ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ★rhyme lies ทำนองที่ไม่ได้ยิน★

    ลำดับตอนที่ #3 : chapter II

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 49
      0
      31 ต.ค. 66

     

    -2-
     

    คะ?” คุณแม่จ้องหน้าหมอนิ่ง ในขณะที่หมอกำลังนำตัวแพตตี้กลับมาที่ห้องพัก หลังจากไปตรวจอาการในอีกห้องหนึ่ง ทุกคนทำหน้าเหลอหลาอย่างไม่เข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นนี้ ก็ได้กรูกันเข้ามาล้อมรอบหมอ พลางมองดูเด็กสาวที่นอนอยู่บนเตียงสลับไปมา

    เอ่อ ..ครับ หมออาวุโสตอบพลางอธิบายคุณแม่อีกรอบ เพื่อยืนยันให้แน่ใจว่าเป็นความจริง จากผลการวินิจฉัยแล้ว มีโอกาสจะเป็นผลกระทบทางสมองที่ได้รับการกระทบกระเทือนขั้นรุนแรง จนทำให้ไม่สามารถจำอะไรได้เลย แม้เกี่ยวกับเรื่องของตัวเอง

    แล้วเรื่องอาการปวดหัวเมื่อกี้ จะมีส่วนเกี่ยวข้องไหมคะคุณแม่มีสีหน้าซีดอย่างเห็นได้ชัด ถามหมอเสียงสั่น

    อ่อมีส่วนเกี่ยวข้องแน่นอนครับ เพราะเหมือนเป็นการเร่งเร้าให้ผู้ป่วยนึกเรื่องราวต่างๆมากๆ ก็อาจจะมีผลทำให้เกิดอาการดังกล่าวได้ ทางที่ดีก็อย่าไปรบเร้าให้เจ้าตัวคิดเลย ค่อยๆให้แกรื้อฟื้นเรื่องราวต่างๆได้เองจะดีกว่านะครับคุณหมออธิบายด้วยเสียงนิ่มๆ เพื่อให้คุณแม่เบาใจลง  

    .... แพตตี้นอนตะแคงข้าง แอบฟังเหตุการณ์ที่เป็นไปตามที่คิดอย่างลงตัว รู้สึกสงสารแม่จับใจเหมือนกัน แต่ก็ช่วยไม่ได้ทว่าก็น่าแปลกน่ะ ทำไมอยู่ๆก็ปวดหัวจริงๆล่ะ แล้วทำนองเพลงนั้นก็ดังอยู่ในหัวตลอดเวลา เหมือนอยู่ใกล้ๆแค่เอื้อม เธอครุ่นคิดถึงชายหนุ่มผมสีเงินยวงดุจพระจันทร์ที่พบตอนนั้น ....


    ................

     

    You’re the star of the empty place, and I wish you knew …

    I will spread my wings and fly if you want me to. If you want to, …

     

    ทำนองเพลงนั้นหมายความว่าไงน่ะ” แพตตี้นอนเอียงข้างพึมพำเบาๆ นึกคิดถึงภาพที่ได้เห็น และเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่

    แต่ที่แน่ๆ เพลงนั้นมันเศร้าๆยังไงชอบกล บางทีก็มีหวัง บางทีก็หมดหวัง โอ๊ย ...ไม่รู้แล้วจนเผลอคิดออกมาเสียงดัง ทำเอาทุกคนหน้าตื่นตกใจพากันหันมามองด้วยแววตาสงสัย

    ลูกไม่เป็นอะไรนะคะคุณแม่ถลาปรี่เข้ามาประคองกอดลูกสาวไว้แน่น แต่แพตตี้กลับรู้สึกปวดหัวโดยไม่มีสาเหตุอีกแล้ว อย่าหักโหมคิดนะ มันจะทำให้อาการลูกหนักขึ้นอีก ค่อยๆเป็นค่อยๆไปก็ได้จ๊ะ หมอก็บอกอย่างนั้นลูกได้ยินไหมจ๊ะ

    ...บ้าน่ะ ก็ไม่ได้เป็นจริงๆสักหน่อย ....

