คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ✥ บทที่2 ✥ นักเรียนไทยสมัยนี้ 85%ยอมรับว่า การบ้านที่ครูให้ ทำไปก็เท่านั้น!
Chapter 2
ผมยืนอยู่บนโลกสีดำสนิทใบหนึ่ง
ทบทวนกับเรื่องราวที่ผ่านมาและคิดว่าทำยังไงถึงจะดิ้นรนมีชีวิตอยู่ต่อในวันพรุ่งนี้ได้
ทุกสิ่งทุกอย่างฉายซ้ำวนเวียนอยู่ในบ่อน้ำแห่งความไม่แน่นอน
ผมปล่อยให้ตัวเองจมลึกลงไป และลึกลงไปเรื่อยๆ
...จนกระทั่งวันที่คุณได้เข้ามาในชีวิตของผม...
โลกใบนี้ก็ดูจะไม่มืดมิดเหมือนอย่างเคย
………………………………………………………
“นิรกานต์ เมธิสากฤษกุล เรียกสั้นๆได้ว่า ลูซ เป็นครูที่ปรึกษาประจำชั้นคนใหม่ของพวกเธอประจำปีการศึกษานี้และ...
“…มาประจำสอนในวิชาจริยธรรม”
ทั้งห้องยังคงเงียบสงัดไม่ต่างกับป่าช้าแม้ว่าเขาจะเพิ่งแนะนำตัวเองจบ “ใครมีอะไรจะถามมั้ย?”
…
ไร้สัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก
เขาส่งยิ้มกลับไปยังนักเรียนทั้งห้องที่มองมายังเขาเป็นดั่งจุดศูนย์รวมสายตา แม้ว่าในหัวของคุณครูประจำชั้นห้องม5.11คนใหม่ชักจะเริ่มไปไม่เป็นขึ้นมาหน่อยๆเมื่อทั้งห้องไร้ปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ
ทีแรกยังทำท่าจะเกรียนใส่อยู่เลยไม่ใช่รึไง พูดอะไรซักหน่อยเซ่! ไม่ใช่มาทำเงียบอยู่แบบนี้ กุไปต่อไม่เป็นเฟ้ย!
เกมส์จ้องตาคงจะดำเนินต่อไปจนหมดคาบหากว่าไม่มีเสียงหนึ่งเอ่ยถามทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน
“คือ...ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่พระอาจารย์จะยกพระบาทท่านออกจากกบาลเพื่อนผมซะทีล่ะครับ”เฟิร์สยกมือขึ้นถามพลางชักสีหน้าแปลกๆ
ลูซชะงักไปครู่หนึ่งก่อนเหลือบมองคนที่ตนกำลังเหยียบไว้ต่างที่รองเท้าอยู่เหมือเพิ่งระลึกได้ก่อนจะถอยออกมาปล่อยให้เพื่อน2-3คนวิ่งมาประคองให้เด็กหนุ่มค่อยๆลุกขึ้นแล้วลากออกไปอย่างรวดเร็วราวกับอยากหนีให้พ้นจากรัศมีของอะไรบางอย่าง
เด็กหนุ่มผมดำหลังหลุดออกมาจากพื้นธรณีห้องก็หันมาตวัดสายตาใส่เขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อในทันที
...เมิงเป็นชู้กับพื้นห้องเรียนรึไง ก็เข้าใจว่ารักกันมากแต่โดนจับพรากนิดพรากหน่อยไม่ต้องทำตาเขียวใส่กุก็ได้ครับ ...
ดีที่ความคิดดังกล่าวยังไม่ทันหลุดออกจากปากไป เพราะบัดนี้เมื่อความเงียบถูกทำลายลง ทั้งห้องเหมือนกับหุ่นขี้ผึ้งที่ค่อยๆกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เสียงวิพากษ์วิจารณ์และคำถามต่างๆดังตามมา
“ครูเนี่ยนะมาประจำสอนจริยธรรม”
“ถึงกับซัดไอ้เวสล้มได้ด้วย!”
“ชื่อหยั่งกะผู้หญิง”
“หน้าเด็กเหลือเชื่อเลยว่ะ”
“หล่อแมร่ง”
“แต่ทำไมตัวเตี้ยจัง”
ปรี๊ดด!
