คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : น้ำ(ตา)แตก
ผมเปิดประตูแบบไม่สบอารมณ์สุดฤทธิ์ ถ้าไม่มีธุระด่วนคอขาดบาดตายล่ะก็ คนเคาะประตูได้คอขาดหัวใจวายตายด้วยฝีมือผมแน่ๆ
“คุณรัชคะ แย่แล้วค่ะ น้องเอิญร้องไห้ไม่ยอมหยุด ถ่ายท้องตลอดเลยด้วย”
ป้าตะเพียนเล่าหน้าตาตื่น ผมเองก็พลอยตกใจไปด้วย แต่ยังดีที่ถือครองสติอยู่ได้แม้เพียงบางส่วนก็ตาม
“ป้าไปเก็บของใช้ของน้องเอิญนะครับ เดี๋ยวผมจะเอารถออก แล้วเราจะไปโรงพยาบาลกัน”
“หวานไปด้วยนะ” เสียงน้องหวานดังขึ้นด้านหลัง
ผมไม่มีเวลาจะค้านจึงได้แต่พยักหน้าพลางรีบเดินไปหยิบกุญแจรถอย่างรีบเร่ง น้องหวานเดินไปที่ห้องเจ้าตัวเล็กเพื่อช่วยป้าตะเพียน ไม่นานเราห้าคนรวมคุณแม่และน้องเอิญด้วยก็พากันไปโรงพยาบาลอย่างเร็วที่สุด
ตลอดทางน้องเอิญยังถ่ายไม่ยอมหยุด ผมจึงต้องปิดแอร์และเปิดกระจก กลิ่นควันรถและกลิ่นที่เจ้าตัวเล็กปล่อยออกมาทำให้ผมเริ่มมึนๆ คล้ายกับนั่งใกล้รถสูบส้วมที่สตาร์ทเครื่องปล่อยควันเสียอยู่อย่างนั้น
ดีที่ว่าโรงพยาบาลอยู่ห่างจากบ้านเราไม่มากนัก น้องเอิญจึงถึงมือหมออย่างรวดเร็ว ในระหว่างรอแพทย์ตรวจอาการของเจ้าตัวเล็ก สามสาวทั้งคุณแม่ ป้าตะเพียน และน้องหวาน เดินไปเดินมาอยู่หน้าแผนกเด็กอ่อนจนผมมึนหนักเข้าไปอีก ถ้านับระยะทางป่านนี้คงได้หลายกิโลแล้วมั้ง
“กินอะไรกันมาหรือยังล่ะ” คุณแม่ถามน้องหวานที่เริ่มน้ำตาซึมเพราะเป็นห่วงน้องเอิญ
“ยังเลยค่ะคุณแม่”
“งั้นเดี๋ยวป้าตะเพียนกับแม่จะไปซื้ออะไรมาให้รองท้อง ตารัช ดูน้องด้วยล่ะ”
ผมพยักหน้ารับแกนๆ ดูแลตัวเองก็จะแย่อยู่แล้วครับแม่ นี่กลิ่นคล้ายส้วมแตกผสมกับกลิ่นควันรถยังคละคลุ้งติดจมูกผมอยู่เลย ครั้นจะให้ไปดูแลน้องหวานด้วย เปลี่ยนเป็นให้คุณเมียมาดูแลผมจะดีกว่า
“มานั่งนี่เถอะหวาน เดินไปเดินมาเมื่อยเปล่าๆ”
“ก็หวานเป็นห่วงลูก”
เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเธอแทนน้องเอิญด้วยคำว่า ‘ลูก’ อย่างเต็มปาก เหมือนมีอะไรบางอย่างมันแล่นผ่านหัวใจชั่ววูบหนึ่ง คงเป็นความปีติอิ่มเอมมั้งครับ พูดแล้วรู้สึกกระดากปากอย่างไรไม่ทราบ เอาเป็นว่ามันรู้สึกเหมือนผมมีครอบครัวจริงๆ มีผมเป็นพ่อ มีหวานเป็นแม่ และน้องเอิญก็เป็นลูกของเราอย่างแท้จริง ถ้าเป็นแบบนั้นได้ก็คงจะดีไม่น้อย
“พี่ก็เป็นห่วงลูกเหมือนกัน แต่เดินไปเดินมามันก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี มานั่งเถอะ”
น้องหวานทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้พลาสติกข้างผมอย่างเสียไม่ได้ ตาคมคู่นั้นยังคงจับจ้องอยู่ที่ประตูห้องที่พยาบาลพาน้องเอิญเข้าไป เมื่อเห็นเธอยังคงกังวลผมจึงเอื้อมไปจับมือน้อยๆของเธอมาบีบเบาๆคล้ายให้กำลังใจ
“น้องเอิญไม่เป็นไรหรอก เชื่อพี่”
น้องหวานหันมาหาผม น้ำตาที่คลอเบ้าไหลลงอาบแก้ม เวรกรรม! คนเขาพูดให้หายเครียด ดันร้องไห้จนคนปลอบอย่างผมเริ่มเครียดไปด้วย
“หวานกลัว”
ผมใช้นิ้วปาดน้ำตาออกจากแก้มใสนั้น แต่ปาดเท่าไหร่ก็ไม่หมดครับ เพราะมันยังไหลลงมาเรื่อยๆราวกับเขื่อนแตก ผมเองก็เริ่มทำอะไรไม่ถูก ทำอย่างไรเธอก็ไม่ยอมหยุดร้องเสียที เห็นทีคงต้องใช้มาตรการขั้นสุดท้าย