    คุณแม่ค่อยๆประคองร่างบางให้นอนลง ห่มผ้านวมที่ดูน่าอบอุ่นแต่ก็คงไม่เท่าที่ได้ห่มความรักจากแม่หรอก ทุกคนทยอยกันออกจากห้องสีขาวไป ทิ้งให้เด็กสาวนอนน้ำตาไหลรินเปียกหมอนจนชุ่มแฉะ


    ปันหยีส่งเสียงร่ำไห้กระซิกๆดังไปตามทางโถง หลังจากที่ปันหยีกับรัสตี้เอ่ยอำลาแม่ของแพตตี้ก่อนขอตัวกลับบ้านของตน เนื่องจากราตรีนึ้ดึกมากแล้ว ส่วนเพื่อนๆคนอื่นก็ทยอยกันกลับไปตั้งนานแล้ว
     


    ................



    "ปันหยี ...เธอคิดว่าแพตตี้ความจำเสื่อมจริงๆนะหรือ" รัสตี้พึมพำแผ่วเบาอยู่ข้างๆ ปันหยี หลังจากที่ได้ปิดประตูห้องพักฟื้นผู้ป่วยแล้ว ปันหยีได้แต่เบือนหน้าเปื้อนน้ำตาไปมองอย่างไม่เข้าใจความคิดของเขา 


    "ทำไมล่ะ อย่าบอกนะว่านายก็ไม่เชื่อเหมือนคนอื่นๆนะ ร้ายกาจที่สุด" ปันหยีสบถอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อเห็นรัสตี้วางสีหน้าเรียบเฉยราวกับเห็นเรื่องตรงหน้าเป็นฉากหนึ่งในละคร


    "ไม่อย่างนั้น ก็แค่ แคลงใจ"


    "ก็นั่นแหละ มันต่างกันตรงไหนกันล่ะกับที่ไม่เชื่อ ไม่เท่ากับเป็นการทำร้ายจิตใจเพื่อนไปหน่อยเหรอ" ปันหยีบันดาลโทสะ ฉุนกึกตะโกนต่อว่ารัสตี้ทันทีที่ก้าวออกมาจากโรงพยาบาล


    "..." รัสตี้นิ่งเงียบ เดินนำไปตามทางปล่อยให้เด็กสาวที่เดินตามหลังเขาปล่อยโฮ สะอึกสะอื้นอยู่ข้างหลัง เวลานี้เขากลับกำลังใช้ความคิดอะไรบางอย่าง รอยยิ้มเล็กๆผุดขึ้นมาตรงร่องแก้มราวกับได้คิดแผนอะไรบางอย่าง ปันหยีเมื่อเห็นดังนั้นก็ส่ายหน้าด้วยความจนใจ คาดไม่ถึงกับสิ่งที่เพื่อนชายทำกับเพื่อนอีกคนของเธอ



    ...รัสตี้นายนี่มันช่างนี้ไร้หัวใจจริงๆ ทำไมน่ะยัยแพตตี้ถึงได้ไปชอบคนพรรคนี้ได้...


     

     ********************

     



    แพตตี้ใช้เวลาอยู่แต่ในห้องโดยที่ไม่ทำอะไรแม้แต่อย่างเดียว พลิกไปพลิกมาอยู่บนฟูกนิ่มๆที่บ้าน รอคอยวันเวลาให้ผ่านไปเฉยๆ หลังจากหมออาวุโสท่านนั้นอนุญาตให้กลับมาพักได้ที่บ้าน 



    "ให้กลับไปพักผ่อนที่บ้านได้แล้ว" 



    "แล้วจะไม่เป็นอะไรเหรอคะ คุณหมอ" เสียงคุณแม่พูดระคนเป็นห่วงในตัวบุตรสาวที่ยังมีท่าทีไม่ปกติเหมือนเคย แพตตี้ไม่คิดที่จะพูดกับใคร พึมพำกับตัวเองบ่อยๆ สายตาเลื่อนลอย และมีอาการปวดหัว แน่นหน้าอก 



