คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : chapter V :: You are no dreamer
-5-
เราทุกคนต่างมีโลกเป็นของตัวเอง
เธอมีโลกของเธอ ...ส่วนผมเองก็มีโลกของผมเช่นกัน
แต่ในบางทีผมก็อยากจะเห็นนะว่าโลกของเธอเป็นแบบไหน
ต่างกับโลกของผมมากน้อยแค่ไหน
เราชอบอะไรเหมือนกันไหม จะได้เป็นข้ออ้างให้ผมได้มาพบกับเธอไง
แต่ดูเหมือนว่าผมจะทำได้ไม่ค่อยดีนะ
เพราะราวกับมีกำแพงใสๆมากั้นกลางระหว่างเรา
"...จะมีไหมสักวัน ที่ผมได้เข้าไปใกล้ๆกับโลกของเธออีกสักนิด
ได้มากกว่าที่ผมแค่ยืนมองจากตรงนี้..."
เมื่อมือสะดุดกึกกับโน้ตตัวสุดท้ายได้ถูกบรรเลงสิ้นสุดลง
ร่างโปร่งใสของชายหนุ่มผมสีเงินก็ได้ค่อยๆจางจนหายไปในที่สุด ถูกทิ้งไว้เพียงเปียโนสีขาวตามลำพัง
แพตตี้ลืมตาขึ้นอีกครั้ง พื้นปาร์เกต์สีน้ำตาลทองสะท้อนกับแสงอาทิตย์
ส่องประกายเงางาม
ก็ไม่อาจเทียบกับแสงออโรร่าที่ส่องมาจากประกายผมสีเงินอร่ามของชายหนุ่ม
ที่กำลังบรรเลงเพลงที่ไม่มีวันจบอยู่เบื้องหน้าเปียโนสีขาวเลื่อมทอง
เสียงแว่วกังวานไปทั่ว แต่ไฉนกลับไม่มีใครจะได้ยินทำนองเพลงนี้ได้
“เอ่อ
สวัสดีครับ” กุญแจซอลเอ่ยทักขณะลงมือที่ตัวโน้ตตัวสุดท้ายจบลง
เธอยังคงเอนกายพิงเขา ยังคงไม่คิดที่จะตอบเขา
รู้สึกท่วงทำนองเพลงหวานนั้นยังตราตรึงหัวใจดวงนี้ราวกับเป็นโซ่มาพันธนาการเอาไว้
ชายหนุ่มยิ้มราบเรียบก่อนที่จะบรรเลงเพลงต่อไปอย่างไม่รู้จบ
...คำพูดชวนฉงนครั้งนั้นของเขา ทำเอาหัวใจเต้นระรัว
ความเสียดายสุดซึ้งแล่นเข้ามาเกาะกุมจิตใจ เกิดความรู้สึกที่ว่าไม่อยากจากเขาไปเลย
ต้องหาทางทำอะไรสักอย่างเสียแล้ว ....
“เอาไว้เจอกันพรุ่งนี้นะครับ
ที่รัก” หญิงสาวสะดุ้งตัวจากการพิงไหล่ชายหนุ่ม
หันมาสบตากับเขานิ่ง
รู้สึกกาลเวลาได้หยุดเอาไว้เหมือนกับได้ก้าวข้ามสะพานแห่งความฝันมา
สะพานสีขาวที่เธอกำลังจะก้าวออกไปนี่แหละ
มันคือทางเชื่อมให้เธอได้เดินทางมาพบกับเขา
ดวงตารีเรียวเหลือบมองเงาอะไรบางอย่างที่วูบไหวอยู่ท่ามกลางความมืดในเวลาสายัณห์
คนถูกแอบมองคล้ายรู้สึกตัว หันกายหายไปเหมือนกับว่าไม่เคยมีอะไรอยู่ตรงนั้นแต่แรก
“อะไรน่ะ
...น่ากลัวแห่ะ โรงพยาบาลตอนพลบค่ำแบบนี้ รีบกลับดีกว่า” เธอรีบสาวเท้าฉับๆออกจากบริเวณนี้ไป
โดยไม่รู้ว่า จะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับตัวเธอนับจากนี้ ....
พอกลับถึงบ้าน ก็นั่งเหม่อลอยอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือริมหน้าต่างห้องนอนของตัวเอง
เปิดหน้าต่างให้ลมสายัณห์โชยมาเบาๆ แทนที่จะเปิดเครื่องปรับอากาศ
คิดอะไรเรื่อยเปื่อย คิดถึงเขา คิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี
จนไม่ทันสังเกตุไปถึงการมีใครคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างๆเธอแล้ว
“แพตตี้
...” เสียงที่พร่ำเรียกเธอมาหลายๆสิบเที่ยว
แต่ก็หาปลุกให้หญิงสาวตื่นจากภวังค์หวาน
ราวกับตกหลุมในห้วงแห่งความรักอย่างไรอย่างนั้น คิดจะกู้ก็กู้ไม่กลับ
คิดจะรักก็เจ็บปวดใจ
กลัวว่าจะเหมือนกับการแอบรักที่เธอเคยส่งความรู้สึกให้กับรัสตี้
เพื่อนชายคนสนิทแล้วมันไม่เวิร์คเท่าที่ควรจะเป็น
เธอก็เลยคิดว่าจะขอเก็บความรู้สึกนี้ไว้ดีกว่า
“...”
“แพตตี้
ลูกกลับมาแล้วเหรอจ๊ะ” คราวนี้เธอสะดุ้งเฮือก
หันกลับไปมองหน้าคุณแม่อย่างงุนงง
“อ้าว
แม่มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ไม่ให้สุ่มให้เสียงกันเลยน่ะ”
“แม่เรียกลูกให้ลงไปทานข้าวตั้งหลายรอบแล้ว
แต่ลูกเหมือนไม่ได้ยิน แม่ก็เลยต้องมาตามลูกอย่างนี้แหละจ๊ะ” สายตาคุณแม่ที่มองมาหวาดระแวงในพฤติกรรมของลูกสาว
และยิ่งได้ยินข่าวลือมาจากโรงพยาบาลด้วยแล้ว ยิ่งหวั่นใจนัก
“อ่อเหรอค่ะ”
เธอยิ้มแห้งๆ ให้แม่ แล้วลุกออกจากโต๊ะ เดินไปอย่างคนใช้ความคิด
แต่เป็นความคิดที่เหมือนคนไร้สติ ล่องลอยเหมือนกับไม่ได้คิด
“...” คุณแม่มองตามหลังมา รู้สึกคลางแคลงใจอย่างบอกไม่ถูก
กังวลจนต้องโทรไปปรึกษาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง
แล้วคุณแม่ก็ได้รับคำตอบจนแทบจะเป็นลมล้มพับไปอยู่ตรงนั้น
คุณแม่นั่งพักอยู่ในโซฟาห้องรับแขกสงบสติอารมณ์ชั่วครู่ จนคนในบ้านอดไม่ได้ที่จะเข้าไปไถ่ถามคุณแม่
ส่วนเธอกลับไม่ได้ที่จะเอะใจอะไร ยังคงค่อยๆตักข้าวใส่ปากทีละคำๆ
ทั้งที่ในหัวกลับมีความคิดโลดแล่นอยู่เต็มไปหมด
“...”
“หา แพตตี้นะเหรอ มีสติฟั่นเฟือน” คุณพ่ออดไม่ได้ที่จะแปลกใจ ตอนแรกนึกว่าลูกสาวอาการปกติดีขึ้นแล้ว แค่จำอะไรไม่ได้นิดๆหน่อยๆ ค่อยๆปลอบโยนคุณแม่ที่สีหน้าไม่สู้ดีมากนัก หน้าซีดเป็นไก่ถูกต้ม
“ค่ะคุณ ตอนนั้นฉันสงสัยอาการของลูกที่มักจะเหม่อลอยกลับมาบ้านบ่อยๆ ตอนแรกลูกก็บอกว่าจะไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนๆ ไอ้เราก็ไม่ได้เอะใจอะไร แต่ผลกลับเป็นว่า ...
