งสองข้าง...
ภาพของคีย์ตั้งแต่วันแรกที่เจอตัดสลับกับภาพของคิบอมไปมา คำที่คีย์เคยพูด รวมถึงสิ่งที่คิบอมเคยบอก ก็ดังโต้ตอบอยู่ในหัวของเขาไม่หยุด
จงฮยอนสะอื้นกับตัวเองอย่างยอมแพ้
แก้วแตกแล้ว...
ประคองไม่อยู่แล้ว...
จริงๆหรือ...
สองมือที่ดึงทึ้งผมตัวเองในคราแรกเลื่อนมาลูบหน้าตัวเองเพื่อเช็ดน้ำตา ก่อนที่จงฮยอนจะค่อยๆยันตัวลุกขึ้นยืน
มีบางเรื่องผิดไป บางเรื่อง...ที่ไม่ควรจะเป็นแบบนี้
คิบอมนั่งกอดเข่าตัวเองอยู่บนพื้นหญ้า คราบน้ำตาติดอยู่ข้างแก้ม ดวงตาแดงกล่ำ ลมหายใจถูกพ่นผ่านริมฝีปาก สายตาเลื่อนลอยไปยังทางเข้าออกของสวนสาธารณะ
จบแล้ว... จบลงแล้วจริงๆ...
“... พี่จงฮยอน ...”
คิบอมเอ่ยชื่อคนใจร้ายเสียงแผ่ว น้ำตาที่คิดว่าคงไม่มีให้ไหลออกมาอีกแล้วก่อตัวและร่วงลงมาอย่างรวดเร็ว เสียงปล่อยโฮดังขึ้นอีกครั้ง ร้องไห้จนเหนื่อยแทบขาดใจ หายใจติดขัดจนเจ็บไปทั้งอก
ทำไมถึงใจร้ายได้ขนาดนี้
สองแขนสวมกอดคนที่เดินมาคุกเข่าลงตรงหน้าไว้แน่น ฝังหน้าลงบนแผ่นอกของจงฮยอน เบียดตัวเข้าหาราวกับกลัวว่าจะถูกผลักไส
“ผมขอโทษ... ขอโทษ... ขอโทษ” พร่ำพูดคำๆเดิมซ้ำไปซ้ำมา
จงฮยอนกระชับสองแขนเข้าหากัน ดึงรั้งอีกฝ่ายเข้ามาชิดมากกว่าเดิม ฝ่ามือสั่นๆปลอมประโลมอยู่บนแผ่นหลังของคนในอ้อมแขน ปล่อยให้น้ำตาของคิบอมไหลซึมเปื้อนเสื้อ เพื่อว่าหยดน้ำตาที่อีกฝ่ายต้องสูญเสียจะช่วยชำระล้างอคติในหัวใจของเขาออกไปให้หมดเสียที
มีหนึ่งสิ่งที่เขายังไม่ได้พูด
สิ่งที่เขาเตรียมมาและตั้งใจจะพูดกับเด็กคนนี้ และเขาจะไม่ปล่อยให้เรื่องทุกอย่างจบลงโดยที่เขายังไม่ได้พูดมันออกมา
ที่จงฮยอนมาพบคิบอมวันนี้ เพราะเขาอยากบอกกับคิบอมว่า...
“พี่คิดว่าเราคงกลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้”
นั่นคือสิ่งที่เขาคิดทบทวนและตัดสินใจดีแล้ว ไม่ว่าคิบอมจะยอมรับมันหรือไม่ก็ตาม เขาก็ไม่สามารถทำเหมือนเรื่องทุกอย่างเป็นเพียงเรื่องตลกไร้สาระที่ผ่านมาและผ่านไปได้
คิบอมขยุ้มมือกับแขนเสื้อของจงฮยอนแน่น
“พี่คิดว่าเราควรเริ่มต้นกันใหม่... เริ่มใหม่ตั้งแต่แรก”
เก็บความทรงจำในวันวานเอาไว้ อย่าลืม อย่าทิ้ง อย่าทำเหมือนมันเป็นเรื่องที่ไม่ควรค่าแก่การจดจำ เพราะเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันก่อตัวขึ้นมาจากความรู้สึกของเราทั้งคู่ และในวันหนึ่งข้างหน้าที่เรามองย้อนกลับมา เราจะยังมีความทรงจำดีๆเหล่านั้นให้คิดถึงเสมอ
เด็กหนุ่มหัวเราะเสียบแหบ กำปั้นของคิบอมทุบลงบนตัวของจงฮยอนหลังจากทำความเข้าใจกับถ้อยคำเหล่านั้น
“ผมจะทำให้พี่รักผมมากกว่าที่เคยรักคีย์ซะอีก คอยดูสิ”
คิบอมกอดจงฮยอนไม่ยอมปล่อย น้ำตายังคงไหลออกมา ทว่าริมฝีปากกลับยิ้มกว้าง และหัวใจก็เต้นแรงกว่าครั้งไหนๆ
เช่นเดียวกับจงฮยอน
