ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ขย่มเตียงรัก...หักคอดาร์ลิ่ง

    ลำดับตอนที่ #9 : น้ำ(ตา)แตก

    • อัปเดตล่าสุด 20 ม.ค. 51


                    ผมเปิดประตูแบบไม่สบอารมณ์สุดฤทธิ์  ถ้าไม่มีธุระด่วนคอขาดบาดตายล่ะก็  คนเคาะประตูได้คอขาดหัวใจวายตายด้วยฝีมือผมแน่ๆ

     

                    คุณรัชคะ  แย่แล้วค่ะ  น้องเอิญร้องไห้ไม่ยอมหยุด  ถ่ายท้องตลอดเลยด้วย 

     

                    ป้าตะเพียนเล่าหน้าตาตื่น  ผมเองก็พลอยตกใจไปด้วย  แต่ยังดีที่ถือครองสติอยู่ได้แม้เพียงบางส่วนก็ตาม

     

                    ป้าไปเก็บของใช้ของน้องเอิญนะครับ  เดี๋ยวผมจะเอารถออก  แล้วเราจะไปโรงพยาบาลกัน

     

                    หวานไปด้วยนะ  เสียงน้องหวานดังขึ้นด้านหลัง

     

                    ผมไม่มีเวลาจะค้านจึงได้แต่พยักหน้าพลางรีบเดินไปหยิบกุญแจรถอย่างรีบเร่ง  น้องหวานเดินไปที่ห้องเจ้าตัวเล็กเพื่อช่วยป้าตะเพียน  ไม่นานเราห้าคนรวมคุณแม่และน้องเอิญด้วยก็พากันไปโรงพยาบาลอย่างเร็วที่สุด

     

                    ตลอดทางน้องเอิญยังถ่ายไม่ยอมหยุด  ผมจึงต้องปิดแอร์และเปิดกระจก  กลิ่นควันรถและกลิ่นที่เจ้าตัวเล็กปล่อยออกมาทำให้ผมเริ่มมึนๆ  คล้ายกับนั่งใกล้รถสูบส้วมที่สตาร์ทเครื่องปล่อยควันเสียอยู่อย่างนั้น 

     

                    ดีที่ว่าโรงพยาบาลอยู่ห่างจากบ้านเราไม่มากนัก  น้องเอิญจึงถึงมือหมออย่างรวดเร็ว  ในระหว่างรอแพทย์ตรวจอาการของเจ้าตัวเล็ก  สามสาวทั้งคุณแม่  ป้าตะเพียน  และน้องหวาน  เดินไปเดินมาอยู่หน้าแผนกเด็กอ่อนจนผมมึนหนักเข้าไปอีก  ถ้านับระยะทางป่านนี้คงได้หลายกิโลแล้วมั้ง

     

                    กินอะไรกันมาหรือยังล่ะ  คุณแม่ถามน้องหวานที่เริ่มน้ำตาซึมเพราะเป็นห่วงน้องเอิญ

     

                    ยังเลยค่ะคุณแม่

     

                    งั้นเดี๋ยวป้าตะเพียนกับแม่จะไปซื้ออะไรมาให้รองท้อง  ตารัช  ดูน้องด้วยล่ะ

     

                    ผมพยักหน้ารับแกนๆ  ดูแลตัวเองก็จะแย่อยู่แล้วครับแม่  นี่กลิ่นคล้ายส้วมแตกผสมกับกลิ่นควันรถยังคละคลุ้งติดจมูกผมอยู่เลย  ครั้นจะให้ไปดูแลน้องหวานด้วย  เปลี่ยนเป็นให้คุณเมียมาดูแลผมจะดีกว่า

     

                    มานั่งนี่เถอะหวาน  เดินไปเดินมาเมื่อยเปล่าๆ

     

                    ก็หวานเป็นห่วงลูก 

     

