ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    JongKey.} Fiction {.BY airinz, LiTAz, mno9

    ลำดับตอนที่ #3 : [SF] The Person I Love [2/3] by LiTAz

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.ย. 56


    [2/3]

     

    วันเดินทางไปพูซานมาถึงเร็วชนิดที่คิบอมเองก็ยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจ เขามัวแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องที่จะต้องบอกจงฮยอนจนความตื่นเต้นนั้นแทบไม่มีเหลือ มินโฮซึ่งเข้าใจเรื่องราวและความรู้สึกของเขาในตอนนี้ดีกว่าใครคอยกระตุ้นให้เขาลงมือเตรียมเก็บเสื้อผ้ารวมทั้งของใช้จำเป็นในการปลอมตัว แม้ตอนแรกจะหัวเราะเอาเป็นเอาตายตอนเขาโชว์วิธีการใส่วิกให้ดู แต่คล้อยหลังไปได้ไม่นาน เจ้าตัวก็นึกสนุกหยิบวิกที่ว่ามาคลุมหัวตัวเองดูบ้าง และมันก็น่าเกลียดเสียจนทำเอาคิบอมปวดท้องเพราะหยุดหัวเราะไม่ได้

    จงฮยอนขับรถมารับคิบอมที่หน้าคอนโดฯในช่วงสายของวันเสาร์ และหลังจากแวะรับอนยูและมินโฮเรียบร้อย พวกเขาทั้งสี่คนก็พากันตรงดิ่งไปยังจุดหมายปลายทางทันที บรรยากาศการเดินทางตลอดสี่ชั่วโมงกว่าเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะ บางทีก็จะมีเสียงกีตาร์จากเบาะหลังดังขึ้นมาเป็นระยะ นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่คิบอมรู้สึกว่าตัวเองได้หัวเราะออกมาจากข้างในจริงๆ แม้ลึกๆแล้วความกังวลนั้นจะยังคงกัดกร่อนจิตใจ แต่อย่างน้อยที่สุด ตอนนี้... เพียงแค่หันไปข้างๆเขาก็ยังมีจงฮยอนอยู่ด้วย ตราบใดที่ยังจงฮยอนยังคงยิ้มให้เขา เขาก็จะทำทุกๆนาทีที่เหลืออยู่ให้มีค่าที่สุด

     

    “ชอปปิ้งเหรอ? แต่ฉันไม่อยากชอปแล้วนี่ อุตส่าห์มาถึงพูซานทั้งที”

    คิบอมพูดกับจงฮยอนหลังจากพวกเขาทั้งสี่คนเดินทางถึงพูซานเรียบร้อย ทันทีที่เก็บสัมภาระของตัวเองเสร็จ มินโฮก็คว้าเซิฟบอร์ดแล้ววิ่งลงทะเลไปโดยไม่สนใจใคร ในขณะที่อนยูเดินหนีไปนอนพักอยู่บนผ้าใบริมหาดพร้อมมะพร้าวหนึ่งลูก ทิ้งคิบอมกับจงฮยอนที่ไม่รู้จะทำอะไรให้นั่งรับลมอยู่หน้าบ้านพักกันเพียงลำพัง

    “งั้น...อยากไปเล่นน้ำมั้ยล่ะ”

    คิบอมส่ายหน้า ขืนลงไปทั้งสภาพแบบนี้มีหวังจงฮยอนรู้ความจริงกันหมดพอดี

    “ไปเดินเล่นกันดีกว่า ฉันไม่ได้แตะน้ำทะเลมาตั้ง...เอ... ห้าปี... หรือหกปีนะ”

    คิบอมยกนิ้วขึ้นนับ แต่ยังนับไม่ทันจบก็ถูกคนข้างๆคว้ามือไปกุมเอาไว้แล้วพาเดินไปยังริมหาด

     

    “อยู่นิ่งๆสิ” จงฮยอนออกคำสั่ง ยึดไหล่คิบอมเอาไว้ แล้วดึกหมวกตัวเองที่สวมอยู่วางลงบนศีรษะของคิบอม ชายหนุ่มยิ้มให้คนอ่อนกว่า ใช้แขนโอบรอบเอวอีกฝ่ายไว้ก่อนจะพากันเดินต่อไป

    “พี่จงฮยอน”

    “ว่าไง?”

    “ฉันสงสัย อยากถามพี่มาตั้งนานแล้ว... ฉันเคยเห็นพี่เดินกับผู้หญิงคนนึง ก่อนที่เราจะเจอกัน”

    “ผู้หญิง? ที่ไหน?”

    “โคเอ็กซ์” คิบอมพูดถึงวันที่เขาบังเอิญเจอจงฮยอนในห้างสรรพสินค้าแล้วแอบเดินตามทั้งคู่ไปจนถึงร้านอาหาร

    “มีด้วยเหรอ?”

    “ก็ฉันเห็นนี่ เดินคล้องแขนกันด้วย คล้องแบบเนี้ย แบบเนี้ย!” คิบอมคล้องแขนจงฮยอนแบบที่เคยเห็นผู้หญิงคนดังกล่าวทำ

    “อืมมม...”

    จงฮยอนหยุดเดิน ทำหน้าใช้ความคิดแล้วล้วงมือหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ปลายนิ้วแตะหน้าจออยู่ไม่กี่ทีแล้วยื่นให้คิบอมดู “ใช่คนนี้รึเปล่า”

    ดวงตาเรียวเพ่งมองรูปถ่ายคู่ของจงฮยอนกับผู้หญิง ก่อนจะพยักหน้ารัว

    “ผู้หญิงที่ไหน ม้าดีดกะโหลกชัดๆ” จงฮยอนที่พอรู้ความจริงส่ายหน้าขำ เก็บมือถือกลับลงไปในกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นแขนออกไปโอบรอบเอวคิบอมตามเดิม

    “จงฮี น้องสาวพี่เอง”

    “น้องสาว?”

    “อื้ม หน้าเหมือนกันขนาดนั้น”

    แขนข้างซึ่งโอบเอวเลื่อนขึ้นมาคล้องคอคนข้างกายไว้อย่างอ่อนโยน จงฮยอนเหลือบมองคนที่ยังทำสีหน้าชั่งใจแล้วคลี่ยิ้มกว้างกว่าเดิม มือของแขนที่พาดอยู่รอบคอสัมผัสลงบนแก้มนิ่มแล้วรั้งตัวอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ก่อนจะกดจมูกลงไป สูดกลิ่นหอมจางๆ ย้ำหนักๆอีกครั้งแล้วจึงยอมปล่อยให้คนคิดมากเป็นอิสระ

    “พี่จงฮยอน!

    คิบอมยกมือขึ้นกุมแก้มตัวเองที่ตอนนี้ขึ้นสีจัดอย่างน่าดู มองคนที่เอาแต่ยืนยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วได้แต่บ่นอุบอิบ

    “น้องสาวจริงๆนะ น้องแท้ๆเลย” จงฮยอนพูดพร้อมกับเดินตามคิบอมซึ่งเดินหนีนำไปแล้ว ชายหนุ่มอมยิ้มก่อนจะรีบวิ่งตามไป ยกแขนขึ้นโอบไหล่คนที่ยังมีท่าทีฮึดฮัดเอาไว้ เอ่ยย้ำแล้วย้ำอีก

    “โสดมาตั้งแต่เข้ามหาลัยเลยน้า” เอ่ยเสียงอ้อนพร้อมกับซบหน้าลงบนไหล่คนข้างกาย ไถหน้าไปมาจนคนถูกอ้อนชักเริ่มหมั่นไส้ คิบอมผลักจงฮยอนที่เกาะเขาแน่นเป็นปลิง ทั้งผลักทั้งตีปลิงตัวโตก็ยังไม่ยอมปล่อย

    “รู้แล้ว ปล่อยได้แล้ว คนเยอะแยะ”

    “เยอะแยะที่ไหน พี่เห็นมีแต่เราสองคน” ไม่พูดเปล่า ยังชูสองนิ้วขึ้นมาแนบแก้ม... น่ารักจนขวัญผวา

    “โลกเป็นสีชมพูมาก...” เอ่ยประชดจนคนรอฟังหัวเราะร่วน

    อ้อมแขนที่เปลี่ยนมาโอบรอบเอวไว้ตามเดิมให้ความรู้สึกอบอุ่นและวางใจจนคิบอมรู้สึกว่าตัวเองช่างโชคดีเหลือเกิน การได้รู้จักจงฮยอน ได้ถูกอีกฝ่ายโอบกอดและบอกว่าชอบนั้นดูยังไงก็ไม่น่าจะเป็นจริงไปได้ แต่ถึงอย่างนั้นตัวเขาเองก็กำลังยืนอยู่ตรงนี้จริงๆ

    “พี่จงฮยอน”

    “หืมม์?”