ผมดึงน้องหวานเข้ามากอดปลอบ เธอโผเข้ามาซบอกผมอย่างต้องการที่พึ่ง สาบานได้ว่าไม่ได้คิดอกุศลเลยแม้แต่นิดเดียว ถึงแม้ว่าอกอวบๆนั้นจะเสียดสีอยู่กับอกสามศอกของผมก็เถอะ
กอดกันไปกอดกันมาซักพักเธอก็เหนื่อยจนหลับไป ผมจัดท่าให้เธอนอนพิงไหล่จะได้ไม่เมื่อยมาก คุณแม่ก็ไปเสียนานจนท้องผมร้องไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ไปๆมาๆผมก็หลับพิงศีรษะน้องหวานด้วยความมึนและเพลียในที่สุด
มารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของผู้หญิงสักสองคนเห็นจะได้ ตอนนั้นยังเบลอๆอยู่ครับ เลยไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
“สงสัยต้องเป็นพ่อแม่ของน้องเอิญแน่เลย น่ารักเนอะ นอนพิงกันด้วย”
“น่าอิจฉาจัง อยากมีแฟนซะแล้วสิ”
ผมงัวเงียตื่นขึ้นมามองดูว่าใครกันนะช่างบังอาจนินทาเราต่อหน้าต่อตาขนาดนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นคำนินทาที่ผมรู้สึกชอบอย่างบอกไม่ถูกก็ตาม
“อุ๊ย ตื่นแล้ว”
ปรากฏเป็นนางพยาบาลสองคนครับ จำได้ว่าหนึ่งในสองคือคนที่พาน้องเอิญเข้าไปในห้องนั้น
“หวาน ตื่นเถอะ” ผมสะกิดคุณเมียเบาๆ ฝ่ายนั้นปรือตาขึ้นสักสามวินาทีก่อนจะทำหน้าเหยเก
“ลูกออกมาแล้วเหรอ” น้องหวานถามเมื่อเริ่มตื่นอย่างเต็มตา
“ยังไม่ออกมาหรอกค่ะ คงต้องค้างที่นี่ซักวันรอดูอาการ ดีนะคะที่เอามาส่งโรงพยาบาลทัน” คุณน้องนางพยาบาลตอบ
“น้องเอิญเป็นอะไรเหรอคะ”
“อาหารเป็นพิษค่ะ แต่ไม่ต้องกังวลนะคะ ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว คุณพ่อกับคุณแม่จะกลับบ้านก่อนก็ได้นะคะ เพราะคนไข้เด็กไม่มีห้องพิเศษให้ คุณจะหาที่นอนกันลำบากถ้าจะนอนเฝ้า”
น้องหวานมองหน้าผมคล้ายจะถามความเห็น พอดีกันกับที่คุณแม่และป้าตะเพียนกลับมา ทั้งคู่เห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าควรยกโขยงกลับบ้านทั้งหมด เพราะอยู่ไปก็ช่วยอะไรหมอเขาไม่ได้ เจ้าตัวเล็กเองก็อยู่ในห้องกระจก จะเข้าเยี่ยมก็ไม่ได้อีกเช่นกัน
“ไปดูลูกกันพี่วี” น้องหวานคว้าแขนผมเดินนำไปที่ห้องกระจกแผนกเด็กเล็ก
ภายในห้องนั้นผมเห็นเด็กตัวเล็กๆกำลังนอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงอย่างน่าเอ็นดู เห็นคุณพยาบาลหน้าเกือบสวยหลายคนกำลังอุ้มเจ้าตัวน้อยที่กำลังโยเยไม่ยอมนอน และผมก็เห็นน้องเอิญ...ลูกของผม น้องเอิญยังคงร้องไห้ไม่หยุด คุณพยาบาลปลอบแล้วปลอบอีกก็ไร้ผล สักพักก็มีนางพยาบาลคนหนึ่งเข้ามาช่วยปลอบ เธออุ้มเจ้าตัวเล็กพาเดินไปรอบห้อง แต่น้องเอิญก็ยังไม่หยุดร้องไห้ จนเมื่อเจ้าตัวน้อยหันหน้ามาทางกระจก น้องเอิญก็เห็นผมและน้องหวาน แขนเล็กๆนั้นอ้ากว้างคล้ายอยากให้ผมอุ้ม ปากขยับพูดคำที่พูดกับผมบ่อยๆ... ‘งัมงัม’