”
“เป็นว่าอะไรหรือคุณ
รีบเล่ามาให้จบสิ” คุณพ่อใจร้อน รีบเร่งให้คุณแม่ที่มือสั่น
ปากสั่นเกินกว่าที่จะพูดอะไรได้
“เมื่อกี้คุณหมอสุกฤษฎิ์
ที่รักษาลูกเรา เขาโทรมาบอกว่า ...ลูกเรามีอาการอย่างนั้นค่ะ” คุณแม่เอนกายพิงคุณพ่อ
ตัวอ่อนยวบด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจจะต้านทานไว้ได้อีกแล้ว
“แล้วหมอเขาแน่ใจได้อย่างไรว่าลูกเราเป็นแบบนั้น”
คุณพ่อยังไม่ถอดใจเชื่อคุณแม่เต็มร้อย
ยังพอรู้สึกว่าน่าจะมีหวังอยู่ริบหรี่บ้างน่ะ
“ขะ
เขาบอกว่า เขาเห็นลูกเราไปโรงพยาบาลทุกวันเลยค่ะ”
“...แกไปทำอะไรที่นั่น”
“แกมักจะไปนั่งใจลอย
หรือไม่ก็พูดอยู่คนเดียว เขาบอกว่ามีคนเห็นแกทำแบบนี้ค่ะ
วันนี้ก็เลยลอบไปแอบจับสังเกตุ ปรากฎว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ” คราวนี้คุณพ่อนั่งนิ่ง
ไม่มีทีท่าว่าจะพูดปกป้องลูกได้อีกแล้ว
แต่คุณพ่อก็ยังฝืนใจพูดคำถามที่ค้างคาไว้อีกได้
“แล้วลูกเราไปทำอะไรที่โรงพยาบาลล่ะ”
“...เรื่องนี้ฉันก็ไม่ทราบค่ะ แต่พอโทรไปหาปันหยี เพื่อนลูกสาวเรา เขาก็บอกว่าช่วงนี้ไม่ค่อยได้ไปไหนกับแพตตี้”
ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ต่างนั่งกันนิ่งเงียบภายในห้อง และมองตามซอกประตูที่ถูกเปิดค้างไว้
เห็นลูกสาวสุดที่รักที่กินข้าวเพิ่งเสร็จ
ค่อยๆย่างเดินขึ้นห้องของตัวเองไปอย่างไม่รู้สึกตัวราวกับคนถูกสะกดจิตอย่างไรอย่างนั้น
เพียงแค่ก้าวข้ามผ่านสะพานไป ก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองได้หลุดมาอีกโลกหนึ่ง ซึ่งเป็นโลกที่งดงามราวกับเทพนิยายทั้งๆที่มันก็คือตึกหลังของโรงพยาบาล ที่เป็นที่เอาไว้ให้ญาติผู้ป่วย หรือผู้ป่วยมาเดินเล่น พักผ่อนกายให้รู้สึกสบายใจ ไปกับสวนที่ถูกออกแบบมาสไตล์ปราสาทตะวันตกโบราณ ที่มีความทันสมัย
ถนนที่ทอดยาวสะอาดสะอ้าน ริมทางใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีเป็นเฉดต่างๆแล้ว
อากาศเริ่มเย็นนิดๆ แต่ก็เจือไปด้วยกลิ่นอายสดชื่นบริสุทธิ์ดุจน้ำค้างยามเช้า
หญิงสาวรู้สึกได้ถึงความไม่ปกติของตัวเอง ใจสั่น ตื่นเต้น จิตใจว่อกแว่ก ดูไม่ปกติ
...บ้าน่า เหมือนอะไรบางอย่างคืบคลานเข้ามาใกล้ๆ...
“กุญแจซอลเหรอ?”
(ถ้าอยู่ก็ช่วยส่งเสียงตอบกลับมาด้วยได้ไหม ถึงจะไม่มีใครได้ยินเสียงเธอ
แต่ฉันได้ยินเสียงเธอชัดเจนน่ะ เมื่อคืนนี้ฉันคิดมาแล้วน่ะ
ว่าจะทำอย่างไรให้ช่วยเธอได้ ก่อนอื่นฉันจะต้อง ...)
เสียงในใจของเธอพรั่งพรูคำพูดออกมาดังก้องไปทั่วห้องโถง ราวกับอยากให้เขาได้ยินเสียงๆนี้
ทว่า...ยังพูดไม่ทันจบก็มี ใครบางคนดักมารอข้างหน้าอยู่ก่อนแล้ว
“อ๊าก
ก กก ...ช่วยด้วยพ่อแก้วแม่แก้ว” เธอตกใจกับสิ่งที่มาปรากฎตัวไม่คาดฝัน
ตอนแรกนึกว่ากุญแจซอลมาหา เพราะเขามักจะหลอกให้ตกใจอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ
“คุณค่ะ
ๆ” แพตตี้ค่อยๆเงยหน้ามามองเมื่อได้ยินเสียงหญิงสาวสะกิดด้วยปลายเล็บของเธอ
นางพยาบาลคนนั้นนะเอง ดูเหมือนมีสีหน้าตื่นตระหนกไม่ได้แตกต่างไปจากเธอเลย
รู้สึกกึ่งๆกล้าๆกลัวๆเสียมากกว่าด้วย
“คะ
ค่ะ ...?”
