คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : เรื่องไม่ยาว (รักของคนO. อ้วน)
ในยามอาทิตย์รับขอบฟ้า ณ ริมหาดชายทะเลแสงของดวงจันทร์ทอดลงบนผิวกายขาวเนียนของหญิงสาวที่มีร่างกายอุดมสมบูรณ์ไปด้วยเนื้อหนังแต่ก็แลดูสมส่วนหญิงสาวทอดสายตามองไปยังท้องทะเลที่เงียบสงัด มีเพียงท้องทะเล และดวงจันทร์ เท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อนเธอในยามนี้ บรรยากาศช่างเป็นใจให้เธอนึกถึงใครบางคนที่เคยยืนอยู่ข้างๆเธอในเวลาและบรรยากาศแบบนี้แต่นั้นคงเป็นเพียงความหลังไปแล้วแต่ไม่ใช่สำหรับเธอ เธอยังคงจดจำภาพเวลาเดิมๆและความรู้สึกดีๆนั้นอยู่ เธอไม่เคยลืมเรียวหน้าสวยๆริมฝีปากอวบอิ่มและผิวขาวเนียนของคนคนนั้นได้เลยซักครั้ง เธอไม่เคยลบไม่สิเธอไม่เคยลืมชื่อนั้นออกจากความรู้สึกของเธอได้เลยตั้งหาก
“ยู”เสียงของใครบางคนดังขึ้นทำให้เธอกลับมาสู้โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้งและเมื่อมองไปยังต้นเสียงก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้อีกฝ่ายทันที
“มาทำอะไรอยู่มืดๆคนเดียว” ชะเอมสาวรางบางไร้เดียงสาเดินเข้ามาควงแขนอวบๆของอีกฝ่ายทันที คนถูกกอดไม่ได้ตอบอะไรได้แต่ยิ้มเล็กๆให้ร่างบางก่อนที่จะเหม่อมองออกไปยังเทละอันกว้างไกล
“อากาศดีนะ...ว่าไหมยู”
“อื้ม” นภาตอบอย่างเบาๆ ก่อนที่จะต้องหันมามองใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างตะลึงเมื่อร่างบางถามขึ้น
“กำลังคิดถึงใครอยู่เหรอยู” ชะเอมหันมาสบตาและมองลึกเข้าไปในดวงตาตี่ๆคู่นั้นอย่างไม่ละไปไหน
“..........”ไม่มีคำตอบใดๆออกจากปากของนภา
“เอมรู้นะว่ายูกำลังคิดถึงคนคนนั้นอยู่ใช่ไหม”ว่าแล้วชะเอมก็กอดแขนของอีกฝ่ายแน่นขึ้น
“..........”ยังไม่มีคำพูดใดๆตอบออกมานภาได้แต่หันหน้ามองออกไปยังทะเลอีกครั้งก่อนที่จะพูดว่า
“เค้าเป็นคนเดียวที่เราไม่เคยลืมเอม...ไม่ว่าจะทำยังไงเราก็ลืมเค้าไม่ได้”คนพูดยังคงมองออกไปข้างหน้าอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหันมาสบตากับร่างที่กอดแขนของตนอยู่แม้แต่น้อย
“แล้วทำยังไงยูถึงจะลืมได้ล่ะ”เสียงเศร้าๆดังออกมาพร้อมกับหยดน้ำตา ทำให้นภาต้องรีบหันกลับมาด้วยท่าทางที่ไม่ใส่ใจนักก่อนที่จะใช้มืออวบๆของตนเช็ดคาบน้ำตาบนแก้มของอีกฝ่าย
“ยูอย่าทำแบบนี้สิ....รู้ไหมว่ามันจะยิ่งทำให้เรารู้สึกดีกับยูมากกว่าเดิม”ชะเอมตอบด้วยน้ำเสียที่แหบเพราะเธอต้องกดกลั่นอารมณ์และความรู้สึกในใจของตัวเองเอาไว้ให้มันไม่แสดงอาการใดๆออกไปมากกว่านี้ แต่แล้วเธอก็ต้องปล่อยมันออกมาเป็นหยุดน้ำตา แต่ดูเหมือนหยดน้ำตานั้นจะกลายเป็นสายธารแทนเสียแล้วเมื่อตอนนี้เธอกำลังอยู่ในอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นของอีกฝ่าย ส่วนทางด้านของนภาเธอไม่รู้ว่าเธอควรจะทำอย่างไร เธอเป็นคนปลอบใจใครไม่ค่อยเก่ง เธอจึงทำได้แค่กอดร่างบางนั้นไว้ ถึงแม้ว่าในใจจริงๆแล้วเธอรู้ว่ามันไม่สมควรก็ตาม เพราะเธอรู้ดีว่าชะเอมนั้นมีความรู้สึกอย่างไรกับเธอแต่เธอคงทนหลอกตัวเองไม่ได้ที่จะให้ความสำคัญกับชะเอมมากกว่าคำว่าเพื่อนหรือน้องสาวอีกทั้งชะเอมก็มีสายป่านทอมบอยรูปงามเป็นคนรักของเธออยู่แล้ว แล้วใยคนรูปร่างหน้าตาอย่างเธอจะคิดไปแย่งชะเอมมาจากเจ้าของที่ดูเหมาะสมกว่าเธอเป็นไหนๆแบบนั้นได้หละ
“เอมเราไปกันเถอะเดียวพี่ป่านเค้าจะเป็นห่วงนะ”นภาปาดคราบน้ำตาออกจากแก้มของอีกฝ่าย ทั้งคู่สบตากันไม่กี่วินาทีก่อนที่นภาจะยิ้มอย่างยียวนแล้วขยี้หัวของอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนจะพูดว่า
“เอมยิ้มหน่อยสิทำหน้าเศร้าแบบนี้ไม่หน้ารักเลยนะ”ว่าแล้วคนเย็นชาก็จับมือของอีกฝ่ายอย่างหลวมๆพร้อมกันยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ อีกฝ่ายยิ้มแห้งๆกลับมาและแล้วทั้งคู่ก็พากันเดินไปยังที่พักที่อยู่ไม่ห่างจากจุดที่ทั้งคู่ยืนอยู่เมื่อคู่ ไม่กี่สิบเมตรในระหว่างที่ทั้งคู่กำลังเดินอยู่นั้นนภาได้ยินเสียงของอะไรบ้างอย่าง มันเป็นเสียงที่ดูคุ้นหูของเธอเสียเหลือเกินเมื่อเธอหันไปยังต้นเสียงเธอก็ต้องยิ้มกริ่มกับสิ่งที่เธอเห็น เจ้าสิ่งนั้นเป็นของขวัญชิ้นแรกที่เธอชื่อให้คนที่อยู่ในหัวของเธอตลอดมา เจ้าสิ่งนั้นคือกระดิ่งลมนั้นเองแต่แล้วเธอก็ต้องกลับมาสู่ปัจจุบันอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงของชะเอมเรียกชื่อเธอเบาๆภนาหันกลับไปมองหน้าของอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเป็นนัยว่ามีอะไรเหรอ?
”เหม่ออะไรอยู่ได้ยู”ชะเอมถามด้วยน้ำเสียงงอนเล็กน้อย
“ป่าว”ยังคงเป็นคำตอบสั้นๆอีกเช่นเคย
เมื่อทั้งคู่มาถึงที่พักก็ต้องพบเข้ากับสายตาและท่าทางหาเรื่องของสายป่าน(เหมือนเดิม)พร้อมกับคำถามที่ว่าไปไหนกันมาไปทำอะไรทำไมไปนานและอีกสารพัดคำถามของคนชอบหึงชอบหวงของสายป่าน ทั้งคู่จึงตอบตามความเป็นจริงจะเว้นก็แต่เรื่องส่วนตัวของทั้งสองคนเท่านั้นที่เธอทั้งสองจะไม่พูดให้สายป่านได้รู้เพราะทั้งคู่รู้ดีว่าหากบอกไปรับรองได้ว่าสายป่านคงไม่ปล่อยให้เธอทั้งสองอยู่ใกล้กันเป็นแน่ จะว่าไปแล้วสายป่านถือว่าเป็นคนที่น่าสงสารคนหนึ่งก็ว่าได้ที่ไม่เคยรู้เลยว่าคนรักแอบปันใจบางส่วนไปให้คนอื่น แต่ก็อย่างว่าหละจะยังไงซะชะเอมกับสายป่านก็รักกันดีแถมยังหวานปานน้ำผึ้งเสียด้วยกระมัง และเพราะเหตุนี้หล่ะที่ทำให้นภาไม่อยาก ย่างกายเข้าไปในความรู้สึกของชะเอมมากนักและอีกเหตุผลหนึ่งคือเธอไม่อาจรักใครได้อีกแล้วในตอนนี้
“เราไปนอนก่อนนะ”นภาพูดทิ้งท้ายก่อนที่จะเดินเข้าห้องพักของตนไป ที่พักของพวกเธอเป็นรีสอร์ทริมทะเลแห่งหนึ่งของภาคใต้เป็นบ้านพักที่แต่ละหลังจะอยู่ห่างพอสมควรเพื่อความเป็นส่วนตัวของผู้ที่มาพัก บ้านพักของเธอยู่ติดริมทะเลที่สุดของรีสอร์ทแห่งนี้ ภายในแบ่งออกเป็นสองห้องนอนและแต่ละห้องจะมีห้องน้ำในตัวส่วนตัวบ้านทำจากไม้สักภายในส่วนกลางของบ้านมีเพียงตู้เย็นและโซฟาเพียงสองตัวเท่านั้น
ร่างอ้วนทิ้งตัวลงนอนราบไปบนเตียงด้วยท่าทางที่อ่อนล่า อ่อนล่ากับใจตัวเองอ่อนล่ากับทุกสิ่งที่อยู่รอบๆตัว ไม่ว่าเธอจะมองอะไรไม่ว่าเธอจะทำอะไรมันก็ดูเหมือนกับว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการ หลังจากเธอเรียนจบและคว้าใบปริญญามาได้เธอก็แทบหืดขึ้นคอ แม้ในตอนนี้เธอข่อนข้างมีงานการทำแล้วก็ตามแต่ยังไงเธอก็คือเธอที่เมื่อมีเรื่องงานเข้ามาเธอก็จะทำมันจนไม่มีเวลาให้กับสิ่งอื่น เพื่อไม่ให้สมองมีเวลาว่างคิดถึงเรื่องของใครคนนั้นขึ้นมา เพราะทุกครั้งที่เธอไม่มีเรื่องงานในหัวก็จะมีเรื่องราวในอดีตอันแสนหวานผุดขึ้นมาเสมอ แต่ในครั้งนี้ที่เธอยอมออกห่างจากงานแล้วมาพักผ่อนกายที่นี้ก็เพราะ เธอแค่ต้องการพักจากการทำงานที่ต้องทนทำอย่างบ้าคลั่งอยู่นานแสนนานจนทำให้เธอลืมไปแล้วว่าความสบายนั้นอยู่ที่ใด และที่เธอพ่วงชะเอมและสายป่านมาด้วยนั้นก็เพราะว่าในคืนก่อนที่เธอจะออกเดินทางเธอได้โทรไปหาชะเอมเพื่อบอกว่าเธอจะไม่อยู่ที่บ้านชะเอมจะได้ไม่ต้องมาหาเธอเกอร์ๆอีก แต่แล้วชะเอมกลับบอกกลับมาว่าจะขอไปด้วยนานๆที่จะได้ไปเที่ยวด้วยกันที ทั้งคู่จึงวางแผนการเที่ยวกันในคืนนั้นเอง และแล้วในวันต่อมาเมื่อนภาขับรถมินิคาร์สีดำคันสวยไปรับชะเอมที่บ้านก็ต้องแปลกใจเมื่อไม่ใช่มีเพียงชะเอมเท่านั้นที่ยื่นรออยู่ที่หน้าบ้านหากแต่ยังมีสาวหล่อยื่นอยู่ด้วย เมื่อล้อรถนิ่งสนิทพร้อมกับกระจกด้านคนขับถูกลดลงชะเอมก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้นภาก่อนจะพูดว่า
