ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ★rhyme lies ทำนองที่ไม่ได้ยิน★

    ลำดับตอนที่ #7 : Chapter VI :: open my heart !?!

    • อัปเดตล่าสุด 5 ต.ค. 59


    -6-



    เมื่อก่อนหญิงสาวได้ใช้ชีวิตเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมาย ปล่อยให้เวลาและโอกาสเป็นตัวกำหนดชะตาของเราเอง เหมือนกับสายลมที่เป็นตัวชี้ทางให้ดอกแดนดิไลออนดอกน้อยจะกำหนดไปในทิศทางใดก็ตาม


    ป๊อก ป๊อก


    เธอหยุดชะงักความคิดไว้เพียงชั่วครู่ แล้วหันไปสบตากับผู้มาเคาะศีรษะเรียกสติให้กลับคืนมา คนๆนี้กำลังยิ้มให้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หรือเป็นแบบนี้ก็นานมากแล้ว ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะทำสีหน้าแบบไหนตอบกลับเขาไปดี


    มีอะไรเหรอ รัสตี้เมื่อคิดดีแล้ว ก็แค่ส่งยิ้มให้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น


    ช่วงนี้เธอเป็นอะไรนี่ เหม่ออยู่เรื่อยเลย พักผ่อนไม่พอเหรอ


    ก็เปล่านี่ หลับสบายดี


    ไม่ต้องคิดมากไปหรอกน่ะ อย่างน้อยเธอก็ยังมีฉัน ...


    “...” เธอแอบขมวดคิ้ว พลางนึกสงสัยในสิ่งที่รัสตี้พูด


    ...ทำไมเดี๋ยวนี้รัสตี้ดูเข้าใจอะไรได้ง่ายกว่าเมื่อก่อนอีกน่ะ ตอนนี้สิ่งที่น่ากลัวที่สุดแล้วก็คือ การสูญเสียเพื่อนคนสำคัญไป แล้วรัสตี้มองออกได้อย่างไรกันว่าตอนนี้เธอรู้สึกอย่างไร ...


    ถึงเธอจะจำเรื่องอะไรไม่ได้ก็ตาม แต่ก็ขอให้เธอทำตัวให้สบายที่สุด ไม่ต้องกลับไปคิดถึงเรื่องอะไรอีกแล้ว เพราะยิ่งคิดกลับยิ่งทำให้ตัวเองแย่ลง ขอให้เธอจำคำพูดของฉันไว้น่ะ แพตตี้รัสตี้ส่งรอยยิ้มที่เหมือนก่อนไม่เคยได้เห็นมาให้ ใช่ๆจริงเขามองออกจริงๆด้วย


    “...” คำพูดของรัสตี้เรียกน้ำตาให้ไหลรินลงอย่างช้าๆ เธอก้มหน้านิ่ง ไม่อยากให้เพื่อนคนนี้เสียความรู้สึกอีกแล้ว ที่ผ่านมาไม่เคยคิดมาก่อนเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะคอยดูฉันขนาดนี้ มีแค่เธอนี่แหละที่ทำตัวเรียกร้องความสนใจจนลืมมองสิ่งที่มีค่ามากกว่า ....นั่นคือความรู้สึกดีๆที่เพื่อนคนหนึ่งมีให้


    ระ รัสตี้


    อืม ...


    ฉันดีใจจริงๆที่ได้รู้จักกับเพื่อนที่ดีอย่างนายน่ะเธอกลืนความรู้สึกขื่นขมลงไป เงยหน้าขึ้นมามองรัสตี้ด้วยแววตาจริงจัง เห็นสายตาเขาดูหมองเล็กน้อย ก็ไม่เข้าใจที่สายตาเขาหมองลงเล็กน้อย แต่เขาก็ยังยิ้มให้บางๆ

     

    ฉันคงต้องไปก่อนน่ะเธอเหลือบมองนาฬกาบนฝาผนังในร้านกาแฟ แล้วก็คิดได้ว่าถึงเวลาที่ต้องไปโรงพยาบาลแล้ว จะต้องคิดหาทางสะสางเรื่องนี้ให้จบลงให้ได้


    เดี๋ยวฉันไปส่งน่ะ จะไปที่ไหนเหรอเธอบอกลาเพื่อน ก่อนที่จะขอถอนตัวออกไป ทว่า...รัสตี้กลับมาคว้าข้อมือฉันไว้ แค่มองยิ้มๆตอบกลับไป พลางส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธในความหวังดีนี้


    “...”