“แพตตี้”
...เอ๊ะ เสียงคุณแม่นี่ แม่มาทำอะไรที่โรงพยาบาลน่ะ...
“แม่คะ
?”
...เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?...
“ลูกไม่เป็นไรใช่ไหมคะ”
คุณแม่วิ่งปรี่เข้ามาโอบกอดฉันราวกับคนที่กลัวว่าจะสูญเสียเธอไป
เธอมองไปที่ด้านหลังของคุณแม่ก็เห็นคนอยู่สี่ห้าคน ณ ที่แห่งนี้ด้วย
ทุกคนมารวมตัวทำอะไรกันที่นี่นะ สองคนด้านหน้าคือ คุณพ่อและน้องชาย ส่วนอีกคนที่อยู่ข้างๆคุณพ่อคือ
คุณหมอสุกฤษฎิ์ หมออาวุโสที่หน้าเด็กสุดๆ แต่อีกคนด้านหลังมองเห็นหน้าไม่ค่อยชัด
“...”
“นั่นใครคะ
คุณแม่” เธอชี้ไปที่ผู้ชายแต่งตัวรุงรัง
ทั้งยังห้อยพระเครื่องไว้เต็มคอ ราวกับพวกพ่อมดหมอผีอย่างไรอย่างนั้นแหละ
แต่คุณแม่ไม่ได้ตอบอะไร กลับเห็นเป็นเรื่องปกติ
พวกเขาพาเธอไปที่ห้องพักรับรองทางด้านหน้าตึก
ส่วนผู้ชายคนนั้นหันมากระซิบกับคุณพ่อแล้วก็เดินสวนกับพวกเราไปอีกทาง
เขาเดินตรงไปยังที่ ...กุญแจซอล...อยู่อย่างเงียบๆ
“อืม
มม ...” คุณหมอสุกฤษฎิ์คร่ำเคร่งพินิจพิเคราะห์ผลตรวจของเธออย่างถี่ถ้วน
ที่ไม่ว่าจะถามไปกี่คำถามก็เหมือนสมองก็ไม่เป็นอะไรมากไปกว่าข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้ว่าเป็นอัลไซเมอร์
และดูเหมือนว่าจะอาการดีขึ้นด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องแสร้งทำเป็นจำอะไรไม่ได้ไว้ก่อน
...จะบ้าเหรอ ก็เธอไม่ได้เป็นอะไรจริงๆสักหน่อย...
“เป็นอย่างไรบ้างครับหมอ”
คุณพ่อกระสับกระส่ายเดินไปเดินมา ที่รอผลอยู่นาน
รีบเร่งให้คุณหมอที่มัวแต่นั่งใช้ความคิดไม่ตอบมาสักที
“จากผลการวินิจฉัย ผมพอจะสรุปได้คร่าวๆว่า น่าจะเป็นอาการที่มาจากภาวะซึมเศร้าน่ะครับ ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากการเล่นงานของสมอง อาจมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตและสังคม รวมทั้งความทรงจำที่ขาดหายไปบางส่วนอย่างที่น้องเขาเป็น”
“หมายความว่าอย่างไรคะ
หมอ” คุณแม่เอ่ยถามขึ้นมาบ้าง
“น้องเขาอาจจะมีความทุกข์ทรมานทางจิตใจมาเนิ่นนาน
จนเป็นเหตุให้เสียสมรรถภาพทางกายไป รู้สึกร่างกายอ่อนล้า เหนื่อยง่าย เพลียบ่อย
แล้วก็เลยเกิดความคิดที่ว่าอาจจะมีใครสักคนมาอยู่ข้างๆเขาก็เป็นไปได้ครับ”
“...”