    “ฉันรักพี่”

    “พี่ก็รักคีย์”

     

    *******************

     

    “อยู่ไหน”

    น้ำเสียงเครียดดังมาตามสัญญาณโทรศัพท์มือถือ  คิบอมขยับตัวเบี่ยงฝูงชนที่เริ่มรวมตัวกันแน่นเต็มถนนแล้วกรอกเสียงตอบมินโฮไป

    “มาเจอฉันที่หน้าเวทีสาม เดี๋ยวนี้เลย”

    “เอ๋... แต่ฉันนัดพี่จงฮยอนไว้นะ บอกว่าจะแวะมาซื้อของแป๊บเดียวเอง”

    “มาหาฉันเดี๋ยวนี้คีย์”

    แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องออกคำสั่งกันแบบนี้ แต่สุดท้ายก็ยอมวกกลับทางเดิมที่เพิ่งเดินผ่านมาเมื่อครู่ แทรกตัวผ่านวัยรุ่นกลุ่มใหญ่แล้วเดินลัดมาตามชายหาด ปลายเท้าหยุดนิ่งกับที่เมื่อเห็นประกายไฟสีสวยพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าสีมืด คิบอมยืนตาค้าง มองดอกไม้ไฟหลากสีและรูปแบบอย่างตื่นตะลึง... เขาไม่เคยเห็นดอกไม้เยอะพร้อมกันขนาดนี้มาก่อนเลย

    เด็กหนุ่มเริ่มออกเดินอีกครั้ง รีบเร่งจะไปหามินโฮแล้วจะได้รีบกลับไปหาคนที่ป่านนี้คงจะกำลังรอดูดอกไม้ไฟพร้อมเขาอยู่

     

    “มากับฉัน”

    ทันทีที่คนตัวสูงมองเห็นเขาไกลๆก็รีบก้าวตรงมาหา ฝ่ามือกว้างของเพื่อนกุมรอบต้นแขนเขาไว้ก่อนจะออกแรงลากไปยังอีกฝั่งของชายหาด

    “เดี๋ยวก่อนสิมินโฮ อะไรของแก”

    ถามทั้งที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก เสี้ยวหน้าของเพื่อนที่คิบอมเห็นไม่มีรอยยิ้มแม้แต่น้อย

     

    หลังจากเดินลัดมาตามถนนเส้นหลักที่ตอนนี้ถูกปิดไม่ให้รถผ่าน มินโฮก็ลากเขาไปหลบอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ อีกฝ่ายไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว นอกจากพยักเผยิบหน้าให้เขาหันไปมองบริเวณริมหาดแทน

    คิบอมละสายตาจากใบหน้าของมินโฮแล้วเพ่งสายตาไปตามทางที่อีกฝ่ายชี้ชวน ริมหาดคลาคล่ำไปด้วยผู้คนจำนวนมากที่พากันแหงนหน้ามองดอกไม้ไฟ มีทั้งคนที่ยืนกันเป็นกลุ่มและเป็นคู่

    “อะไร?” คิบอมหันกลับมาถามเพื่อน

    สองแขนของคนข้างกายยกขึ้นกอดอก สายตาจ้องตรงไปที่ไหนซักแห่งซึ่งคิบอมก็ไม่รู้ว่ามันคืนที่ไหน

    “พี่จงฮยอน”

    “ห๊ะ?”

    “อยู่นั่นไง”

    คิบอมไล่สายตาตามนิ้วของมินโฮไป... เพราะสายตาสั้น ถึงจะใส่คอนแทคเลนส์แล้วก็ตาม ยังไงก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า จงฮยอนที่มินโฮว่าอยู่ไม่ไกลนั้นในเวลานี้ช่างดูห่างไกลเหลือเกิน

    หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเมื่อสายตาตามหาจงฮยอนจนเจอ หากแต่อาการคันหนึบตรงหัวใจกลับเพิ่มตามขึ้นมาด้วยเมื่อพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้ยืนอยู่เพียงลำพัง แขนข้างที่เคยโอบเอวเขาเอาไว้เมื่อช่วงเย็น ตอนนี้กำลังวางอยู่รอบเอวของผู้หญิงคนหนึ่ง... ในจังหวะที่ดอกไม้ไฟชุดใหญ่ถูกจุดขึ้นฟ้านั้นเอง คิบอมก็มองเห็นเสี้ยวหน้าของหญิงสาวคนนั้นได้อย่างชัดเจน

    ถุงขนมที่ซื้อมาถูกปล่อยทิ้งลงบนพื้นทราย หัวใจเต้นโครมคราวจนปวดร้าว ขอบตาร้อนผ่าว ในขณะที่มือทั้งสองข้างนั้นเย็นเฉียบ

    การยืนมองจงฮยอนให้ความสนใจผู้หญิงคนอื่นเจ็บปวดกว่าที่คิด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับสิ่งที่ต้องเห็นในเวลาต่อมา

    มันไม่ง่ายเลย... กับการทำความเข้าใจว่าผู้หญิงคนนั้นที่จงฮยอนกำลังจูบอยู่คือพี่สาวของเขาเอง

     

    “ทำไม...”

    “มาออกค่ายที่อุลซานไม่ใช่เหรอ แค่นี้เอง จะแวะมาเที่ยวบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก” มินโฮเอ่ยตอบในสิ่งที่คิบอมสงสัย

    ฝ่ามือเย็นเฉียบกำเข้าหากันแน่นจนสั่น

    “พี่จงฮยอนชวนฉันออกมาตามนายเพราะเห็นว่าใกล้ถึงเวลาจุดดอกไม้ไฟแล้ว... รายนั้นเองก็ตกใจไม่น้อย จู่ๆถูกเรียกชื่อเป็นนายแถมแสดงท่าทีสนิทสนมขนาดนั้น แต่พอเห็นหน้าฉันก็ดูเหมือนจะทำความเข้าใจได้นิดหน่อย สุดท้ายก็เลยต้องปล่อยตามเลย”

    คิบอมพยักหน้าคล้ายทำความเข้าใจได้ แต่ทันทีที่ทำแบบนั้น น้ำตากลับไหลออกมาจนตัวเองห้ามไว้ไม่ทัน

    “ฮะ ฮะ” หัวเราะออกมาเมื่อรู้สึกได้ถึงฝ่ามือของเพื่อนบนบ่า ยิ่งอีกฝ่ายไม่พูดอะไรเลยคิบอกก็ยิ่งหัวเราะ

    “ฮ อึก ฮึ่ก...” ทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้ ไม่รู้เพราะเจ็บปวด หวาดกลัว หรือแค่สับสนอยู่กันแน่

    “โทรหาควีบุนสิ” มินโฮยื่นโทรศัพท์ให้เพื่อนเมื่อดอกไม้ไฟลุกสุดท้ายของคืนนี้ดับลง และเมื่อคนข้างกายไม่มีทีท่าจะยื่นมือมารับมินโฮจึงเป็นคนต่อสายถึงควีบุนแทน พูดคุยกันเพียงสั้นๆแล้วกดวางสายไป

    “ควีบุนบอกให้ไปเจอกันหลังเวทีหลัก ไปเถอะ”

    คิบอมไม่มีแรงจะขยับตัวไปไหนทั้งนั้น สองขาเหมือนถูกตรึงแน่นอยู่กับที่ แต่ดูเหมือนมินโฮจะไม่ยอมให้เพื่อนยืนอยู่ตรงนั้นอีกต่อไป คนตัวสูงคว้าแขนคิบอมแล้วออกแรงลากกลับทางเดิม

    สองร่างถูกกลื่นหายไปกับฝูงชนจำนวนมากที่ต่างพากันย้ายที่ไปยังเวทีดนตรีหลังการแสดงโชว์ดอกไม้ไฟจบลง

     

     