คุณพยาบาลคล้ายรู้ใจจึงเดินมาที่กระจกใส น้องเอิญใช้มือน้อยๆทุบกระจก ผมได้มีโอกาสพิศดูหน้าลูกใกล้ๆก็ยิ่งสงสาร น้องเอิญร้องไห้จนหน้าแดงก่ำ ณ วินาทีนั้น ผมรู้แล้วว่าความห่วงใยที่พ่อมีให้กับลูกมันใหญ่หลวงเพียงใด แม้ว่าการมาของน้องเอิญจะทำให้ชีวิตของผมวุ่นวายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้ว่าชีวิตผมต้องเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ หรือแม้ว่าอะไรก็ตามแต่...ผมรักน้องเอิญ
ป้าตะเพียนและคุณแม่เดินมาสมทบ น้องหวานรีบเดินไปหาพลางหยิบบางสิ่งจากตะกร้าของใช้ของน้องเอิญออกมา มันคือ ‘เจ้าเป็ดน้อย’ ที่พอบีบตัวก็จะมีเสียงร้องของเป็ด น้องเอิญหัวเราะทันทีเมื่อเห็นมัน ยิ่งเมื่อน้องหวานบีบตัวเป็ด เสียงร้อง ‘ก๊าบๆ’ ก็ดังขึ้น แม้จะมีกระจกกั้นทำให้อีกฝั่งไม่ได้ยินเสียง แต่น้องเอิญก็ตบมือเปาะแปะคล้ายกับได้ยินเหมือนตอนอยู่ที่บ้าน ปากเล็กๆนั่นคลี่ยิ้มหวานจนผมอดยิ้มตามไม่ได้ นี่ล่ะมั้งครับความสุขของคนเป็นพ่อ
ไม่นานเราก็กลับบ้านเพราะน้องเอิญต้องนอนพัก น้องหวานยังคงซึมอยู่อย่างนั้นแม้ว่าคุณหมอยืนยันอย่างหนักแน่นว่าน้องเอิญจะสามารถกลับบ้านได้ในวันพรุ่งนี้
ยิ่งพอมาถึงบ้าน บรรยากาศก็ยิ่งเงียบเหงา ไม่มีเสียงร้องไห้โยเย ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีเสียงพูด ‘งัมงัม’ ...ไม่มีน้องเอิญ
“พาน้องขึ้นไปนอนพักไป” คุณแม่เอ่ยขึ้น
ผมจูงมือน้องหวานขึ้นไปนอนพักบนห้องของเรา คุณเมียเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะล้มตัวลงนอนอย่างว่าง่าย ผมเองก็คงต้องนอนพักซักหน่อยเหมือนกัน เพราะเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว
“พี่วี” น้องหวานนอนตะแคงหันหน้ามาทางผม
“หืม” ผมพลิกตัวนอนในท่าเดียวกันก่อนส่งเสียงเป็นเชิงว่าฟังอยู่
“ถ้าวันไหนพี่วีรักหวาน เรามีลูกกันนะ”
ผมพยักหน้ารับพร้อมด้วยรอยยิ้มที่หวานที่สุด ก่อนจะจูบหน้าผากมนนั้นเบาๆ และเราทั้งคู่ก็เข้าสู่ห้วงนิทราไปพร้อมกัน
ผมตื่นมาอีกทีตอนที่ได้ยินเสียงน้องหวานละเมอ ดูนาฬิกาก็ราวๆสองทุ่มกว่าๆ นี่ผมกับเธอหลับไปได้เพียงแค่ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น แต่ในความรู้สึกราวกับหลับไปเกือบค่อนคืน
“พี่วี” เสียงน้องหวานแหบพร่า
ผมยันตัวขึ้นมองหน้าเธอชัดๆ ก็พบว่าดวงตาคู่สวยนั้นปิดสนิท แต่สิ่งที่ผมแปลกใจคือเธอกำลังร้องไห้ น้ำตาไหลเป็นทางยาวจนผมอดไม่ได้ที่จะปาดมันเบาๆด้วยนิ้วมือ คาดว่าน้องหวานคงกำลังฝันร้าย...อาจจะฝันเรื่องน้องเอิญเพราะเธอกังวลกับอาการของเจ้าตัวเล็กอยู่มากทีเดียว
“พี่วี” น้องหวานละเมอขึ้นอีกครั้ง
“หวาน พี่อยู่นี่” ผมตอบกลับไปทั้งที่รู้ว่าเธอไม่มีสติเพียงพอที่จะรับรู้
“พี่วี หวานขอโทษ”
ผมนิ่งคิด อะไรคือสิ่งที่น้องหวานจะขอโทษผม คงเป็นเรื่องน้องเอิญ เธอคงโทษตัวเองว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้น้องเอิญเข้าโรงพยาบาล
น้องหวานเงียบไปไม่ละเมออีก ผมนอนมองหน้าเธออยู่พักใหญ่ก่อนจะล้มตัวลงไปนอนต่อ
แต่ยังไม่ทันที่เปลือกตาจะปิดได้สนิท น้องหวานก็ละเมอขึ้นมาอีกว่า
“เมื่อไหร่พี่วีจะรักหวานซักที หวานรักพี่วีนะ หวานรักพี่วี”
ผมเบิกตาโต อึ้งสิครับงานนี้!
==========================================
comment me pleaseeeeeeeeeee!
ความคิดเห็น