“ไม่ต้องมายุ่งกับส่วนสูงชาวบ้าน!!”
ทั้งห้องเงียบกริบในทันทีเมื่อคุณครูคนใหม่แย้งออกมาแบบฉับพลัน ลูซข่มความรู้สึกขุ่นเคืองเหมือนถูกจี้ใจดำเอาไว้ข้างในแล้วกระฟัดกระเฟียดเล็กน้อยแม้ใจจะจำต้องยอมรับความจริง
อาจารย์เพียงหนึ่งเดียวในหมู่นักเรียนเอ่ยเพื่อดึงความเป็นตัวของตัวเองกลับมาอีกครั้ง“โอเค พวกเธอส่วนใหญ่อาจจะข้องใจในวุฒิของครู แต่ฉันขอยืนยันว่าถึงจะหน้าตาอย่างนี้แต่ก็ได้รับปริญญามาแล้วอย่างน้อย2ใบไม่ใช่รุ่นพี่ที่ไหนปลอมตัวมาสอนแน่นอน”แม้จะรู้สึกไม่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งยามได้เห็นใบหน้าอ่อนวัยของคนตรงหน้าแต่หลายคนก็ยอมรับแต่โดยดี
“และก็อย่างที่หลายๆคนเดากันได้ ฉันเป็นครูเข้าใหม่ ไม่เคยเข้าทำงานที่นี่มาก่อน ถ้าขาดตกบกพร่องยังไงก็อยากให้ทุกคนช่วยชี้แนะด้วยเช่นกัน”เขากล่าวตบท้ายด้วยรอยยิ้มให้นักเรียนหญิงหลายๆคนเคลิ้มฝันกันต่อไป
ดูๆไปเด็กพวกนี้ก็ไม่เห็นจะปัญหามากตรงไหน ไอ้อาจารย์ที่พาเขาปฐมนิเทศนั่นท่าจะพูดเกินจริงไปหน่....
“เหอะ เข้ามาใหม่แต่ทำซ่าส์ตั้งแต่วันแรก ไม่กลัวโดนฟ้องร้องรึไง”เด็กหนุ่มผมดำที่เหมือนเขาได้ยินว่าจะชื่อเวสแค่นเสียงออกมาขณะนั่งผึ่งลมอยู่ที่ริมหน้าต่าง
“ฉันทำไปเพื่อป้องกันตัว ทุกคนเป็นพยานได้”
“ป้องกันตัวนี่รวมถึงทำร้ายกลับซ้ำสองด้วยรึไงกัน!”
“ความสุขส่วนตัว”
ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้โวยกลับ เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลแดงที่ยกมือถามเขาในตอนแรกก็เข้ามาตะครุบตัวเพื่อนไว้“เวส คราวนี้แกผิดจริงนะเว้ย เลิกเห่าแล้วไปขอเสื้อเปลี่ยนที่ห้องพยาบาลซะที”
เวสส่งเสียงจึ๊กจั๊กในลำคอก่อนเหลือบมองไปยังเพื่อนคนอื่นๆก็ก่อนหยุดที่เด็กหนุ่มผมทองคนหนึ่งราวกับกำลังอ่านความคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่งคนหัวทองก็โยนเสื้อวอร์มออกมาให้เอาไปคลุมชั่วคราว เขาขมวดคิ้วกระโดดลงมาจากขอบหน้าต่างแล้วเดินกลับไปนั่งที่เดิมของตัวเอง สื่อเป็นนัยๆว่าจะรอจนกว่าครูคนใหม่นี้จะจบคาบ
อันที่จริงก็มีตัวปัญหาอยู่อย่างน้อยตัวนึงล่ะนะ
ลูซกลับมาชี้แจงต่อ “ฉันคิดว่าพวกเธอคงรู้ใช่มั้ยว่าวิชาที่ฉันจะสอนมันเป็นยังไง”
หลายคนพยักหน้า
จากที่ทุกคนเคยเรียนกันมาเมื่อตอนม.4 วิชาจริยธรรมตามหลักสูตรเทพาสริณวิทยาจะเป็นวิชาที่เหมือนกับเอาวิชาแนะแนวและสังคมโลกมาผสมกัน ไม่มีรูปแบบการสอนแน่นอนตายตัว ไม่มีการสอบและไม่มีการปรับตกมีจุดประสงค์ก็เพื่อให้นักเรียนรู้จักการเรียนรู้ที่จะปรับตัวอยู่ในสังคม