    คิบอมก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเอง น้ำตาดูเหมือนจะหยุดไหลไปแล้ว แต่ความหวาดกลัวที่เกาะกินหัวใจอยู่ยังไม่ยอมหลุดไปง่ายๆ จงฮยอนอาจจะรู้แล้ว หรืออาจจะยังไม่รู้ และระหว่างรู้กับไม่รู้นั้น เขาเองก็คิดไม่ออกว่าอยากให้เป็นแบบไหนมากกว่ากัน

    ถ้ารู้...อาจจะถูกเกลียดเร็วขึ้น แต่ถ้าไม่รู้ ก็เท่ากับว่าจงฮยอนไม่สามารถแยกเขากับควีบุนได้ ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเลย

     

    “คิบอม” เสียงคุ้นเคยเอ่ยเรียกชื่อเขา

    เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้น หญิงสาวตรงหน้าก้าวเข้ามาหาช้าๆ ดวงตาเรียวใสที่เขาชอบมองไล่สายตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า และนั่นก็ทำให้นึกขึ้นได้ คิบอมยกมือแกะวิกผมออกอย่างทุลักทุเล แต่มือของพี่สาวก็แตะเบาๆลงบนหลังมือของเขาคล้ายกับจะสั่งให้หยุด

    ไม่มีใครพูดอะไร ในวินาทีนั้นเอง น้ำตาก็ไหลลงมาอีกครั้ง

    “ทำไมเป็นแบบนี้”

    คำถามของพี่สาวมาพร้อมอ้อมกอดแสนอบอุ่น น้ำเสียงของอีกฝ่ายอู้อี้ บ่งชัดว่าคงจะร้องไห้อยู่เช่นกัน

    “ขอโทษ...”

    ขอโทษที่ไม่เชื่อฟัง ปิดบัง และแอบอ้างตัวมาเป็นเดือน

    “เราสิที่ต้องขอโทษ เพราะเรา”

    “ไม่ใช่ ไม่ใช่เพราะนาย เพราะเราชอบเค้า”

    ยอมรับออกไปตรงๆเพราะมองไม่เห็นเหตุผลที่จะปิดบังต่อไป ควีบุนดันตัวออก สองมือยกขึ้นเช็ดน้ำตาบนแก้มน้องชายอย่างอ่อนโยน

    “เขาก็ชอบนาย”

    “ไม่ใช่ เค้าคิดว่าเราเป็นนาย... เป็นผู้หญิง

    “.....”

    เงียบไปอึดใจ ก่อนควีบุนจะพูดต่อ “ไม่สำคัญหรอกว่านายเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง”

    “สำคัญสิ สำคัญมากด้วย... เค้ารู้รึยัง”

    แม้จะหวาดกลัวกับความจริงแค่ไหน แต่ยังไงก็คงจะไม่สามารถหนีมันได้ตลอดไป

    “พูดจริงๆนะ เราก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนที่กอดเราเค้าดูแปลกใจนิดหน่อย แต่ตอนที่จูบกันเค้าไม่แสดงท่าทีอะไรเลย”

    ไม่รู้ว่าควรจะโล่งใจดีหรือไม่ คิบอมเงยหน้าขึ้นเมื่อน้ำตามีทีท่าว่าจะไหลลงมาอีก ครั้นพอก้มหน้าลงมา สองแขนบางๆของพี่สาวก็โอบกอดเขาไว้อีกหน ฝ่ามือบางลูบปลอบอยู่บนแผ่นหลัง ทั้งที่เขาตัวสูงใหญ่กว่า แต่ในเวลานี้คิบอมกลับรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆที่กำลังต้องการมืออุ่นๆของใครซักคน

    “อย่าเพิ่งคิดอะไรมาก ถึงเราจะยังไม่รู้เรื่องราวทั้งหมด... ยัง ยังไม่ต้องเล่าให้เราฟังตอนนี้... แต่เรื่องที่เรารู้ก็คือผู้ชายคนนั้นชอบนายมาก สายตาเขาบอกหมดทุกอย่าง”

    “เขาชอบเราที่เป็นนาย”

    “นายไม่ใช่เรา ถึงเราจะเป็นแฝดกัน แต่นายกับเราก็ไม่มีทางเป็นคนๆเดียวกันได้... มั่นใจในตัวเองและก็บอกเขาไปตรงๆ  เขาอาจจะผิดหวัง แต่ท้ายที่สุดเขาก็จะยอมรับนายได้เอง”

    “แล้วถ้าเขารับไม่ได้ล่ะ ถ้าเขารับเราที่เป็นผู้ชายแบบนี้ไม่ได้เราจะทำยังไง”

    “นายก็ได้จะรู้ไง ว่าเขาไม่มีค่าพอที่นายจะเสียเวลาด้วยอีกต่อไป”

     

     

    คำพูดของควีบุนยังคงดังก้องสะท้อนในหูทั้งสองข้าง

    ตลอดทางเดินกลับมายังบ้านพัก ในหัวของคิบอมมีแต่คำพูดประโยคนั้นซ้ำไปซ้ำมา กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เดินมาถึงบ้านพักแล้ว มินโฮสะกิดแขนของเขาแล้วหันหน้าไปยังเก้าอี้ไม้หน้าทางเขา จงฮยอนนั่งอยู่ตรงนั้น กำโทรศัพท์มือถือเอาไว้ในมือ คนตัวสูงส่งสัญญาณเป็นเชิงข้อตัวแล้วเดินแยกเข้าบ้านไปก่อนโดยไม่ลืมจะส่งยิ้มให้กำลังใจ

    คิบอมสูดหายใจเรียกความเชื่อมั่นให้ตัวเอง สาวเท้าเข้าไปหาจงฮยอนแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ

    “มาแล้วเหรอ” คนทำท่าใช้ความคิดในตอนแรกหันมาถามพร้อมส่งยิ้มให้เหมือนทุกครั้ง

    “พี่... ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้”

    “รอคีย์ไง เห็นว่าไปนานแล้ว กะว่าจะโทรหาอยู่พอดี”

    “พี่อนยูล่ะ”

    “คงยังอยู่ที่งานล่ะมั้ง รายนั้นไม่สว่างท่าจะไม่ยอมกลับ” จงฮยอนยิ้มแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้า พาเอาคนข้างๆที่ไม่รู้จะต่อบทสนทนายังไงให้เงยหน้าขึ้นมองตาม

    “ดาวเยอะจัง”

    “อยู่ที่โซลไม่ค่อยเห็นเลยว่ามั้ย” จงฮยอนพูดขณะเพ่งสายตาไปยังดาวกลุ่มเล็กๆ “พอมองจากคนละที่แบบนี้แล้วเหมือนไม่ใช่ฟ้าเดียวกันเลย”

    คิบอมมองดวงดาวจุดเล็กๆที่กระจายตัวอยู่เต็มท้องฟ้าสีมืด อีกครั้งที่คำพูดของควีบุนดังก้องขึ้นมา

    “พี่จงฮยอน คือฉัน...”

    “พี่เคยถามคีย์รึยังว่าเรียนอยู่คณะอะไร” จู่ๆจงฮยอนก็หันหน้ามาถามเขา ชายหนุ่มเอียงคอมองพร้อมกับรอยยิ้มมุมปาก

    “เหมือนจะเคยถามตอนเจอกันครั้งแรก แต่จำได้ว่าคีย์ยังไม่ได้ตอบ”

    “ทำไมจู่ๆถึงถามล่ะ”

    “ก็...มันเป็นเรื่องทั่วๆไปไม่ใช่เหรอ แค่คิดว่ายังมีอีกหลายเรื่องเลยที่พี่ไม่รู้เกี่ยวกับคีย์ อ๊ะ! แต่พี่รู้นะว่าคีย์ชอบกินอะไร ชอบงานเขียนของใคร และก็ชอบกาแฟรสไหน”

    พูดไปยิ้มไป กระทั่งสบตาเขาราวกับจะยืนยันคำพูดของตัวเอง

    “งั้นไหนลองบอกมาซิว่าฉันชอบกินอะไร”

    “สปาเกตตี้สไปซี่แฮม”

    “แล้ว...นักเขียนที่ชอบ”

    “ริชาร์ด พอล เอแวนส์”

    “กาแฟล่ะ”

    “มอคค่าเย็น”

    จงฮยอนพูดคำตอบทั้งหมดออกมาได้อย่างไม่ติดขัด มองคนข้างกายที่ทำตาโตแล้วได้แต่อมยิ้มจาง

    “ถูกหมดเลยใช่มั้ย”

    คิบอมพยักหน้าช้าๆ ดีใจที่อีกฝ่ายจดจำเรื่องเกี่ยวกับตัวเขาได้ ในทางกลับกันแล้ว... จงฮยอนชอบกินอะไรนะ เวลาทานข้าวด้วยกันไม่เคยเห็นสั่งซ้ำกันซักอย่าง แต่แน่ๆล่ะว่าเจ้าตัวชอบอเมริกาโน่ ชอบฟังเพลง เพลงที่ชอบก็เป็นพวกแนวบัลลาดซึ้งๆ นอกเหนือไปจากนั้นแล้ว...