การยอมรับกับตัวเองว่าชอบผู้ชายไม่ใช่เรื่องที่เขากังวลอย่างที่หลายๆคนคิดว่าเขาเป็น สิ่งที่ทำให้เขากังวลคือจะทำยังไงให้เขาสามารถรักษาทั้งคีย์และคิบอมเอาไว้ได้มากกว่า เพราะสำหรับเขาแล้ว แม้แต่ตอนนี้ เขาก็ยังคิดว่าทั้งคู่คือคนละคนกันอยู่ดี หากเขาไม่สามารถจัดการกับความคิดนี้ได้ เขาก็คงทนมองหน้าคิบอมต่อไปไม่ได้เช่นกัน
ถ้าเกิดว่าวันหนึ่งคิบอมตั้งคำถามกับเขา ทำไมเขาถึงรัก ถึงให้อภัย ถึงมองข้ามสิ่งที่อีกฝ่ายทำไปได้อย่างง่ายดาย คำตอบที่ว่า...เพราะเขารักคีย์คนที่คิบอมสร้างขึ้นมา จะต้องสร้างความเจ็บปวดให้อีกฝ่ายอย่างแน่นอน ความหวาดระแวงจะกลายเป็นเงาไล่ตาม และท้ายที่สุด คิบอมก็คงจะย้อนกลับมาถามเขาว่า... สรุปแล้ว คนที่เขาต้องการคือใครกันแน่
หลายครั้งหลายหนที่เขาพยายามตัดใจ บอกตัวเองว่าเรื่องของเรามันผิดพลาดมาตั้งแต่แรก ต่อให้แก้ไขยังไงก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี ไม่ได้สนใจเลยว่าคำตอบของเรื่องนี้มีเฉลยคอยเอาไว้แล้ว
เพราะมันผิดพลาดตั้งแต่แรก ทางเดียวที่เราจะแก้ได้ จึงมีแค่ต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่เท่านั้น...
“...The PAST cannot be changed, forgotten, edited or erased;
it can only be ACCEPTED...”
01.43 น.
“ขอบใจนะที่มาส่ง”
ควีบุนเอ่ยหลังจากเปิดประตูรถลงมายืนบนพื้นเรียบร้อย หญิงสาวเจ้าของงานวันเกิดมองเพื่อนอีกสามคนที่นอนคอพับอยู่บนเบาะหลังแล้วหันกลับมาหาเพื่อนอีกคนที่นั่งประจำตำแหน่งคนขับ
“บอกทีว่าวันนี้เลี้ยงวันเกิดให้ฉัน” เอ่ยประชดอย่างอดไม่ได้ ทำเอามินจองถึงกับหัวเราะร่วน
“ปล่อยผีไง”
“ย่ะ! กลับไปได้แล้ว ขับรถดีๆด้วย แล้วก็ส่งยัยพวกนี้ให้ถึงบ้านด้วยล่ะ”
มินจองตอบรับคำกลับมา ทั้งสองคนโบกมือลาให้กันก่อนที่มินจองจะเลี้ยวรถออกไป
เสียงเรียกเข้าดังขึ้นขณะที่ควีบุนก้าวออกจากลิฟต์ หญิงสาวควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพาย มองชื่อซึ่งปรากฏอยู่บนหน้าจอแล้วเผลอยิ้มออกมา
“โทรมาทำไมดึกขนาดนี้ หัดเกรงใจชาวบ้านเค้าบ้างนะจงฮี” น้ำเสียงหน่ายๆถูกกรอกลงไป ผิดกับสีหน้าของตัวเองลิบลับ
“ก็ไม่ได้อยากโทรซักหน่อย ถ้าอนซุกไม่บอกให้โทรคิดว่าฉันจะโทรหาเธอให้เปลืองตังค์หรือไง”
“อ่อออ...” ควีบุนลากเสียงยาว เหน็บโทรศัพท์ข้างหูพร้อมกับไขกุญแจห้อง
“อนซุกนี่เก่งนะ ตอนออกจากผับฉันเห็นเดินชนคนไปทั่วร้าน ไม่นึกว่าจะหายเมาเร็วขนาดนี้”
“ก็... หายแล้ว” คนปลายทางตอบกลับมาแบบไม่ค่อยจะเต็มเสียง “เรื่องนั้นช่างมันเถอะน่า! ว่าแต่เธอถึงห้องรึยัง”
“เพิ่งถึงเดี๋ยวนี้เอง”
ควีบุนวางกระเป๋าสะพายข้างลงบนโต๊ะทานข้าวแล้วเดินตรงไปยังตู้เย็น หยิบขวดน้ำพร้อมกับแก้วบนหลังตู้ออกมา จัดการเทน้ำใส่แก้วแล้วยกขึ้นดื่ม หวังเรียกความสดชื่นให้ร่างกายด้วยน้ำเย็นๆ
“งั้นฉันไม่กวนล่ะ จะไปอาบน้ำแล้ว”
“อาฮะ”
“.....”