“แน่นอนว่าวิชานี้มันชิวๆสบายๆ พวกเธอไม่ต้องซีเรียสที่จะเรียนกัน...”นักเรียนส่วนใหญ่ในห้องอมยิ้มขึ้นมาทันที แต่ก็เพียงแค่ชั่วขณะก่อนได้ฟังประโยคถัดไปของอีกฝ่าย
“…แต่ในฐานะของครูสอนจริยธรรมและครูที่ปรึกษาประจำชั้นห้องนี้ พวกเธอจงเตรียมใจไว้ว่าครูจะค่อนข้าง ‘สอดรู้สอดเห็น’ใน เรื่องของลูกศิษย์ตัวเองมากผิดปกติ พวกเธอไม่ต้องจริงจังมากในการเรียนวิชานี้แต่ถ้าคิดจะก่อวีรกรรมอะไรเหมือน ปีการศึกษาก่อนล่ะก็ ช่วยคิดทบทวนให้ดีๆก่อนละกัน”ทุกชีวิตในห้องรู้สึกได้ถึงเค้าไอที่เปลี่ยนไปชั่ววูบหนึ่งยามที่อาจารย์คนนี้ยิ้มบางออกมา
ตึ๊ง~ตึ่ง~ตึง~ตึ่ง...ตึ่ง~ตึง~ตึ๊ง~ตึง~ เสียงออดดังบอกเวลาหมดคาบดังขึ้น ดึงบรรยากาศให้กลับสู่โหมดปกติในทันใด
“เอาล่ะนักเรียน ตอนนี้ก็เหลือเวลาไม่มากแล้ว”เขาเหลือบมองนาฬิกาหน้าห้องก่อนขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกขัดใจ ตอนที่มีเรื่องกับไอ้เด็กนั่นกินเวลาไปขนาดนี้เชียวเรอะ
สำหรับนักเรียนทั้งหลาย ตอนนี้‘สัญชาติญาณของนักเรียนไทย’กำลังส่งสัญญาณเตือนออกมาให้รู้โดยทั่วกัน
ถ้าแมร่งใกล้หมดเวลาอย่างนี้ ครูส่วนใหญ่มันต้อง...
“ฉันจะขอเปิดประเดิมการบ้านแรกทิ้งไว้ให้สัก1อย่างละกัน”
กุว่าแล้ว...
ลูซคว้าปากกามาแท่งหนึ่งแล้วแอบแสยะยิ้มออกมาโดยไม่ให้คนอื่นๆเห็นขณะที่เด็กไทยทั้งหลายบ่นอิดออดกันยกใหญ่“แค่ให้ไปหาความหมายของคำ อย่าบ่นมากเลยน่า การบ้านคราวนี้เบสิกจะตาย ”
เสียงปากกาไวท์บอร์ดลั่นเอี๊ยดอ๊าดขณะที่คำๆนั้นถูกเขียนลงไป เวสที่นั่งเท้าคางมองอย่างเอื่อยๆอยู่ไถลพรวดกับโต๊ะในทันทีที่เห็นคำที่ว่า
เขาเคาะปากกากับไวท์บอร์ด2-3ที“ส่ง ในคาบของครูวันมะรืน จะค้นจากเน็ต หนังสือ หรือว่าคิดขึ้นเองก็ได้ คนที่ค้นจากอินเทอร์เน็ตห้ามพิมพ์มาส่ง ต้องเขียนด้วยมือตัวเองเท่านั้นและหวังว่าพวกเธอทุกคนจะทำมันออกมาให้ดีที่ สุดเลิกคาบได้”
ร่างสูงเก็บของจัดเนคไท แล้วเดินผลุบออกนอกประตูไปในทันทีด้วยรอยยิ้มที่ไม่มีใครสังเกตเห็น ทิ้งความรู้สึกอยากชูนิ้วกลางเอาไว้ให้คนทั้งห้องพร้อมเสียงสบถเจริญพรยาวเหยียด
“ไอ้ครูปีศาจนี่มันจะหาเรื่องอ้อนส้นตีนสักกี่ครั้งกันวะ”เฟิร์สสบถออกมาแบบอดไม่ได้
ก็อาจารยท่านให้ไปหาความหมายของคำว่า‘เกรียน’มาเนี่ยนะ! การบ้านอะไรมันจะบัดซบขนาดนี้เนี่ย!
