ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พิษรักปีศาจจิ้งจอก

    ลำดับตอนที่ #1 : อารัมภบท

    • อัปเดตล่าสุด 5 ก.ย. 55



    อารัมภบท

     

    ลมหนาวเย็นยะเยือกพัดเอาเกสรแดนดิไลออนลอยขึ้นสู่ฟ้ามืด เมฆหนาครึ้มเคลื่อนตัวเป็นดั่งความหวังที่ผุดขึ้นในใจเสมอมา  

    ...คราใดที่หยดน้ำค้างจากโคมประทีปเรืองรองไปด้วยแสงสีเงินยวง หยดลงสู่พื้นปฐพี ความปรารถนาใดใดจะสัมฤทธิ์ผลดังที่ใจต้องการ...

    ราตรีวิเวกนี้ยังคงอีกยาวไกลเช่นเดิม ได้ยินแม้แต่เสียงสายลมดังวีดวิวลิ้วทิวกอหญ้าริมทะเลสาบอันสงบเงียบเพียงแห่งเดียวที่แสงจันทร์ส่องประกายระยิบระยับ น่าเชยชมยิ่งนักถ้าไม่มีกลิ่นคาวเลือดลอยมาคละคลุ้งแทบจะสำลักในบัดดล มีเสียงฝีเท้ารุดจ้ำอ้าวมาใกล้ๆนี้แล้ว

    ควับ

    นัยน์ตาสีแดงส่องประกายอยู่ท่ามกลางความมืดในราตรีกาล เงามืดร่างหนึ่งได้วูบไปมา หลบหลีกการโจมตีของผู้ไม่ประสงค์จะเข้ามาดีอย่างอ่อนแรง ถึงกระนั้นร่างในเงามืด ก็ไม่ได้หวั่นเลยสักนิด นัยน์ตากลับฉายแววอำมหิตเลือดเย็นออกมา ในมือกำมีดพกกวัดแกว่ง หลอกล่อศัตรูผู้มาเยือนให้ตายใจ ประกายมีดสะท้อนเจิดจ้า สร้างความตื่นตระหนกให้มันพุ่งเข้าทำร้ายร่างของหญิงสาวผู้เจิดจรัสเรืองรองอยู่ริมทะเลสาบเป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายแทน

    “หนีไปสิ” เสียงตะโกนที่แหวกว่ายผ่านอากาศไปเรียกไม่เป็นผล ขณะที่สาวน้อยก็ได้แต่ยืนนิ่งมองดวงตาสีแดงที่กำลังเคลื่อนตัวมาด้วยความรวดเร็ว ตระหนกตกใจจนทำอาการอะไรไม่ถูก

    ...   หากเขามาช้าเพียงแค่ก้าวเดียว ดรุณีน้อยนั้นก็อาจจะได้เป็นเหยื่อบริสุทธิ์สังเวยให้กับเจ้าแห่งจันทราในค่ำคืนนี้ก็เป็นได้  ...

    ความว่องไว และปราดเปรียวของชายหนุ่มพอแสงจันทร์ส่องสะท้อนด้านข้างของใบหน้าก็ได้เห็นถึงแววตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ฉกฉวยคว้าข้อมือสาวน้อยหลบหลีกไปตามโพรงหญ้า เดินลัดเลาะมาจนถึงผาชันที่หากขยับไปแม้แต่ก้าวเดียว ไม่เพียงเขาจะไม่พึงปรารถนาจะเห็นหน้าใคร ไม่ว่าใครก็ตามก็ไม่อาจจะเห็นหน้าเขาได้อีก พวกเขามาถึงทางตันเสียแล้ว

    ไม่ทันได้ก้าวถอยตั้งหลัก อีกฝ่ายก็ได้ฉวยโอกาส กระโจนเข้ามาพุ่งหวังโจมตีสองเหยื่อให้อิ่มหนำสำราญไปหนึ่งมื้อ เสียงของอสูรกายร้ายกาจฉุกดังขึ้นข่มไปทั่วผืนป่า ทำให้จังหวะของอีกฝ่ายเสียหลักชะงักไป ชายหนุ่มจึงอาศัยจังหวะนี้กวัดแกว่งมีดพกไปยังฝ่ายตรงข้ามไปก่อนทันใด โดยไม่พึงสังเกตุร่างของหญิงสาวข้างๆที่ค่อยๆเปลี่ยนไป

    โฮก...