    ทำไมล่ะเธออึกอักจนไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี ได้แต่ก้มหน้านิ่ง


    ขอโทษจริงๆน่ะ


    ในที่สุดก็ต้องเอ่ยคำๆนี้ออกมาจนได้ ไม่อยากจะพูดแบบนี้กับเขาอีกเลย จะรู้สึกถึงการที่ตัวเองทำไม่ดีกับรัสตี้เหมือนที่เคยทำกับมาก่อน แต่เรื่องนี้เธอบอกเขาไม่ได้จริงๆ รัสตี้ ขืนบอกไป เขาอาจจะมองว่าเธอเป็นบ้าเหมือนกับที่คนอื่นๆคิดก็เป็นได้


    “...”


    รัสตี้มองหน้าหญิงสาวที่มีรอยยิ้มผุดขึ้นมากมายอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน กอปรไม่เข้าใจในแววตาที่ยากจะบรรยายได้ราวกับเธอได้พบกับอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอเปลี่ยนแปลงตัวเองขนาดนี้ และยังได้มาเปลี่ยนแปลงหัวใจเขาไปด้วย เขาค่อยๆปล่อยมือเธอให้ไปตามทางที่เธออยากจะไป เขาคงไม่รู้หรอกว่า นับจากที่เขาได้ปล่อยมือนี้ มันคือครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้ครอบครองพื้นที่ในหัวใจดวงนี้

     

    แพตตี้ตัดสินใจออกเดินตามทางของตัวเอง เธอเดินเหม่อลอยจนมาถึงสะพานสีขาวก่อนก้าวข้ามไปยังพื้นที่ที่ทางโรงพยาบาลจัดไว้ให้พักผ่อนตามอัธยาศัยโดยเฉพาะ มันเป็นเหมือนการก้าวข้ามไปยังอีกโลกหนึ่งที่เรียกกันว่า โลกแห่งความฝัน ....มันช่างน่ากลัวเกินไปที่จะหวนกลับมาที่นี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนกับการเสพติด ซึ่งทำให้คนอื่นๆไม่คิดอยากจะเข้าใกล้


    ก่อนที่จะเธอจะคิดก้าวไปยังดินแดนที่เปรียบเสมือนความฝันในโลกแห่งความเป็นจริง เพื่อที่จะไปพบกับผู้ชายที่มีผมสีเงินคนหนึ่ง มีแววตาที่อ่อนโยนครั้นเมื่อเล่นเปียโน เธอชอบที่จะฟังเสียงเปียโนของเขา แต่ตอนนี้พอเธอฟังเสียงนั้นด้วยความรู้สึกเดิมๆไม่ได้อีกแล้ว เธอชะงักความคิดนั้นเพียงชั่ววูบก่อนจะหันหลังกลับไปบริเวณตึกหน้าโรงพยาบาลอีกครั้ง


    ทางเดินของโรงพยาบาลแห่งนี้เลี้ยววนไปวนมา และมีทางแยกเชื่อมโยงตึกต่างๆไว้มากมาย แต่เธอกลับเดินตรงลิ่วไปยังจุดหมายปลายทางอย่างไม่กลัวที่จะหลงเลย สองเท้าเดินเลี้ยวลัดแยกต่างๆไปอย่างชำนาญทางราวกับเคยมามาก่อน และไม่คิดที่จะถามทางด้วย และแล้วความรู้สึกก็นำพามาหยุดอยู่ที่หน้าห้องๆหนึ่งที่ไม่รู้ว่าคือห้องอะไร เธอจึงถือวิสาสะเข้าไปโดยพลการ