“คือว่าพี่ป่านเค้าขอไปด้วยน่ะยู”ชะเอมกระซิบข้างหูนภาอย่างเบาๆ
“อื้ม....ก็ไม่ได้ว่าอะไรนิ”นภาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆจนอีกฝ่ายได้แต่ยิ้มแหยงๆให้เท่านั้น ว่าแล้วสัมภาระทั้งหมดของทั้งคู่ก็ถูกนำขึ้นมาไว้บนรถเป็นที่เรียบร้อยในระหว่างการเดินทางก็ไม่มีอะไรที่หน้าเป็นห่วง จะเป็นห่วงก็เห็นจะมีแต่ใจของคนขับเท่านั้นแหละที่หน้าเป็นห่วงที่สุด
เช้าวันรุ่งขึ้นร่างอ้วนยังคงหลับสนิดอยู่บนเตียงเพราะเมื่อคืนกว่าเธอจะข่มตาหลับลงได้ก็ดึกเอาการอยู่ ในเมื่อทั้งคืนที่ผ่านมาในสมองของเธอมีแต่เรื่องรักในอดีตอยู่ตลอดเวลา ร่างอ้วนยังคงหลับสบายอยู่บนเตียงจนกระทั้งมีเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ฯที่ว่างอยู่บนหัวเตียงนอนทำให้นภาตื่นจากการหลับใหลพร้อมกดปุ่มรับสายอย่างงัวเงีย
“ยูตื่นหรือยังถ้ายังก็ตื่นได้แล้วไปเดินเล่นริมหาดกัน”เสียงใสๆของชะเอมนั้นเองที่ทำให้นภาลุกขึ้นจากเตียงแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวสีขาวเข้าห้องน้ำไป ในเวลาต่อมาร่างอ้วนเดินออกมาจากห้องในชุดกางเกงสามส่วนสีดำเสื้อยืดสีขาวสะอาดพร้อมกับใบหน้าที่ไล่เครื่องสำอางหรือการแต่งแต้มความงานใดๆบนใบหน้า
“กว่าจะเสร็จนะยูไม่รอให้เที่ยงก่อนหละค่อยออกมา”สายป่านพูดด้วยน้ำเสียงทีไม่จริงจังเท่าไรนักจะออกแน่แขวะเสียมากกว่า
“เอาเถอะมาพร้อมกันแล้วงั้นไปหาอะไรกินกันนะทั้งสองคน อีกอย่างนี้มันก็พึ่งเจ็ดโมงเองนะ”ชะเอมพูดด้วยท่าทางร่าเริงบวกการที่ไม่อยากให้แฟนสาว(หรืออะไรหว่า)เปิดศึกป่วนประสาทกับนภาเพราะมิฉะนั้นแล้วรับรองได้เลยว่าไม่มีทางได้เดินเที่ยวอย่างเป็นสุขแน่
“ป่ะ...แล้วตัวเองอยากกินอะไรเดียวมื้อนี้เราเป็นเจ้ามือเอง”สายป่านพูดพรางเอามือของแฟนสาวมากุมไว้อย่างหลวมๆเพื่อเป็นการเอาใจ(บวกเน่า)เล็กน้อย
“อื้ม.....แล้วยูอยากกินอะไรหรอ”จบคำพูดของชะเอมสายป่านก็หันไปมองตาเขียวใส่นภาทันที
“เรากินอะไรก็ได้แล้วแต่เอมเหอะ” นภาตอบด้วยเสียเรียบๆก่อนที่จะมองออกไปยังชายหาดที่ตอนนี้ยังมีนักท่องเที่ยวไม่มากนัก
“กินข้าวต้มกันไหมเช้าๆเราไม่อยากกินอะไรหนักๆ”
“ก็ดีนะ....แล้วยูว่าไง” สายป่านเสริมความคิดของแฟนสาวก่อนจะหันไปถามความคิดเห็นของนภา
“แล้วแต่”มีเพียงคำตอบเรียบๆสั้นๆเท่านั้นที่ออกจากปากของเธอ
ว่าแล้วทั้งสามคนก็พากันไปยังร้านอาหารแห่งหนึ่งใกล้ๆรีสอร์ทเมื่อมาถึงสายป่านก็เป็นคนสั่งอาหาร หลังจากที่ทั้งสามอิ่มหนำสบายท้องกันแล้วสายป่านก็ชวนชะเอมไปเดินเล่นยังร้านขายของที่ระลึก นภาจึงขอตัวแยกออกมาในขณะที่เธอเดินเลาะริมชายหาดมาเรื่อยๆจนกระทั้งเดินมาถึงยังส่วนชายหาดของรีสอร์ท นภาก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเธอมองเห็นหญิงสาวร่างบางผิวขาวเนียน ใบหน้าได้รูปมองแล้วหน้าหลงใหล ในเสื้อยืดสีขาวมีลายเป็นตัวหนังสือสีแดงกับกางเกงเลขายาวสีชมพูบานเย็นและรองเท้าแตะสีสดใส พร้อมหมวกสานสีน้ำตาลอ่อน ยืนอยู่ตรงหน้าของเธอ
“พี่....ฟ้า....”นภาพูดกับตัวเองเบาๆ ก่อนที่จะมีชายร่างสูงผิวคมเข้มเดินเข้าไปหาสาวร่างบางนามว่ามุกดาลักษ์
ผู้ที่นภาไม่เคยลืมและไม่สามารถลืมหรือลบออกจากใจของเธอได้ นภาได้แต่มองร่างของสาวสวยนั้นห่างๆ
แต่แล้วเมื่อมุกดาลักษ์กำลังจะเดินตามหนุ่มหล่อนั้นไปเธอก็บังเอิญหันไปทางที่นภายืนอยู่พอดีทำให้สาวร่างอ้วนได้แต่มองออกไปยังท้องทะเลโดยไม่คิดที่จะสบตาหรือมองหน้าอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ทางด้านของมุกดาลักษ์เองก็ตกใจมิใช่น้อยที่อยู่ๆจะมาเจอสาวร่างอ้วนในที่นี้เวลานี้ ร่างบางได้แต่ยิ้มที่มุมปากก่อนจะเอ่ยกับชายหนุ่มว่าเดียวเธอจะตามไปที่หลัง จากนั้นชายหนุ่มก็พยักหน้าเป็นอันตกลงตามนั้นแต่โดยดีก็แหมใครจะไปกล้าขัดใจสาวสวยคนนี้หละขื่นขัดแม้แต่นิเดียวมีหวังเจ็บหนักเป็นสิบเท่าแน่ ว่าแล้วร่างบางก็เดินดุ่มๆเข้าไปหานภาทันที ทางร่างอ้วนที่รับรู้ถึงการมาเยือนของอีกฝ่ายก็แกล้งทำเป็นหันหลังให้เสียดื้อๆ(คิดว่าเขาไม่รู้หรือแกล้งทำหว่า)ร่างบางยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่าย ว่าแล้วมือของร่างบางก็สัมผัสลงบนบ่าของนภาเบาๆ
“นี้...” ว่าแล้วร่างอ้วนก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อรับรู้ถึงฝ่ามือของอีกฝ่ายที่สัมผัสบ่าของตนแต่ยังคงทำเก๊กไม่ยอมหันไปมองอีกฝ่ายแม้แต่นิด(ไม่กล้า)
“ยู”มุกดาลักษ์เรียกชื่ออีกฝ่ายพร้อมกับเดินอ้อมไปอยู่ข้างหน้าอีกฝ่ายทันทีแต่ไม่ทันที่นภาจะมองอีกฝ่ายก็ได้แต่หันหน้าหนีอยู่ตลอดเวลาทางด้านของมุกดาลักษ์ก็พยายามเอาหน้าของตนไปอยู่ตรงหน้าของอีกฝ่ายจนกระทั้งมุกดาลักษ์ทนไม่ไหวตะโกนออกมาว่า
“หยุด!... ทำไมหน้าพี่มันไม่น่ามองขนาดนั้นหรอยูถึงได้เอาแต่หลบแบบนี้”มุกดาลักษ์พูดขึ้นอย่างหัวเสีย
“ก็...”นภาทำท่าทางเหมือนจะหันมองอีกฝ่ายแต่ก็ต้องนำมันกลับมาอยู่ในท่าเดิม
“ก็อะไรยู”อีกฝ่ายยังคงทำเสียงแข็งใส่
“ก็...เฮ้ย~ไม่คุยด้วยแล้ว”ว่าแล้วนภาก็ทำทางจะเดินจากไปเสียดื่นๆแต่ก่อนที่จะได้ไปไหนแขนอวบๆของเธอก็ถูกมือของอีกฝ่ายจับไว้แน่นจนเธอต้องหันกลับมามองอีกฝ่าย
“ปล่อยเหอะพี่ยูยังไม่อยาก....”
“ไม่อยากอะไร...คนที่ไม่ได้เจอกันเป็นปีพอเจอกันเค้าพูดกันอย่างนี้เหรอยู”อีกฝ่ายถามอย่างยียวน
“พี่...ยูยังไม่เปลี่ยนนะยูยังเหมือนเดิมยูว่าพี่อย่ามายุ่งกันยูดีกว่านะ...ยูไม่อยากเจ็บไปมากกว่านี้” ว่าแล้วมุกดาลักษ์ก็คลายมือออกเพราะความอึ่งเล็กจากคำพูดของอีกฝ่ายทำให้เธอหวนนึกถึงอดีตที่เธอเคยสร้างไว้เมื่อประมาณสองปีที่แล้ว เธอได้ทำร้ายจิตใจของนภาและของตัวเองจนแหลกไม่เหลือชิ้นดี ด้วยการที่พ่อแม่ของเธอไม่ยอมรับการคบกันของเธอและนภา รวมถึงอีกหลายสาเหตุที่ทำให้เธอต้องยอมทำลายคำว่าเราออกไปให้เหลือเพียงเธอกับฉันพี่น้องกันเท่านั้นเอง เธอละนภาอายุห่างกันสี่ปีนภาไม่ใช่รุ่นน้องในคณะหรือที่มหาลัยหากแต่แค่บังเอิญรู้จักกันเท่านั้น และที่ๆเธอเจอกันครั้งแรกก็คือที่นี้ในตอนนั้นเธอมาเที่ยวเพื่อฉลองรับปริญญากับเพื่อนๆส่วนนภามารับน้องในฐานะน้องใหม่ของมหาลัยแห่งหนึ่งในคืนของวันนั้นเองที่เธอได้มาเดินริมหาดเล่นคนเดียวจนไม่ได้ทันสังเกตว่ามีคนเดินตามมาด้วยพอรู้ตัวอีกที่ก็มีมือใหญ่มาปิดปากแล้วล็อกแขนของเธอไว้ เธอถูกชายเจ้าของมือใหญ่คู่นั้นกดลงกับพื้น เธอพยายามจะขัดขืนแต่ด้วยแรงที่น้อยนิดของเธอจึงไม่สามารถทำอะไรชายคนนี้ได้ ในขณะเดี่ยวกันนั้นนภาที่อยู่ในช่างพักของการรับน้องได้เดินผ่านและเห็นเหตุการณ์นั้นเข้าพอดี เธอมองไปรอบๆจบเห็นไม้ยาวอยู่ท่อนหนึ่ง เธอไม่รีรอรีบหยิบมันขึ้นมาทันที ทางด้านของมุกดารัตน์เธอได้แต่น้ำตารินออกมาเท่านั้นสมองเริ่มไม่สังการ สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่แล้วก็เหมือนเธอได้ยินเสียงอะไรดังปั๊ก!แล้วชายคนนี้ก็ล้มลงไปนอนกองกับพื้นทรายเธอที่ยังไม่ได้สติก็ถูกฉุดร่างให้ลุกขึ้นยืนพร้อมกับเสียงจากใครบางคนพูดกับเธอเบาๆว่า /เป็นอะไรหรือป่าว/ เพียงแค่นั้นแหละสติของเธอก็กลับมาส่วนหนึ่งแต่หากเลี้ยวแรงได้หากลับมาไม่ ขาของเธอตอนนี้แค่ยืนยังแทบไม่ไหวอีกฝ่ายเห็นท่าว่าจะช้าไม่ได้หากร่างยักษ์นั้นเกิดฟื้นขึ้นมาจะแย่ทั้งคู่เลยตัดสินใจเปลี่ยนจากพยุงมาเป็นอุ้มร่างบางไว้แทนก่อนจะพาเดินกิ่งวิ่งออกมายังที่ที่มีผู้คนอยู่จะได้มีความรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาบ้าง และแล้วเมื่อร่างบางถูกวางลงให้นั่งกับพื้นทรายพร้อมกันอาการหอบเหนื่อยของอีกฝ่ายก็ทำให้บริเวณนั้นเงียบลงพักหนึ่ง