    “ว่าไง จะบอกได้รึยังว่าเรียนอยู่คณะอะไร” จงฮยอนถามขึ้นอีกครั้ง ดึงคนที่กำลังใช้ความคิดให้หันกลับมาสนใจ

    “คณะ...” ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันอย่างชั่งใจ สุดท้ายก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้จงฮยอน “คณะสาธารณสุข”

    “มหาลัยอีฮวา... คณะสาธารณสุข

    จงฮยอนพยักหน้ากับตัวเอง เหลือบสายตามองคิบอมแล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอีกหน

    “พี่ว่าเราเข้าบ้านกันดีกว่า น้ำค้างเริ่มแรงแล้ว เดี๋ยวจะไม่สบายกันซะก่อน”

    ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนพลางส่งมือให้คิบอม ฝ่ามืออุ่นๆของจงฮยอนกุมมือของคิบอมเอาไว้ ก่อนจะเลื่อนไปโอบเอวแบบที่ชอบทำเป็นประจำ

    “คีย์”

    “หืมม์?”

    หันหน้ามาหาคนที่เรียกชื่อตัวเอง ก่อนจะพบว่าใบหน้าของทั้งคู่อยู่ชิดกันจนแทบไม่เหลือช่องว่าง ต่างฝ่ายต่างสบตากันนิ่ง จงฮยอนค่อยๆทาบริมฝีปากลงไป แตะสัมผัสเพียงผิวเผินแล้วสอดลิ้นเข้าไปช้าๆ สองมือยกขึ้นประคองใบหน้าของคิบอมเอาไว้ ไล้สัมผัสลงไปบนริมฝีปากสีเรื่อ ขบเม้นในวินาทีสุดท้ายยามที่ผละริมฝีปากออกมา จมูกโด่งสูดกลิ่นกายอ่อนๆบนแก้มนุ่ม ก่อนที่มือทั้งสองข้างจะยึดหัวไหล่คิบอมไว้แล้วถอยห่างจากกัน

    “ขึ้นห้องเถอะ” คนแก่กว่าส่งยิ้มให้ โอบไหล่คนที่เอาแต่ก้มหน้าซ่อนใบหน้าแดงจัดของตัวเองแล้วเดินตรงไปยังประตู

    จงฮยอนไม่ได้กล่าวอะไรอีกหลังจากส่งคิบอมเข้าห้องพักเรียบร้อย ชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่หน้าประตูห้องนั้นซักพักแล้วจึงหมุนตัวเดินกลับมายังห้องพักของตัวเอง โทรศัพท์มือถือถูกล้วงออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วต่อสายถึงใครบางคนทันที

    รอเพียงไม่นานคนปลายสายก็ส่งเสียงทักมาอย่างร่าเริง

    “จงฮี พี่เองนะ”

    .

    .

    “เอ๋?... คีย์เหรอ? ไม่มีหรอกคนชื่อนั้น”

    “แล้ว... ถ้าชื่อควีบุนล่ะ”

    “ควีบุน? พี่หมายถึงคิมควีบุนรึเปล่า? ถ้าใช่ก็ใช่ เรียนอยู่ภาคเค้าเอง มีอะไร? พี่รู้จักยัยนั่นด้วยเหรอ? รู้จักได้ยังไง รู้จักเมื่อไหร่? นี่ๆๆ บอกไว้ก่อนเลยนะว่ายัยนั่นน่ะประสาทที่สุดเลย วันก่อนนะเค้าอุตส่าห์ใจดีไปปลุก เห็นว่านอนฝันร้าย มีอย่างที่ไหน ตื่นปุ๊บว่าเค้าปั๊บ นิสัยไม่ดีชะมัด เอ๊ะ... หรือว่าพี่จะจีบ? ไม่ได้นะ! คนนี้จีบไม่ได้ ห้ามเด็ดขาด ฉันไม่ยอมจริงๆด้วย ถึงเป็นพี่ก็เถอะ ถ้าจีบนะ จะต่อยให้คว่ำเลย คอยดูสิ!!

    จงฮีคาดโทษพี่ชายต่อยาวยืด ในขณะที่คนถือสายอยู่อีกฝั่งได้แต่นิ่งเงียบกับข้อมูลที่เพิ่งได้รับมา

     

    ม่านสีฟ้าถูกดึงลงมา ปิดกั้นให้มองไม่เห็นวิวทะเลและท้องฟ้าด้านนอก จงฮยอนทรุดตัวลงนั่งกับพื้น โทรศัพท์มือถือยังคงวางอยู่ในมือ ริมฝีปากแค่นยิ้ม หัวเราะให้ตัวเองเมื่อนึกบทสนทนากับน้องสาวเมื่อสิบนาทีก่อนหน้า

    นึกติดใจตั้งแต่แรกแล้ว ทั้งอาหารที่สั่ง เครื่องดื่มที่ชอบ หรือแม้แต่หนังสือที่อ่าน ถึงจะบอกว่าเป็นแฝดกันก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องชอบทุกอย่างเหมือนกันขนาดนี้

    ติดใจ สงสัย... แต่เลือกจะมองข้ามมาตลอด

    จนกระทั้งเมื่อเย็น ความสงสัยที่เก็บซ่อนไว้ก็ถูกยกมาตั้งคำถามกับตัวเองอีกครั้ง รอยยิ้มที่ไม่คุ้นเคยจากคีย์คนข้างกายนั้นยังไม่แย่เท่าความรู้สึกหลังจากได้โอบกอดหรือสัมผัสตัว

    เป็นความรู้สึกที่บอกว่านี่ไม่ใช่คีย์ของเขา...

    คีย์คนนั้นตัวเล็กกว่า ดูบอบบางมากกว่า กลิ่นน้ำหอมก็ไม่ใช่กลิ่นเดิมที่เขาคุ้นเคย โดยเฉพาะอย่างยิ่งแววตาที่มองมานั้นราวกับคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน

    จงฮยอนซบหน้าลงกับฝ่ามือหลังจากแน่ใจแล้วว่าอะไรเป็นอะไร

     

    สุดท้าย... ก็ไม่ใช่ท้องฟ้าเดียวกันจริงๆ ไม่ใช่มาตั้งแต่แรก...

     

     

    “พี่จงฮยอน?”

    คิบอมมองคนที่ยืนอยู่อีกฝั่งของประตูอย่างแปลกใจ

    หลังจากตื่นนอน อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น คนที่ยืนรออยู่ส่งยิ้มให้ทันทีที่ใบหน้าของเขาโผล่พ้นขอบประตู

    “ไปเดินเล่นกันมั้ย”

    คนถูกชวนคลี่ยิ้ม พยักหน้ารับอย่างเต็มใจ

     

    “เสียดายจัง ถ้าตื่นเช้ากว่านี้หน่อยน่าจะได้ทันเห็นพระอาทิตย์ขึ้น”

    คิบอมพูดหลังจากหยุดยืน เด็กหนุ่มหันหน้ามองทะเลกว้างสุดลูกหูลูกตา พระอาทิตย์ไต่ระดับขึ้นสูงแต่ก็ไม่ได้สาดแสงแรงจนน่ากลัว

    “ชอบกลิ่นทะเลแบบนี้จัง”

    สูดหายใจลึกแล้วหันไปยิ้มให้คนข้างกาย ก่อนจะพบว่าชายหนุ่มข้างๆนั้นไม่ได้สนใจมองวิวด้านหน้าแม้แต่น้อย สายตาของจงฮยอนจ้องนิ่งอยู่ที่เขามานานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้

    “หืมม์?” ส่งเสียงออกไปพลางเอียงคอมอง เพิ่งสังเกตว่าวันนี้จงฮยอนดูไม่สดชื่นเหมือนปกติ ดูอ่อนเพลียเหมือนคนไม่ได้นอนมาทั้งคืน

    “พี่จงฮยอน?”