    “...” เธอพูดอะไรไม่ออก ภายในห้องมันเย็นยะเยือกจนต้องยกมือขึ้นมากอดตัวเองไว้ สายอะไรต่ออะไรระโยงระยางไปรอบๆเตียงผู้ป่วยที่นอนหลับใหลโดยมีเครื่องช่วยหายใจครอบไว้อยู่ อัตราการเต้นของหัวใจตอนนี้ราบเรียบจนน่าตกใจ เธอเอื้อมมือไปสัมผัสร่างที่เย็นเฉียบราวกับถูกแช่อยู่ในตู้เย็น ทันทีที่สัมผัสร่างน้ำตาก็ไหลริน จนต้องยกมือนั้นขึ้นมาทาบใบหน้าที่ชุ่มแฉะไปด้วยน้ำตา


    ในที่สุด ฉันก็ได้พบกับเธอจนได้น่ะ ...เธอได้ยินฉันไหม ถ้าได้ยินโปรดฟื้นขึ้นมาเถอะน่ะ ไม่อย่างนั้นเธอจะต้องตายจริงๆน่ะ กุญแจซอลประตูถูกเปิดออกพรวดพราด เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเข้ามาขับไล่ให้หญิงสาวแปลกดหน้าออกไป ทั้งดึง ทั้งทึ้ง แล้วเขาก็เข้าไปต่อว่าเจ้าหน้าที่ที่มีตำแหน่งต่ำกว่า


    ทำไมพวกคุณถึงได้ปล่อยให้มีคนเข้ามาในห้องนี้ได้ล่ะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับลูกชายของเขา พวกเราไม่แย่หรอกหรือหัวหน้าเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลคนนั้นตะคอกเสียงใส่พนักงานคนอื่นๆ พวกเขาเหล่านั้นจึงได้มาพาหญิงสาวออกไปอย่างไม่ปรานี คำโอดครวญของเธอเลย


    เมื่อเจ้าหน้าที่ได้จัดการส่งเธอออกไปข้างนอกห้องได้แล้ว ก็กลับเข้าไปในห้องโดยล็อคประตูจากด้านในไว้ สุรเสียงที่ตะเบ็งแข่งกันได้สร้างความประหลาดใจอย่างมาก เมื่อเขาพรวดพราดออกมา จับตัวเธอเอาไว้ด้วยท่อนแขนที่แข็งแรง มันแรงและแน่นมาก จนทำให้แขนสองข้างเจ็บระบมไปหมด


    เธอไปทำอะไรกับศพนั่นน่ะ


    เขายังไม่ตายซ่ะหน่อย พวกแกอย่ามาทำเป็นว่าเขาตายไปแล้วน่ะแพตตี้สะบัดท่อนแขนจากการจับกุม และรู้สึกขุ่นเคือง เจ้าหน้าที่ที่ไร้มารยาทพวกนี้มาก แต่เธอไม่อยากจะพูดอะไรกับคนพวกนี้มากนัก พลางเอามือลูบๆคลำๆท่อนแขนที่แดงเพราะถูกบีบรัดอย่างแรง


    “...” เธอจ้องหน้าพวกเขานิ่งอย่างไม่ยอมแพ้ รู้สึกเลือดขึ้นหน้า จนอยากจะจับพวกคนข้างหน้ามาขยำ สักพักก็มีเสียงเจ้าหน้าที่สาวคนหนึ่งโวยวายออกมาลั่นด้วยความตกใจ ราวกับได้เห็นสิ่งแปลกประหลาด


    หัวหน้าค่ะ ร่างนั่นอยู่ๆดีก็อุ่นขึ้นมาค่ะ หัวใจก็เต้นแรงขึ้นด้วย


    ว่าไงน่ะ ก็รีบไปตามหมอมาเร็วสิ มัวชักช้าอยู่ได้คนเป็นหัวหน้ารีบสั่งพยาบาลสาวอย่างไม่รีรอ


    ค่ะๆพยาบาลสาวรับคำ แล้วก็รีบวิ่งแจ้นออกไป เหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่ยากจะอธิบายนี้ สร้างความปั่นป่วนและวุ่นวายไปทั้งโรงพยาบาล จากนั้นพวกเขาก็ไม่มาวุ่นวายกับเธออีก แพตตี้จึงคิดที่จะเดินกลับไปที่สะพานขาวนั่นด้วยใจที่เต้นถี่ ราวกับหัวใจได้หลุดออกมา

     