“พี่เป็นอะไรหรือป่าว”เสียงพูดปนหอบดังขึ้นไล่ความเงียบออกไปได้บ้างบางส่วน
“คะ..ค่ะ”มุกดาลักษ์ที่ยังไม่ได้สติส่วนน้ำตาก็ยังคงไหลอย่างต่อเนื่องทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเป็นห่วงอย่างไรบอกไม่ถูก
“นี้พี่ตั้งสติหน่อยสิ” คนพูดไม่พูดป่าวแต่ยังใช้มืออวบๆเขย่าร่างนั้นอย่างแรงอีกด้วย จนทำให้อีกฝ่ายเริ่มได้สติขึ้นมาพร้อมกับคำว่า
“โอ๊ย~~~~จะเขย่าอะไรหนักคนน่ะ เจ็บเว้ย”คนที่พึ่ง ได้สติตะคอกเสียงดังออกมาอย่างแรงจนทำให้คนเขย่ารีบนำมืออกทันที่ แต่แทนที่จะโกรธกลับหัวเราะออกมาเสียยกใหญ่
“ขำอะไรมิทราบ”ร่างบางพูดอย่างไม่พอใจ
“ก็ขำพี่ไง...คนอะไรเมื่อกี้ยังน้ำตาซึมไม่ได้สติเหมือนคนบ้าแต่ดูตอนนี้สิ”ว่าแล้วร่างอ้วนก็หัวเราะชอบใจต่อไปจนอีกฝ่ายเริ่มทำสีหน้าบูดบึ่งขึ้นทันที เมื่อร่างอ้วนเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายก็รีบทำการขอโทษขอโพยง้อไปเสียยกใหญ่
“เออ...ว่าแต่พี่ชื่ออะไรเหรอ?”ร่างอ้วนถามด้วยอาการกลั่นหัวเราะเอาไว้แบบสุดๆ
“แล้วเธอชื่ออะไรหละ”
“อ้าว...ถามก่อนนะพี่....ชื่อยู”นภาถอยหายใจพลางส่ายหน้าเล็กน้อย
“อือ...พี่ชื่อฟ้า” หลังจากมุกดาลักษ์พูดจบในระยะเวลาต่อจากนั้นทั้งคู่ ก็ได้พูดคุยกันอย่างสนุกสนานจนทราบว่าทั้งสองมาทำอะไรที่นี้ และนี้หละคือการพบกันครั้งแรกของทั้งสองคนแล้วหลังจากนั้นทังคู่ก็มีการติดต่อกันเป็นระยะๆตลอดจนทำให้นภารู้ว่าบ้านของอีกฝ่ายนั้นอยู่ไม่ห่างจากมหาลัยที่เธอกำลังศึกษาอยู่ไม่ไกลมากนักทำให้หลังเลิกเรียนเธอมีตารางนัดกิจกรรมต่างๆมากขึ้นโดนการเสนอของมุกดาลักษ์และด้วยการที่นภานั้นเป็นคนปฏิเสธใครไม่ค่อยเก่งเธอจึงได้แต่เออออตามอีกฝ่ายไปอย่างนั้นและด้วยการที่นภาเป็นคนชอบตามใจคนอื่นส่วนมุกดาลักษ์เองก็ดูเหมือนจะเป็นคนชอบถูกตามใจเสียด้วยสิ นั้นคงเป็นเพราะว่าด้วยทางฐานะทางบ้านของมุกดาลักษ์ถือได้ว่ามีฐานะดีและมีตามีตาในสังคมมากพอสมควร ส่วนทางบ้านของมุกดาลักษ์นั้นทำธุรกิจอะไรนภาเองก็ไม่รู้เช่นกันเพราะอีกฝ่ายไม่ยอมบอกและตัวเธอก็ไม่อยากถามอะไรให้มากความ ก็นภาเป็นคนไม่ชอบรู้เรื่องของคนอื่นเสียเท่าไรนักนิ และถึงอยากรู้แต่อีกฝ่ายไม่บอกก็ไม่รู้จะถามต่อทำไม
ร่างอ้วนที่เดินมาถึงยังที่พักของตนก็เดินดุ่มๆ เข้าห้องของตนไปเสียจนไม่ฟังเสียงเรียกของอีกสองคนที่มาถึงห้องก่อนแต่อย่างใด
“ทำไมเราต้องมาเจอกันที่นี้ตอนนี้ด้วยนะ”นภาบ่นพึมพำกับตัวเอง เพราะเธอไม่เคยคิดหรือเผื่อใจที่จะมาเจอกับอดีตคนรักที่นี้ ไม่สิเธอเคยนึกถึงมันเลยตังหากหละ แต่แล้วเธอก็ต้องเก็บทุกสิ่งเอาไว้ที่เดิมเมื่อได้ยินเสียงเรียกพร้อมกับการเคาะประตูของสาวหน้าใสจากข้างนอก
“ยู...ยูเป็นอะไรหรือป่าว”ชะเอมถามอย่างเป็นห่วงเพราะไม่บ่อยนักที่สาวเจ้าเนื้อจะมีอาการแบบนี้ก่อนจะพูดต่อไปว่า
“ยูออกมาคุยกันหน่อยได้ไหม” ว่าแล้วร่างอ้วนจึงลุกขึ้นจากเตียงเดินมาเปิดประตูห้องให้เพื่อนสาวอย่างเนิบๆ
“มีอะไรหรอเอม”
“คือว่าคืนนี้เราจะออกไปกับพี่ป่านน่ะ...คือพอดีเจอเพื่อนพี่เค้าแล้วทีนี้เพื่อนพี่เค้าชวนไปงานเลี้ยงวันเกิดแฟนเค้าที่ริมหาดอ่ะ...ยูจะไปด้วยกันไหม”ชะเอมถามอย่างกล้าๆกลัวๆเพราะเธอรู้ดีว่าหากคนที่ยืนอยู่หน้าเธอ ณ ตอนนี้นั้นมีท่าทีอาการแปลกๆเมื่อไรเธอไม่อาจรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าหากเธอไม่ถามละก็รับลองได้ว่าเมื่อเธอหายไปหรือว่าไปแบบปุบปับหละก็มีหวังหูชาแน่นอน
“คงไม่ไป...สองคนไปกันเหอะ เราอยากอยู่คนเดียว...ขอโทษทีนะ”นภายังคงตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆอย่างเช่นเคย
“เอางั้นหรอ งั้นเราไปกับพี่ป่านสองคนก็ได้”ว่าแล้วร่างบางค่อยๆหันหลังแล้วเดินห่างออกจากประตูไปเรื่อยๆในขณะที่บานประตูนั้นค่อยๆปิดลงอย่างช้าๆ และแล้วร่างอ้วนก็ต้องกลับมาอยู่กับตัวเองอีกครั้ง
“วันเกิดเหรอ?” ร่างอ้วนพึมพำกับตัวเองก่อนที่จะทำท่าทางเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ซักอย่างจึงรีบนำเจ้าเครื่องมือสื่อสารเครื่องเล็กที่อยู่ข้างตัวขึ้นมารีบกดดูปฏิทินอย่างรีบร้อน
“จริงด้วย”นภาพูดกับตัวเองด้วยเสียงที่แผ่วเบาก่อนที่จะทิ้งตัวลงนอนราบไปบนเตียงมือข้างที่ถือโทรศัพท์ฯอยู่นั้นแนบอยู่บนกลางอกและเริ่มมีหยุดน้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้จนร่างอ้วนนั้นเผอหลับไปอย่างไม่รู้ตัว
ระยะเวลาผ่านไปได้ซักระยะร่างอ้วนก็ต้องตื่นขึ้นเพราะเสียงเคาะประตูห้องที่ดังขึ้นพร้อมกับเสียงใสๆของชะเอม
“ยูเราไปก่อนนะ...อยู่คนเดียวได้ใช่ไหม”ชะเอมถามอย่างเป็นห่วง
“อือ...เราอยู่คนเดียวได้”นภาตอบด้วนน้ำเสียงงัวเงีย
“งั้นไปเราก่อนนะ” ว่าแล้วร่างบางก็เดินออกจากบ้านพักไปพร้อมกับสาวหล่อ ภายในบ้านพักเหลือเพียงความเงียบเพราะสาวร่างอ้วนของเรานั้นได้แต่นั่งเงียบอยู่กับตัวเองเท่านั้น ส่วนในใจนั้นก็ได้แต่นึกถึงอะไรบางอย่างที่เจ้าตัวไปอาจรู้ได้ นภานั่งเงียบได้เกือบครึ่งชั่วโมงจู่ๆเธอก็รีบลุกขึ้นจากเตียงคว้าผ้าเช็ดตัวสีขาวเดินดุ่มๆ เข้าห้องน้ำไป ส่วนทางด้านของชะเอมกับสายป่านที่ได้มาอยู่ภายในงานเลี้ยงเป็นที่เรียบร้อยแล้วในตอนนี้โดยมี ธนากิจ หนุ่มเข้มรูปงามเพื่อนของสายป่านเป็นผู้ต้อนรับค่อยแนะนำทั้งสองคนให้กับแขกบางคนที่เห็นว่าสมควรที่ชะเอมและสายป่านจะต้องรู้จักไว้และหนึ่งในนั้นคือมุกดาลักษ์ผู้ที่เป็นเจ้าของวันเกิดในครั้งนี้ เมื่อชะเอมและสายป่านได้พบกับมุกดาลักษ์ทั้งคู่ต่างพากันนิ่งอึ่งกันไปชั่วขณะแต่เป็นการอึ่งคนละแบบสายป่านอึ่งเพราะความสวยความน่ารักของมุกดาลักษ์ ส่วนชะเอมอึ่งในการที่เธอทั้งสองคนได้มาพบเจอกันอีกครั้งแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ทางด้านของมุกดาลักษ์นั้นก็มีอาการแปลกใจไม่ต่างกับชะเอมเท่าไรนัก เพราะการเจอกันของเธอทั้งสองคนในครั้งสุดท้ายและครั้งเดียวนั้นคือตอนที่เธอได้บังเอิญเจอกันที่ห้างแห่งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว ในตอนนั้นสิ่งที่เธอเห็นคือภาพของนภาที่กำลังถูกควงแขนโดนเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าของเธอในตอนนี้และนั้นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เธอกล้าบอกเลิกนภาในเพียงไม่กี่วินาทีเพราะเธอคิดว่าหากอีกฝ่ายมีคนอื่นอยู่แล้วโดยที่เธอไม่รู้แล้วใยเธอจะต้องยืดเยื่อความสำพันธุ์ แต่อีกมุมหนึ่งในใจของเธอกลับเจ็บ เจ็บเสียเหลือเกินที่ถูกอีกฝ่ายสวมเขาประกอบกับการที่ทางบ้านของเธอบังคับให้เธอเลิกกับนถานั้นจึงเป็นการตัดสินใจอย่างมีเหตผลที่สุดที่เธอจะสามารถบอกเลิกอีกฝ่ายได้ หากถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะถามหาเหตุผลเธอก็ไม่อยากตอบได้ตามตรง ก็สิ่งที่ตาเธอเห็นมาพร้อมกับความรู้สึกว่าอีกฝ่ายก็รู้อยู่เต็มอกแล้วยังจะถามทำไม แต่ก็ผิดคาดเมื่อไม่มีคำพูดใดๆจากอีกฝ่ายเลย แต่แล้วไหนในวันนี้เด็กสาวที่เธอเห็นวันนั้นกลับควงสาวหล่อมางานวันเกิดของเธอได้หละ?