“งั้น... แค่นี้นะจงฮี”
“อื้ม”
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่อคนปลายสายเงียบไปอย่างผิดปกติ
“จะพูดอะไรก็พูดสิ เอาแต่เงียบแบบนี้แล้วฉันจะรู้เหรอ” สุดท้ายก็ต้องเอ่ยปากออกไปอย่างอดไม่ได้
“จงฮี?... คิมจงฮี?... นี่!”
“ฝันดีนะ!”
“ก็แค่เนี้ย” มุมปากยกยิ้มกับตัวเอง
ควีบุนกดวางสายแล้วจัดการเก็บขวดน้ำกลับเข้าตู้เย็น เปิดน้ำล้างแก้วแล้ววางลงบนพื้นที่ว่างข้างๆซิงค์ หญิงสาวเดินออกจากห้องครัวตรงไปยังห้องนอนของตัวเอง แต่เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้
ร่างบางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา ไม่แน่ใจว่าน้องชายเข้านอนไปแล้วรึยัง ช่วงหลังๆที่ไม่ได้ไปตามเฝ้าจงฮยอนดูเหมือนคิบอมจะเอาแต่ฮึดอ่านหนังสือทุกวี่ทุกวัน ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ดึกขนาดนี้ก็น่าจะหลับไปแล้ว... แต่พรุ่งนี้วันอาทิตย์ อาจจะยังไม่นอนก็ได้
ควีบุนเบนเข็มไปยังห้องนอนของคิบอมแทน แนบหูลงกับบานประตูแล้วค่อยๆเปิดประตูห้องเข้าไป
โคมไฟหัวเตียงตัวหนึ่งยังเปิดค้างเอาไว้อยู่ ทำให้แสงสีส้มอ่อนครอบคลุมไปทั่วทั้งห้องสี่เหลี่ยม หน้าต่างเปิดอ้า พัดพาสายลมยามดึกเข้ามาจนผ้าม่านสีน้ำตาลอ่อนพลิ้วไหว
บนเตียงกลางห้อง คิบอมกำลังนอนหลับสนิท...
“.....”
คนที่ตั้งใจแค่แวะมาดูว่าน้องชายหลับแล้วหรือยังเบิกตากว้าง ฝ่ามือยกขึ้นปิดปากตัวเองไม่ให้หลุดเสียงอุทานออกมา
ดะ ดะ เดี๋ยวนะ...
เดี๋ยวนะ...
เดี๋ยวสิ!
นี่มันห้องนอนของคิบอมไม่ใช่เหรอ
แล้ว...
แล้วทำไม...
ทำไมจงฮยอนถึงมานอนกอดคิบอมอยู่ในห้องได้ล่ะ!!!
ประตูไม้ถูกปิดอย่างแผ่วเบาเช่นเดียวกับตอนเปิดเข้าไป ควีบุนปลดล๊อคหน้าจอโทรศัพท์ ปลายนิ้วไล่หาชื่อใครคนหนึ่งแล้วกดโทรออกทันที
รออยู่ซักพักปลายสายก็กดรับด้วยเสียงงัวเงียสุดขีด
“ใครวะ?”
“ชเว-มิน-โฮ!!”
*******************
ลานหน้าห้างสรรพสินค้าในช่วงสายของวันเสาร์เนืองแน่นไปด้วยผู้คนจำนวนมากที่พากันออกมาเดินเที่ยวให้สมกับเป็นวันหยุดพักผ่อนประจำสัปดาห์ วัยรุ่นจำนวนไม่น้อยยืนเกาะกลุ่มกันอยู่หน้าห้างฯ และก็มีวัยรุ่นอีกจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่พากันเดินจูงมือเป็นคู่ๆ
คิบอมยกแขนกอดอก หันหน้าเข้าหาตัวตึก สายตาจับจ้องอยู่ที่หน้าปัดนาฬิกาบนข้อมือขวาของตัวเอง ริมฝีปากยู่เข้าหากันเมื่อพบว่าเลยเวลานัดมาร่วมสิบนาทีแล้ว
“สายตั้งแต่วันแรก” บ่นพึมพำเบาๆอย่างขัดใจ และหลังจากยืนรอต่ออีกราวๆห้านาที เสียงเอ่ยทักก็ดังมาจากทางด้านหลัง
“ขอโทษนะครับ”
เด็กหนุ่มที่ถูกปล่อยให้รอมาร่วมครึ่งชั่วโมงคลี่ยิ้มออกมาเมื่อได้ยินเสียงเอ่ยทักนั่น ก่อนจะรีบแกล้งทำหน้าบึ้งแล้วค่อยๆหันหลังกลับมา สายตาไล่ตั้งแต่ปลายเท้าของอีกฝ่ายขึ้นมาเรื่อยๆจนกระทั่งสบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลเข้ม
“มาสายตั้งแต่นัดเดทวันแรกแบบนี้เลยเหรอครับ”
“จริงเหรอ?” คนถูกตำหนิยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูแล้วพยักหน้าหงึกหงัก “จริงด้วยสิ สายไปตั้ง... 16 นาที”
“นั่นไง! เพราะฉะนั้นความประทับใจแรก ติดลบ!”