                    เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเธอแทนน้องเอิญด้วยคำว่า ลูก  อย่างเต็มปาก  เหมือนมีอะไรบางอย่างมันแล่นผ่านหัวใจชั่ววูบหนึ่ง  คงเป็นความปีติอิ่มเอมมั้งครับ  พูดแล้วรู้สึกกระดากปากอย่างไรไม่ทราบ  เอาเป็นว่ามันรู้สึกเหมือนผมมีครอบครัวจริงๆ  มีผมเป็นพ่อ  มีหวานเป็นแม่  และน้องเอิญก็เป็นลูกของเราอย่างแท้จริง  ถ้าเป็นแบบนั้นได้ก็คงจะดีไม่น้อย 

     

                    พี่ก็เป็นห่วงลูกเหมือนกัน  แต่เดินไปเดินมามันก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี  มานั่งเถอะ

     

                    น้องหวานทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้พลาสติกข้างผมอย่างเสียไม่ได้  ตาคมคู่นั้นยังคงจับจ้องอยู่ที่ประตูห้องที่พยาบาลพาน้องเอิญเข้าไป  เมื่อเห็นเธอยังคงกังวลผมจึงเอื้อมไปจับมือน้อยๆของเธอมาบีบเบาๆคล้ายให้กำลังใจ

     

                    น้องเอิญไม่เป็นไรหรอก  เชื่อพี่

     

                    น้องหวานหันมาหาผม  น้ำตาที่คลอเบ้าไหลลงอาบแก้ม  เวรกรรม!  คนเขาพูดให้หายเครียด  ดันร้องไห้จนคนปลอบอย่างผมเริ่มเครียดไปด้วย 

     

                    หวานกลัว 

     

                    ผมใช้นิ้วปาดน้ำตาออกจากแก้มใสนั้น  แต่ปาดเท่าไหร่ก็ไม่หมดครับ  เพราะมันยังไหลลงมาเรื่อยๆราวกับเขื่อนแตก  ผมเองก็เริ่มทำอะไรไม่ถูก  ทำอย่างไรเธอก็ไม่ยอมหยุดร้องเสียที  เห็นทีคงต้องใช้มาตรการขั้นสุดท้าย

     

                    ผมดึงน้องหวานเข้ามากอดปลอบ  เธอโผเข้ามาซบอกผมอย่างต้องการที่พึ่ง  สาบานได้ว่าไม่ได้คิดอกุศลเลยแม้แต่นิดเดียว  ถึงแม้ว่าอกอวบๆนั้นจะเสียดสีอยู่กับอกสามศอกของผมก็เถอะ

     

                    กอดกันไปกอดกันมาซักพักเธอก็เหนื่อยจนหลับไป  ผมจัดท่าให้เธอนอนพิงไหล่จะได้ไม่เมื่อยมาก  คุณแม่ก็ไปเสียนานจนท้องผมร้องไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ  ไปๆมาๆผมก็หลับพิงศีรษะน้องหวานด้วยความมึนและเพลียในที่สุด

     

                    มารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของผู้หญิงสักสองคนเห็นจะได้  ตอนนั้นยังเบลอๆอยู่ครับ  เลยไม่รู้ว่าใครเป็นใคร

     

                    สงสัยต้องเป็นพ่อแม่ของน้องเอิญแน่เลย  น่ารักเนอะ  นอนพิงกันด้วย 

     

                    น่าอิจฉาจัง  อยากมีแฟนซะแล้วสิ 

     

                    ผมงัวเงียตื่นขึ้นมามองดูว่าใครกันนะช่างบังอาจนินทาเราต่อหน้าต่อตาขนาดนี้  ถึงแม้ว่าจะเป็นคำนินทาที่ผมรู้สึกชอบอย่างบอกไม่ถูกก็ตาม 

     

                    อุ๊ย  ตื่นแล้ว

     

                    ปรากฏเป็นนางพยาบาลสองคนครับ  จำได้ว่าหนึ่งในสองคือคนที่พาน้องเอิญเข้าไปในห้องนั้น 

     

                    หวาน  ตื่นเถอะ  ผมสะกิดคุณเมียเบาๆ  ฝ่ายนั้นปรือตาขึ้นสักสามวินาทีก่อนจะทำหน้าเหยเก

     

                    ลูกออกมาแล้วเหรอ  น้องหวานถามเมื่อเริ่มตื่นอย่างเต็มตา

     