“ฟ้านี้ป่านกับเอมนะ...ส่วนนี้ฟ้าแฟนพี่แล้วก็เป็นเจ้าของวันเกิดนี้ด้วย”ธนากิจยิ้มอย่างภูมิใจในการแนะนำแฟนสาวให้อีกสองคนรับรู้และยังท่าทางอึ่งที่สายป่านและชะเอมได้แสดงขึ้นเมื่อครู่ทำให้เข้าคิดไปเองว่าคงจะอึ่งในความสวยใสน่ารักของแฟนสาวของตนเป็นแน่(จริงในบางส่วน)
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ...สุขสันต์วันเกิดนะครับ”สายป่านเอ่ยขึ้นก่อนที่จะยื่นของขวัญที่เตรียมมาให้กับมุกดาลักษ์
“ขอบคุณค่ะ...แล้วนี้”มุกดาลักษ์ถามพลางชีไปทางสายป่านและชะเอม
“เออ...คือว่าสองคนนี้เค้าเป็นแฟนกันนะฟ้า”ธนากิจมองไปยังสองคนที่ตอนนี้สายป่านกำลังโอบหัวไหลของแฟนสาวอย่างหวงแหน
“คบกันมาได้จะสีปีแล้วครับ”สายป่านพูดเสริม และในคำพูดของสายป่านนี้เองที่ทำให้มุกดาลักษ์มองชะเอมพร้อมกับคำถามที่เกิดขึ้นในใจทันที่ ชะเอมไม่กล้าสบตากับมุกดาลักษ์เธอจึงทำได้เพียงก้มหน้านิ่งอยู่อย่างนั้นจนกระทั้งมุกดาลักษ์ทนกับความสงสัยของตัวเองไม่ไหวเลยขอตัวนำชะเอมแยกออกมาจากทั้งสองคนด้วยอาการงงงวยของคนหล่อทั้งสอง
เมื่อมุกดาลักษ์พาชะเอมออกห่างจากงานเลี้ยงมาพอสมควรและคิดว่าคงไม่มีใครได้ยินสิ่งที่เธอสองคนจะพูดคุยกันอย่างแน่นอนแล้วคำถามต่างๆที่คาใจของมุกดาลักษ์อยู่ก็ถูกปล่อยออกมาอย่างไม่มียั้ง
“โอ๊ย~~พี่ฟ้าคะที่ละคำถามได้ไหมคะ”ชะเอมตะโกนออกมาอย่างเสียงดังทำให้อีกฝ่ายชะงักไปชั่วขณะก่อนที่จะเริ่มถามคำถามเดิมใหม่อีกครั้งอย่างช้าๆ
“ทำไม่เราถึงมาอยู่ที่นี้แล้วทำไม่ถึงมากับ...”มุกดาลักษ์จงใจปล่อยให้คำสุดท้ายนั้นค้างไว้เพราะเธอไม่รู้ว่าจะใช่สรรพนานอะไรแทนตัวสาวหล่อดี
“พี่ป่านน่ะเหรอคะ”
“อือ”
“พี่ตั้งใจฟังนะคะ...คือว่าเอมมาเที่ยวกันสามคนรวมยูด้วย....”แล้วคำพูดต่างๆก็ค่อยๆหลังไหลออกจากปากของชะเอมรวมถึงเรื่องที่เธอนั้นคบกับสายป่านก่อนที่จะเจอกับนภาเสียอีกจนมุกดาลักษ์ถึงกับเงียบไปครู่นึ่ง เพราะเธอรู้ดีว่านภาไม่มีนิสัยชอบแยงของใครหรือว่าเป็นมือที่สามของใครเด็จขาดเธอหมั้นใจเช่นนั้นมาตลอด
“ถ้างั้นแล้วทำไม่วันนั้น...”
“ก็พี่ไม่ยอมฟังอะไรเลยนี้คะ...”ชะเอมนึกถึงเรื่องราวเมื่อครั้งที่ทั้งคู่เจอกันครั้งแรกกลางห้างในครั้งนั้นเธอได้ออกมาหาซื้อของใช้จำเป็นบางอย่างจึงชวนนภาออกมาช่วยเดินซื้อของเป็นเพื่อน แต่อันความจริงแล้วนั้นใจจริงเธออยากจะอยู่กับอีกฝ่ายตั้งหากถึงแม้ว่าเธอจะรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายไม่มีวันที่จะหันมามีใจให้เธอแน่ๆแต่แล้วก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรจึงทำให้แขนของเธอไปควงแขนอีกฝ่ายได้ แต่ร่างอ้วนเองก็ไม่คิดจะนำแขนของเธออกแต่อย่างไรนั้นคงเป็นเพราะคนอย่างนภาไม่ว่าใครจะทำอะไรถ้าไม่ใช่เรื่องที่ไม่จำเป็นเธอก็จะไม่ชอบขัดใจใครและนั้นก็ทำให้ชะเอมยิ่งควงแขนของอีกฝ่ายแน่นขึ้นจนเหมือนว่าเธอกำลังกอดมัยอยู่ก็ไม่ปาน เป็นความรู้สึกอบอุ่นที่เธอได้จากท่อนแขนอวบๆนั้นอย่างบอกไม่ถูกแต่แล้วความสุขของเธอก็ต้องจบลงเมื่อสาวสวยผู้นี้ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของเธอพร้อมกับใช้ฝ่ามือเรียวๆกระแทกเข้าที่แก้มของนภาอย่างแรง สาวสวยจ้องมองใบหน้าของนภาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยสายธานแห่งความเสียใจ ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่พูดหรือฟังอะไรสักคำ ส่วนด้านของนภาก็ได้แต่จับแก้มที่แดงของตนด้วยใบหน้าที่นิ่งอึ่งอยู่อย่างนั้นโดยไม่ยอมพูดอะไรแม้แต่คำเดียวจะมีก็แต่น้ำตาที่ไหลรินออกมาจากตาตี่คู่นั้นเท่านั้นเอง เธอที่ช่วยอะไรไม่ได้จะปลอบก็ไม่กล้าเธอจึงทำได้เพียงมองอีกฝ่ายอยู่เฉยๆเท่านั้นเพราะเธอรู้ดีว่าสาวสวยคนเมื่อกี่นั้นคือใครเธอดูดีแก่ใจ
“สิ่งที่พี่เห็นมันไม่ได้เป็นอย่างที่พี่คิดนะคะ...ยูเขารักพี่เขารักพี่คนเดียวมาตลอด”ชะเอมพูดด้วยเสียงสั่นๆเพราะคำบางคำมันช่างบาดใจเธอเสียมากมาย
“..........”ไม่มีคำพูดใดๆออกจากปากของมุกดาลักษ์เธอทำได้เพียงแต่นิ่งเงียบและเจ็บในใจลึกๆอย่างบอกไม่ถูก
“พี่ค่ะ...ยูเขาไม่เคยลืมพี่นะคะไม่ว่าเอมจะทำยังไงจะใกล้ชิดยูมากแค่ไหนยูเขาไม่เคยคิดกับเอมมากกว่าเพื่อนหรือน้องสาวนะคะ”ชะเอมพูดทั้งน้ำตาเพราะนั้นคือบางสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจของเธอมานานแสนนาน
“แล้วทำไมยูไม่มางานด้วยหละ”
“ไม่รู้สิคะ ก็ตั้งแต่ยูกับที่พักก็เอาแต่อยู่ในห้องแล้วก็ดูท่าทางไม่ค่อยดีด้วย”พูดแล้วชะเอมก็อดเป็นห่วงคนที่อยู่ในบ้านพักไม่ได้ ตอนนี้จะทำอะไรจะเป็นยังไงจะดีขึ้นหรือยัง สารพัดคำถามที่เกิดขึ้นในหัวของเธอมากมาย
“หรอ”มุกดาลักษ์รู้ดีว่าอะไรที่ทำให้ร่างอ้วนมีอาการเช่นนั้น ก่อนที่จะถามอีกคำถามไปว่า
“แล้วพักกันที่ไหนหรอ” ว่าแล้วชะเอมก็ยอมบอกรายละเอียดไปแต่อีกใจนั้นกลับได้แต่บอกว่าอย่าบอกนะอย่าบอกเด็ดขาดไม่นั้นเราอาจจะเสียของสำคัญไปจริงๆก็ได้
“ขอบคุณน่ะเอม”มุกดาลักษ์พูดจบก็เดินจากชะเอมออกไปอย่างรวดเร็ว ด้วยใจที่เป็นห่วงร่างอ้วนนั้นเสียเหลือเกิน
“ดูแลยูดีๆนะคะพี่”ชะเอมพูดกับตัวเองก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในงานด้วยท่าทางที่เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะมิฉะนั้นแล้วเธอคงต้องเจอคำถามมากมายที่ทำใจตอบลำบากเป็นแน่และเธอก็ไม่ชอบการถูกบีบบังคับเสียด้วยสิ
ทางด้านของมุกดาลักษ์ที่ในขณะนี้เธอได้เดินมาอยู่หน้าบ้านพักของสามสาวเป็นที่เรียบร้อย แต่แล้วก็ต้องพบกับความผิดหวังเมื่อประตูบ้านพักหลับถูกใส่กุญแจเสียแน่นสนิทเธอได้แต่นั่งร้องไห้อยู่ที่ขั้นบัดไดตรงทางเข้าบ้านพักอยู่อย่างนั้นจนเธอเริ่มได้สติปาดน้ำตาที่อาบแก้มตนออกทันที่ก่อนจะค่อยๆปรับสีหน้าของตนให้กับเป็นปกติเพราะเธอพึ่งนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้เธอมีสิ่งอื่นที่ต้องทำในวันนี้อยู่อีก ก็วันนี้มันเป็นวันสำคัญของเธอนี้แต่มันอาจดูมีความหมายน้อยลงมากกว่าทุกปีที่ผ่านมาเพราะในครั้งนี้รู้ทั้งรู้ว่าคนสำคัญของเธออยู่ใกล้แต่กับไม่มีวี่แววของคนๆนั้นอยู่เลยในตอนนี้ ถึงแม้ว่าในทุกปีที่ผ่านมาเขาคนนั้นจะไม่ปรากฏตัวให้เห็นเลยก็ตาม แต่ในครั้งนี้มันกลับมีความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้ความรู้สึกของเธอบอกว่าต้องการอีกฝ่ายมากกว่าของขวัญทั้งหลายไม่สิแค่ได้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของอีกฝ่ายแค่นั้นก็มีค่ามากกว่าของสิ่งใดบนโลกนี้แล้ว ร่างบางตัดสินใจเดินกลับเข้าไปในงานและยังคงยิ้มให้แขกในงานอย่างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนทุกคนไม่รู้สึกผิดสังเกตแต่อย่างไร จะมีก็แต่ชะเอมที่รู้ดีว่าเจ้าของงานวันนี้ช่างน่าสงสารเสียจริงแต่ก็ทึ่งเล็กๆว่าสาวสวยผู้นี้ช่างปั้นยิ้มได้เนียนจริงๆเพราะหากเป็นเธอ เธอคงทำสิ่งที่คนคนนี้ทำไม่ได้แน่นอนไม่สิเธอทำไม่ได้เลยตังหากหล่ะ
เวลาเดินผ่านไปอย่างรวดเร็วอีกไม่ถึงสามสิบนาทีก็จะเที่ยงคืนแล้วถึงแม้ว่าในใจของมุดาลักษ์มันช่างดูเหมือนนานแสนนานเหลือเกิน