…
ชายหนุ่มดวงตาสีทองคำคมกริบ เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนจัดทรงไว้อย่างเหมาะเจาะเข้ากับรูปหน้าซึ่งช่วยให้เสริม ให้ใบหน้าหล่อเหลาคมคายดูดีขึ้นไปอีกราวกับนายแบบลูกครึ่งผู้เคร่งขรึมและ เอาจริงอาจังชวนหลงใหลที่หลุดออกมาจากนิตยสารวิชาการหยุดยืนอยู่หน้า ประตูกระจกแบบผลักที่บดบังภายในไว้ด้วยผ้าม่านสีแดงเลือด จากตรงนี้สามารถได้ยินเสียงของคนข้างในที่เหมือนกำลังคุยโทรศัพท์กับใครซัก คนได้แบบรางๆ
“ขออนุญาตครับ ท่านผอ.”ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเปี่ยมมารยาทแต่กลับแฝงไว้ด้วยความเคร่งเครียดที่ปิดไม่มิดก่อนผลักประตูเข้าไปข้างในห้องช้าๆ
ภายในห้องนั้นกว้างขวางและจัดแต่งไว้อย่างลงตัวเหมาะแก่การรับรองแขกและทำ งานไปในตัว โทนสีของห้องเน้นไปทางสีเข้มแต่ไม่ชวนให้หนักตาด้วยกระถางต้นไม้ที่วางไว้ มุมโน้นมุมนี้ อากาศภายในเย็นฉ่ำเพราะเครื่องปรับอากาศริมฝาผนังแต่ไม่อาจดับความร้อนรนของ เขาลงได้เลย เท้าทั้งสองสัมผัสพรมแดงหนานุ่มก่อนก้าวไปยังผู้ที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่
ชายวัยกลางคนท่าทางอ่อนโยนกล่าวกับปลายสาย “ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยดีก็ดีแล้วล่ะ...ไม่เป็นไร”
“งั้นแค่นี้ละกัน ฉันขอคุยธุระกับอาจารย์อีกท่านก่อน...โอเค ขอบใจมาก”
ทันทีที่การสนทนาจบลง ภาคินก็ยิงคำถามเข้าใส่ผู้มีอำนาจสูงสุดในโรงเรียนทันที “ท่านครับ ทำไมถึงให้อาจารย์ที่เพิ่งเข้าใหม่ไปรับมือห้อง5.11ตั้งแต่วันแรกกันครับ”
“อ.ภาคิณ คุณไม่ไปเข้าโฮมรูมนักเรียนรึไง”ผอ.อภิรัตน์ยิ้มสบายๆให้พลางเหลือบมองใบรายชื่อที่ยับยู่ยี่ในมืออีกฝ่าย
...คงเห็นแล้วสินะ
“ผมบอกให้พวกเขาอยู่กันเงียบๆแล้วให้ทำความรู้จักกันในห้องแล้วครับ ช่วยกรุณาตอบคำถามก่อนหน้านี้ด้วย”
ผู้อยู่หลังโต๊ะทำงานเปลี่ยนมานั่งประสานมือไว้บนโต๊ะ “ก็ ไม่ทำไมนี่ ทางเราหาคนมาประจำที่ห้องนั้นไม่ได้ก็เลยลองถามๆดูว่ามีใครว่างมาทำหน้าที่ แทนบ้างรึเปล่า แล้วอาจารย์ท่านนั้นก็เพิ่งเข้ามาใหม่พอดีผมไม่เห็นว่ามันควรที่จะมีคำถามตรงไหน”
“ท่านอย่ามาแกล้งโง่ดีกว่า”ชายหนุ่มกัดฟันกรอด
“อย่า เพิ่งดุสิครับอาจารย์ ความจริงก็คือผมคิดว่าแทนที่จะไปจ้างพวกผู้คุมปลดเกษียณหรือว่าอดีตหัวหน้า รด.จากข้างนอกเหมือนเทอมที่ผ่านมาถือว่าประหยัดงบดีออกดีกว่ากันตั้งเยอะ เห็นใจผมบ้างสิ รายได้จากสมาคมผู้ปกครองเราเองก็เริ่มร่อยหรอไปมากแล้วนา”
“ประหยัดงบอะไรกันครับ ถ้าเกิดมีเรื่องแล้วถึงขั้นเข้าโรงพยาบาลขึ้นมายังไงเราก็ต้องเป็นคนจ่ายอยู่ดี”
“จากสถิติมีแค่1ใน3เองนะที่จะโดนขนาดนั้น”