                    ยังไม่ออกมาหรอกค่ะ  คงต้องค้างที่นี่ซักวันรอดูอาการ  ดีนะคะที่เอามาส่งโรงพยาบาลทัน  คุณน้องนางพยาบาลตอบ

     

                    น้องเอิญเป็นอะไรเหรอคะ

     

                    อาหารเป็นพิษค่ะ  แต่ไม่ต้องกังวลนะคะ  ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว  คุณพ่อกับคุณแม่จะกลับบ้านก่อนก็ได้นะคะ  เพราะคนไข้เด็กไม่มีห้องพิเศษให้  คุณจะหาที่นอนกันลำบากถ้าจะนอนเฝ้า

     

                    น้องหวานมองหน้าผมคล้ายจะถามความเห็น  พอดีกันกับที่คุณแม่และป้าตะเพียนกลับมา  ทั้งคู่เห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าควรยกโขยงกลับบ้านทั้งหมด  เพราะอยู่ไปก็ช่วยอะไรหมอเขาไม่ได้  เจ้าตัวเล็กเองก็อยู่ในห้องกระจก  จะเข้าเยี่ยมก็ไม่ได้อีกเช่นกัน

     

                    ไปดูลูกกันพี่วี  น้องหวานคว้าแขนผมเดินนำไปที่ห้องกระจกแผนกเด็กเล็ก

     

                    ภายในห้องนั้นผมเห็นเด็กตัวเล็กๆกำลังนอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงอย่างน่าเอ็นดู  เห็นคุณพยาบาลหน้าเกือบสวยหลายคนกำลังอุ้มเจ้าตัวน้อยที่กำลังโยเยไม่ยอมนอน  และผมก็เห็นน้องเอิญ...ลูกของผม  น้องเอิญยังคงร้องไห้ไม่หยุด  คุณพยาบาลปลอบแล้วปลอบอีกก็ไร้ผล  สักพักก็มีนางพยาบาลคนหนึ่งเข้ามาช่วยปลอบ  เธออุ้มเจ้าตัวเล็กพาเดินไปรอบห้อง  แต่น้องเอิญก็ยังไม่หยุดร้องไห้  จนเมื่อเจ้าตัวน้อยหันหน้ามาทางกระจก  น้องเอิญก็เห็นผมและน้องหวาน  แขนเล็กๆนั้นอ้ากว้างคล้ายอยากให้ผมอุ้ม  ปากขยับพูดคำที่พูดกับผมบ่อยๆ... งัมงัม 

     

                คุณพยาบาลคล้ายรู้ใจจึงเดินมาที่กระจกใส  น้องเอิญใช้มือน้อยๆทุบกระจก  ผมได้มีโอกาสพิศดูหน้าลูกใกล้ๆก็ยิ่งสงสาร  น้องเอิญร้องไห้จนหน้าแดงก่ำ    วินาทีนั้น  ผมรู้แล้วว่าความห่วงใยที่พ่อมีให้กับลูกมันใหญ่หลวงเพียงใด  แม้ว่าการมาของน้องเอิญจะทำให้ชีวิตของผมวุ่นวายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  แม้ว่าชีวิตผมต้องเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ  หรือแม้ว่าอะไรก็ตามแต่...ผมรักน้องเอิญ

     

                    ป้าตะเพียนและคุณแม่เดินมาสมทบ  น้องหวานรีบเดินไปหาพลางหยิบบางสิ่งจากตะกร้าของใช้ของน้องเอิญออกมา  มันคือ เจ้าเป็ดน้อย  ที่พอบีบตัวก็จะมีเสียงร้องของเป็ด  น้องเอิญหัวเราะทันทีเมื่อเห็นมัน  ยิ่งเมื่อน้องหวานบีบตัวเป็ด  เสียงร้อง ก๊าบๆ  ก็ดังขึ้น  แม้จะมีกระจกกั้นทำให้อีกฝั่งไม่ได้ยินเสียง  แต่น้องเอิญก็ตบมือเปาะแปะคล้ายกับได้ยินเหมือนตอนอยู่ที่บ้าน  ปากเล็กๆนั่นคลี่ยิ้มหวานจนผมอดยิ้มตามไม่ได้  นี่ล่ะมั้งครับความสุขของคนเป็นพ่อ