“ไปอยู่ไหนนะไม่คิดจะมาหา หรือแค่เจอหน้ากันสักหน่อยก็ยังดีแต่นี้...”มุกดาลักษ์พูดกับตัวเองอย่างน้อยใจเสียเหลือเกินที่คนที่ตนเผ่าค่อยคิดถึงอยู่ทุกวันทุกเวลารู้ทั้งรู้ว่าเธออยู่ที่นี้แต่กลับไม่ยอมมาเจอหน้ากันเลยหรือว่ามันลำบากนักหรือไง แต่แล้วความคิดของเธอก็ต้องหยุดลงเมื่อมีมือเล็กของเด็กผู้ชายผิวขาวน่าตาน่าเอ็นดูดึงชายเสื้อของเธอเมื่อเธอหันไปมองเด็กคนนั้นก็ชี้ไปทางชายหาดที่มีแต่ความมืด เธอทำท่าทางสงสัยแต่เด็กชายก็ยังคงชีไปทางนั้นก่อนจะดึงชายเสื้อของเธอเป็นนัยว่าให้ตามมา สาวสวยเดินตามเด็กชายไปอย่างโดนดี แต่การกระทำดังกล่าวได้อยู่ในสายตาของธนากิจทั้งหมดเขาทำท่าทางจะเดินตามแฟนสาวไปแต่กลับถูกชะเอมรั้งเอาได้ด้วยเหตุผลที่ว่า มุกดาลักษ์คงจะเหนื่อยเลยออกไปสูดอาการบริสุทธิ์ ก็ได้เพราะดูเหมือนเธอจะเหนื่อยๆ และยิ่งมีสายป่านค่อยช่วย(โดนชะเอมบังคับ)สรรหาข้ออ้างจนทำให้ธนากิจยอมอยู่ในงานต่อไม่ตามมุกดาลักษ์ไปแต่อย่างไร ริมชายหาดที่มีเพียงความมืดไม่มีแสงจากหลอกลีออนจะมีก็แต่เพียงแสงของดวงจันทร์เท่านั้นที่ทำให้เธอยังพอแยกได้ว่าตรงไหนคือน้ำทะเลตรงไหนคือพื้นทรายเมื่อเด็กชายพาเธอเดินออกมาห่างจากงานเลี้ยงพอสมควรแล้วเด็กชายก็รีบวิ่งขึ้นไปยังหาดทรายด้านบนปล่อยเธอให้ยืนอยู่ริมทะเลอย่างงุนงงก่อนที่จะมีแสงไฟดวงเล็กๆสว่างขึ้นเป็นทางเหนือพื้นทรายไม่มากนัก มันเป็นแสงสีแดงอ่อนๆที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น สาวสวยเดินตามดวงไฟนั้นไปเรื่อยๆจากแสงไฟที่ทอดเป็นทางยาว กลับกลายมาเป็นเมื่อเธอเดินไฟจะค่อยๆติดขึ้นมาที่ละคู่ไปเรื่อยๆพร้อมกับเพลงที่ดันขึ้นมาพร้อมๆกับดวงไฟที่ค่อยๆถูกเปิดขึ้น เพลงที่ได้ยินมีเนื้อหาที่เศร้าเหมือนกับว่าเป็นสิ่งแทนคำพูดอะไรสักอย่างของใครบางคน
...ทุกครั้งต้องแกล้งทำเย็นชา เจอหน้าก็หลบตาทุกที ห่างๆ เธอไว้อย่าใกล้คงดี คนอื่นก็มีอย่ารักเธอเลย
แม้รู้ดีแก่ใจยังเผลอ หลงรักเธอไม่กลัวช้ำใจ ยิ่งปล่อยใจลงลึกเท่าไร ก็ยิ่งช้ำหัวใจเท่านั้น
ช้ำเท่าไร เจ็บช้ำเท่าไร ปวดร้าวเพียงใด ก็จะรักเธอ แค่เพราะรัก ก็ยอมก็ทนได้เพื่อเธอ
เธอคนเดียวเท่านั้น ช้ำเท่าไร เจ็บช้ำเท่าไร ปวดร้าวเพียงใด
จะยอมรับมัน หากสุดท้าย แม้ยังปวดร้าวทุกคืนวัน ก็ไม่ยอมเปลี่ยนใจ
~~~~~
ระหว่างที่มุกดาลักษ์เดินตามทางไปพร้อมกับฟังบทเพลงนั้นมาเรื่อยๆจนเธอมาหยุดอยู่ตรงที่ที่มีแสงของดวงไฟสีแดงอ่อนๆอยู่ตรงหน้าของเธอเมื่อเธอหันหลักกลับไปไฟทางเดินทั้งหมดได้ดับลงและเมื่อเธอหันกลับมาทางเดิม ไฟดวงเดินที่เคยสว่างตอนนี้ได้หายไปแล้วจะมีก็แต่ดวงที่อยู่ฝั่งไกลทะเลดวงเดียวเท่านั้นที่สว่างขึ้นมาแทนแต่แล้วไฟดวงนั้นก็ดับไปพร้อมๆกับเสียงเพลงแต่ไม่ทันที่เธอจะได้ทำอะไรจู่ๆไฟรอบๆตัวเธอก็สว่างขึ้นพร้อมกับเสียงของใครบางคนดังขึ้นข้างหูเธอเบาๆจากด้านหลังพร้อมกลับเพลงท่อนจบที่ดังขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับเสียกระดิ่งลมที่ดังขึ้นเพราะแรงลมที่พัดอย่างเบาๆ (ซะเหมือนหนังเลยเนาะอะไรมันจะประจวบเหมาะขนาดนั้น)
“ก็ไม่ยอมเปลี่ยนใจ...” สิ้นเสียงนั้นร่างบางรีบหันไปยังต้นตอของเสียงนั้นทันที่แต่แล้วเมื่อเธอหันไปก็อยู่ในอ้อมแขนอวบๆนั้นทันทีและแล้วเกือบจะในทันทีน้ำตาก็ไหลออกจากตาคู่สวยของมุกดาลักษ์ เมื่อรับรู้ว่าอ้อมกอดที่แสนคุ้นเคยนี้จะเป็นของใครอื่นไม่ได้นอกจากคนที่เธอคิดถึงเสียเหลือกเกิน
“คิดถึงจัง”น้ำเสียอบอุ่นดังขึ้นจนทำให้คนที่อยู่ในอ้อมกอดยิ่งร้องไห้หนักขึ้นเรื่อยๆและกอดร่างนั้นตอบอย่างโหยหาความอบอุ่นที่ได้ห่างหายไปเสียนาน ร่างสองร่างกอดกันอย่างโหยหาและกินเวลาไปหลายนาทีก่อนที่นภาจะคลายวงแขนออกเปลี่ยนมาเป็นใช้มืออวบๆปาดคาบน้ำตาออกจากแก้มของอีกฝ่ายแทนพร้อมกับยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างอ่อนโยนเหมือนเมื่อครั้งวันวาน
“คิดถึงแล้วทำไมไม่มาหาหละคะ” ร่างบางพูดพลางนำมือของตนไปกุมมือของอีกฝ่ายที่วางอยู่บนแก้มของเธอ แต่ไม่มีคำพูดใดๆจากอีกฝ่ายจะมีก็เพียงแค่ร้อยยิ้มเท่านั้นที่แทนคำตอบที่ไม่รู้ว่าคำตอบนั้นคืออะไร
“ไม่ต้องมายิ้มเลย”สาวสวยพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจแบบไม่จริงจังให้อีกฝ่ายรีบหันมาตอบว่า
“ก็อยากไปอยู่หลอกแต่ใครมันจะกล้าเข้าไปในงานเลี้ยงแบบนั้นหละ”นภาตอบด้วยสีหน้าที่ดูเศร้าอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่นภาออกจากบ้านพักเธอก็ได้แอบเดินไปที่ริมหาดตรงจุดที่ชะเอมบอกว่าเธอจะมางานเลี้ยงวันเกิดของแฟนเพื่อนสายป่านแล้วภาพที่เธอเห็นก็คือภาพของชายหนุ่มรูปงามกำลังแนะนำมุกดาลักษ์ให้กับสายป่านและชะเอมมันจึงเป็นภาพเหตุการณ์ที่ดูไม่ยากนักว่าชายหนุ่มคนนั้นคงจะเป็นเพื่อนของสายป่านนั้นเอง แต่สิ่งที่ทำให้เธอเจ็บจี๊ดที่อกข้างซ้ายสุดๆคือภาพของผู้หญิงสาวสวยที่ยืนอยู่ข้างๆของชายหนุ่ม เธอไม่เคยลืมภาพของผู้หญิงคนนี้ได้ไม่ว่าจะอยู่ในระยะที่ห่างไกลกันแค่ไหน เธอจึงตัดสินใจเดินไปยังอีกด้านของชายหาดแทน แต่แล้วเธอก็ทนไม่ได้ที่จะให้วันสำคัญวันนี้ผ่านไปโดนที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรเลยเธอจึงคิดแผนการนี้ขึ้นมา
“ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะในหัวจะมีอะไรที่ไม่ใช่แผ่นการร้ายบ้างไหมยู”ร่างบางพูดพลางเอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อยแล้วขยี้หัวคนที่นั่งอยู่ด้านหลังของเธออย่างเอ็นดู โดยมีเธอนั่งอยู่ข้างหน้าระหว่างขาอวบๆ หันหน้าไปทางเดียวกันภาพทะเลเบื้องหน้าช่างดูสวยงามกว่าทุกๆครั้งที่มองเสียอีก(ถึงมันจะมืดจนมองไม่เห็นก็เหอะ)
“แต่มันก็พอออกมาดูดีหรือป่าวหละ รีบแทบตายกลัวจะไม่ทันเวลา”นภากอดร่างที่อยู่ตรงหน้าอย่างหวงแหน
“ทำไมเหรอ ทำไม่ต้องกลัวไม่ทันเวลาด้วยหละ”
“ก็ถ้าเลยเที่ยงคืนไปมันก็ไม่ใช่วันเกิดพี่แล้วนะสิ”นภามองออกไปยังทะเลใบหน้าของเธอเปลี่ยมไปด้วยความสุขรอยยิ้มแห่งความสุขเกิดขึ้นบนใบหน้าของเธอตลอดเวลาที่ผ่านมา แต่แล้วยิ้มนั้นก็ต้องหุบลงเมื่อเริ่มรู้สึกถึงอาการสั้นเล็กของอีกฝ่าย
“หนาวเหรอ...งั้นเดียวยูไปเอาเสื้อมาให้นะ”นภาทำท่าลุกขึ้นแต่ก็ต้องกลับมานั่งอยู่ในท่าเดิมเมื่อโดนมือของร่างบางจับที่แขนเสียก่อน
“ไม่ต้องหลอก” ร่างอ้วนยอมนั่งลงท่าเดิมแต่โดยดีพร้อมกับถามไปว่า
“ทำไมอะ”
“กอดพี่ทีสิ”
“ห๊า”ร่างอ้วนตกใจเล็กน้อยกับคำพูดของอีกฝ่าย
“ก็กอดพี่หน่อยสิหนาวจะตายอยู่แล้ว”สาวสวยไม่พูดป่าวแต่กับนำมือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายมาโอบเอวของตนเอาไว้แต่แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อมือคู่นั้นรัดแน่นขึ้นจนตัวของเธอเข้าไปแน่นชิดกับอีกฝ่ายจบสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากร่างกายอีกฝ่ายผ่านทางอ้อมกอด พร้อมกับให้ความรู้สึกปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก
“อุ่นไหม?”จู่ๆร่างอ้วนก็ถามขึ้น
“อือ...”