    กุญแจซอลมารออยู่ที่ห้องเปียโนสีขาวนี้เกือบทุกวัน เขาจะมานั่งบรรเลงเปียโน ทำนองหวานๆให้ได้ฟังทุกวัน และก็พร่ำบ่นเหมือนคนแก่ที่หงุดหงิดตลอดเมื่อแพตตี้มาสาย


    ยัยบ้า ไหนเธอบอกจะมาตรงเวลาแล้วไง นี่สายไปเกือบชั่วโมงแล้วน่ะ ...เธอเป็นคนบอกเองไม่ให้ฉันไปไหน แต่เป็นเธอเองที่หายไปเองเนี่ยน่ะกุญแจซอลมักจะทำหน้าเคืองๆ งอนๆ ใส่หญิงสาวเป็นประจำ แต่ท่าทางแบบนี้ของเขาก็น่ารักดีน่ะ


    “...”


    ยิ้มอะไร เธอนี่น่ะ ได้สำนึกผิดบ้างไหมเนี่ยกุญแจซอลได้เดินเข้ามาดีดหน้าผากทีนึง ก่อนจะได้ถือวิสาสะจูงมือบอบบางออกไปยังหน้าประตู


    เอ๊ะ ...นายจะไปไหนนะกุญแจซอลแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน  ทั้งดึง ทั้งทึ้ง เธอได้แต่ปล่อยให้ร่างสูงใหญ่พาร่างบางเล็กไป เราทั้งสองต่างเดินเคียงข้างกันมาจนถึงสะพานสีขาวทางเชื่อมโลกของสองเรา เธอชะงักจังหวะการก้าวเดิน จนคนข้างๆรู้สึกได้ หันมามองแล้วคิดที่จะเดินต่อไป ไม่หยุดยั้ง


    “...”


    ออกไปเดินเล่นข้างนอกกันบ้างเหอะ อยู่ในนี้นานๆไม่เบื่อบ้างหรือไงแล้วคนทั้งคู่ก็ได้เดินออกมานอกโรงพยาบาล ไปตามฟุตบาทริมถนน เสียงคนจอกแจกจอแจ บ้างก็หันมามองเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินไปยิ้มไปอยู่คนเดียว แต่เธอไม่สนใจหรอก ขอแค่มีความสุขกับสิ่งที่คนอื่นอาจจะมองไม่เห็น แต่มีแค่เรามองเห็นคนเดียวน่าจะพอแล้วนี่


    เสียงคีย์บอร์ดดังมาจากวณิพกพเนจรแว่วเข้ามาทำให้จิตใจได้รู้สึกผ่อนคลายจากสายตาที่ไม่ปกติ และเสียงที่ไม่ชอบมาพากล กลิ่นหอมอ่อนๆของกาแฟ และขนมอบจากร้านที่เดินผ่านได้โชยมาแตะฆานประสาทยั่วให้น้ำลายสอ


    น้ำลายไหลแล้ว ฮ่าๆๆแล้วคนข้างๆก็แกล้งทำเป็นใช้มือเช็ดที่ริมฝีปากบางเฉียบ จนเธอรู้สึกเขินอายจนหน้าแดงเป็นลูกตำลึง


    ...เมืองนี้มันโรแมนติกขนาดนี้เลยเหรอ หรือว่าจะเป็นเพราะคนข้างๆมากกว่าล่ะมั้ง...


    ขอแวะซื้อน้ำผลไม้ดื่มหน่อยน่ะ รู้สึกคอแห้งแพตตี้เบนกายไปที่ร้านน้ำผลไม้ปั่นริมถนน เพื่อหลบหลีกใบหน้าที่แดงระเรื่อ และหัวใจที่เต้นถี่รัว พอเธอเดินดูดน้ำกลับมา กุญแจซอลก็มองมายิ้มๆ


    ขอดื่มด้วยได้ไหมแทบจะสำลักน้ำในบัดดล แต่ก็ได้ยื่นแก้วน้ำส่งไปให้ เขาไม่คิดที่จะรับแต่ก้มคอมาดูดน้ำจากในมือ คราวนี้หน้าเปลี่ยนจากแดงชมพูเป็นแดงก่ำเหมือนกับสัญญาณไฟจราจรที่เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีแดง


    ...นี่มันจูบทางอ้อมนี่นา...