“ว้า แบบนี้ก็แย่สิ จะแก้ตัวยังไงดีน้า”
คิบอมมองคนตรงหน้าที่ยืนทำตาละห้อย ทั้งน่าสงสารและก็น่าหมั่นไส้ไปพร้อมๆกัน อยากจะแกล้งเอาแต่ใจต่ออีกซักหน่อย แต่หลังจากยืนสบตากันอยู่อย่างนั้น ในที่สุดก็หลุดยิ้มออกมาจนได้
“ต้องเลี้ยงข้าวผมด้วยนะ!” เอ่ยข้อตกลงพร้อมกับยกนิ้วขึ้นชี้
ฝ่ามือหนาของอีกฝ่ายยกขึ้นคว้านิ้วเรียวหมับ เอ่ยตกลงโดยทันที “ตอนนี้เลยมั้ยล่ะ”
“วันนี้ล้างกระเพาะมาอย่างดี รับรอง...หนาว!”
“จะจนตั้งแต่เดทวันแรกก็ให้มันรู้ไปสิ”
“ขี้คุย”
“เป็นปกตินะ”
“นี่คือปกติแล้ว?”
“หรืออยากเจอเวอร์ชั่นพิเศษกว่านี้”
เถียงกันโดยไม่มีใครยอมใคร จนกระทั่ง...
“...จะเอาจริงๆล่ะนะ” คนมาสายพูดพร้อมกับปล่อยมือตัวเองออกจากนิ้วของคิบอม และเมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าให้ ริมฝีปากได้รูปก็คลี่ยิ้มจางก่อนจะเอ่ยสิ่งที่เตรียมไว้ออกมา
“พี่ชื่อคิมจงฮยอน เรียนอยู่คณะสถาปัตย์ฯ มหา’ลัยฮงอิก อายุ21ปี โสดมาสามปีแล้ว เป้าหมายตอนนี้คือทำโปรเจคสอบให้ผ่าน และก็หาแฟนน่ารักๆซักคนไว้ให้อ้อนเวลาเครียดเพราะเขียนแบบส่งอาจารย์ไม่ทัน”
เจ้าของคำพูดแนะนำตัวยักคิ้วให้คิบอมหลังจากพูดจบ ผายมือมาข้างหน้าเป็นเชิงให้คิบอมทำแบบเดียวกัน
“ผมชื่อคิมคิบอม เพื่อนๆชอบเรียกว่าคีย์ แต่พี่ไม่ได้จะมาเป็นเพื่อนผมนิ่ เพราะฉะนั้นต้องเรียกผมว่าคิบอมเหมือนที่พี่สาวฝาแฝดของผมเรียก ตกลงมั้ย อ่อ พี่สาวผมชื่อคิมควีบุน หน้าเหมือนผมมาก แต่ถึงจะเหมือนแค่ไหนผมก็ไม่อนุญาตให้จำผิดเด็ดขาด
ตอนนี้เรียนอยู่คณะบริหาร มหา’ลัยฮงอิก อายุ20ปี ไม่เคยมีแฟน ไม่เคยชอบใคร อาหารที่ชอบคือสปาเก๊ตตี้สไปซี่แฮมกับมอคค่าเย็น ไม่ค่อยชอบดูหนัง แต่หนังที่ชอบที่สุดคือเรื่อง The Intouchables ชอบอ่านวรรณกรรมแปล ไม่มีความรู้เรื่องดนตรี ไม่ใช่เด็กเที่ยว ไม่ชอบเข้าสังคม และก็... อืมมม... จบแล้ว”
จงฮยอนที่กำลังตั้งใจฟังอย่างจริงจังหัวเราะออกมาเมื่อคิบอมตัดจบเอาเสียดื้อๆ ก่อนจะแกล้งหรี่ตา ทำเป็นสำรวจ
“ไม่เคยมีแฟนและก็ไม่เคยชอบใคร? เที่ยวก็ไม่เที่ยว สังคมก็ไม่เข้า แถมยังมีแฝดมาให้สับสนอีก... เป็นเคสที่เอาเรื่องเลยแฮะ”
ปลายนิ้วถูไปมาบริเวณสันกรามของตัวเอง ลอบมองคิบอมที่เริ่มทำหน้ามุ่ยแล้วฉีกยิ้มกว้าง ฝ่ามือถูกยื่นออกไปตรงหน้า รอให้อีกคนวางมือลงมาแล้วจึงบีบกระชับเบาๆ
“แต่หน้าตาถูกสเป๊คแบบนี้ ยากแค่ไหนก็สู้ตาย... ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ คิบอม”
“เช่นกันครับ พี่จงฮยอน”
คิบอมตอบรับกลับไป ดวงตาเรียวภายใต้กรอบแว่นโค้งเป็นรูปครึ่งวงกลม บ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังมีความสุขมากแค่ไหน
END.