    "ครับ แกไม่เป็นอะไรมากแล้วล่ะ" ถึงหมอจะพูดแบบนั้น แต่แม่ก็ยังเป็นห่วงลูกสาวอยู่ดี แม่ไม่ให้แพตตี้ออกไปไหนเลย โดยให้เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง เฝ้ารอสังเกตให้อาการค่อยๆทุเลาขึ้น แพตตี้คงต้องพักฟื้นอีกในระยะยาวเลยทีเดียว



    เมื่อคุณป้าแม่บ้านที่มักจะยกอาหารเสริฟขึ้นมาถึงในห้องนอนเธอ เห็นว่าคุณหนูอิสรตรีคนเดียวในบ้านภู่ระหงส์ อันเป็นตระกูลผู้มากลากดีตั้งแต่สมัยก่อนเก่า ไม่ยอมขานตอบรับ ก็ส่งเสียงเรียกอีกระลอก 



    "คุณหนูค่ะ ป้าแช่มนำข้าวต้มทรงเครื่องมาให้แล้วค่ะ" เพราะแพตตี้กำลังป่วยหนัก (เอาการ) ป้าแช่มก็มักจะทำข้าวต้มมาให้เธอกินประจำ จนเธอเริ่มเอียนแล้ว 



    วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่แพตตี้นอนเล่นอยู่แต่ในห้องอย่างเบื่อๆ เพราะตัวเองโดนกักขังบริเวณไมให้ออกไปไหน เนื่องด้วยอาการป่วยที่เกินเยียวยา รักษาไม่หายสักที ทั้งๆที่เธอเองก็ไม่ได้เป็นอะไรมากนัก พอแพตตี้พูดกับแม่ว่า เธอหายแล้ว แม่ก็ยังไม่เชื่อ 



    "แม่ค่ะ หนูว่าหนูหายดีแล้วนะคะ" 



    "แพตตี้ ลูกนอนพักอีกสักหน่อยเถอะนะจ๊ะ" 



    "แต่ หนูก็เริ่มจำอะไรต่อมิอะไรได้แล้วนะ หลังจากกลับมาพักฟื้นที่บ้านเนี่ย" 



    ไม่ว่าแพตตี้จะพูดเกลี้ยกล่อมแม่ยังไง แต่แม่ก็มักจะโอบกอดเธอทุกครั้งที่เธอพยายามจะพูดว่าอาการดีขึ้นแล้ว ให้เธอออกไปข้างนอกได้แล้วล่ะ ทว่ากลับไม่เป็นผลเสียเลย 



    ...นี่ตกลงฉันความสติฟั่นเฟือนจริงๆเหรอเนี่ย เฮ้อ...


    ................


     

    ก๊อก ก๊อก

    ...ข้าวต้มอีกแล้วเหรอ ทั้งเช้า กลางวัน เย็น...



    ช่างน่าเบื่อที่สุด 

    ค่ะ เข้ามาได้เลยคะ ป้าเสียงเล็กๆขานรับเป็นปกติวิสัย เมื่อเหลือบมองท้องฟ้าที่เป็นสีม่วงอ่อนๆ ทอประกายด้วยแสงสีทองสว่างวาบทั่วผืนฟ้า ก็น่าจะได้เวลาอาหารเย็นแล้วล่ะ ป้าแช่มคนนี้มักจะมาตรงเวลาเสมอ



    ประตูค่อยๆแง้มเปิดออกมา แต่ก็ยังไม่มีวี่แววใครจะเข้ามา รู้สึกเอะใจก็เลยจะลุกออกไปดู เผื่อเจ้าน้องตัวแสบมาแกล้ง ถ้าหายเมื่อไหร่จะเขกกะโหลกเข้าให้ (แต่ฉันก็ไม่ได้เป็นจริงๆนี่หว่า ...)