    คนถูกมองค้อนยิ้มพราย เมื่อเงยหน้ามาสบตากับฉันที่ลอยตามองเขาอยู่เช่นกัน


    ไม่ดื่มแล้วเหรอ ฉันเพิ่งดูดไปนิดเดียวเองน่ะ ไม่หมดง่ายๆหรอกกุญแจซอลพูดยั่วอารมณ์ ด้วยแววตาเจ้าเล่ห์


    “...” เธอพูดไม่ออกจริงๆ นี่เขาจงใจยั่วเธอล่ะสิท่า เธอพร่ำบ่นในใจ แล้วก็ปฎิเสธไม่ได้ที่จะก้มลงดูดน้ำผลไม้ในมือไปอีก โดยทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาอะไร ก่อนจะเดินนำหน้าชายหนุ่มไปก่อน


    นี่มัน แอบจูบนี่เธอถึงกับพุ่งน้ำผลไม้ออกไป โชคดีว่าไม่มีคนเดินมาผ่านแถวนั้น แล้วคนข้างหลังก็หัวเราะร่า เดินนำหน้าเธอไปด้วยความสบายใจ ปล่อยให้เธอยืนเช็ดน้ำผลไม้ที่ปากก่อนจะก้าวฉับๆตามเขาไป


    ทั้งสองได้เดินถกเถียงกันที่มีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะมาตลอดทาง จนถึงหน้าตึกสูงสีขาวสไตล์ยุโรป ซึ่งดูคล้ายพระราชวังโบราณมากกว่า เธอรู้สึกตื่นตาตื่นใจ ไม่คิดมาก่อนว่าจะมีสถานที่แห่งนี้อยู่ใจกลางเมืองหลวงด้วย


    ใหญ่โตรโหฐานมากอ่ะ ที่นี่คือ ...


    พิพิธภัณฑ์น่ะ เข้าไปดูกันเถอะว่าแล้วคนพูดจบก็เดินนำเข้าไปข้างใน ที่ไม่เสียเงินค่าเข้าเหมือนกับพิพิธภัณฑ์ที่อื่นๆ


    ทันที่ย่างเท้าเข้าไป กลิ่นหอมอ่อนๆได้โชยออกมาจากภาพวาดที่รังสรรค์มาจากเทคโนโลยีที่ทันสมัยในปัจจุบัน รอบๆผนังเป็นแก้วคริสตัลใสเหมือนกระจกติดไว้รอบๆ มองเห็นทิวทัศน์ของนอกได้อย่างแจ่มชัด แต่น่าแปลกที่ข้างนอกพอมองมาข้างในแล้วกลับเป็นผนังโบกปูนธรรมดา เธอเดินดูกันไปทีละภาพอย่างตื่นตาตื่นใจ แต่ละภาพลงสีน้ำละเมียดละไม งดงามมากราวกับมีชีวิตทุกภาพ


    แดนดิไลออน ...ดอกไม้แห่งความหวังแพตตี้เหม่อมองหญิงสาวคนหนึ่งในภาพวาดที่ดึงดูดสายตาฉัน จนต้องเดินเข้าไปดูใกล้ๆ แล้วก็พึมพำคำพูดที่อยู่ในหัวออกมา


    “...”


    ...ผู้หญิงสาวผมยาว สวมชุดเดรสสีขาว เหม่อมองไปอย่างไร้จุดหมายท่ามกลางกลีบดอกไม้สีขาวที่บานสะพรั่ง  ดอกแดนดิไลออนดอกน้อยปลิวฟุ้งไปในทิศทางเดียวกัน เหมือนกับสายฝน ช่างเหมือนกับความรู้สึกในตอนนี้เสียเหลือเกิน...