“...Every story has an end but in life every end is a new beginning...”
“จงฮยอนคืนดีกับน้องคีย์แล้ว เพราะฉะนั้น ทำตามสัญญาแกเลยมินโฮ”
เจ้าของชื่อที่ถูกต้อนจนมุมอยู่ใต้บันไดตึกคณะสถาปัตย์ฯกรอกตาไปมา ก่อนจะจำใจล้วงโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกจากกระเป๋ากางเกงอย่างช่วยไม่ได้
“เร็วๆ อย่าให้ช้า”
“ช่วยไม่ได้ รายชื่อสาวๆในสต๊อกมันเยอะก็เงี้ย” มินโฮไหวไหล ขณะที่ปากโอ้อวดตัวเองกลายๆปลายนิ้วก็ยังไล่หาชื่อของใครบางคน ก่อนจะพบในที่สุด เด็กหนุ่มยื่นหน้าจอโทรศัพท์ให้กวางฮี และคนแก่กว่าก็ไม่รีรอที่จะก๊อปปี้ตัวเลขสิบหลักนั้นลงในโทรศัพท์ของตัวเองอย่างรวดเร็ว
“ในที่สุด... เบอร์น้องซันฮวาก็มาอยู่ในมือพี่จนได้ เยส!!” กวางฮีกระโดดตัวลอยแล้วถลาเข้ากอดมินโฮจนอีกฝ่ายต้องรีบยกมือผลักแทบไม่ทัน
“ถึงมีเบอร์ แต่ถ้าใจไม่ถึง ก็แห้วได้เหมือนกันนะพี่”
“บ๊ะ! ระดับนี้แล้ว แกคอยดูแล้วกัน” กวางฮีมองเบอร์บนหน้าจอแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนจะยกโทรศัพท์เครื่องเล็กถูแก้มไปมา และเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้ ชายหนุ่มลดโทรศัพท์มือถือลงพร้อมกับมืออีกข้างที่ยกมือขึ้นชี้หน้ามินโฮ
“แต่ขอบ่นหน่อยเฮอะ ว่าแผนแกมันงี่เง้ามาก รู้มั้ยว่าฉันเคยเกือบโดนจงฮยอนมันต่อยเข้านี่ ตรงนี้เลย บุญเท่าไหร่ที่มันยังไม่เลิกคบฉันข้อหาคิดเครมเด็กมัน ไอ้น้องเวร!”
“งี่เง้าตรงไหน ผมแค่บอกให้พี่ช่วยกระตุ้นเล็กๆน้อยๆ พี่เองแหละ ไม่รู้คิดได้ไงถึงพูดออกไปแบบนั้น... หยุดเลย พี่อนยูเล่าให้ผมฟังหมดแล้วว่าพี่พูดอะไรออกไปบ้าง นี่ถ้าไม่เห็นว่างานสำเร็จนะ จะใส่ไฟซันฮวาเอาให้เกลียดขี้หน้าพี่ไปเลย ข้อหาพูดจาพาเพื่อนผมเสีย”
มินโฮจิ๊ปากแล้วทำท่าเดินหนี แต่ยังไม่ทันจะก้าวไปไหน สายตาก็เหลือบไปเห็นใครบางคนกำลังยืนกอดอกมองตรงมา
จงฮยอนส่งยิ้มชวนเสียวสันหลังให้มินโฮและกวางฮีที่พากันหน้าซีดไปแล้วล่วงหน้า ข้างๆกันคืออนยูที่ยกมือปิดปากกั้นหัวเราะเอาไว้อยู่
*******************
… CHOI MINHO …
คณะบริหาร...