    “คีย์...”

    อะไรล่ะ... ครั้นส่งคำถามไปทางสายตา แววตาของจงฮยอนก็ปรากฏร่องรอยของความเจ็บปวด แต่เพียงแค่เสี้ยววินาทีชายหนุ่มก็สลัดมันทิ้งไป สองแขนยกขึ้น ดึงรั้งคนตัวบางเข้าไปกอดเอาไว้

    ฝ่ามืออุ่นจัดแตะลงบนแผ่นหลัง ในขณะที่อีกข้างลูบเบาๆอยู่บริเวณด้านหลังศีรษะ

    “พี่จงฮยอน...” เอ่ยเรียกเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมพูดอะไรออกมา ความเงียบของจงฮยอนก่อกวนจิตใจคิบอมจนอึดอัด

    “ขออยู่แบบนี้อีกซักพักนะ”

     

    หากความทรงจำสามารถลบเลือนได้ จงฮยอนก็อยากจะละทิ้งทุกความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับคนชื่อคีย์ออกไปให้หมด และถ้าหากความเจ็บปวดสามารถรักษาให้หายได้ภายในระยะเวลาอันสั้น จงฮยอนก็อยากให้ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นนี้จางหายไปในเร็ววัน

     

    “พี่จงฮยอน”

    “.....”

    “ฉันรักพี่”

     

    “... พี่รู้แล้ว

     

     

    How come we don’t always know when love begins but we always know when it ends.

    - Never been kissed -

     

     

    มินโฮมองชื่อของเพื่อนสนิทบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือแล้วกดรับ เด็กหนุ่มตัวสูงถอนใจพรู บังคับตัวเองให้ยกมุมมุมปากขึ้นก่อนจะส่งเสียงไปตามคลื่นสัญญาณ

    “ว่าไงจ๊ะคีย์กุน”

    “ช่วงนี้แกเจอพี่จงฮยอนบ้างมั้ย” ประโยคแรกของคิบอมทำเอารอยยิ้มซึ่งพยายามปั้นขึ้นมาอย่างยากลำบากต้องมีอันสลายไปในพริบตา คิ้มเข้มขมวดเข้าหากันอย่างอึดอัดใจ

    “ไม่ค่อยได้เจอนะ... มีอะไรรึเปล่า?”

    “คือว่า...” ปลายสายเงียบไปซักพัก ได้ยินเพียงเสียงถอนหายใจที่ดังแทรกขึ้นมาแทน “ตั้งแต่กลับจากพูซาน ฉันก็ติดต่อพี่เขาไม่ได้อีกเลย”

    นั่นคือความจริง คิบอมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นอีกฝ่ายถึงได้หายไปจากชีวิตเขาเสียเฉยๆ โทรหาก็ไม่รับสาย จะไปตามหาก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน สุดท้ายก็ได้แต่ส่งข้อความไปทุกวัน ทั้งที่ผ่านมาสองอาทิตย์จนจะเข้าอาทิตย์ที่สามก็ยังไม่มีการติดต่อกลับจากอีกฝ่าย กระวนกระวายใจจนไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง

    “เหรอ...”

    “ฉันคิดว่า... พี่เขาอาจจะรู้ความจริงแล้ว”

    หลังจากคิดหาสาเหตุมากมายสุดท้ายก็มาลงตัวที่เรื่องนี้ แม้จะกลัวจนไม่อยากยอมรับ แต่พอคิดดูให้ดีๆนี่ก็เป็นเหตุผลที่ชัดเจนที่สุดว่าทำไมจงฮยอนถึงตัดขาดจากเขา

    “เขาคงรู้แล้ว ถึงไม่อยากมาเจอฉันอีก”

    “ไม่หรอกน่า เขาอาจจะติดธุระอยู่ก็ได้” มินโฮพูดในแง่ดี

    “คีย์?”

    “.....”

    “ให้ฉันไปหามั้ย” ถามขึ้นหลังจากอีกฝ่ายเงียบไปและได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆกลับมาแทน

    “ไม่... ฉันไม่ มะ ไม่เป็นไร ก็แค่...” เงียบลงอีกครั้ง

    “คิบอม...”

    “เขาคงติดธุระอยู่ ไว้ฉันจะลองโทรหาเขาใหม่ ขะ ขอบใจนะ”

    มินโฮมองหน้าจอโทรศัพท์ซึ่งถูกตัดสายไป แล้ววางมันลงบนโต๊ะ แก้วใสที่บรรจุน้ำสีอำพันถูกยกขึ้นแตะริมฝีปาก ก่อนของเหลวภายในแก้วจะไหล่ผ่านลำคอลงไปอย่างรวดเร็ว

    “ทั้งที่การพูดความจริงเป็นเรื่องถูกต้องที่สุด แต่แปลกนะที่คนเราไม่ค่อยคิดจะทำมัน”

    คนที่นั่งอยู่อีกฟากโต๊ะพูดขึ้น อนยูถอนใจยาวพร้อมเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ตรงหน้าคือแก้วแบบเดียวกับมินโฮ ต่างกันตรงที่ของเหลวในแก้วอนยูยังไม่ได้พร่องไปจากตอนแรกมากนัก

    “แต่ละคนก็มีเหตุผลของตัวเองทั้งนั้น” มินโฮตอบกลับ... อยากจะเข้าข้างเพื่อนในถึงนาทีสุดท้าย แม้จะรู้ดีว่าถึงพูดอะไรไปตอนนี้ก็ไร้ประโยชน์

    “ถูกของแก” อนยูพยักหน้า ยกขวดแอลกฮอลขึ้นมาแล้วเทมันลงไปในแก้วอีกใบที่มีน้ำแข็งรอรับอยู่ “แต่อย่างน้อย... ถึงไม่พูดความจริงก็ไม่ควรโกหกนะ

    มินโฮเก็บถ้อยคำที่ตั้งใจจะพูดต่อลงคอ เด็กหนุ่มมองหน้ารุ่นพี่คนสนิทที่ปราศจากรอยยิ้มใจดีเหมือนทุกครั้งอย่างยอมแพ้

    เสียงขยับตัวของใครอีกคนดึงความสนใจของคนทั้งคู่ มินโฮดึงแก้วเหล้าที่อนยูทำท่าจะยื่นส่งให้จงฮยอนกลับคืนเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายแทบจะประคองตัวไม่อยู่ ทั้งใบหน้า ดวงตา และลำคอแดงก่ำจนน่ากลัว นึกถึงวันแรกที่ต้องมานั่งอยู่ในคลับนี้เป็นเพื่อนจงฮยอนแล้วก็ได้แต่หนักใจ

    หลังกลับจากพูซานได้ไม่ถึงสองวันมินโฮก็ถูกจงฮยอนตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องของคิบอม แม้จะตกใจที่พบว่าอีกฝ่ายรู้ความจริงแล้วแต่ก็ยังพยายามมองหาทางออกที่ดีที่สุดให้เพื่อนตัวเอง แต่ไม่ว่าจะพูดเท่าไหร่จงฮยอนก็ไม่ตอบอะไรซักคำ รับฟังโดยไม่เอ่ยถามอะไรแม้แต่ประโยคเดียว ในขณะที่อนยูเองก็แทบไม่ต่างกัน ถึงแม้จะไม่ออกความเห็นอะไร แต่ท่าทีของอีกฝ่ายก็เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน

    ช่วงแรกจงฮยอนหมกตัวอยู่แต่ในบ้าน ไม่รับโทรศัพท์ทั้งของเขาและอนยู จนเมื่อทนไม่ไหวเลยต้องบุกไปดึงตัวออกมา และแทนที่มาข้างนอกจะช่วยให้บรรยากาศดีขึ้น จงฮยอนกลับเอาแต่ดื่มทุกวัน พอเมาหนักๆก็อาละวาดไปทั่วร้าน เคยหาเรื่องจนถูกซ้อมอยู่ในห้องน้ำ โชคดีที่เขาและอนยูตามไปทันจนช่วยเอาไว้ได้ แต่ละวันที่เอาแต่ดื่มและหมดสติไปพร้อมกับเรียกชื่อคีย์ เป็นแบบนี้มาตลอดสองอาทิตย์ ครั้นพอเขาเอ่ยปากห้าม คนมีศักดิ์เป็นพี่ก็ยกคำพูดเดิมๆขึ้นมาพูดใส่หน้าเขา คำพูดที่ว่า ถ้าไม่อยากให้ฉันเกลียดแกเพิ่มอีกคนก็หุบปากไป