    นายรู้ไหม ขนาดดอกไม้ยังมีความหมายสื่อให้รู้มาเป็นนัยๆ แล้วฉันจะมีค่าอะไรเทียบเท่ากับดอกไม้พวกนี้ได้ไหมน่ะแพตตี้เอ่ยเสียงแผ่วออกมาเศร้าๆ


    เธอมีค่าอยู่ในตัวเองที่เธออาจจะยังไม่เห็น อย่างน้อย....ก็ในใจฉันกุญแจซอลเอ่ยแทรกออกมายิ้มๆ โดยลดเสียงลงตรงคำพูดสุดท้าย ทำให้เธอได้ยินไม่ถนัดนักจึงถามเขาไปอีกที


    เมื่อกี้นี้นายบอกว่าอะไรนะ


    หือ? เปล่านี่เห็นชัดๆว่าเขาแกล้งทำเป็นไม่ได้พูดอะไร


    “...”


    ก็แค่ลองเปิดใจตัวเองออกมาสิ แล้วเธอจะพบกับคำตอบเมื่อครู่หญิงสาววัยแรกแย้มครุ่นคิดในสิ่งที่เขาบอกไป พลางเดินชมภาพศิลปะกันไปอย่างเพลิดเพลิน จนตะวันเริ่มคล้อย แสงสีทองทอประกายทะลุกระจกมา ขณะที่พวกเรามาหยุดอยู่ที่บันไดทางลงสู่ใจกลางของตัวอาคาร


    นายนี่ก็รู้ดีเหมือนกันน่ะ มาบ่อยล่ะสิท่าแพตตี้แอบแซวความเชี่ยวชาญในประวัติศาสตร์ภาพเขียนที่เขาอธิบายมา และชำนาญเส้นทางที่เลี้ยวลดภายในตัวพิพิธภัณฑ์นี้


    อืม ...เมื่อก่อนมีคนพามาน่ะกุญแจซอลพูดยิ้มๆ แล้วก็เหม่อมองภาพเขียนภาพสุดท้ายที่ค่อยๆเลือนหายไป เปลี่ยนให้เป็นผืนผ้าสีดำที่มีดวงดาวเปล่งประกายระยิบระยับเต็มท้องฟ้า เธอยืนมองดวงดาวจนไม่ทันสังเกตุไปว่า ชายหนุ่มเดินเข้ามาประชิดตัว พลางยื่นหน้าเข้ามามองใกล้ๆ ภาพในดวงตาเขาเป็นภาพเธอที่ยืนนิ่งๆ แทบจะไม่หายใจ มีเพียงลมหายใจอุ่นๆของเขารดหน้าแผ่วเบา โครงหน้าของเขายิ่งมองในระยะใกล้ ยิ่งทำให้คนมองลุ่มหลง มิน่าล่ะ....พยาบาลสาวๆพวกนั้นถึงทำท่ากรี๊ดกร๊าดเขากันจัง แพตตี้ยืนแข็งเหมือนกับรูปปั้นตรงหน้าทางเข้า-ออก ไม่คิดที่จะขยับราวกับถูกมนตร์ตรึงสะกดไว้อยู่อย่างนั้น


    กุญแจซอลเอื้อมมือมาสัมผัสริมฝีปากบางเธอแผ่วเบา มันนุ่มนวลมากเสียจนเคลิบเคลิ้ม


    งดงาม ...งดงามมากจริงๆ ภาพเขียนตรงหน้าฉันเนี่ย จะมีสักวันไหมที่ฉันจะได้ครอบครองภาพๆนี้ชายหนุ่มเบื้องหน้าเอ่ยออกมาด้วยแววตาเศร้าๆ ไม่ติดตลกอีกต่อไป


    “...”


    ...ไม่นานเกินรอหรอก กุญแจซอล ที่เขาจะตื่นขึ้นมาแล้วยืนอยู่ข้างๆเธอจริงๆ...
    ชายหนุ่มกุมมือหญิงสาวพาเธอมาส่งที่สถานีรถไฟใต้ดิน พอลงบันไดเลื่อนที่ทอดยาวลงไป พลางหญิงสาวหันกลับมามองส่งชายหนุ่มที่ยืนยิ้มส่งมาจนลับสายตาไป

     

    ทำลายกำแพงที่กั้นตัวเธอกับคนอื่น เปิดใจตัวเอง ...แล้วยอมรับความจริงกับมันซ่ะ !!!  