    น้องยูกิเหรอค่ะเธอจึงจำต้องแสร้งเรียกชื่อน้องชายไปอย่างนั้น เพื่อให้ดูสมป่วยจริง ถึงจะรู้สึกคลื่นเหียนก็ตาม



    “...” เมื่อไม่มีใครขานรับ ก็คิดที่จะขังตัวเองไว้ในห้องดังเดิม พอประตูทำท่าจะถูกปิดลง ทว่ากลับมีมือจากไหนไม่รู้มาขัดกับประตูไว้เสียก่อน เธอสะดุ้งเฮือก ยังไม่ทันได้กรีดร้องก็มีเสียงคุ้นชินตอบกลับมาก่อน



    ฉันเอง ...ระ รัสตี้



    หือ ...” แพตตี้นิ่งเงียบไปสามวินาที ไม่คิดไม่ฝันว่ารัสตี้จะมาบ้านได้ แต่เขามีเหตุอันใดต้องมาด้วยเล่า มือที่จับลูกบิดสั่น ไม่มีเสียงที่จะตอบกลับไป จนอีกฝ่ายของบานประตูเอ่ยขึ้นก่อน


    ขอเข้าไปได้ไหม



    “...” 



    แพตตี้...รัสตี้เรียกอีกรอบเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบ ท่ามกลางความเงียบที่เข้าครอบคลุมบานประตู มีเพียงความรู้สึกที่ซาบซ่านแผ่มาที่ลูกบิดที่ต่างฝ่ายต่างจับไว้คนละข้าง แพตตี้กลืนน้ำลายอึกหนึ่ง ก่อนสูดลมปราณลึกๆ เรียกสติกลับคืนมา ภารกิจที่ต้องหลอกว่าเธอยังคงความจำเสื่อมยังต้องดำเนินต่อไป 


    อือ เข้ามาสิประตูค่อยๆถูกเปิดออก แพตตี้ก้มหน้างุดไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองตรงๆ จึงจำต้องเอี้ยวตัวหลบไปมองอย่างอื่นกลบเกลื่อน พวกเรานิ่งเงียบไม่คิดที่จะพูดอะไรกับเขาสักคำ ภายในห้องรู้สึกดูน่าอึดอัดเหลือเกิน


    “...”

    “...”

    รู้สึกดีขึ้นไหม เราเอาบานอฟฟี่มาฝาก” รัสตี้ยื่นถุงพลาสติกใส ข้างในมีเค้กอยู่ชิ้นหนึ่ง ส่งมาให้ แพตตี้เผลอหันกลับไปมองหน้าเขานิ่ง ไม่เข้าใจการกระทำว่าเขาคิดอะไรอยู่ เค้กครีมนมสดที่มีกล้วยหอมกับคุ้กกี้บดที่เธอชอบซื้อกินบ่อยๆเวลาอยู่โรงเรียน ทำไมเขาถึงซื้อมาให้เธอล่ะ คงเป็นแค่ความบังเอิญล่ะมั้ง 


    ขะ ขอบใจ” แพตตี้เม้มริมฝีปากตัวเองแน่น กล้ำกลืนความรู้สึกตัวเองลงไปอย่างยากลำบาก ร่างสูงโปร่งตรงหน้าเดินเข้ามาใกล้แล้วหยุดอยู่ตรงหน้าฉันโดยไม่รู้ตัว เมื่อเธอก้มลงมองดูขนมในถุง เพราะไม่รู้ว่าจะซ่อนหน้าไปไว้ที่ไหน 

    !!!



    ดีจังนะ” รัสตี้เอ่ยขึ้นลอยๆ รอยยิ้มพิฆาตพุ่งมา จนน่าตกใจ เผลอถอยหลังชนฝาผนังที่อยู่ติดกับหน้าต่าง ลมโชยมาเบาๆ พัดผ่านระหว่างเราสองคนไป แสงทองฉายทาบมาที่ด้านข้างใบหน้าของเรา เห็นเป็นสีแดงระเรื่อที่สองพวกแก้ม แยกแทบไม่ออกเลยว่าไหนเป็นแสงจากธรรมชาติ หรือสารเมลาโทนินในตัวเปล่งออกมากันแน่



    “....เมื่อกี้เธอพูดว่าอะไรนะ



    ฉันบอกว่า ดีจังนะที่เธอไม่เป็นไรมากรัสตี้ยิ้มให้เหมือนเคย เขาแกล้งทำเป็นมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนหน้าเขา   



    “...” บ้าไปแล้ว เกิดอะไรขึ้นกับเขาเนี่ย เธอลอบมองเขานิ่ง ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ รัสตี้นิ่งไปเพียงชั่วครู่ ก่อนที่ปรายตามองมา จิ้มแก้มสีชมพูระเรื่อยามที่กระทบกับแสงสุริยันเล่นเหมือนครั้งหนึ่งที่เราเคยสนิทกัน