    เกลียดงั้นเหรอ... จงฮยอนน่ะเหรอเกลียดเพื่อนเขา ถ้าเกลียดจริงก็คงไม่ทำตัวเองจนมีสภาพแบบนี้หรอก

    สภาพของอีกฝ่ายแทบไม่ต่างอะไรจากสภาพของเขาเมื่อตอนเลิกกับแฟนเลยซักนิด

     

    “ให้มันลืมเถอะ” อนยูพูดพร้อมกับดึงแก้วคืนแล้วส่งให้เพื่อน จงฮยอนรับเอาไว้ทั้งที่มือไม่มั่นคง ก่อนจะยกขึ้นดื่มรวดเดียว

    “ลืม? เห่อะ!  คนมันไม่เลิกรัก ให้ทำยังไงมันก็ลืมไม่ได้หรอกพี่” มินโฮพูดอย่างเหลืออด เด็กหนุ่มคว้าแจ๊กเกตรวมทั้งโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาแล้ววางเงินจำนวนหนึ่งลงไปแทน

    “ถ้าเพื่อนพี่สร่างเมื่อไหร่ก็ช่วยถามเขาให้ด้วยแล้วกันว่าตกลงที่เมาเรื้อนอยู่ทุกวันนี้เพราะเสียใจที่ถูกคนที่ตัวเองชอบหลอก หรือแค่เจ็บใจที่โดนหลอกให้ชอบผู้ชาย!

    พูดจบก็เดินหนีออกมา... ต่อสายโทรศัพท์ถึงเพื่อนสนิททันที

    “เดี๋ยวฉันไปหา แกอยู่ที่ห้องรึเปล่า”

    มินโฮคว้ากุญแจรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเองแล้วเดินตรงไปยังลานจอดรถ

    ไม่มีเขาจงฮยอนก็ไม่ตาย ถึงจะลำบากแค่ไหนยังไงอีกฝ่ายก็มีอนยูคอยดูแลอยู่ ในขณะที่ตอนนี้คิบอมไม่มีใครซักคน ป่านนี้อาจจะร้องไห้จนตาบวมไปแล้วก็ได้

    มินโฮสวมหมวกกันน๊อคและถุงมือหนัง บิดแฮนด์จนเสียงดังลั่นลานกว้าง ก่อนจะกระชากตัวเองไปข้างหน้าในวินาทีถัดมา

     

     

    คิบอมเปิดประตูให้มินโฮหลังจากวางสายจากอีกฝ่ายไปราวๆครึ่งชั่วโมง  ดวงตาทั้งสองข้างภายใต้กรอบแว่นนั้นแดงและบวมจนอีกฝ่ายมองเห็นแม้จะไม่ได้สังเกตก็ตาม

    “น้ำเปล่ามั้ย หรือโคล่าดี” คิบอมถามพร้อมกับเปิดตู้เย็น หยิบทั้งขวดน้ำเปล่าและขวดน้ำอัดลมออกมาจากตู้

    “คีย์” มินโฮเรียกชื่อเพื่อน เดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้า

    “พี่จงฮยอน... เค้ารู้แล้ว

    “.....”

    สองมือที่กำขวดน้ำเอาไว้เกร็งแน่นขึ้นมา คำพูดของมินโฮเบาเสียจนอดคิดไม่ว่าตัวเองคงได้ยินผิดไป แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนคล้ายกับจะขอคำยืนยัน หยดน้ำตามากมายก็ไหลออกมาจนตาพร่ามัว ขวดน้ำร่วงหล่นจากมือ กลิ้งหนีไปคนละทาง

    ทั้งที่คิดว่ารู้อยู่แล้ว... แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากขอให้ไม่เป็นความจริง

    คิบอมเม้มริมฝีปากตัวเองแน่น ไม่อยากหลุดเสียงร้องไห้ออกมาให้อายเพื่อนมากกว่านี้ แต่อ้อมแขนของมินโฮที่สวมกอดโดยไม่ทันตั้งตัวนั้นกลับทำให้ความพยายามพังทลายไม่เป็นท่า ฝ่ามือกำด้านหลังของเสื้อแจ๊คเกตเอาไว้  ร้องไห้จนตัวโยน

    “ทำไม”

    ถามสั้นๆ... ถามซ้ำไปซ้ำมากับตัวเอง

    ทำไมไม่รอให้เขาเป็นฝ่ายบอกก่อน ทำไมถึงหายเงียบไปทั้งแบบนี้ ทำไมถึงไม่รอฟังคำอธิบายของเขา ทำไม... ทำไม... ทำไม...

    “ทำไมฉันถึงไม่ใช่ผู้หญิง”

    คิบอมฝังใบหน้าลงกับอกของเพื่อน ร้องไห้ออกมา ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา เผื่อจะช่วยกลั่นเอาความเจ็บปวดที่อัดแน่นอยู่ภายในหัวใจออกมาได้

    จงฮยอนรู้แล้วตั้งแต่วันนั้น รู้ตั้งแต่ได้เจอควีบุน รู้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่านั่นไม่ใช่เขา นี่เองคือเหตุผลว่าทำไมตอนที่เขาบอกว่ารัก จงฮยอนถึงได้ตอบกลับมาแบบนั้น

     

    ฉันรักพี่

    ... พี่รู้แล้ว

     

    ทั้งที่จะบอกว่ารักกลับมาทุกครั้ง... ทั้งที่เคยบอกว่าชอบเขามากแท้ๆ

     

    “ทำไม... ทำไม.. ทำไม!

    สองมือทุบลงไปบนหลังของมินโฮ คร่ำครวญพร้อมๆกับหยดน้ำตามากมายที่ไหลออกมา

     

     

    “อือ หลับไปแล้ว” มินโฮยืนคุยโทรศัพท์อยู่ริมหน้าต่าง มือขวาถือโทรศัพท์แนบหูขณะที่มืออีกข้างคีบมวนบุหรี่เอาไว้ คนตัวสูงปรายตามองเพื่อนที่ร้องไห้จนหลับไปแล้วหันหน้ากลับมามองวิวด้านนอกตามเดิม

    “ฉันขออาจารย์กลับพรุ่งนี้เลยดีมั้ย” เสียงปลายสายถามกลับมาอย่างร้อนรน

    “อีกแค่สามวันก็ต้องกลับอยู่แล้วนิ่ ไม่ต้องห่วงคีย์หรอก เดี๋ยวฉันดูแลให้เอง”

    “แต่ว่า” / “อย่าห่วงเลย เธอกลับมาตอนนี้ก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี ที่หมอนี่ต้องการมากที่สุดตอนนี้ก็คือเวลา”

    มินโฮอัดบุหรี่เข้าปอดแล้วพ่นควันออกมา... “คีย์น่ะเพื่อนฉันนะ ฉันไม่ปล่อยให้มันเป็นอะไรหรอก”

    “สัญญานะ”

    มินโฮรับคำก่อนจะกดวางสายไป

    ดูเหมือนความอึดอัดจะเป็นยาเสพติดรูปแบบหนึ่ง เพราะเพียงแค่ได้ใกล้ชิดก็พลอยจะทำให้คนอยู่ข้างๆรู้สึกตามไปด้วย มินโฮโยนก้นบุหรี่ออกไปนอกหน้าต่างแล้วเลื่อนสายตากลับมายังเพื่อนสนิทบนเตียงอีกหน

    นึกถึงคำถามที่คีย์เคยถามเขาก่อนไปพูซานว่ารู้สึกยังไงตอนที่ต้องเลิกกับแฟน วันนั้นเขาตอบไปว่ามันเจ็บ และก็บอกว่าคีย์คงทนมันไม่ไหว พอวันนี้มาถึงจริงๆถึงได้รู้ว่าไม่ใช่แค่ทนไม่ไหว เขาคิดว่า... คีย์อาจจะทนรับมันไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

