คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : รู้ว่าเสี่ยง แต่คงต้องขอลอง
สำนักงานของภูธนะรีสอร์ตมีเนื้อที่ราวหนึ่งงานนอกจากตัวอาคารที่เป็นออฟฟิศแล้ว ก็ยังมีพื้นที่รับรองลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ ตลอดโถงโล่งนั้นเต็มไปด้วยที่นั่งทั้งแบบไม้และหินอ่อน ส่วนใหญ่ลูกค้าของรีสอร์ตชอบโซนที่นั่งแบบไม้ เพราะมันตั้งติดกับสวน ถ่ายรูปออกมาสวย แต่หลายวันมานี้ที่นั่งโซนม้าหินอ่อนก็ถูกใช้บริการบ่อยเหมือนกัน โดยเฉพาะตัวที่อยู่ใกล้กับเคาเตอร์ มักจะมีใครบางคนจับจองนั่งประจำทุกครั้งที่มา
ใครคนนั้นก็คืออาทิตย์
ทว่า ณ ตอนนี้ที่ตรงนั้นไม่มีเงาของชายหนุ่มแล้ว เขาถูกตรีทรรศไล่ตะเพิดออกจากรีสอร์ตตั้งแต่เธอยังไม่ถูกเรียกไป ‘คุย’คราวแรกเธอคิดว่าไปเสียได้ก็ดี แต่พอเดินกลับมาถึงสำนักงานกลับรู้สึกเสียดายที่อดีตคนรักไม่อยู่ ความอัดอั้นจากการโดนตำหนิเลยไม่มีที่ลง ร่างอรชรลากขาเข้าไปในออฟฟิศ ทิ้งตัวลงนั่ง สองไหล่ตกประหนึ่งผักเหี่ยวค้างแผง
เพิ่งจะนั่งลงได้ไม่ทันไร ตรงหน้าก็มีสิ่งสิ่งหนึ่งวางลง กลิ่นหอมอ่อนๆ นั้นขับไล่ความซึมเซาให้หนีหาย เธอคว้าแก้วน้ำหวานที่ทำขึ้นง่ายๆ อย่างเอาเฮลซ์บลูบอยผสมกับน้ำเปล่าแล้วเติมน้ำแข็งให้ดูน่ากิน พูดขึ้นว่า “รู้ใจที่สุด” ก่อนจะกระดกเข้าปากคำใหญ่
“ค่อยๆ ก็ได้” เสียงเตือนเจือหัวเราะดังมา “น้องชงไว้ตั้งแต่พี่เหมี่ยวไปแล้ว นี่ก็ดื่มไปสองแก้วถึงหายใจสั่น”
มทนาลัยลดแก้วลงจากริมฝีปาก ถามเสียงค่อนข้างจริงจัง “น้ำค้าง เราจะเป็นเบาหวานก่อนเงินเดือนขึ้นหรือเปล่า”
นภัสษาขำจนไหล่สั่น ลดเสียงลงเป็นกระซิบ “ทำไงได้ล่ะพี่เหมี่ยว สวรรค์สรรสร้างให้ได้ทำงานที่นี่ ที่ที่มีนายดุ ผู้จัดการดุ แค่หน้าก็ขู่คนได้แล้ว ถ้าไม่มีกำลังเสริมพยุงสติ น้องก็ไม่ไหว”
ฝ่ายนี้คิดตาม มันจริงอย่างที่สาวรุ่นน้องว่า ธิบดีกับตรีทรรศกินกันไม่ลงเรื่องทำผู้คนหวาดหวั่นครั่นคร้าม สมัยที่บ้านอเนกธาดายังเป็นลูกหนี้ไร่ภูธนะอยู่ เจอสองคนนี้ทีไรเธอเป็นต้องตะลีตะลานเข้าห้องพระเพื่อสวดมนต์ให้จิตใจสงบสุข
“แต่ถ้ามาแบบปกติน้องก็โอเคนะ ไม่หายใจติดๆ ขัดๆ ไม่ต้องพึ่งน้ำหวานช่วยชีวิต หรือมาแบบหน้าเครียดๆ แป๊บเดียวแล้วไปก็ได้ ไม่ใช่อย่างวันนี้…อึ๋ย พูดแล้วขนลุกไม่หาย คนอะไรน่ากลัวชนิดที่ใส่พระ พระยังร่วงออกจากคอ”
“แบบวันนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกหรอก”