“เพราะอีก2ใน3ที่เหลือขอยื่นคำย้ายไม่ก็ใบลาออกก่อนสินะครับ”
“โธ่ ดูอย่างวันนี้ก็ยังไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลยใช่มั้ยล่ะ”
“วันนี้ไม่มี ก็ใช่ว่าพรุ่งนี้จะไม่มีด้วย”
ผู้อาวุโสกว่ากลับเพียงแค่แค่นยิ้มบางๆ“คุณนี่มองโลกในแง่ลบจริงๆเลยน้า”
ภาคิณยังคงไม่ยอมยุติประเด็นไปง่าย“ยัง ไงก็ตาม ผมขอคัดค้านการให้อาจารย์เข้าใหม่ที่ยังไม่รู้ฤทธิ์ของเด็กพวกนี้ดีพอไป ประจำอยู่ในที่ๆอันตรายแบบนั้นนะครับ ยิ่งคดีนั้นมันยังไม่กระจ่าง....”
“อ.ภาคิณ เราจะไม่พูดถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้ว”
ชายหนุ่มหุบปากลงในทันทีเมื่อสบกับดวงตาโชนแสงกล้าของท่านผู้อำนวยการ
“สิ่ง ที่เราควรทำคือให้โอกาสและเชื่อใจพวกเขา เชื่อว่าเด็กพวกนั้นจะสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ในวันใดวันหนึ่ง ไม่ใช่การวิพากษ์วิจารณ์และอคติในสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ”
เขาเบือนหน้าหลบด้วยความละอายใจ แม้นัยน์ตาสีอำพันจะยังคงไว้ซึ่งความรู้สึกไม่อยากยอมรับอย่างเห็นได้ชัด
“ผมหวังว่าคุณคงยังไม่ขาดคุณสมบัติในข้อนี้ ”
“…”
ท่านผู้อำนวยการทอดถอนหายใจออกมา “ผมก็รู้ว่าคุณเป็นห่วง ห่วงว่าเหตุการณ์มันจะซ้ำรอย แต่ถึงยังไงผมก็รู้จักเลือกคน ไม่ต้องกลัวหรอกว่าจะมีปัญหาตามมาภายหลัง”
“ท่านแน่ใจได้อย่างไร”
“ก็เพราะอาจารย์คนนี้แตกต่างไปน่ะสิ”
“แตกต่าง?”คิ้วเรียวขมวดขึ้นอย่างข้องใจ
“เอาเป็นว่าคุณวางใจได้เลยว่าเขาจะไม่เหมือนกับคนอื่นๆที่ผ่านมา เขามีปัญญาพอจะจัดการเด็กพวกนั้นได้ด้วยวิธีตามแบบฉบับของเขาเองคุณภาพของอาจารย์ท่านนี้ไม่ใช่ระดับที่หาตัวจับง่ายๆหรอกนะ”
“คุณภาพที่ว่านั่นรวมถึงความสามารถที่จะเปลี่ยนทัศนคติของเด็กพวกนั้นได้ด้วยรึเปล่ารวมถึงการเอาตัวรอดให้ได้ท่ามกลางเด็กมีปัญหาแบบนั้นด้วยรึเปล่า แล้วรวมถึงการทำให้พวกเขายอมรับได้ด้วยรึเปล่า”ภาคิณพึมพำออกมาเบาๆแต่ก็ไม่มีทางรอดพ้นโสตประสาทของท่านผอ.อภิรัตน์ไปได้
“แล้ว ถึงยังไงเขาก็เป็นคนที่คนรู้จักของผมฝากฝังมาวันนี้ผมก็เลยให้คนไปสะกดรอย ตามดูแล้ว ทางนั้นเพิ่งโทรมาบอกเมื่อกี๊นี้ว่าถึงจะมีเสียงเอะอะในตอนแรกแต่อาจารย์นิร กานต์ของเราก็เดินออกจากห้องแบบปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนแม้แต่ปลายเล็บแมวข่วน”
ดวงตาสีทองของอีกฝ่ายเบิกขึ้นก่อนฉายแววไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด ท่านผู้อำนวยการหัวเราะออกมาเบาๆ “ผมบอกแล้ว อย่ามองโลกในแง่ร้ายจนเกินไปนัก”
“…ขออภัยครับที่ตื่นตูม”