    ....ถ้าเป็นแต่ก่อน เธอคงคิดที่จะจี้เข้าที่ข้างเอวเขาล้อเล่นกับเขาไปแล้ว แต่ตอนนี้คงทำแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว เธอกำชายกระโปรงตัวเองแน่นขณะที่ยังคงมองเขาทำแบบนั้นตาไม่กระพริบ รู้สึกได้ว่าการที่จะพูดอะไรออกมาแต่ละคำมันยากเย็นเกินไป ....


    “...นาย


    หือ?”



    เมื่อก่อนเราสนิทกันมากมั้ยเธอลองถามเป็นเชิงดู พลางลอบสังเกตุว่าเขาดูนิ่งไปเสี้ยววิ


    “...”



    นายเหมือนรู้จักฉันดีเลยนะ ...รัสตี้สะดุ้งนิดนึง ก่อนจะยิ้มกลบเกลื่อนจนไม่สามารถมองอะไรได้ออกเลย ทว่าเขามิอาจรู้ได้หรอกท่วงท่าของเขาไม่อาจจะปิดบังอะไรได้



    ฮ่ะๆ ก็ไม่เห็นจะแปลกเลยนี่นา ยังไงเราก็เป็นเพื่อนกัน

    “...”

    ก็เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งหกปีแล้วนี่นา จริงไหมรัสตี้หันมายิ้มให้เป็นปกติ คำตอบของเขาทำให้เธอยิ้มจางแก้ขัดไปก่อน



    ไม่รู้สิ ฉันจำอะไรไม่ได้เลย ...



    “...” รัสตี้ทำหน้าอึกอักไปทันทีอย่างที่สัมผัสได้ เหมือนเขาคงไม่ใส่ใจเรื่องที่เธอแกล้งทำเป็นความจำเสื่อม มาถึงขนาดนี้แล้วแท้ๆ เขาสอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อมีฮุคของตัวเองพลางหัวเราะกลบเกลื่อนกับแผนการณ์ที่คิดไว้คาดเคลื่อน ทั้งๆที่ ตัวเขาเองกำลังพิสูจน์ความจริงที่คิดว่าแพตตี้หลอกลวงคนอื่นอยู่ นั่นสิเนอะ ฮ่ะๆ



    ฉันแทบจะจำไม่ได้เลย ทั้งเรื่องของเพื่อนที่มีอยู่มากมาย แต่ก็เหมือนไม่มี ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่าย ของขวัญ หรือลายมือที่เพื่อนเขียนให้ในเฟรนชิพเล่มนั้นเธอชายตามองไปที่สมุดสีดำที่ถูกตกแต่งไว้อย่างมีศิลป์บนโต๊ะข้างเตียง



    “...” รัสตี้เดินไปหยุดยืนอยู่หน้าสมุดเล่มนั้น เขาหยิบมันขึ้นมาเพ่งพินิจใกล้ๆ



    “.... เฟรนด์ชิพ ก็แค่เขียนชื่อ ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ติดต่อไว้เท่านั้นเองเธอก้มหน้านิ่งไม่อยากให้รัสตี้เห็นรอยน้ำตาบนร่องแก้มที่ไหลมาช้าๆ


    เธอเป็นคนวาดรูปสวยน่ะ อย่างน้อยก็เก่งกว่าคนอื่นๆรัสตี้มองดูที่สมุดที่ฉันตกแต่งไว้ พลางพลิกไปทีละหน้า ๆ เพื่อนๆต่างก็ชื่นชมภาพที่เธอวาด

    “...”  