    คำพูดที่เหมือนกับคำสั่งนี้ แพตตี้หลับตาคิ้วขมวดกับสิ่งที่กุญแจซอลได้บอกกับเธอไว้ พอตื่นขึ้นมาก็รู้สึกมึนๆ แล้วก็มาอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลแล้ว แสงสีขาวจากหลอดนีออนส่องมากระทบพอให้รู้สึกแสบตา ก่อนค่อยๆลืมตามองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่งุนงง เมื่อกี้นี้ไม่ได้เพิ่งกลับมาจากพิพิธภัณฑ์เหรอ


    ฝันเหรอคำแรกที่เอ่ยมันออกมาอย่างยากลำบาก เสียงแหบแห้งจนต้องเอื้อมมือไปหยิบน้ำจากข้างเตียงมาดื่มอึกๆ


    ลูกไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะคุณแม่มาด้วยสีหน้าผ่อนคลายลง


    ทำไมหนูถึงได้มาอยู่ที่นี่แพตตี้ถามกลับด้วยสายตาที่เลื่อนลอย พลางเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ได้ยินเสียงกระดิ่งลมแว่วมาขับคลอกับเสียงทำนองที่คุ้นเคย รีบดีดตัวขึ้นมา แทบจะลอยตัวออกจากเตียงตรงไปยังสะพานขาวทันที


    นั่นลูกจะไปไหนอีกจ๊ะ พอลูกกลับมาถึงบ้าน ลูกก็เป็นลมล้มพับไปเลย แม่ก็เลยต้องรีบพาลูกมาส่งที่โรงพยาบาลก่อน หมอบอกว่าลูกแค่เป็นโรคโลหิตจาง ช่วงนี้ดูเหนื่อยๆใช่ไหม ยังไงก็พักสักหน่อยดีกว่านะ อย่าไปไหนอีกเลย


    ไม่ได้หรอกค่ะ มีคนรอหนูอยู่ ...แพตตี้เผลอหลุดคำพูดนั้นออกไป จึงรีบปิดปากตัวเองหมับ ทำให้สีหน้าแม่ยิ่งดูไม่สู้ดี เอ่ยเสียงหายๆขาดๆออกมา รู้สึกกังวลใจกับสิ่งที่คิดมาตลอด และหวังว่ามันคงจะไม่เกิดขึ้นนะ


    คนที่ว่า กุญแจซอล เหรอ


    “...” เธอนิ่ง นึกไม่ถึงว่าแม่จะรู้ว่าสาเหตุที่ตัวเธอหายไปทุกวัน และอาการคล้ายคนพร่ำเพ้อ แทบสิ้นสติ เหมือนคนประสาทหลอน ทั้งๆที่ก็ไม่ได้เห็นภาพหลอนน่ะ ...ภาพที่เห็นมันเป็นเรื่องจริง ที่แค่คนทั่วไปไม่สามารถมองเห็นได้เท่านั้นเอง

     

    สิ่งที่รู้สึกสัมผัสได้ แต่มองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า หรือรับรู้ได้ด้วยเสียง ...


    อย่าไปหาเขาอีกเลยน่ะลูก เขาอาจจะเป็นอันตรายต่อตัวลูกเองน่ะที่แม่พูดก็เพราะเป็นห่วง ถึงวิญญาณ์พเนจรที่มีอยู่เต็มโรงพยาบาลจะมากร้ำกรายจากการที่แม่อุตส่าห์ไปจ้างหมอผีมาด้วย ผู้ชายที่ท่าทางประหลาดๆ ห้อยพระเครื่องเต็มเนื้อเต็มตัวไปหมด สวมเสื้อผ้าเหมือนพ่อมดหมอผีที่เห็นครั้งนั้น บอกแม่ว่าเขารู้สึกมีวิญญาณ์อยู่รอบๆตัวเธอ ทั้งตรวจด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันที่ล้ำสมัย ที่อาจจะไม่ได้ผลเพียงพอต้องหันไปพึ่งไสยศาสตร์ ที่ว่าด้วยเรื่องของความเชื่อ แต่เมื่อนำผลมารวมๆกันแล้ว ต่างฝ่ายต่างก็เสรุปว่าเด็กสาวมีสติฟั่นเฟือน ที่พูดๆมาก็แค่ข้ออ้างเท่านั่นแหละ


    “...”