“แล้วช่วงนี้น้องเขาได้พูดถึงใครบ้างหรือเปล่าล่ะครับ
คุณพ่อคุณแม่”
'
“...ก็ไม่น่าจะมีนะคะ” คุณแม่ที่ยังลังเลหันไปหาคุณพ่อที่ส่ายหน้าปฎิเสธ
“ตอนที่อยู่ในห้อง
พี่เขาพูดถึงคนที่ชื่อ กุญแจซอล ด้วยนะครับ” ยูกิ น้องชายเอ่ยขัดขึ้นมา
พลางทำท่าคิดๆนึกภาพเมื่อวาน พอยูกิได้พูดถึงกุญแจซอล ว่าเข้าให้แล้ว
เธอก็ขี้เกียจมานั่งรอพวกเขาถกเถียงเรื่องไร้สาระของการล้อเล่น
ก็เลยคิดที่จะแว่บไปหา กุญแจซอลดีกว่า
แพตตี้ค่อยๆหาโอกาสย่องไปเงียบๆโดยไม่อยากให้ใครเห็น แล้วก็ใช้จังหวะนั้นจนได้
ในที่สุดก็ออกมาจากที่ตรงนั้นได้แล้ว เธอวิ่งไปด้วยใจกระโดดโลดเต้น
รู้สึกดีใจที่จะได้ไปหาเขาอีกครั้ง พอดีกับสายตาได้เหลือบไปเห็น
รถเข็นคนไข้คันหนึ่งได้วิ่งสวนไป แม้ว่าจะมีญาติๆผู้ป่วยรายนั้นมารุมล้อมก็ตามที
แต่ก็ไม่อาจบดบังหน้าตาคนไข้ที่นอนอยู่ได้มิด นั่นมัน ...กุญแจซอลนี่ ...
“เอ๊ะ
กุญแจซอลเหรอ?” คุณหมอรู้สึกตะหงิดๆในใจขึ้นมาได้ว่า
เคยได้ยินชื่อนี้มาจากที่ไหนกัน
“ใช่ครับ
พี่เขาพูดถึงชื่อนี้แน่ๆ” ยูกิตอบด้วยท่าทางที่มั่นใจมาก
สักพักก็มีนางพยาบาลคนหนึ่งส่งเสียงซุบซิบกับเพื่อนที่ดังพอจะมีเสียงเล็ดลอดออกมาได้
“นี่แกรู้ไหม
ผู้ชายคนนั้นที่นอนหลับเป็นเจ้าชายนิทรามาหลายปีแล้วอ่ะ
ได้ข่าวมาเมื่อกี้นี้เองจากอีกแผนกหนึ่ง เขาบอกว่า
เจ้าชายนิทราคนนั้นหัวใจเต้นแล้วนะ”
“เฮ้ยจริงดิ
ที่นอนไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นแล้วเนี่ยน่ะ”
“อือๆ
สุดยอดปาฎิหาริย์เลยอ่ะแก ไม่รู้ว่าอยู่ๆเกิดอะไรขึ้นกันนะ”
“แต่
...เขาก็หล่อดีนะ”
“ใช่ๆ
ก็ถึงได้สมญานามว่าเป็นเจ้าชายนิทราไง”
“ตกลงเขาชื่ออะไรนะ”
“โธ่
...นี่แกไม่ได้เป็นแฟนพันธุ์แท้ล่ะสิ ถึงไม่รู้อ่ะ”
“ก็พอรู้มาคร่าวๆ
แต่ไม่รู้ว่าชื่อจริงชื่อว่าอะไร”
“เขาชื่อว่า
....กุญแจซอลไง แล้วยังมีกุญแจฟา พี่ชายฝาแฝดที่หล่อไม่แพ้กัน แล้วยังมี
มีลาน้องสาวคนเล็กอีกด้วย น่ารักไม่หยอกเลย”
“แหม๋
...แกนี่รู้เยอะนะ”
“อ่ะแน่นอนจ๊ะ
คิกๆๆ ๆ” สองสาวพยาบาลหัวเราะกันคิกคักโดยไม่ทันสังเกตุว่าได้มีหมอใหญ่โผล่พรวดมาด้านหลัง
เล่นทำเอาสองสาวตกใจกรี๊ดลั่นโรงพยาบาล
“กรี๊ด
ด ด ด ด ขะ ขอโทษค่ะ”
“ผมไม่ได้ว่าอะไรพวกคุณนะ”
คุณหมอสุกฤษฎิ์เอ่ยบอกเสียงเรียบ
แต่ภายในแววตาเต็มไปด้วยความสนอกสนใจในบทสนทนาของทั้งสอง