    ลายมือก็สวย และก็ ...เก่งภาษามากๆเลยด้วย ดูสิเขาชี้ไปที่ตัวอักษรภาษาเกาหลีที่เธอเลือกเรียนมาจากวิชาเลือก รัสตี้อ่านภาษาเกาหลีอย่างชำนิชำนาญ ก็ในเมื่อเขานี่แหละที่เป็นเพื่อนร่วมเรียนเกาหลีด้วยกันมา และพวกเราก็สนใจภาษานี้เหมือนกัน ก็เพราะรัสตี้ด้วยส่วนหนึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ภาษานี้เป็นสื่อกลางที่ทำให้เราคุยกันได้


    “...” เธอยังคงก้มหน้านิ่งๆ มองพื้นพรมที่เปียกแฉะไปด้วยน้ำตาที่หยดลงไป เพราะความใจดีของรัสตี้ที่ส่งมาให้ไม่หยุด


    คำๆนี้อ่านว่าอะไรเหรอรัสตี้ยื่นสมุดมาตรงหน้า


    ??? 

    คะ แควน-ชัน-นาฉันเหลือบสายตาไปมอง แล้วก็รีบก้มหน้างุด ไม่คิดที่จะเงยมาสบตาเขาตอนนี้ รัสตี้ยิ้มบางๆ ก่อนที่จะชี้ไปอีกคำหนึ่ง

    ?? ?????~

    “...”


    แหมะ ...

    น้ำตาไหลลงมาโดยที่กล้ำกลืนกลั้นไว้ไม่อยู่ ความเงียบเข้ามาครอบคลุมห้องนี้ทันที เธอรีบเสแสร้งหันไปทางอื่นเพื่อปาดน้ำตาทิ้ง ชินจา โคมาวอ ชินกูยา(ขอบใจนายจริงๆ เพื่อนเอ๋ย)เธอรีบเฉไฉไปเรื่องอื่น พลางมองไปที่ผืนผ้าสีดำเข้ามาปกคลุมแสงสว่างเมื่อครู่ ดึกมากแล้วนะ นายกลับไปได้แล้วล่ะ




    “...” รัสตี้ยังคงยืนมองแผ่นหลังที่หันให้เขานิ่ง รู้สึกลังเลใจกับแผนการณ์นี้เล็กน้อย หรือว่า...นี่จะเป็นเรื่องจริง เธอคงลืมไปหมดแล้ว พอแพตตี้หันหลังกลับไปที่ประตู เพื่อที่จะเดินไปส่งเพื่อนชายคนเดียวของเธอออกไป และเมื่อรู้ว่ารัสตี้ไม่ได้เดินตามมา ก็เลยหันกลับไปมองเขาที่ยังยืนอยู่ที่เดิม ทั้งยังจ้องมองมาทางเธอนิ่ง แพตตี้ครุ่นคิดไม่ตก เต็มไปด้วยความคิดไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเอง ทำไมเขาต้องทำแบบนี้ด้วย ความจริงไม่ว่าเธอจะเป็นอะไรก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเขาเลย หรือว่า....รัสตี้จะชอบเธอจริงๆ - บ้าน่า เป็นไปไม่ได้หรอก ยัยแพตตี้ เลิกคิดเข้าข้างตัวเองสักที รีบๆไปส่งรัสตี้ได้แล้วก่อนที่แผนการณ์จะแตก 
     


    ไปกันเถอะ...



    “...เธอไม่อยากรู้จริงๆเหรอว่าพวกเราเป็นอะไรกันแสงไฟจากหลอดนีออนจางๆ แต่ก็ทำให้เห็นแววตาที่มุ่งมั่นของเขาอย่างชัดเจน 



    และวินาทีนั้นเอง....ทำให้ร่างบางชะงักไป เมื่อร่างสูงโปร่งจู่โจมเข้ามาหาจนเกือบประชิดติดกัน 

    “...”

    เราเป็นแฟนกันนะ แพตตี้รัสตี้เปล่งวาจาออกมาโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว นิ่งไปคิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดอะไรแบบนี้ ก่อนที่เขาจะหันหลังออกประตูไปด้วยความรู้สึกที่ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้พูดออกไปแบบนั้น เขาแค่อยากจะพิสูจน์ความเป็นจริงอะไรบางอย่างเท่านั้นเอง  ส่วนแพตตี้เองก็จมอยู่กับความไม่เข้าใจ หัวหมุนติ้วมึนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้อย่างฉับพลัน เบื้องหลังสองฝั่งบานประตูที่ถูกปิดลงทันทีที่รัสตี้ออกจากห้องไป มีร่างชายหญิงที่เข่าทั้งสองอ่อน หมดเรี่ยวแรงที่จะพยุงตัว ทรุดลงไปกองกับพื้น สายตาเหม่อลอยมันเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ


     
    มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย 

     

    ********************

     

    แพตตี้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหนึบที่หัว จนต้องขอยาแก้ปวดหัวจากป้าแม่บ้านมาสองเม็ด เรื่องเมื่อวานไม่ใช่ความฝันจริงๆด้วยสินะ ลายมือรัสตี้ยังคงติดอยู่บนสมุดเฟรนชิพนี้เลย 

    ?? ?????~(สู้ๆนะ)

     “ไม่ได้ฝันไปแห่ะ เมื่อวานนี้รัสตี้มาที่นี่จริงๆด้วยกอปรกับเหลือบไปเห็นถุงขนมที่เหลือแต่ซากกล่องพลาสติกใส ที่รัสตี้ซื้อมาให้เมื่อวาน หลังจากที่เขากลับไป แพตตี้ก็กินขนมเค้กอย่างตะกละตะกลามด้วยความงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นกะทันหันจังงัน จนเธอเองก็ตั้งตัวไม่ถูก 

    ...เป็นไปไม่ได้หรอก รัสตี้ต้องล้อฉันเล่นแน่ๆ... เธอสะบัดความคิดบ้าๆทิ้ง แล้วแอบออกมาข้างนอกโดยที่ไม่ได้บอกใคร ไม่อย่างนั้นแม่จะต้องตามมาแน่ๆ เมื่อคุณป้าแม่บ้านเผลอตัวไปจ่ายตลาดตอนบ่ายแก่ๆในเวลาเดิมทุกวัน

     

    ค่ะ ...ไปโรงพยาบาล XX” เมื่อออกมาเรียกรถแท็กซี่ตรงทางเข้าหมู่บ้านที่ติดกับถนนใหญ่ เธอนั่งแท็กซี่มาที่โรงพยาบาลที่ได้เข้ารับการรักษาจากอุบัติเหตุครั้งนั้น เพราะความเลินเล่อดันลืมทิ้งของสำคัญเอาไว้ในห้องที่ไปพักรักษาตัวอยู่


    นี่ค่ะ ...ไม่ต้องทอนค่ะพอจ่ายเงินให้กับคุณลุงคนขับที่พามาส่งตรงด้านหน้าของโรงพยาบาลเลยไม่ทำให้ต้องข้ามถนนมาอีกสองฝั่งช่วงตึก จากนั้นก็รีบก้าวฉับๆเข้าไปในตัวโรงพยาบาล พลางกวาดสายตามองป้ายหน้าอาคารไปด้วย

     

    ..I’m just lost in this song...


    แพตตี้ชะงักกึกทันทีที่ได้ยินทำนองเพลงนั้นแว่วเข้าหูมา หันมองไปรอบๆก็รู้สึกคุ้นๆ เหมือนภาพที่เคยเห็นในความฝัน เสียงเปียโนกึกก้องตามระเบียงไม้ ทางเดินเชื่อมสองตึกในโรงพยาบาล แสงอาทิตย์พาดผ่านระหว่างแมกไม้มา เห็นใบไม้โปร่งแสง ระยิบระยับราวกับเกล็ดอัญมณี ส่งผลให้เพลงนี้ดูอบอุ่นและหงอยเหงาระคนกัน

    กลิ่นหอมหวานจางๆของชาอูหลง ผสานกับกลิ่นของขนมที่เพิ่งอบใหม่ๆลอยมากระทบฆานประสาท ระหว่างทางที่เดินผ่านไป หากแต่ความเป็นคิดถึงในบทเพลงกลับมีมากกว่า

    สุดทางเดินในห้องเปิดโล่ง สีขาวโปร่ง ขับกับเปียโนสีขาวที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางห้องนั้นดูโดดเด่นจับตา เบื้องหน้าเปียโนเป็นชายหนุ่มผมสีเงินยวงดุจจันทรา ท่วงท่าที่งดงามราวกับหลุดมาจากภาพเขียน เสริมให้คนมองไม่อาจละสายตาไปได้ปลายนิ้วที่พริ้วไหวนี่เองที่เป็นผู้รังสรรค์ทำนองอันไพเราะราวกับตกอยู่ในภวังค์

    ปั่ก!