    สัตว์ร้ายพอได้พลันเห็นนัยน์ตาที่เปลี่ยนเป็นสีแดงฉานดั่งสีของโลหิตของหญิงสาวก็เกิดตกใจ เขี้ยวที่งอกออกมาเผยอน้อยๆ แสยะยิ้มให้มันอยู่เบื้องหลังชายหนุ่ม มันคิดจะหาหนทางถอยห่าง ไม่ใช่ว่าเกรงกลัวการกวัดแกว่งมีดพกของชายหนุ่มเสียนี่กระไร แต่เกรงแววตาอำมหิตราวกับจะกินเลือดกินเนื้อของหญิงสาวที่พลันกลายร่างเป็นปีศาจร้าย

    นางหลับใหลมาเกือบย่ำพันปีแล้ว ถึงเวลาที่ปีศาจในกายนางจะฟื้นคืนชีพขึ้นอีกครั้ง ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นเพราะหยาดน้ำจากจันทรานั้นแท้ๆ ที่หยดลงสู่ผิวกายนาง ดั่งน้ำทิพย์ของเจ้าแม่หนี่วาที่ทรงสถิตอยู่บนฟากฟ้าเบื้องบนได้ประทานพรแก้คำสาปมาให้

    โครก ... คราก...

    เสียงคำรามที่หาใช่ไม่ดังออกมาอีกระลอก กลับเป็นเสียงท้องน้อยของดรุณีน้อยที่ยืนเอามือลูบท้องเบาๆ เก็บอาการหิวโหยไว้ไม่ไหว ก็นางไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องมานับพันปีแล้วนี่ ยิ่งได้กลิ่นเลือดจากชายหนุ่มที่ได้รับบาดเจ็บจากสัตว์ร้ายนั้นเอง ก็ยิ่งกระตุ้นต่อมน้ำลายให้สอ ช่างหอมยั่วยวนใจเหลือเกิน

    ???

    ...ประหลาดชะมัด แค่มีอิสตรีมาโผล่กลางขุนเขานี่ก็แปลกมากแล้ว และยังจะมาหิวอะไรกันล่ะนี่ หากไม่ใช่ผีสางนางไม้ก็วณิพกพเนจรแถวเถือกนี้ล่ะ...

    เสียงนั้นได้ทำลายสมาธิชายหนุ่มให้หันไปมองด้วยสายตาเย็นชา ระคนประหลาดใจกับหญิงสาวที่ยืนยิ้มแห้งๆอยู่ข้างกาย ยังไม่ทันนึกคิดหาเหตุผลที่เป็นไปไม่ได้ของการปรากฎตัวของสตรีนางนี้ เจ้าสัตว์ร้ายได้ย่ำกรายบุกเข้ามาประชิดตัว ก่อนจะลงมือโจมตีเข้าทั้งสองเพื่อให้เสียหลัก ล้มระเนระนาด มันเฉียดกายสีข้าง แล้วเผ่นจากไปโดยเร็ว ไม่ให้ลุกมาตั้งตัว

    โอ๊ย

    เสียงโอดครวญดังระงมไปทั่วขุนเขา กอปรกับกลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งอาบร่างชายหนุ่มให้แดงฉานพลิกหงายตัวเพราะทนพิษบาดแผลไว้ไม่ไหว นอนหายใจรวยริน รอความตายเงียบๆ ทว่าดรุณีวัยแรกแย้มกลับลุกขึ้นมาปัดฝุ่นออกจากอาภรณ์สีขาวบนกาย มีแผลถลอกแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น นางเดินช้าๆมานั่งยองๆลงข้างๆกายชายหนุ่ม

    “ถึงแม้กลิ่นเลือดในกายเจ้าจะยั่วยวนข้ามากแค่ไหน แต่เจ้าก็ได้ช่วยข้าไว้นี่ เพราะไม่งั้นข้าคงโดนเล่นงานไม่ทันตั้งตัวเสียแล้ว มันจะเสียเกียรติข้าอย่างยิ่งยวด” นางพึมพำหยอกเย้ากับจันทราเต็มดวง พลางเหม่อมองโครงหน้าสวยได้รูปของชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายคนนี้ ลักยิ้มเล็กๆผุดข้างแก้มนวลใส ความคิดหนึ่งก็พลันสว่างวาบขึ้น

    ...ข้าเก็บเหยื่อรายนี้ไว้ใช้ให้เป็นประโยชน์ดีกว่าจะกินให้อิ่มหนำไปมื้อเดียว...

     

    กลีบผกาลอยฟุ้งสู่ฟ้ามืดเบื้องบน ราวกับเกล็ดหิมะโปรยปราย ท่วงทำนองหนึ่งได้ถูกบรรเลงขึ้นในคืนเดือนมืดอันแสนเย็นยะเยือก และโหดร้ายยิ่งนัก เป็นบทเพลงที่จะจดจำไปถึงอีกภพหนึ่งในภายภาคหน้า  

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×