“เออใช่ ...ยูขี้หนาวไม่ใช่หรอแล้วนี้หนาวหรือป่าว” มุกดาลักษ์พึ่งนึกขึ้นมาได้ว่าสาวเจ้าเนื้อคนนี้ถึงแม้จะมีรูปร่างที่ใหญ่แต่หากความจริงนั้นเป็นคนที่หากอุณหภูมิต่ำลงหรือเพียงว่าคนอื่นรู้สึกเย็นสบายแต่นภาผู้นี้กลับรู้สึกมากว่าคนอื่นเสมอบ่อยครั้งที่ออกไปเดินเล่นในเวลาที่อากาศเย็นสบายแต่คนข้างๆเธอกลับเริ่มมีอาการสั้นเล็กๆแบบนี้เสมอ
“ไม่เป็นอะไรหลอก ยูก็กอดพี่อยู่นี้ไง”ร่างอ้วนยิ้มให้อีกฝ่ายที่ตอนนี้กำลังหันมาจ้องหน้าเธอ ก่อนที่ร่างบางจะหันกลับไปมองท้องทะเลอีกครั้ง
“อยากหยุดเวลาไว้แบบนี้จัง”มุกดาลักษ์พูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเศร้าเสียจนคนข้างหลังต้องพูดขึ้นมาว่า
“เวลามันไม่เคยหยุดเดิน...ก็คงเหมือนใจของคนบางคนที่ไม่เคยหยุด” สิ้นคำพูดของนภาสาวสวยก็หันทั้งตัวมาจองด้วยสายตาถมึงทึง
“ว่าใครยู”มุกดาลักษ์ทำเสียงดุใส่อีกฝ่ายทันที
“ก็จะใครหละ”น้ำเสียงเรียบๆเช่นเคย
“ปากหรืออะไรยู”
“หรือไม่จริง”
“ปากแบบนี้มันน่า...” สาวสวยกัดริมฝีปากตัวเองอย่างหมันไส้คนตรงหน้าสุดๆ
“มันน่าอะไร”รอยยิ้มเกิดขึ้นบนใบหน้าของนภาอีกครั้งเมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่าย
“กะ.....” ก่อนที่มุกดาลักษ์จะได้พูดอะไรต่อริมฝีปากของเธอก็ถูกริมฝีปากอวบๆของอีกฝ่ายสัมผัสอย่างแผ่วเบารับรู้ได้ถึงความอุ่นจางๆที่ริมฝีปากของกันและกัน เมื่อริมฝีปากก็แยกออกจากกันพร้อมกับใจสองดวงที่เต้นเร็วและถี่พร้อมอาการหน้าแดงกล่ำของทั้งคู่ทำให้ผู้ที่แอบมองดูเหตุการณ์อยู่ได้ใจสะหลายกันถึงสองดวงนั้นคือ ธนากิจและชะเอมนั้นเองส่วนสายป่านนั้นก็ได้แต่อึ่งกับภาพที่เห็นเท่านั้นแต่ใจของสายป่านก็แอบอิจฉานภาเล็กๆเหมือนกันที่ได้มีบทหวานซึ่งกับสาวสวยแบบนี้ แต่แล้วความอึ่งนั้นก็ต้องจบลงเมื่อชายหนุ่มรูปงามได้เดินดุ่มๆเข้าไปหาทั้งคู่อย่างรวดเร็วเมื่อธนากิจไปถึงชายหนุ่มก็ไม่รีรอที่จะกระชากคอเสื้อยืดของนภาขึ้นมาอย่างแรงจนทำให้มุกดาลักษ์ที่ไม่ทันได้ตั้งตัว สะดุ้งไปเล็กน้อย
“แกกล้าดียังไงฮะ!”ธนากิจกระแทกเสียงใส่นภาด้วยความโกรธแบบสุดๆ
“........”ร่างอ้วนไม่พูดอะไรได้แต่ทำสีหน้านิ่งสนิทแต่ไม่มีทีท่าว่ากลัวคนตรงหน้านี้แม้แต่นิด ส่วนทางด้านของคนที่กำลังเดือดอยู่ยิ่งเห็นอีกฝ่ายไม่โต้ตอบอะไรเลือดยิ่งขึ้นหน้าขึ้นไปทุกที ว่าแล้วกำปั้นใหญ่ก็กระแทกเข้าที่ใบหน้าของร่างอ้วนอย่างจัง แรงกระแทนทำเอาร่างอ้วนลงไปนั่งกองอยู่บนพื้นทรายแต่ดูเหมือนชายหนุ่มจะยังไม่เลิกรายังคงเดินตรงเข้าไปหาร่างที่นั่งบนพื้นนั้นอีก แต่ก่อนที่จะไปถึงมุกดาลักษ์ก็ได้เอาตัวเข้ามาขวางไว้เสียก่อน
“หลบไปฟ้า”ธนากิจพูดเสียงแข็ง
“ไม่คะ...นี้กิจ กิจกำลังทำร้ายผู้หญิงอยู่นะคะ”จู่ๆความโกรธก็เกิดขึ้นในตัวของมุกดาลักษ์ทันที ก็แน่หละใครจะไม่โกรธคนที่มาทำร้ายคนรักของเราบ้างหละ
“หลบไปฟ้า”ชายหนุ่มไม่พูดป่าวแต่กลับจับร่างบางเหวี่ยงไปด้านข้างจนร่างบางก้นกระแทกกับพื้นอย่างจังนภาที่เห็นคนรักถูกทำร้ายความโกรธก็ผุดขึ้นมาทันทีร่างอ้วนกำหมัดแน่นก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าไปหาชายหนุ่มอย่างเร็วก่อนจะใช้หมัดชกเข้าไปที่ใบหน้าของชายหนุ่มเต็มแรงจนชายหนุ่มเกิดอาการเซแล้วล้มลงไปนั่งกับทรายทันทีชายหนุ่มจับแก้มข้างที่โดนแรงกระแทกเมื่อครู่อย่างจังก่อนที่จะรีบลุกขึ้น แต่ในขณะนั้นเองเท้าอูมๆของนภาก็ถีบเข้าเติมกลางอกของธนากิจจนต้องลงไปนอนกองกับพื้นพร้อมกับอาการไอที่เกิดขึ้นเพราะความจุกที่อยากจะหาคำบรรยาย -ก็ถึงจะเห็นหุ่นแบบนี้แต่ก็เคยเล่นมาเหมือนกันนะพวกศิลปะป้องกันตัวเนี่ย
“นี้พี่...พี่จะทำอะไรยู...ยูไม่ว่าหลอกนะแต่ถ้าพี่ทำอะไรพี่ฟ้าหละก็อย่าหวังว่าคนคนนี้จะยอมอยู่เฉยๆ”นภาพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและจริงจังกว่าทุกครั้งทำให้ใจของผู้ถูกกล่าวถึงแอบเต้นเบาๆ ส่วนชายหนุ่มก็ได้แต่มองร่างอ้วนตรงหน้าพูดไม่ออกเพราะอาการจุกที่เกิดขึ้นรวมกับคำพูดของอีกฝ่ายเมื่อครู่นี้ทำให้เข้าพึ่งนึกถึงการกระทำของตนเมื่อครู่นี้ว่ามันช่างเป็นการกระทำที่ไม่หน้าให้อภัยเสียเหลือเกิน กับการที่เขาไม่รู้จักยับยั้งอารมณ์ของตัวเองจนทำรายมุกดาลักษ์ลงไป แต่ก่อนที่จะได้สำนึกผิดกับตัวเองไปมากกว่านั้นคอเสื้อของเขาก็ถูกกระชากอย่างแรงด้วยมือของนภา ทั้งคู่จ้องหน้ากันครู่หนึ่งก่อนที่มืออวบๆจะคลายออกจากปกเสื้อเชิดสีขาวของชายหนุ่ม แล้วเดินตรงเข้าไปหามุกดาลักษ์ทันที
“ยูไม่อยากอยู่ที่นี้” นภาจับมืออีกฝ่ายแล้วพาเดินออกห่างจากชายหนุ่มมาเรื่อยๆ ปล่อยให้สายป่านและชะเอมได้แต่มองหน้ากันอย่างงงก่อนที่ทั้งคู่จะรีบวิ่งเข้าไปหาธนากิจที่ยังคงนั่งไม่ได้สติอยู่ไม่ยอมขยับไปไหน
“ยูจะพาพี่ไปไหน”
“.............”ไรเสียงใดๆจากอีกฝ่าย ว่าแล้วมุกดาลักษ์ก็สะบัดมือออกจากการจับกุมของอีกฝ่ายอย่างแรง ร่างอ้วนหันมองเธอในทันที่ด้วยสายตาที่ดุดัน สาวสวยไม่กล้าที่จะสบตากับอีกฝ่ายเพราะเธอรู้ดีว่าสายตาแบบนี้มันหมายความว่าอะไร มุกดาลักษ์ได้แต่ก้มหน้านิ่ง แต่แล้วนภาก็เป็นฝ่ายต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ทำให้มุกดาลักษ์รีบเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของอีกฝ่ายทันที ก่อนจะต้องตกใจเมื่อเห็นมุมปากของอีกฝ่ายนั้นมีเลือดซึมออกมา
“ยู...”มุกดาลักษ์ใช้มือเรียวๆสัมผัสที่มุมปากของอีกฝ่ายแต่กลับถูกมือของอีกฝ่ายปัดมือออกเสียก่อน ทั้งคู่สบตากันแต่ในครั้งนี้แววตาของนภาได้เปลี่ยนไปมันกลับมาเป็นแววตาเรียบนิ่งยากที่จะค้นหาว่าตอนนี้คนคนนี้คิดอะไรอยู่หรือรู้สึกอะไรอยู่กันแน่ ร่างอ้วนถอยหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะทำทางเดินจากอีกฝ่ายไปเสียดื้อๆแต่ก็ต้องถูกมือของอีกฝ่ายดึงแขนเอาไว้แล้วถามว่า
“จะไปไหน”
“ไปทำแผล”นภายังคงไม่หันกลับมามองอีกฝ่ายหากแต่ยังคงทำท่าจะเดินตอนไป
“เดี่ยวพี่ทำให้”มุกดาลักษ์ดึงแขนอีกฝ่ายแรงขึ้นจนทั้งสองสบตากันอีกครั้ง นภาพาไม่พูดอะไรได้แต่เดินตามอีกฝ่ายไปอย่างเงียบๆ จะขัดหรือก็ไม่กล้าคนอย่างเธอไม่กล้าขัดใจใครอยู่แล้วโดยเฉพาะสาวสวยที่เดินจูงมือเธออยู่ในขณะนี้
“พี่จะพายูไปไหน”นภาถามขึ้นในขณะที่เดินตามแรงดึงของอีกฝ่ายดังเดิม
“บ้านพี่ไง”
“หา...”นภาร้องอย่างตกใจ
“จะหาอะไรหละจ๊ะ...เอาสักกี่หลังดีหละทั้งหาดนี้ก็ของพี่ทั้งหมดนี้หละ” สิ้นคำพูดของมุกดาลักษ์ร่างอ้วนก็ได้แต่ทำหน้างง ทั้งคู่เดินมาเรื่อยๆจนกระทั้งมาถึงบ้านหลังเล็กๆที่แยกออกมาจากในส่วนของรีสอร์ทพอสมควร เมื่อทั้งสองคนเข้ามาถึงในส่วนของห้องรับแขก สาวสวยก็ได้เดินเข้าไปยังอีกห้องหนึ่งเพื่อไปหยิบกล่องยา ปล่อยให้ร่างอ้วนนั่งมองไปรอบๆห้องพร้อมก็รอยยิ้มเล็กๆในใจ เมื่อเธอมองไปเจอของบางอย่างที่วางอยู่บนตู้โชว์ขนาดเล็กนั้นคือกรอบรูปสี่เหลี่ยมสีสดใสที่กรอบประดับด้วยกระดาษรูปตัวใจสีแดงอันเล็กๆ ของสิ่งนั้นคือของขวัญวันเกิดที่นภามอบให้อีกฝ่ายในปีก่อนที่ทั้งคู่จะจากกันด้วยความเจ็บปวด แต่แล้วนภาก็ต้องกลับมาอยู่กลับปัจจุบันอีกครั้งเมื่อมุกดาลักษ์เดินกลับเข้ามาในห้องพร้อมกับกล่องยาขนาดเล็ก สาวสวยเดินตรงเข้ามาหาร่างอ้วนแล้วนั่งลงข้างๆก่อนจะเริ่มทำการหยดยาใส่สำลีก่อนจะเริ่มนำมันแตะๆแผลที่มุมปากของอีกฝ่ายก่อนจะต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียง โอ๊ย! ของอีกฝ่ายเบาๆ
“เจ็บหรอยู....”มุกดาลักษ์ถามอย่างเป็นห่วงพร้อมกับดึงมือตัวเองออกจากปากของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
“ก็ลองมาโดนมั่งไหมหละจะได้รู้...แล้วนี้ผู้หญิงอะไรมือหนักเป็นบ้า”นภาบ่นพร้อมกับอาการเจ็บแสบที่มุกปาก
“โห๊ย...บ่นจริงงั้นทำเองเลยไป ไม่ทำให้แล้ว”สาวสวยพูดด้วยอาการงอน แต่อาการดังกล่าวกับทำให้อีกฝ่ายยิ้มออกมาเสียหน้าบานแต่ก็ต้องชีดเพราะแผลที่ยังคงเจ็บอยู่ ทำให้อีกฝ่ายรีบหันมานำมือของตนจับที่แก้มนิ่มๆของอีกฝ่ายทันที
“นี้....ยูรักพี่นะ”มืออวบๆเลื่อนขึ้นมากุมทับมือของอีกฝ่ายที่วางอยู่บนแก้มของเธอเบาๆ พร้อมกับมองใบหน้าของอีกฝ่ายเดียวแววตาที่ดูเศร้านิดๆ ทั้งคู่สบตากันอีกครั้ง
“ยูไม่ได้หวังให้พี่กลับมารักยูหรือให้เรากลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน...แต่ยูอย่างให้พี่รู้ว่าเมื่อไรที่พี่ต้องการยู....ยูจะมาอยู่เคียงข้างพี่เสมอ...องครักษ์จะอยู่ข้างๆนายหญิงเสมอนะ” และแล้วน้ำตาก็หลั่งไหลออกมาอย่างไม่อาจห้ามได้ ความรู้สึกที่ถูกเก็บเอาไว้มานานแสนนานได้ถูกปล่อยออกมาเป็นน้ำตาแทนคำพูดนับร้อยพันที่ยากเกินจะเอ่ยออกมาได้ สาวสวยยิ้มพร้อมกับคว้าร่างตรงหน้ามากอดอย่างนึกรัก ส่วนคนถูกกอดก็รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ออกมาอย่างอ่อนละมุนเธออย่างจะหยุดโลกหยุดเวลาไว้ ณ ขณะนี้เหลือเกินเพราะเธอกลัวว่าหากเวลานี้ผ่านไปเธอจะไม่สามารถกอดร่างของคนตรงหน้านี้ได้อีก ว่าแล้วน้ำตาก็ยิ่งไหลออกมาจนสาวสวยรู้สึกได้ถึงแรงสะอื่นเล็กของคนที่อยู่ในอ้อมกอด
“ยูเป็นอะไร” สาวสวยนำมืออีกข้างปาดหยุดน้ำตาที่ไหลของอีกฝ่ายอย่างทะนุถนอม
“ป่าว”นภายิ้มอย่างฝืดๆ
“ยูเป็นอะไร”มุกดาลักษ์ถามซ้ำด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นเล็กน้อย
“ป่าว”ร่างอ้วนตอบพร้อมหันหน้าหลบอีกฝ่าย
“โอ๋ๆๆเด็กเอ่ยเด็กน้อย”มุกดาลักษ์ยิ้มหน้าบานเมื่ออีกฝ่ายหันมามองหน้าเธอทันทีที่เธอพูดจบ เพราะเธอรู้ดีว่าร่างอ้วนผู้นี้ไม่ว่าใครจะพูดหรือว่าอะไรเธอจะไม่รู้สึกอะไรแต่หากว่าเธอเป็นเด็กเมื่อไรเธอจะมีปฏิกิริยาตอบสนองทันที
“ไม่ใช่เด็กสักหน่อย”นภาพูดอย่างไม่พอใจพร้อมกับท่าทางงอนนิดๆ
“อะจร้าไม่เด็กก็ไม่เด็ก”สาวสวยยิ้มจนแก้มแทบปริเมื่อเห็นอาการงอนของอีกฝ่ายในใจก็คิดว่าในเวลาที่ร่างอ้วนงอนแบบนี้ก็ดูน่ารักไปอีกแบบถึงแม้ว่าจะดูขัดกับบุคลิกไปบ้างก็ตาม
“ยิ้มอะไรนักหนาพี่”นภาหันมองหน้าอีกฝ่ายที่ยังคงยิ้มไม่หุบจนเธอรู้สึกงุนงงไม่ใช่น้อยเพราะสาวสวยผู้นี้ไม่เคยที่จะยิ้มได้ขนาดนี้มาก่อนแต่ไหนแค่นั่งอยู่เฉยๆกับยิ้มหน้าบานได้ขนาดนี้
“ก็...”