“คนไข้ที่พวกคุณพูดถึงเมื่อกี้ช่วยพาผมไปหาเขาหน่อยได้ไหม”
“เป็นไปไม่ได้น่า” เสียงทุ้มห้วนดังขึ้น พร้อมร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีดำปรากฎตัว เธอมองดวงตาคู่นั้นก็จำได้ดีว่าเป็น ...กุญแจฟานั่นเอง ตามมาด้วยเสียงร้องไห้ครวญคร่ำของสาวน้อยร่างเล็ก และคนอื่นๆที่มารายล้อมรอบเตียงรถเข็นของผู้ป่วย
“ก็เมื่อกี้
หัวใจยังเต้นแรงอยู่เลย จะมาบอกว่าหัวใจหยุดเต้นได้ไง”
มือหนาเอื้อมมาจับชายผ้าคลุม เพื่อหาคำมาขัดในสิ่งที่จะเกิดขึ้น
ภายใต้ชายผ้าคลุมก็ปรากฎร่างเย็นเฉียบของชายหนุ่มผมสีเงินที่หมดลมหายใจไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน
กุญแจฟาหน้าซีดเผือดกับสิ่งที่ได้เห็น เขาแทบไม่อยากจะเชื่อในสายตาของตัวเอง
...อะไรกัน ก็เมื่อวานเรายังพูดคุยตามปกตินี่นา มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่...
เธอขบริมฝีปากตัวเองแน่นจนเลือดซึม เมื่อได้สติก็นึกด่าตัวเองในใจ
ทำไมไม่รีบไปหาเขา ปกติก็ไปเร็วทุกวัน ทั้งๆที่วันนี้นึกวิธีที่จะช่วยเขาได้แท้ๆ
ฉับพลันน้ำตาก็คลอเบ้า ไหลไปตามร่องแก้ม ที่ไม่ได้เอ่ยคำอำลากับเขาเลย
เธอหันหลังกลับไปเพราะไม่อยากเจอเขาทั้งอย่างนี้
เดินอย่างไร้สติไปจนกลับมาถึงห้องสีขาว ที่ๆเรานัดพบกันมาตลอด
เสียงดนตรีที่คุ้นเคยค่อยๆดังขึ้นเป็นจังหวะช้าๆ เธอขยี้ตาเมื่อคิดว่าอาจจะตาฝาด
หูเฝื่อน ทว่า ...
“เป็นอะไรไปน่ะ
ผมมารอคุณอยู่ตั้งนานแน่ะ”
“นะ
นายนั่นแหละไม่ได้เป็นอะไรเหรอ ก็เมื่อกี้ ...”
“ผมก็รอคุณอยู่ตรงนี้ตลอดนะ
เกิดอะไรขึ้นเหรอ” แพตตี้น้ำตาคลอ
เผลอกระโดดเข้ากอดกุญแจซอลด้วยความดีใจมากไปจนลืมตัว
พอรู้สึกตัวเข้าก็ค่อยๆถอยห่างออกมา แอบซ่อนใบหน้าที่แดงกร่ำไว้
“ถ้านายจะไปไหน
ต้องมาบอกฉันก่อนด้วยน่ะ สัญญาสิ” เธอยื่นนิ้วก้อยมาตรงหน้าเขา
ที่มองมาอย่างฉงนงุนงวยในสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างทันด่วน
แต่ก็ยื่นนิ้วมาเกี่ยวด้วยโดยดี
รอยยิ้มที่หยิบยื่นตอบกลับมาแสดงถึงความจริงใจอย่างที่ไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน
“ผมสัญญา”
...ถ้าเกิดนายยังอยู่ตรงนี้
อย่างนั้นก็แสดงว่านายยังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ล่ะสิ
แล้วเธอคงต้องทำอะไรสักอย่างกับร่างของนายไม่ให้ดับสูญไป
เพราะเกิดจากการไม่เข้าใจกัน ที่คิดว่านายตายแล้ว...