     

                    ไม่นานเราก็กลับบ้านเพราะน้องเอิญต้องนอนพัก  น้องหวานยังคงซึมอยู่อย่างนั้นแม้ว่าคุณหมอยืนยันอย่างหนักแน่นว่าน้องเอิญจะสามารถกลับบ้านได้ในวันพรุ่งนี้ 

     

    ยิ่งพอมาถึงบ้าน  บรรยากาศก็ยิ่งเงียบเหงา  ไม่มีเสียงร้องไห้โยเย  ไม่มีเสียงหัวเราะ  ไม่มีเสียงพูด งัมงัม  ...ไม่มีน้องเอิญ

     

                    พาน้องขึ้นไปนอนพักไป  คุณแม่เอ่ยขึ้น

     

                    ผมจูงมือน้องหวานขึ้นไปนอนพักบนห้องของเรา  คุณเมียเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะล้มตัวลงนอนอย่างว่าง่าย  ผมเองก็คงต้องนอนพักซักหน่อยเหมือนกัน  เพราะเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว

     

                    พี่วี  น้องหวานนอนตะแคงหันหน้ามาทางผม

     

                    หืม  ผมพลิกตัวนอนในท่าเดียวกันก่อนส่งเสียงเป็นเชิงว่าฟังอยู่

     

                    ถ้าวันไหนพี่วีรักหวาน  เรามีลูกกันนะ

     

                    ผมพยักหน้ารับพร้อมด้วยรอยยิ้มที่หวานที่สุด  ก่อนจะจูบหน้าผากมนนั้นเบาๆ  และเราทั้งคู่ก็เข้าสู่ห้วงนิทราไปพร้อมกัน

     

                    ผมตื่นมาอีกทีตอนที่ได้ยินเสียงน้องหวานละเมอ  ดูนาฬิกาก็ราวๆสองทุ่มกว่าๆ  นี่ผมกับเธอหลับไปได้เพียงแค่ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น  แต่ในความรู้สึกราวกับหลับไปเกือบค่อนคืน

     

                    พี่วี  เสียงน้องหวานแหบพร่า 

     

                    ผมยันตัวขึ้นมองหน้าเธอชัดๆ ก็พบว่าดวงตาคู่สวยนั้นปิดสนิท  แต่สิ่งที่ผมแปลกใจคือเธอกำลังร้องไห้  น้ำตาไหลเป็นทางยาวจนผมอดไม่ได้ที่จะปาดมันเบาๆด้วยนิ้วมือ  คาดว่าน้องหวานคงกำลังฝันร้าย...อาจจะฝันเรื่องน้องเอิญเพราะเธอกังวลกับอาการของเจ้าตัวเล็กอยู่มากทีเดียว

     

                    พี่วี  น้องหวานละเมอขึ้นอีกครั้ง

     

                    หวาน  พี่อยู่นี่  ผมตอบกลับไปทั้งที่รู้ว่าเธอไม่มีสติเพียงพอที่จะรับรู้

     

                    พี่วี  หวานขอโทษ 

     

                    ผมนิ่งคิด  อะไรคือสิ่งที่น้องหวานจะขอโทษผม  คงเป็นเรื่องน้องเอิญ  เธอคงโทษตัวเองว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้น้องเอิญเข้าโรงพยาบาล

     

                    น้องหวานเงียบไปไม่ละเมออีก  ผมนอนมองหน้าเธออยู่พักใหญ่ก่อนจะล้มตัวลงไปนอนต่อ

     

                    แต่ยังไม่ทันที่เปลือกตาจะปิดได้สนิท  น้องหวานก็ละเมอขึ้นมาอีกว่า

     

                    เมื่อไหร่พี่วีจะรักหวานซักที  หวานรักพี่วีนะ  หวานรักพี่วี

     

                    ผมเบิกตาโต  อึ้งสิครับงานนี้!
    ==========================================
    comment me pleaseeeeeeeeeee!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×