“ก็อะไร”
“ก็ดีใจ”มุกดาลักษ์ตอบด้วยอาการเขินเล็กน้อย
“ดีใจเรื่องอะไร”ยิ่งมุกดาลักษ์พูดเธอยิ่งไม่เข้าใจว่าจะดีใจเรื่องอะไรในเมื่อแค่นั่งกันอยู่เฉยๆไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย
“พูดไปคนอย่างยูคงไม่เข้าใจหลอกมั้ง”สาวสวยถอนหายใจ ก่อนที่จะทำหน้าเซ็งสุดๆกับคนตรงหน้า
“ไม่เข้าใจยังไง งง”ว่าแล้วคิ้วทั้งสองข้างของนภาก็ขมวดเข้าหากันพร้อมกับความงุนงงอีกครั้ง
“ก็ดีใจที่ได้เจอยูไง”สาวสวยตอบอย่างเนือยๆพร้อมอาการเขินนิดๆ
“อ๋อ...”ร่างอ้วนร้องขึ้น
“พึ่งเข้าใจเหรอเนี่ย”สาวสวยอึ่งกับอาการของอีกฝ่ายไม่น้อย ว่าทำไม่หนอคนตรงหน้าถึงได้เข้าใจอะไรยากเสียจริงแล้วที่งงหนักที่สุดคือเธอมารักคนเย็นชาเข้าใจความรู้สึกยากอย่างนภาผู้นี้ได้ยังไง ไม่ว่าเธอจะพูดสื่อความรู้สึกอะไรหรือว่าพยายามแสดงให้เห็น ดูเหมือนร่างอ้วนจะไม่เคยเข้าใจ จนเธอต้องพูดสิ่งในออกไปตรงๆอีกฝ่ายถึงจะเข้าใจ แต่มันก็ขัดกันอีกในเมื่อร่างอ้วนไม่ค่อยชอบที่จะบอกอะไรเธอตรงๆเช่นกันจะมีก็แต่การกระทำเท่านั้นที่แสดงออกมาให้เธอต้องมานั่งตีความเอาเอง
“ไม่ไหวเลยจริ๊งๆ”สาวสวยสายหน้าอย่างเหนื่อยใจ ร่างอ้วนมองใบหน้าของอีกฝ่ายก่อนจะยิ้มจนตาปิดขึ้นมาเสียดื้อๆ จนทำให้สาวสวยงงขึ้นมาบ้าง ทั้งสองสบตากันก่อนที่นภาจะพูดขึ้นว่า
“ยูกลับก่อนนะ”
“จะกลับไปไหน”มุกดาลักษ์ถามอย่างสงสัย
“ก็กลับบ้านพักไง...เดียวแฟนพี่มายูได้ตายกันพอดีแค่โดนหมัดเดียวยังแทบแย่”ว่าแล้วนภาก็ลุกขึ้นจาโซฟาแต่แล้วก็ต้องกลับมานั่งลงดังเดิมเมื่อถูกมือของอีกฝ่ายดึงอย่างแรง
“ไม่ให้กลับ”สาวสวยพูดเสียงแข็ง ร่างอ้วนมองใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างงุนงง
“กิจเค้าไม่มาหลอกกิจเค้าไม่ได้อยู่ที่นี้สักหน่อย”
“รู้ได้ไงว่าพี่เค้าจะไม่มา...ดูท่าทางพี่เค้าคงไม่ยอมง่ายๆหลอกมั้ง”นภาพูดพลางเบี่ยงหน้าหนีพร้อมกับอาการไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อพูดถึงชายหนุ่มคนนั้น
“ไม่ยอมอะไร”มุกดาลักษ์สงสัยก่อนจะพูดต่อไปว่า
“หรือว่าเรื่องที่เราไปถีบกิจเค้าเมื่อกี่” ร่างบางมองอีกฝ่ายที่ยังคงไม่ยอมหันมามองเธอแถมยังเงียบไม่ยอมพูดอะไรอีกตังหากจนเธอพูดแกล้งแหย่เล่นไปว่า
“หรือว่าจะเป็นเรื่องของพี่”สาวสวยพูดพร้อมกับใช้นิ้วชี้ ชี้เข้าหาตัวเอง
“แล้วคิดว่าไงหละ”ร่างอ้วนหันมาตอบพร้อมกับท่าทางยียวน
“อือ...นั้นสิจะเอายังไงดีน๊า
.”สาวสวยทำท่าคิดเล็กน้อย แต่นั้นกับทำให้ร่างอ้วนลุกขึ้นจากโซฟาในทันทีแต่ก็ถูกมือของสาวสวยรั้งไว้อีกครั้ง
“แหม่พักนี้งอนเก่งจริงนะ...หวงพี่เหรอยู”สาวสวยยิ้มแก้มปริอีกครั้งเมื่อเริ่มเห็นแก้มของอีกฝ่ายเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ
“ใครบอก...ใช่ที่ไหนเหล่า”ร่างอ้วนยังคงไม่หันกลับมาเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็นหน้าที่แดงขึ้นเรื่อยๆของตน(มันสายไปแล้วเค้าเห็นไปแล้วไอน้อง)
“ที่พี่คบกับกิจนั้นก็เพราะว่าพี่เป็นคนปกตินี้หน่า พี่ก็เหงาเป็นนี่ ใครมันจะไปเหมือนยูหละ...ความรู้สึกทำด้วยอะไรก็ไม่รู้มันถึงได้ชาซะขนาดนั้น” สาวสวยพูดจบนภาก็รีบหันควับมาจองใบหน้าของอีกฝ่ายทันที
“ว่ายูไม่ปกติหรือไง”
“หรือไม่จริง”
“จริง”นภารู้ตัวเองดีว่าตัวเองนั้นเป็นคนอย่างไรก็คนอย่างเธอมันเย็นชาด้านความรู้สึกกว่าน้ำแข็งหรือก้อนหินเสียอีกนิ แต่มันก็เป็นเฉพาะเวลาที่อยู่สาวสวยผู้นี้เท่านั้นหละ(หรือป่าวหว่า)
“แต่มันเป็นแบบนี้ก็เพราะพี่นะหละ”นภาพูดด้วยน้ำเสียที่ไม่จริงจังเท่าไรนัก
“อ้าวความผิดพี่เหรอเนี้ย”สาวสวยทำหน้าเหรอหราทันที
“ก็พี่เล่นเอาใจยูไปทั้งดวงแล้วยูจะเหลือใจไปรักไปชอบใครได้อีกเหล่า”ว่าแล้วอาการหน้าแดงก็เกิดขึ้นอย่างหนักพร้อมกับคำพูดที่แสนหน้าอายทำให้ร่างอ้วนหน้าแดงถึงใบหูแล้วในตอนนี้
“แหวะ
เน่าอะยู”สาวสวยนำมืออีกข้างที่ว่างอยู่วางลงบนหน้าอกของตัวเองพร้อมกับทำท่าทางเหมือนจุกคำพูดของอีกฝ่ายเต็มกลืน
“เอาน่า...นานๆเน่าที”นภาหันหน้ากับไปหาอีกฝ่าย
“เรื่องของกิจเดียวพี่เคลียเองว่าแต่ยู...จะกลับมาหาพี่ได้ไหม”ทั้งคู่สบตากันอีกครั้งแต่ดูเหมือนครั้งนี้จะนานกว่าทุกครั้ง
“กลับเหรอ...จะให้ยูกลับไปไหนหละ.....”ร่างอ้วนพูดเว้นช่วงคำจนอีกฝ่ายเริ่มจะรู้สึกใจหายขึ้นมานิดๆก่อนที่ร่างอ้วนจะพูดประโยคสุดท้ายออกมาทำให้ใจเธอชื้นขึ้นทันที
“จะให้กลับไปไหนในเมื่อยูก็อยู่นี้แล้วไง...แล้วจะให้ยูกลับไปไหนเหรอ”นภายื่นหน้าเข้าใกล้อีกฝ่ายจนตอนนี้หน้าของทั้งสองคนห่างกันไม่กี่นิ้ว ว่าแล้วทั้งคู่ก็ได้ยิ้มหน้าบานอีกครั้งโดยมิได้นัดหมาย โดยไม่รู้เลยว่าภายนอกหน้าต่างด้านข้างห้องนั้นมีผู้ที่แอบเผ่าดูการกระทำของเธอทั้งสองอยู่อย่างปวดใจ ซึ้งเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ธนากิจ ชะเอม และสายป่านทั้งสามแอบมองดูเหตุการณ์ได้พักหนึ่งแล้วหลังจากที่ธนากิจเริ่มได้สติแล้วเดินดุ่มๆมายังบ้านหลังเล็กหลังนี้โดยมีอีกสองคนเดินตามมาด้วยกลัวว่าชายหนุ่มจะทำอะไรเหมือนเมื่อครู่นี้อีก ส่วนทางด้านของชายหนุ่มเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดเข้าถึงต้องมายังที่แห่งนี้และทำไมเขาถึงต้องมาทดดูภาพดาบตาดาบใจตัวเองเช่นนี้ แต่แล้วเมื่อเขา ยิ่งดูคนทั้งสองหัวเราะและมีความสุขโดยเฉพาะสาวสวยเขาไม่เคยเห็นคนคนนี้ยิ้มอย่างมีความสุขได้หัวเราะอย่างสนุกสนานแบบนี้มาก่อนเพราะถึงแม้ว่าเขาจะทำอะไรให้กับเธอมากเพียงใดสิ่งที่ได้กลับมาก็แค่คำขอบคุณและยิ้มเล็กๆเท่านั้นเขาไม่เคยทำให้เธอยิ้มและดูมีความสุขได้เท่ากับตอนนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว ชายหนุ่มได้แต่ก้มหน้าอย่างเศร้าสร้อยก่อนที่จะค่อยๆเดินออกหางจากหน้าต่างแล้วเดินจากบ้านหลังนั้นออกมาเรื่อยๆกับใจที่รู้สึกเจ็บแต่ยินดีอย่างบอกไม่ถูก ส่วนสายป่านกับชะเอมก็เดินตามชายหนุ่มออกมาด้วยความเงียบสงัดก่อนที่ชายหนุ่มจะบอกกับทั้งคู่ว่า ขออยู่คนเดียว สายป่านกับชะเอมจึงแยกกับชายหนุ่ม ออกมา แล้วพากันเดินกลับบ้านพักไป เมื่อมาถึงยังบ้านพักสายป่านก็พูดลอยๆขึ้นว่า
“สงสารกิจเหมือนกันเนาะ” ชะเอมได้แต่ฟังอีกฝ่ายเท่านั้นเพราะในใจเธอก็รู้สึกเจ็บไม่น้อยเหมือนกันที่ต้องเสียของสำคัญไปอย่างไม่มีวันที่จะได้กลับมา ไม่สิเธอไม่เคยได้มันมาเลยตังหาก สายป่านที่เห็นใบหน้าเศร้าของอีกฝ่ายก็คว้าร่างบางมากอดอย่างหวงแหนในทันทีถึงแม้ยามนี้เธอจะไม่รู้ถึงสาเหตุของความเศร้าของอีกฝ่ายก็ตามแต่เธอรู้เพียงแต่ว่าเธอจะไม่ยอมเสียร่างบางผู้น่ารักคนนี้ให้กับใครเป็นอันขาด
ทางด้านของสองสาวที่ยังคงหัวเราะกันอย่างสนุกสนานนั้นไม่ได้รับรู้เลยว่าโลกภายนอกนั้นเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง ทั้งสองได้แต่นั่งพูดคุยกันอย่างคิดถึงและไม่อยากให้ช่วงเวลาแห่งความสุขนี้จบลงเธอยังคงอย่างจะเก็บภาพเหล่านี้เอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ยูไม่อยากกลับเลยพี่”นภาถอนหายใจพร้อมกับใบหน้าที่ดูเศร้าอย่างเห็นได้ชัด
“ก็ไม่ต้องกลับสิ...คืนนี้ก็นอนที่นี้พี่ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย”สาวสวยเชิดคางของอีกฝ่ายขึ้นมาให้สายตาผสานกันอีกครั้ง
“ไม่ใช่อย่างนั้น...คือว่าพรุ่งนี้ยูต้องกลับไปทำงานแล้ว”
“เร็วจัง...ลางานมากี่วันเนี่ย”สาวสวยถามอย่างใจหายที่จู่ๆความสุขก็จะต้องจบลงทั้งที่ยังไม่ได้ปรับความเข้าใจหรือว่าพูดคุยเรื่องที่อยากพูดอย่างจะเล่าให้อีกฝ่ายฟังอีกตั้งมากมาย
“ก็สองวัน...”