คิบอมโบกมือให้เพื่อนที่เพิ่งเดินมาถึงจากหน้าตึกเรียน คนตัวสูงขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วรีบก้าวเท้าให้ยาวกว่าเดิม
“อาจารย์ยกเลิกคลาสเหรอ?” เอ่ยถามทันทีที่เดินมาถึง
“ขอโทษทีที่ทำให้ผิดหวัง แต่ฉันแค่ยืนรอนายเฉยๆ”
“ร้อยวันพันปีเห็นขึ้นไปรออยู่บนห้องก่อนตลอด วันนี้คิดไงถึงมารอฉันอยู่นี่”
คิบอมยิ้มให้มินโฮ ยกแขนซ้ายขึ้นโอบรอบคอเพื่อนสนิทแล้วพากันเดินตรงไปยังลิฟต์ใต้ตึกคณะ
“ขอบใจนะ”
“หื้มมมม?” ลากเสียวสูงยาวเฟื้อยจนคนข้างๆถึงกับหัวเราะออกมา “ผีเข้าป่ะวะ”
“คงงั้น” คิบอมตอบรับสั้นๆแล้วเดินนำหน้าไปต่อแถวเพื่อรอขึ้นลิฟต์ “พี่จงฮยอนเล่าให้ฉันฟังหมดแล้ว ไอ้แผนประหลาดๆของนาย”
“อย่าดูถูกแผนประหลาดของฉันเชียวนะเว้ย ไม่ใช่ชเวมินโฮนี่คิดไม่ออก”
“ประหลาดแบบนั้นใครจะไปคิดออก” คิบอมว่าพลางส่ายหน้าไปมา สายตาเหลือบไปเห็นเด็กนักเรียนในชุดม.ปลายหลายคนเดินผ่านไปแล้วหันกลับมาหาเพื่อน
“วันนี้คณะมีงานอะไรแกรู้มั้ย ทำไมเด็กเยอะจัง”
“สมัครโควตาล่ะมั้ง เห็นโซฮยอนพูดอยู่วันก่อน” มินโฮตอบอย่างไม่ใส่ใจ ร่างสูงชะเง้อคอไปยังบู๊ทซึ่งตั้งอยู่อีกฝั่งของตึก พร้อมทั้งกวาดสายตามองเด็กม.ปลายจากหลายๆโรงเรียนที่ยืนออกันอยู่
“มินโฮ!” เสียงตะโกนเรียกของคิบอมดึงคนตัวสูงให้หันหน้ากลับมา ก่อนที่ขายาวๆจะก้าวตามเพื่อนเข้าไปในลิฟต์
“พี่จงฮยอนให้มาชวน ไว้รอเดือนหน้าสอบมิดเทอมเสร็จแล้วไปสกีรีสอร์ทกัน”
มินโฮพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ พร้อมๆกับประตูลิฟต์ที่ค่อยๆเคลื่อนเข้าหากัน...
.
.
.
“กรอกชื่อตรงนี้เลยนะคะ แล้วก็อย่าลืมเขียนเกรดด้วย เขียนให้ชัดๆนะ พวกรางวัลหรือกิจกรรมพิเศษอะไรถ้ามีก็ใส่ลงไปด้วยเลย และก็ตรงข้างท้ายกระดาษแผ่นที่สอง อธิบายด้วยว่าทำไมถึงอยากเข้าเรียนที่นี่ อาจารย์เค้าจะใช้เป็นคำถามควบคู่ตอนสอบสัมภาษณ์”
“เอ่อ...” คนที่เพิ่งยื่นมือมารับเอกสารไปถือไว้ส่งสายตาเป็นเชิงรบกวนให้แก่เจ้าหน้าที่ประจำบู๊ท
“มีอะไรรึเปล่าคะ?”
“ผมไปเรียนไฮสคูลที่ต่างประเทศมาสามปีน่ะครับ คือ... มะ ไม่ใช่ว่าผมลืมภาษาเกาหลีนะครับ แต่...ไม่ได้เขียนนานแล้ว กลัวเขียนบางคำผิด ผมขอเขียนภาษาอังกฤษได้มั้ยครับ”
“ไม่มีปัญหาค่ะ ภาษาอังกฤษก็ได้เหมือนกัน”
“ขอบคุณครับ”
เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง รีบเดินออกไปนั่งหลบมุมกรอกข้อมูลของตัวเอง เอกสารที่ต้องใช้ประกอบการยื่นโควต้าตามรายละเอียดที่โชว์ในเวปไซต์คณะถูกเตรียมไว้แล้วเรียบร้อยในซองสีน้ำตาลข้างตัว
“นี่ครับ” เอกสารทั้งหมดถูกยื่นส่งให้เจ้าหน้าที่
“ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบข้อเขียนวันที่ 29 ตุลาคม ขอให้โชคดีนะคะ...” เจ้าหน้าที่หญิงเลื่อนสายตามองชื่อบนแผ่นกระดาษแล้วเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้เด็กหนุ่มตรงหน้า
“อีแทมิน”
*******************
อีก 60 วินาทีถึงจะไฟเขียว...
“มองอะไร?”
คิบอมเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ หลังจากแกล้งทำเป็นสนใจวิวด้านนอกอย่างเอาเป็นเอาตายก็แล้ว แต่สายตาของคนที่ประจำตำแหน่งคนขับก็ยังจ้องมอง แผ่รังสีเข้าใส่จนคนถูกจ้องชักเริ่มรู้สึกแปลกๆ
“มองคนน่ารัก”
ตอบออกมาโดยไม่รู้ว่าคิดก่อนรึเปล่า จงฮยอนฉีกยิ้มให้คนที่เริ่มทำหน้าปุเลี่ยนแล้วเอื้อมคว้ามือบางของคนข้างๆมาคลึงเล่น
“วันนี้อนยูบอกอะไรพี่อย่างนึง”
“บอกว่า?”
“ข้อดีที่สุดที่คิบอมเป็นผู้ชาย”
“ข้อดีที่ผมเป็นผู้ชายเนี่ยนะ?”
“ข้อดีที่สุดที่คิบอมเป็นผู้ชาย” จงฮยอนทวนประโยคเดิมเมื่อคิบอมพูดบางคำตกหล่นไป
คนตัวบางนิ่วหน้า ขมวดคิ้วเข้าหากัน พยายามนึกว่าไอ้ข้อดีที่อนยูพูดถึงคืออะไร แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก แถมยังเพิ่มความสงสัยให้มากขึ้นเมื่อเจ้าตัวขยายคำว่าข้อดีธรรมดาให้กลายเป็นข้อดีที่สุดเข้าไปอีก
จงฮยอนเหล่มองคิบอมที่กำลังใช้ความคิดอย่างเต็มที่ อมยิ้มกับตัวเองเมื่อนึกถึงสิ่งที่เพื่อนบอกเมื่อช่วงสายระหว่างพักเบรกวิชา ตอนแรกที่ได้ยินเขาถึงกับอึ้งไปซักพัก ก่อนจะนึกโมโหตัวเองที่ทำไมถึงได้มองข้ามข้อดีข้อนี้ไปได้มาตั้งเกือบสี่เดือน มันควรมั้ยคิมจงฮยอนนนน!!
วิวข้างทางเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ถึงอย่างนั้นคิบอมก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดี
“โอเค ผมยอมแพ้แล้ว พี่เฉลยเลยดีกว่า”
“อะไรกัน จะให้เฉลยเฉยๆได้ไง” คนที่บังคับพวงมาลัยรถแกล้งยียวน
“โถ่ บอกหน่อยน้า นะครับ น้า...”
คิบอมส่งเสียงอ้อน ถ้าเป็นปกติที่อีกฝ่ายไม่ได้ขับรถเขามักจะใช้น้ำเสียงแบบนี้พร้อมกับเกาะแขนอีกฝ่ายเล่นตามด้วยการซบหน้าลงไปบนต้นแขนโตๆนั่น แค่นี้จงฮยอนก็ใจอ่อนแล้ว
“หนึ่งที”
“อีกล่ะ”
“ตามใจ ไม่อยากรู้ก็ไม่เป็นไร”
คิบอมย่นจมูกเมื่อจงฮยอนเอ่ยข้อต่อรองที่ทำให้เขาเสียเปรียบ ดวงตาเรียวตวัดมองคนข้างๆที่ทำหน้าไม่เป็นเดือดเป็นร้อนแล้วยอมเอ่ยตกลงในที่สุด
“แค่ทีเดียวเท่านั้นนะ ห้ามเบิ้ล!”
จงฮยอนหัวเราะในคอเมื่อถูกดักทางตั้งแต่เริ่ม เป็นจังหวะเดียวกับที่ขับผ่านโรงแรมแห่งหนึ่งพอดี ชายหนุ่มเหลือบสายตาไล่ตามไปทางกระจกหลังแล้วพุ่งความสนใจกลับมายังท้องถนนด้านหน้าตามเดิม วาดยิ้มกว้างเมื่อถูกเด็กข้างๆรบเร้าให้ตอบคำถามที่ค้างอยู่
“อยากรู้จริงอ่ะ?”
“อื้อ ตอบเร็วๆสิ”
“ข้อดีที่สุดที่คิบอมเป็นผู้ชายก็คือ... ท้อง”
“ห๊ะ?”
คนที่คิดว่าตัวเองได้ยินผิดไปก้มหน้าจับท้องตัวเองแล้วหันมาหาจงฮยอน หัวคิ้วขมวดเข้าหากันอีกรอบ บ่งชัดว่าไม่เข้าใจว่าท้องของเขามันคือข้อดีที่สุดตรงไหน
“ท้องผมเนี่ยนะ? ทำไมอ่ะ? อ้วนไปเหรอ?”
จงฮยอนถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเจอคนน่ารักตั้งคำถามที่น่ารักไม่แพ้กับเจ้าตัวคนถาม ฝ่ามือกว้างเอื้อมยีผมคิบอมแล้วจึงอธิบายคำตอบให้ชัดเจนมากขึ้น
“หมายถึงว่า เราจะไม่เจอปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ต่างหาก เข้าใจรึยัง”
การตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์??