“ผม เข้าใจความปรารถนาดีของคุณ ยังไงก็ตาม จริงอยู่ที่ว่าวันนี้ไม่มีอะไรก็ใช่ว่าพรุ่งนี้จะไม่มี แค่วันนี้อาจจะยังไม่แสดงอาการ แต่ครั้งต่อๆไปผมแน่ใจว่าอะไรๆมันต้องเริ่มแรงขึ้น ผมจะให้คนของเราสอดส่องดูแลให้เอง”
ภาคิณพยักหน้ารับก่อนขอตัวออกไป
บานประตูถูกปิดสนิทลง แม้ว่าจะไม่มีอะไรน่าห่วงตามคำบอกของท่านผอ. แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะกระซิบรำพันเบาๆ
“ทั้งๆที่ผ่านมาตั้งครึ่งปีแล้วแท้ๆ แต่เก็ยังอดไม่ได้ที่จะฝังใจกับคดีนั้น...”
ชายหนุ่มหลุบนัยน์ตาลงต่ำยกมือเรียวยกขึ้นมาเสยผม และภาวนาให้เวลานี้ไม่มีใครเดินผ่านเข้ามา
ผ่านมาเห็นสภาพที่เขาไม่อยากให้ใครรับรู้
ทำให้เปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้เชียวหรือ...เวลา
หรือเป็นเพราะจิตใจที่ถูกทำให้บิดเบี้ยวไปของพวกเขา
เมื่อครั้งยังอยู่ด้วยกัน...เด็กพวกนั้นยังคงใสสะอาดและบริสุทธิ์ยังคงมองหาเสียงกระซิบของวันถัดไป ยังคงยิ้มและหัวเราะให้กับความสวยงามของโลกใบนี้ได้
แต่ในตอนนี้...
“สิ่งที่เราควรทำคือให้โอกาสและเชื่อใจพวกเขา เชื่อว่าเด็กพวกนั้นจะสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ในวันใดวันหนึ่ง…”
“เราคงยังไม่ใช่ครูที่ดีพอสินะ”
เขาแค่นเสียงหัวเราะเย้ยหยันออกมาแล้วทิ้งตัวพิงผนังอย่างอ่อนล้า ปล่อยให้ความหนักอึ้งในใจลอยอ้อยอิ่งปกคลุมอย่างพร่าเลือน แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะทำลายตัวตนของเขามากไปกว่านี้ดวงตาสีทองสวยก็เหลือบไป มองนาฬิกาเรือนสวยที่อยู่บนข้อมือตนก่อนจะ...
“ว้ากกกกกก!! คาบสอนกุ!!”
.......................................................................................................................................................................................................
50%
เกรียนแปลว่าอะไร?เกรียนก็แปลว่าครูไงคะ(เพี๊ยะ!โดนตบดิ้น)
กลับมาอีกครั้งพร้อมสาระที่เหมือนจะลดน้อยลงไปกว่าเก่า
อ่ะฮึก ทำไมน้ำทำกับเค้าแบบนี้อ่ะT^T
.......................................................................................................................................................................................................
100%
วิ้ว~(ปาดเหงื่อ)
กระดึบครบๆอย่างเชื่องช้าค่ะ=_="
รีดเดอร์เก่าบางคนอาจสงสัยว่าทำไมอ่านแล้วมันดูเหมือนไม่ได้รีไรท์อะไรเลยฟะ?
เพราะมันรีไรท์แบบตามใจฉันน่ะสิเจ้าข้าเอ๊ย~ จะหาความแตกต่างจากก่อนและหลังรีไรท์ให้เจอนั้นไซร้จึงยากหนักหนา~
ปล.รักคนอ่านเน้อ จุ๊บๆ^3^(เพี๊ยะ!โดนโบก)
ความคิดเห็น