“ห๊า~~~...จะลาทำไม่แค่สองวัน”มุกดาลักษ์จองหน้าอีกฝ่ายพร้อมกับความคิดที่ว่า/จะลาพักงานทั้งทีทำไม่ถึงลาแค่สองวัน ไม่เคยเปลี่ยนเลยจริงๆที่จะทำอะไรแบบไม่เคยเผื่อ/ ว่าแล้วสาวสวยก็ถอนหายใจเบาๆออกมา
“ก็จะเทียวทำไมหลายวัน อีกอย่างยูไม่ได้คิดว่าจะมาเจอพี่ที่นี้นิ”นภาพูดจากความคิดจริงๆของเธอเพราะเธอมักจะชอบคิดว่าคนเราจะเที่ยวอะไรหนักหนาในเมื่อไม่ใช่ว่าเราจะไม่มีเวลาเที่ยวหรือผ่อนคลายและอีกเหตุผลหนึ่งคือเธอเป็นพวกชอบฝังตัวเองไม่ค่อยชอบออกมาเที่ยวเปิดหูเปิดตาเท่าไรนัก
“แล้วเราทำงานที่ไหนเดียวพี่โทรไปลาให้”สาวสวยทำท่าจะหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงแต่ก็ต้องถูกอีกฝ่ายรั้งเอาไว้เสียก่อน
“ไม่ต้องหลอกพี่...ว่าแต่พี่ทำงานที่นี้จริงๆหรอ”นภาถามสิ่งที่คาใจตั้งแต่ถูกอีกฝ่ายพามายังบ้านหลังน้อยหลังนี้ออกมาแต่แล้วเธอก็ต้องร้อง หา ออกมาเมื่อรู้ว่าคนตรงหน้าเธอไม่ใช่แค่มาทำงานที่นี้หากแต่เธอคือเจ้าของรีสอร์ทแห่งนี้ตังหาก
“แล้วทำไม่พี่มาเปิดรีสอร์ทที่นี้อ่ะ”ร่างอ้วนถามอย่างสงสัยเพราะคนอย่างมุกดาลักษ์ไม่น่าจะยอมลำบากมาดูแลที่แบบนี้เป็นแน่มันต้องมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้สาวสวยมาดูแลที่นี้
“ก็ไม่มีอะไรมากก็แค่อยากอยู่ห่างเมืองหลวงก็เท่านั้นเอง”สาวสวยยิ้มให้อีกฝ่ายแต่ในตากลับแฝงอะไรบ้างอย่างเอาไว้บางอย่างที่เธอไม่อยากให้คนตรงหน้าได้รู้ว่าเธอต้องการออกหางจากทางบ้านเท่านั้นเองเธอเบื่อที่จะต้องทำตามแต่ความพึงพอใจของทางบ้านไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำงานและเรื่องต่างๆรวมถึงเรื่องคู่ครองที่ดูเหมือนจะมีการเตรียมการกันเอาไว้ตั้งแต่ก่อนเธอจะจบเสียอีกแต่จนแล้วจนลอดเธอก็ปฏิเสธเสียงแข่งและใช้คำขู่อีกมากมายกว่าเธอจะหลบจากตรงนั้นมาได้ และการที่เธอมาเปิดรีสอร์ท ณ ที่แหล่งนี้นั้นก็เพราะว่าตามความจริงแล้วรีสอร์ทแห่งนี้เป็นของญาติผู้ใหญ่คนสนิทของเธอ แต่เธอแค่ของมาช่วยงานเฉยๆในปีแรกแต่ไม่รู้เพราะเหตุใดญาติของเธอจึงยกรีสอร์ทแห่งนี้ให้เธอเสียไม่ทันตั้งตัว พอเธอถามเหตุผลญาติชองเธอก็ได้แต่บอกว่าเห็นเธอมีความพยายามและตังใจทำงานดีและที่สำคัญคือเห็นแต่บอกว่าแก่แล้วอยากจะพักแล้วก็เลยจะยกรีสอร์ทแห่งนี้ให้เพราะลูกหลายคนอื่นๆต่างก็มีงานทำเป็นหลักเป็นแห่งกันหมดแล้ว เธอจึงไม่กล้าจะตอบปฏิเสธแต่แล้วเธอก็พึ่งจะรู้เมื่อไม่นานมานี้เองว่าเหตุผลจริงๆที่ญาติของเธอยกรีสอร์ทให้ง่ายๆนั้นก็เพราะว่าพ่อของเธอที่เป็นหุ้นส่วนใหญ่ของรีสอร์ทได้ขอซื้อหุ้นทั้งหมดเพื่อจะให้รีสอร์ทอยู่ในการดูแลของเธออย่างเต็มตัวนั้นเองส่วนเรื่องว่าพ่อกับญาติของเธอนั้นตกลงกันยังไงเธอก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะเธอไม่ค่อยชอบยุ้งของผู้ใหญ่เสียเท่าไรนัก
“เอาน่า...เอาเป็นว่ายูจะมาหาพี่ทุกอาทิตย์ก็ได้นิ”นภาที่เห็นอีกฝ่ายยังคงทำหน้าเศร้าพูดออกไปพร้อมกับใช้มืออวบๆของตนลางลงบนแก้มขาวเนียนของอีกฝ่ายอย่างเบามือ พร้อมร้อยยิ้มทะเล้น
“เปลืองน้ำมันรถ”สาวสวยพูดพลางนำมือของอีกฝ่ายที่อยู่บนแก้มลงมากุมไว้อย่างทะนุถนอม
“งั้นเดือนละครั้ง”
“นานไป”
“แล้วจะให้เอายังไงเนี่ยพี่”นภาเกิดการการหงุดหงิดขึ้นเล็กน้อย
“ก็เอาเป็นว่าถ้ายูคิดถึงพี่ยูก็มาหาพี่...ส่วนถ้าพี่คิดถึงยู ยูก็ต้องมาหาพี่โอเคม่ะ”สาวสวยใช่มือทั้งสองข้างบีบแก้มอวบๆของอีกแล้วเบาๆอย่างเอ็นดู
“ไม่ค่อยเลยนะคนเรา”ร่างอ้วนจับข้อมือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายให้หยุดนิ่ง
“ก็ไหนองครักษ์บอกว่าจะอยู่ข้างนายหญิงเสมอไง”มุกดาลักษ์พูดอย่างงอนนิดๆพร้อมกับทวงคำสัญญาที่อีกฝ่ายเคยให้ไว้เมื่อครู่
“ยูไม่ลืมหลอก...แต่ขอกลับไปทำงานก่อนได้ไหมส่วนหน้าที่ค่อยว่ากันใหม่”นภาจ้องตากับอีกฝ่ายด้วยแววตาที่อ่อนโยนกว่าทุกทีแต่ทว่ามือของทั้งคู่ยังคงอยู่ในท่าเดิม
“เง้อ...งั้นเอาเป็นว่าถ้ายูว่างยูก็มาหาพี่...ส่วนถ้าพี่ว่างหรือคิดถึงยูจนทนไม่ได้พี่จะไปหายู” สาวสวยยิ้มแล้วบีบแก้มของอีกฝ่ายเล่นเบาๆ
“ไม่ต้องเลยพี่ต้องดูแลรีสอร์ทต้องดูแลคนตั้งเยอะนะ อย่าทำอะไรตามใจตัวเองนักสิพี่”นภาเข้าใจถึงสถานะของอีกฝ่ายเป็นอย่างดีว่าการที่ดูแลรีสอร์ทนั้นเป็นการดูแลคนหมู่มากจะทำอะไรก็ต้องคิดให้ดี และรอบคอบ ในทุกการกระทำ ไม่ควรนำเรื่องส่วนตัวมายุ้งจนเสียงาน
“งั้นเอาเป็นว่า ถ้ายูว่างเมื่อไหร่ก็มาหาพี่ก็แล้วกัน ส่วนถ้าพี่ว่างตอนไหนพี่จะโทรไปหานะ”สาวสวยยิ้มจางๆ
“ฮืม...ตกลงตามนั้น”ร่างอ้วนคลายมือออกจาข้อมือของอีกฝ่ายก่อนที่จะนอนเหยียดไปบนโซฟาหัวหนุนตับเล็กๆของอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมองเรียวหน้าสวยๆก่อนจะยิ้มและทำท่าทางเหมือนเด็กน้อยนอนบนตักแม่ก็ไม่ปาน
“ง่วงแล้วอ่ะ ขอนอนหน่อยนะ”
“นี้ถ้าจะนอนก็ไปนอนในห้องดีๆสินอนท่านี้พี่ก็เมื่อยเป็นนะ”สาวสวยโวยวายอย่างไม่จริงจังเท่าไรนักในใจก็คิดว่า/ไหนบอกไม่ใช่เด็กนี้ทำยิ่งกว่าเด็กเสียอีก/ว่าแล้วสาวสวยก็อดที่จะยิ้มไม่ได้
“ก็พี่เมื่อยแต่ยูไม่เมื่อยนี้หน่า”ร่างอ้วนยังคงนอนต่อไปโดนไม่สนว่าอีกฝ่ายจะว่าหรือทำอะไรกับตัวของเธอ แต่มันกลับยิ่งทำให้รอยยิ้มของเธอกว้างขึ้นเรื่อยๆแทน
“หัวหรือก้อนหินเนี่ยยูหนักเป็นบ้าเอาออกป๊าย~~”สาวสวยยกหัวของอีกฝ่ายขึ้นแต่ก็ต้องให้มันกลับมาอยู่ที่เดิมเมื่อเธอยิ่งยกร่างอ้วนก็ยิ่งทิ้งน้ำหนักลงมามากเท้านั้น”
“ไม่” คำตอบสั้นๆง่ายๆเพียงคำเดียวเท่านั้นที่ออกมาไม่ว่าสาวสวยจะทำอะไรหรือพูดอะไรก็จะมีแต่คำนี้เท่านักที่ออกจากปากของเธอ
และแล้วความหวานเมื่อครั้งวันวานก็กลับมาเยือนทั้งคู่อีกครั้ง ระยะเวลาในช่วงที่ผ่านพ้นมามันช่างทรมานจิตใจของคนทั้งคู่เสียจนยากจะหาคำใดมาเปรียบเทียบ แต่ในตอนนี้เมื่อได้กลับมามีคำว่าเราเป็นตัวเชื่อมกลางระหว่างสองใจแล้วหละก็จะไม่มีสิ่งใดมาพรากคำว่าเราไหนได้อีก แต่ถึงจะมีเธอทั้งสองก็จะขอปกป้องคำนั้นเอาไว้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็จะขอมีกันและกันตลอดไป
******จบ*******
นิยายเน่าๆไม่ได้เรื่องได้จบลงแล้ว(ฮาฮา)
ความคิดเห็น