     

    มินโฮย้ายตัวเองมาอยู่คอนโดฯเป็นเพื่อนคิบอมระหว่างรอควีบุนกลับจากอุลซานตามที่รับปากไว้ เพราะเคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกันมาก่อนจึงรู้ดีว่าเพื่อนอย่างเขาควรทำและไม่ควรทำอะไร มินโฮปล่อยให้คิบอมอยู่คนเดียวเงียบๆภายในห้องสี่เหลี่ยมตามที่อีกฝ่ายต้องการ วางจานข้าวลงบนโต๊ะเมื่อถึงเวลา ไม่บังคับหรือคะยั้นคะยอให้คิบอมกินมันถ้าเจ้าตัวไม่อยากแตะ ไม่ถามหรือพูดอะไรเมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนแล้วเห็นเพื่อนยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาพร้อมกับล้มตัวนอนหันหลังให้เขา

    อย่างที่เคยบอกควีบุนไป สิ่งเดียวที่คิบอมต้องการมากที่สุดในตอนนี้คือเวลา... เพื่อไว้ใช้สำหรับทำใจ

     

     

    จงฮยอนยังคงไม่ติดต่อกลับมา ดูเหมือนทางนั้นต้องการตัดขาดจากเพื่อนเขาจริงๆ

     

     

    “ฉันอยากช่วยอะไรได้บ้าง”

    ควีบุนพูดกับมินโฮในบ่ายวันอาทิตย์... วันสุดท้ายของการปิดเทอม

    “ช่วยไม่ได้หรอก ขืนพูดอะไรเข้า มีหวังพี่จงฮยอนจะว่าเอาได้ว่าเธอนั่นแหละคือต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด”

    “ฉันไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้ซักหน่อย”

    ควีบุนเอ่ยเสียงเศร้า เคาะนิ้วลงบนแก้วน้ำหวานตรงหน้าอย่างใช้ความคิด

    “มันต้องมีทางสิ อย่างน้อยฉันว่าเขาควรจะฟังคิบอมบ้าง ผิดหรือถูกค่อยว่ากันต่อจากนั้นก็ได้ แต่นี่ยังไม่ทันฟังอะไรก็เล่นปิดประตูใส่หน้า คนเคาะประตูเรียกจะตายอยู่แล้วไม่รู้เลยรึไง”

    “เค้าก็คงโกรธล่ะมั้ง”

    “รู้ เข้าใจ แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมถึงได้ใจแคบขนาดนี้ ทั้งที่ตัวเองก็ชอบคิบอม ทำไม ชอบผู้ชายด้วยกันนี่มันน่ารังเกียจนักหรือไง ไม่ได้บังคับให้ชอบซักหน่อย มาชอบเองแท้ๆ”

    “.....”

    “พูดอะไรบ้างสิ!

    “ฉันคิดว่า... เรื่องชอบผู้ชายนี่มันก็...”

    “มันก็อะไร”

    มินโฮกรอกตาไปมา มองคนที่ทำหน้าขึงขังแล้วได้แต่ยิ้มเจื่อน “พี่จงฮยอนเค้าไม่เคยมีแฟนเป็นผู้ชายมาก่อน หมายถึง...ฉันเคยเห็นเขาคุยแต่กับผู้หญิง พอรู้ว่าตัวเองชอบผู้ชายก็อาจจะ...”

    “อาจจะอะไรอีก? อาจจะรับตัวเองไม่ได้? ฉันว่าเค้าควรจะรับนิสัยตัวเองไม่ได้มากกว่านะ”

     ยิ่งพูดน้ำเสียงก็ยิ่งกรุ่น ควีบุนลุกจากเก้าอี้ คว้าแก้วน้ำหวานแล้วเดินตรงไปอ่างซิงค์ ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นน้องชายยืนหน้าซีดอยู่ตรงประตูครัว

    “คิบอม..”

    มินโฮคว้าแขนควีบุนไว้ทันก่อนอีกฝ่ายจะตามคิบอมเข้าไปในห้องนอน ร่างบางส่งสายตาเป็นเชิงถาม ไม่เข้าใจว่ามินโฮจะรั้งเธอไว้ทำไม

    “ปล่อยไปเถอะ ไม่มีใครช่วยหมอนั่นได้หรอก”

    “แต่ฉันเป็นพี่”

    “เชื่อฉันสิ ถ้าหมอนั่นจะเข้มแข็งขึ้นก็ต้องเข้มแข็งขึ้นด้วยตัวเอง”

    จริงอย่างที่มินโฮว่า... ควีบุนมองบานประตูที่ปิดสนิทตรงหน้าแล้วเดินกลับมานั่งบนโซฟากลางห้องนั่งเล่น นึกเจ็บใจตัวเองที่ในเวลาแบบนี้กลับช่วยอะไรน้องไม่ได้เลย

     

    *******************

     

    “เดี๋ยวกลับห้องเลยมั้ย” มินโฮถามหลังจากเลิกคลาส คนข้างๆพยักหน้าพร้อมกับเก็บชีทที่ได้รับแจกมาลงในกระเป๋าเป้

    ทั้งคู่เดินออกจากตึกคณะบริหารฯ ผ่านโรงอาหารและร้านกาแฟเล็กๆ ก่อนที่คิบอมจะหยุดนิ่งเมื่อมองเห็นตึกสถาปัตย์ฯตั้งอยู่ด้านหน้า

    ลืมไปแล้วว่าต้องเดินผ่านคณะของจงฮยอนทั้งขาไปและกลับ เมื่อเช้ามัวแต่เดินก้มหน้าก้มตาจนไม่ทันได้สังเกต

    อยากเจอ...

    แม้จะเพียงแค่เดินผ่านตึกที่อีกฝ่ายใช้เรียน ความคิดถึงก็ยังรุมเร้าหนัก

     

    ดวงตาเรียวใต้กรอบแว่นเบิกกว้างเมื่อคนที่คิดถึงสุดหัวใจปรากฏอยู่เบื้องหน้า จงฮยอนเดินออกจากตึกมาพร้อมกับอนยู ทั้งคู่หยุดคุยกับเพื่อนๆหน้าคณะแล้วพากันเดินตรงไปทางหน้ามหาลัย

    “คีย์...” มินโฮหันมาเรียกเพื่อน ตัดสินใจแทนไม่ได้ว่าคิบอมควรจะเดินเข้าไปคุยกับจงฮยอนหรือรักษาระยะห่างเอาไว้แบบเดิม แต่ดูเหมือนคนข้างกายจะไม่ได้ยินเสียงเรียกของเขาแม้แต่น้อย

    คิบอมก้าวไปข้างหน้าโดยไม่สนใจคนรอบตัว สองขาเริ่มออกวิ่ง ในหูอื้ออึงจนไม่ได้ยินเสียงอะไร คิดเพียงแค่ว่าอยากจะฉุดรั้งจงฮยอนเอาไว้ ขอเพียงแค่ให้อีกคนหันมามองกันซักนิดก็ยังดี

     

    แขนขวาถูกคว้าเอาไว้พร้อมกับร่างที่ถูกกระชากให้หันหลังกลับ จงฮยอนมองเจ้าของมือบนแขนเขาอย่างตกใจระคนหวั่นไหว ใบหน้าของคนตรงหน้าเหยเกดูคล้ายจะร้องไห้ออกมาเต็มทน

    “พี่จงฮยอน...”

    เสียงเรียกชื่อเขาดังขึ้น... เสียงที่เขาเคยชอบนักหนาทุกครั้งยามได้ยิน

    “ฟังผมนะ ฟังผมอธิบาย ขอร้องล่ะ แค่ฟังที่ผมพูด”

    คิบอมใช้สองมือเขย่าแขนของจงฮยอน เอ่ยปากอ้อนวอนเสียงสั่น มองท่าทีของอีกฝ่ายที่ยังนิ่งเงียบแล้วออกแรงบีบแขนของจงฮยอนมากขึ้น

    “ฟังผมหน่อยได้มั้ย”

    เป็นวินาทีที่ชวนอึดอัดใจ... อนยูสบตามินโฮที่เพิ่งเดินตามมาทัน และได้รับสายตาเป็นเชิงขอร้องกลับมาแทน

    “ฉันไปรอที่คาเฟ่หน้ามหาลัยนะ” เอ่ยพลางตบบ่าเพื่อนก่อนจะหันหลังเดินต่อไป

    มินโฮก็เช่นกัน เด็กหนุ่มวางมือลงบนบ่าเพื่อนแล้วเดินเลี่ยงออกไปโดยไม่พูดอะไร ปล่อยคนที่ควรพูดให้ได้พูดในสิ่งที่อยากพูด หวังเพียงแค่ว่าถ้อยคำมากมายของคิบอมจะสื่อถึงจงฮยอนได้ แม้ซักนิดก็ยังดี

     

     

    “ผมขอโทษ”

    คิบอมพูดขึ้นหลังเดินตามจงฮยอนมาถึงสวนด้านหลังคณะ “ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมแค่...แค่...”