เข้าใจแล้ว...ชัดเลยด้วย
คิบอมเขยิบตัวไปชิดริมประตู บ่นงึมงำอะไรกับตัวเองที่จงฮยอนฟังไม่รู้เรื่อง มีเพียงแก้มที่จู่ๆก็แดงขึ้นเท่านั้นที่บอกว่าเจ้าตัวกำลังเขินอายกับอะไรบางอยู่ เสียงหัวเราะดังลั่นรถเมื่อคนตัวบางส่งค้อนมาให้
“อย่าคิดเชียว”
“ไม่ทันแล้ว”
“อะไรไม่ทัน?!”
คนที่ตอนนี้เริ่มแดงไปทั้งหน้าคว้าตุ๊กตาตัวเล็กจากเบาะหลังฟาดใส่จงฮยอนไปหนึ่งทีก่อนจะรีบหันหลังตะแคงให้ ไม่สนใจเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีของอีกฝ่ายที่ยังดังไม่หยุด
“คิบอมอ่า โกรธเหรอ? ก็เราอยากถามพี่เอง พี่ก็ต้องตอบสิ ขืนไม่ตอบเราก็โกรธอีก”
“ไม่ได้โกรธซักหน่อย”
“งั้นก็หันหน้ามา ไม่เห็นหน้าแบบนี้เดี๋ยวคิดถึงแย่” จงฮยอนแกล้งแหย่ ยิ้มไม่หุบกับท่าทีของคนข้างกาย
“ขับรถไปเลย!”
“คิบอมอ่า...”
“เดี๋ยวบอกเองนั่นแหละ!”
คนที่กำลังแหย่อย่างอารมณ์ดีถึงกับส่งเสียงหือออกมาเบาๆกับคำพูดที่ไม่ได้ประติดประต่อไปในทางเดียวกัน
“คิบอม?”
“ถะ ถ้าผมพร้อมแล้วจะบอก”
“.....”
“ตะ แต่พี่ห้ามบังคับกันนะ ห้ามเด็ดขาด ถึงผมจะเป็นผู้ชายแต่พี่ก็... จะไปไหน?”
คิบอมหันกลับมาถามเมื่อจู่ๆจงฮยอนก็เบี่ยงรถชิดซ้ายทันที สีหน้าของอีกฝ่ายเรียบตึง ไม่มีรอยยิ้มแม้แต่น้อย
“พี่จงฮยอน โกรธเหรอ?”
“.....”
“พี่...”
“เมื่อกี้ขับผ่านโรงแรมมา”
“ห ห๊า?”
คิบอมมองจงฮยอนที่ตั้งหน้าตั้งตาจะวนรถกลับท่าเดียวแล้วได้แต่ร้องโวยวายออกมาเมื่อเข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่าย
“ขับต่อไปตามเดิมเลยนะ ห้ามเลี้ยวนะ! พี่จงฮยอน! บอกว่าอย่าเลี้ยวไง นี่!!”
ให้มันได้แบบนี้สิ!!!
END.
TALK: ในที่สุดฟิคเรื่องนี้ก็จบแล้วจ้าาาา กรีดดดดดด (นี่คิดแล้วว่ามันอาจจะไม่จบ) พยายามหาทางออกให้ตัวละครในเรื่องจนปวดหัวเลยอ่ะ TvT จงฮยอนคนดี...ดีเกินนน ดีจนเรานั่งด่าหน้าเวิร์ดตลอดเรื่องเลย ฮ่าๆๆ
ตอนนี้ลงยาวม๊ากกกก ขี้เกียจอ่านกันรึเปล่าคะ? เราจะแบ่งแล้วล่ะ เป็น 4 พาร์ทจบ แต่ตั้งใจไว้แต่ตอนแรกว่าถ้าแบ่งก็อยากแบ่งแค่ 3 พาร์ทเท่านั้นพอ เพราะฉะนั้น ถึงจะยาวแค่ไหนก็ช่วยอ่านกันด้วยนะคะ! ^_^
อย่างที่ทอล์คไว้ตั้งแต่พาร์ทแรกว่าห่างจากการแต่งฟิคไปร่วมๆ 2 ปี ภาษาก็ด้าน แถมนิ้วก็แข็งไปหมดแล้ว ถ้ามีจุดบกพร่องตรงไหนก็บอกกันได้นะคะ จะเก็บไว้เป็นข้อแก้ไขในเรื่องต่อไปค่ะ (มันจะมีเรื่องต่อไปอย่างแน่นอน สัญญา เพราะเราจะไม่ปล่อยให้ตัวเองหยุดแต่งฟิคไปนานแบบนี้อีกเด็ดขาด เข็ดเลย T_T)
ไม่รู้จะพูดอะไรแล้วอ่ะ!! ถ้ายังไง... ไว้เจอกันใหม่เมื่อคลต.ฮึด! บัยส์ค่ะ (๑^0^๑)
ความคิดเห็น