“กุญแจซอล
รอฉันอยู่ตรงนี้ก่อนน่ะ เดี๋ยวฉันกลับมา แต่...นายต้องสัญญาน่ะว่าจะไม่ไปไหน
แล้วอยู่รอจนกว่าจะกลับมา” เธอทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้
รู้สึกว่าอาจจะขออะไรมากไป แต่เพราะไม่อยากจะเอ่ยคำอำลาเขาไปดื้อๆแบบนี้
“อืม
ก็ผมสัญญาไว้แล้วนี่” ดูเหมือนเขาจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันจะสื่อออกไป
เธอเชื่อใจในตัวเขา แล้วรีบวิ่งกลับไปยังเป้าหมายที่เธอต้องการจะไป
...ขอแค่เพียงรักษาร่างนั้นเอาไว้ก็พอ นั่นคือสิ่งที่จะทำได้ในตอนนี้...
พอร่างแบบบางได้หายไปตามทางที่ทอดยาว ชายหนุ่มได้ลอบถอนหายใจเรียบๆ ปากขมุบขมิบ
ที่ไม่อยากจะให้ใครได้ยิน แม้แต่หญิงสาวที่เพิ่งจากไป
...ผมจะรอคุณอยู่นะ รีบกลับมาไวๆล่ะ แพตตี้...
“อะไรน่ะ
จะไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้วเหรอ” คุณหมอสุกฤษฎิ์เอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ
เมื่อถามกับหมออีกท่านหนึ่งที่ให้การดูแลอยู่
“ใช่ครับ
ทางเราก็ดูแลอย่างเต็มกำลังความสามารถมาตลอด
และยื้อเวลามาให้คงอยู่ในสภาพเจ้าชายนิทรามาแทน ซึ่งถ้าตามหลักความเป็นจริงแล้ว
มันไม่มีทางรอดอยู่แล้วครับ แต่ทั้งนี้ทางญาติไม่อนุญาติให้ตัดสายออกซิเจน”
คุณหมอกระซิบบอกกันด้วยเสียงที่เบาที่สุด
“ที่บอกว่าหลับมาตลอดนี่
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันครับ”
“อืม
เมื่อห้าปีที่ผ่านมา”
“...” คุณหมอสุกฤษฎิ์นิ่งเงียบ และคิดว่าไม่พูดอะไรเลยจะดีที่สุด
ขณะเดียวกันก็มีเสียงโวกเวกโวยวายดังมาจากทางด้านนอกห้อง
“ไม่ได้น่ะ
จะทำอะไรกับร่างนี้ไม่ได้เด็ดขาด ขอระยะเวลาอีกหน่อยเถอะค่ะ
เราจะต้องหาวิธีแก้ไขได้แน่ๆ” แพตตี้อ้อนวอนทั้งฝ่ายหมอ
และญาติๆของผู้ป่วย ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างก็มองหน้ากันไปมา
ไม่มีใครคิดที่จะเสนอความเห็นอะไร ส่วนกุญแจฟาก็เข้ามารั้งตัวฉันไว้ให้สงบสติอารมณ์
“ขอร้องล่ะค่ะ
พี่กุญแจฟาช่วยยื้อเวลาให้น้องชายพี่อีกหน่อยนะคะ
รับรองว่าเขาจะต้องมีชีวิตอยู่อีกครั้งได้แน่ๆค่ะ” เมื่อเห็นทำอะไรมากไม่ได้ก็เลยจำต้องมาขอร้องพี่กุญแจฟา
ที่พอจะคุยได้มากที่สุด
“...”
“พี่ค่ะ
ขอร้องล่ะค่ะ” เธอเอ่ยด้วยน้ำตานองหน้า กุญแจฟานิ่งคิดนิดนึง
ก่อนที่จะตัดสินใจออกมาด้วยท่าทางที่เด็ดขาด
“เราจะพอมีหนทางในการเก็บรักษาสภาพร่างให้คงอยู่ได้นานที่สุด
กี่วันครับ”
“ร่างที่หมดลมหายใจไปแล้ว จะคงสภาพได้สมบูรณ์ที่สุด ก็อย่างมากที่สุดก็ 14 วันครับ” คุณหมอนิ่งคิดชั่วครู่ ก่อนตอบออกมาทันควัน
...14 วันเท่านั้นที่เธอจะใช้เวลาสั้นๆนี่
หาทางทำให้เขาฟื้นขึ้นมาให้ได้น่ะหรือ...
ความคิดเห็น