    เด็กหนุ่มบังคับเสียงตัวเองไม่ให้สั่น ขณะที่สองมือกลับสั่นเสียจนต้องกำเข้าหากันไว้

    “ผมไม่ได้ตั้งใจจะโกหก ผมแค่คิดว่าวันเดียวก็พอแล้ว แต่... แต่พอพี่ชวน”

    จงฮยอนที่ตอนแรกไม่หันมามองคิบอมแม้แต่น้อยหันหน้ามาแทบจะทันที ชายหนุ่มทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็เงียบไป

    “ผมไม่รู้ว่าทำไม ผมแค่อยากเจอพี่อีก อีกแค่วันเดียวก็ยังดี ขะ ขอแค่นั้น ไม่ได้ตั้งใจจะโกหกหรือหลอกลวง”

    น้ำตาหยดแรกร่วงลงมา แต่คิบอมก็รีบใช้หลังมือเช็ดมันออกไป

    “อีกแค่วันเดียว อะ อีกแค่วันเดียวเท่านั้น... คิดแค่นี้ แค่อยากอยู่ข้างๆพี่

    ผมไม่รู้จะบอกพี่ยังไง ผมก็อยากบอก... อยากให้พี่มองผมที่เป็นผมเหมือนกัน ผมไม่ได้สนุก ไม่ได้ชอบ ผมกลัวว่าพี่จะรู้อยู่ตลอดเวลา

    อยากให้พี่เรียกผมว่าคิบอม ยิ้มให้ผมเพราะผมเป็นคิบอม อยากอยู่ข้างๆพี่ในฐานะของคิบอม พะ เพราะฉะนั้น ขอร้องล่ะ... มองผมสิ”

    มองให้ถึงหัวใจ แล้วบอกทีว่าคีย์คนนั้นกับคีย์คนนี้ต่างกันตรงไหน

    “ถึงแม้ภายนอกจะเปลี่ยนไปแค่ไหน แต่สิ่งเดียวที่เหมือนเดิม สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปตั้งแต่วันแรก คือผมรักพี่”

    จงฮยอนมองคนที่ยืนร้องไห้อยู่ด้านหน้า ขอบตาร้อนผ่าวไม่ต่างกัน ใจนึงก็อยากจะยื่นมือออกไปเช็ดน้ำตาให้ อยากจะดึงเข้ามาสวมกอด เอ่ยปลอบให้หยุดร้องไห้ซะ หากแต่อีกใจ... อีกส่วนหนึ่งของหัวใจที่นึกชังคิบอมเหลือเกิน เกลียดการหลอกลวงที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้มาตลอดสองเดือนกว่า เหมือนคนโง่ ไม่ต่างอะไรกับการถูกทรยศเลย

    รักมากแค่ไหน เวลาผิดหวัง เสียใจ ก็มากทบทวี ยิ่งพอได้เห็นอีกฝ่ายชัดๆเต็มตาวันนี้ก็ยิ่งตอกย้ำว่าตัวเองโง่แสนโง่ ถูกเด็กผู้ชายหน้าซื่อๆหลอก ถูกทำให้เข้าใจผิด คิดว่าตัวเองมีความรักที่สวยงามกับหญิงสาวแสนดี...น่าสมเพช

    จงฮยอนปิดเปลือกตาลงช้าๆเมื่อคิบอมเดินเข้ามาสวมกอดเขาเอาไว้ สองแขนวางพาดอยู่รอบเอว ซบหน้าลงกับไหล่ น้ำตาแต่ละหยดไหลซึมสู่เสื้อเชิ้ตของเขาจนเป็นวงกว้าง

    “ได้ยินมั้ย พี่ ดะ ได้ยินรึเปล่า เสียงหะ หัวใจของผม ฮึ่ก... รัก รักพี่...”

    จงฮยอนกำมือเข้าหากันแน่น ข่มตาอย่างเจ็บปวดไม่แพ้กัน เสียงร้องไห้และเสียงเต้นของหัวใจจากร่างที่กำลังกอดเขาไว้นั้นมีแต่จะทำให้หัวใจของเขาอ่อนล้ามากขึ้นทุกที

    “ขอร้อง อย่าทิ้งผม ยะ อย่าทำเหมือนพี่ไม่รักผมแล้ว ยิ้มให้ผม กะ กอดผมไว้ กอดสิ กอดผม”

    สองแขนกอดรัดจงฮยอนแน่นขึ้น ทว่าอีกฝ่ายก็ยังคงยืนอยู่นิ่งๆ คิบอมปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมา เสียงสะอื้นดังขึ้นเรื่อยๆเมื่อจงฮยอนยังคงยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น

    “ทำไม... ทำไม!...” คิบอมดันตัวออกมา มองคนที่ไม่ยอมสบตาเขาแล้วเขย่าแขนอีกฝ่าย

    “ผิดมากเหรอ ผิดเหรอที่เป็นผู้ชาย!

    ตะโกนถามอย่างเจ็บปวด ยิ่งอีกฝ่ายเอาแต่เงียบก็ยิ่งเจ็บปวดกว่าเดิม ยิ่งอีกฝ่ายหันหน้าหนีก็ยิ่งทรมาน ทั้งที่คิบอมรักมากขนาดนี้แท้ๆ ทั้งที่รักจนทนไม่ไหว แต่ทำไมถึงใจร้ายแบบนี้

    “พูดสิ พูดออกมา หันหน้ามาแล้วพูดสิ ผิดเหรอ! ผิดมากเลยเหรอ!

    สองมือขยุ้มเสื้อคนตรงหน้าจนยับยู่ยี่ หัวใจเจ็บร้าวกับท่าทีของอีกฝ่าย

    ฝ่ามืออุ่นกุมมือคิบอมที่กำเสื้อตัวเองเอาไว้ ใช้แรงดึงมันออก แล้วพูดบางประโยคออกมา... คำพูดที่ทำให้โลกของคิบอมพังทลายลงตรงหน้า

    “อย่าเจอกันอีกเลยนะ”

    “.....”

     

    คิบอมคิดว่าจงฮยอนไม่ใช่คนใจร้ายหรอก จงฮยอนก็แค่คนที่ไม่มีหัวใจเท่านั้นเอง

     

    “อย่าเจอกันอีกเลยนะ”

    จงฮยอนหมุนตัวเดินจากมา ทิ้งภาพคนที่ยืนอึ้งกับคำพูดของเขาไว้เบื้องหลัง เพียงสองก้าวที่ถอยห่างมาเท่านั้น น้ำตาลูกผู้ชายที่พยายามอดกลั้นเอาไว้ก็ร่วงลงมา มือข้างหนึ่งยกขึ้นกุมเสื้อตำแหน่งเดียวกับที่คิบอมใช้มือขยุ้มมันเมื่อครู่ ควานหาสัมผัสที่ยังคงหลงเหลือเอาไว้ กดทับมันลงไปราวกับต้องการให้สัมผัสจากฝ่ามือของคิบอมประทับลงไปจนถึงหัวใจที่แสนเย็นชาของตัวเอง

     

    จงฮยอนรักคีย์ อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าเขาเคยรักคีย์ เพียงแต่ตอนนี้... การยืนยันกับตัวเองว่าเขารักคิบอมหรือไม่นั้นมันไม่ง่ายเลย

     

    I know I have a heart, because I feel that it’s breaking

    - Great expectations -




    2BC.


    LiTAz Talk: ......... จ่ะ! มาม่าตามสไตล์ลิต้า ^^; เจอกันพาร์ทหน้านะคะ (พาร์ทหน้าจบแล้ววววว)






    Thank  Beautiful theme... nuenghae
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×