    และอีกอย่าง เขาจะไม่อยู่ที่นี่อีกแล้วแม่ค่อยๆเรียงลำดับเหตุการณ์ที่หมอสุกฤษฎ์ได้พูดไว้ 


    ไม่นะคะ ...ไม่นานหรอกค่ะที่เขาจะฟื้นขึ้นมา หนูเชื่ออย่างนั้น


    ลูกรู้จักเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กันจ๊ะแม่เอ่ยถามเสียงราบเรียบ ทั้งที่ในดวงตาของแม่กลับกระวนกระวายยิ่งนัก


    เมื่อกี้นี้ได้ยินเสียงเปียโนไหมล่ะค่ะทำนองเพลงที่แว่วมาจากปลายสะพานสีขาว ทำให้เธอเอื้อนเอ่ยตอบออกมาอย่างล่องลอย


    แม่ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยจ๊ะ ลูกเหนื่อยมากแล้วล่ะ นอนพักผ่อนเถอะน่ะจ๊ะแม่ตัดบท ไม่อยากจะทนฟังสิ่งที่ลูกสาวพร่ำเพ้อ ยิ่งฟังก็ยิ่งเครียด แม่ค่อยจับเธอนอนลง ห่มผ้าให้ก่อนจะยืนมองลูกสาว ด้วยความรู้สึกที่คลุมเครือ  เด็กสาวบนเตียงนอนตะแคงน้ำตาเอ่อคลอไหลรินรดหมอน เธอดึงผ้าห่มมาคลุมหน้าจนมิด ไม่อยากที่จะรับรู้อะไรทั้งสิ้น


    ...ขนาดแม่ยังไม่เชื่อเลย แล้วจะให้ใครเชื่อได้ล่ะ เขาพูดผิดแล้วล่ะ ที่จะให้เธอเปิดใจน่ะ...


    ออกไปเถอะค่ะ หนูจะนอนแล้ว


    จ๊ะๆ พักผ่อนมากๆนะลูก มีอะไรก็เรียกแม่น่ะแม่ถอนหายใจเบาๆ แล้วค่อยๆก้าวออกนอกห้องไปเงียบๆ ทิ้งให้เธอส่งเสียงสะอื้นอยู่ในห้องตามลำพังอยู่ชั่วครู่

       

    มือน้อยๆปาดน้ำตา พร้อมๆกับสะบัดผ้าห่มทิ้ง พลางเด้งตัวออกจากเตียง ค่อยๆย่องไปที่ประตู ทว่า...กลับเปิดไม่ออก แพตตี้ถูกขังอยู่ในห้องปิดตายเสียแล้ว ทั้งประตู หน้าต่าง ไม่มีทางไหนที่จะหนีออกไปได้เลย


    โหดร้ายจัง ไม่คิดที่จะให้ออกไปไหนเลยเหรอ ไม่ได้น่ะ ...ฉันต้องไปหาตัวซอลนะ เขารอฉันอยู่เธอนั่งทรุดตัวลงไปที่พื้นอย่างหมดหวังอยู่ที่ตรงประตู แอบได้ยินเสียงคนพูดคุยกันอยู่อีกฝั่งหนึ่งของประตู


    ยังไงก็ต้องทำแบบนี้ล่ะครับ


    แล้วจะยิ่งไม่ทำให้เขายิ่งอาการหนักหรือค่ะ


    ไม่น่าจะน่ะครับ ถ้าเราไม่ปล่อยให้เขาเป็นอิสระทางความคิดมากเกินไป แล้วให้เขาค่อยๆสงบสติอารมณ์อยู่แต่ในห้อง ก็อาจจะทำให้อาการค่อยๆดีขึ้นไปเอง


    ค่ะๆคุณแม่รับทราบ ก่อนจะเดินไปคุยไปกับคุณหมอสุกฤษฎ์ตามโถงยาว เสียงจากภายนอกค่อยๆเงียบลง คงมีแต่เสียงจากภายในที่ร่ำร้องไม่รู้จักจบสิ้น 


    ...บ้าชะมัด แล้วจากนี้ไปฉันจะต้องทำอย่างไรต่อไปเนี่ย ในเมื่อเป็นแบบนี้ กุญแจซอลอธิบายมาให้เข้าใจหน่อยได้ไหม...         

     


        

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×