    ทันใดนั้นเพลงพลันมาสะดุดลง เหมือนมีกระแสไฟฟ้าไหลเวียนช็อตไปทั่วร่างคนตรงหน้า เธอเองก็สะดุ้งไม่แพ้กัน ก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติ ก่อนจะโค้งตัวพองามเป็นเชิงขอโทษที่มารบกวน แล้วตั้งท่าจะหันหลังกลับไป ยังไม่ทันไรก็มีเสียงมารั้งไว้เสียก่อน

    แพตตี้?

    “...” เด็กสาวที่บังเอิญผ่านมายืนนิ่ง ไม่คิดที่จะขยับขนาดจะก้าวขาออกยังทำไม่ได้เลย เหมือนถูกมนตร์สะกดให้ตรึงไว้ตรงนั้น ชายหนุ่มผวาเข้ามาประคอง ร่างบางกระตุกเบาๆ บ่าสองข้างชักจะเกร็งขึ้น

    ไม่เป็นไรนะ” ชายตรงหน้ายื่นมือมาตบบ่าเบาๆให้หายกังวล

    “...” เธอสูดลมหายใจลึกๆทีหนึ่ง เพราะดูเหมือนจะเป็นลม ก่อนหันหลังมาสบตาให้กับชายหนุ่มผมสีเงินตรงหน้า แวบแรกที่สบตาเรียวงามคู่นั้น กลับเป็นความรู้สึกที่คุ้นเคยเหมือนเคยพบกันมาก่อน ทั้งที่ก็ไม่น่าจะรู้จักกัน


    “...” ร่างสูงโปร่งก้มลงมามอง เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ด้วยสีหน้าที่ไม่อาจเข้าใจได้ วงหน้าได้รูปเขาเบิกตามองราวกับตกใจระคนประหลาดใจในอะไรบางอย่าง

    ฉะ ฉันไม่เป็นไรค่ะ ขอตัวก่อนนะคะไม่ทันที่จะเอี้ยวตัวหลบไปจากโครงหน้าสวยนั้น ขืนอยู่ใกล้มากอาจจะใจละลายได้ เขากลับถือวิสาสะจับมือถือแขนเธอไว้แน่น

    !!!

    คะ?”

    “แพตตี้ จำเราไม่ได้เหรอชายหนุ่มจ้องมองคนตรงหน้าด้วยความแปลกใจ เมื่อเขาเรียกชื่อด้วยท่าทางที่รู้จักกันดี

    “ ? ?? “

    เธอมาอยู่ที่นี่ได้ไงเนี่ยเขาคว้าแขนเธอไว้อีกข้าง จนถูกกุมดังลูกไก่ในกำมือ ความตกใจถึงขนาดสะบัดแขนสองข้างให้ออกจากการพันธนาการ รีบปรี่วิ่งออกไปจากที่ตรงนั้นให้เร็วที่สุด ทิ้งให้ชายหนุ่มส่งสายตาละห้อยมองตามแผ่นหลังของเธอที่วิ่งหนีไปไกลสุดลูกหูลูกตา รอยยิ้มบังเกิดเล็กๆที่ร่องแก้มให้กับความป้ำเป๋อแบบน่ารักๆของเธอ

     

    ในที่สุดเราก็ได้เจอกันแพตตี้....


    ...หลับตาวิ่งไปอย่างไม่คิดชีวิต แล้วชะลอฝีเท้าลง ย้อนกลับมาครุ่นคิดผู้ชายหน้าหวานอีกครั้ง ก็ยังจำไม่ได้ว่าเคยรู้จักกันแน่ๆ ในชีวิตผู้ชายที่รู้จักมีไม่กี่คน หนึ่งในนั้นก็ รัสตี้ ที่พอจะสนิทด้วย แล้วจะมีใครอีกได้ล่ะ ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ให้ตายสิ ! หล่ออันตรายจริงๆ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×