นภัสษาชะงักงันไปเพราะน้ำเสียงที่แปร่งหู เลยได้เห็นว่ามทนาลัยกลับมาอยู่ในอารมณ์หดหู่อีกแล้ว แม้จะรู้จักกันได้เพียงสองสัปดาห์ ทว่าเธอก็พอจะรู้ว่าความร่าเริงที่ติดจะล้นนิดๆ ของเพื่อนรุ่นพี่เป็นพื้นนิสัยอีกฝ่ายจริงๆ ไม่ใช่การเสแสร้ง ชีวิตกำลังประสบปัญหาแต่ก็ไม่เคยปลดปล่อยพลังงานด้านลบใส่เธอเลย พอมทนาลัยซึมอย่างที่ไม่เคยได้เห็น เธอจึงรู้สึกไม่สบายใจตาม
“ผู้จัดการว่าไงบ้างล่ะพี่เหมี่ยว”
“ยื่นคำขาดมาเลย ว่าถ้าจัดการปัญหาส่วนตัวไม่จบภายในวันนี้ โดน-ชุด-ใหญ่”
สาวรุ่นน้องตาโต ไม่เห็นกับตาแต่พอจินตนาการออกว่าคำพูดกับสีหน้าของตรีทรรศเป็นแบบไหน “ผู้จัดการอยู่ฝั่งเหนือเป็นส่วนใหญ่ สองสามวันถึงจะมาตรวจงานฝั่งใต้ที ต้องมีคนฟ้องแหละไม่งั้นผู้จัดการไม่มาไวขนาดนี้” เหตุวุ่นวายใช่จะใหญ่มาก มทนาลัยกับเธอพอจัดการกันได้ ข่าวกลับลอยถึงหูผู้จัดการหนุ่มอย่างรวดเร็ว “…น้องว่าฝีมือพวกยัยพี่แบมชัวร์ อยากให้พี่เหมี่ยวโดนด่า ตัวเองก็จะได้ความดีความชอบ”
“อาจจะไม่ใช่”
“ทำไมละคะ เมื่อเช้าที่เราไปกินข้าวที่ห้องอาหาร กลุ่มพี่แบมยังพูดกระทบเรื่องที่พี่อู๋มาหาพี่เหมี่ยวอยู่เลย”
“น้ำค้างดูสิ…” มทนาลัยเปรยเบาๆ
เป็นความจริงที่ว่า เธอสร้างศัตรูตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาทำงาน เดิมทีตำแหน่งพนักงานต้อนรับนภัสษาทำคู่กับแบมหรืออรกมล แต่พอเธอเข้ามา ปาลินก็ให้เธอนั่งเก้าอี้นี้แล้วย้ายอรกมลไปดูแลห้องอาหาร หล่อนทั้งไม่พอใจทั้งไม่ชอบเธอ เจอหน้ากันทีเป็นต้องกระแนะกระแหนร่ำไป
ทว่ากับเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ตอนชุลมุนแยกอาทิตย์กับลูกค้าออกจากกัน รอบๆ สำนักงาน ก็มีทั้งคนสวน แม่บ้าน กลุ่มของอรกมลและพนักงานแผนกอื่นๆ มามุงดูกันแล้ว เธอเองก็เหม็นขี้หน้าอรกมลเหมือนกัน แต่ก็ไม่อยากปรักปรำโดยที่ไม่มีหลักฐาน
“…คงมีคนฟ้องจริงๆ แต่อาจไม่ใช่ฝีมือแบม”
นภัสษานิ่งคิด จากนั้นก็เห็นว่าคำพูดของมทนาลัยไม่ผิด ช่วงนั้นคนมายืนดูเหตุการณ์กันหลายคนจริงๆ “แล้วพี่เหมี่ยวจะเอายังไงต่อ มีเวลาไม่ถึงวันด้วยซ้ำ แจ้งตำรวจดีไหม”
“พี่ทำตั้งแต่เลิกกันแรกๆ แล้ว แต่ตำรวจบอกว่าแจ้งก็จับพี่อู๋ไม่ได้ เพราะเขายังไม่ได้ทำอะไรให้”
“สร้างความเดือดร้อนให้นี่ก็ทำแล้วนะ”
“น้ำค้างเคยโดนแบบนี้ไหม”
“หึ น้องเพิ่งมีวินเป็นแฟนคนแรกอ่า แต่แฟนเก่าวินก็ไม่อะไรกับพวกเรานะ ต่างคนต่างอยู่”
“ดีจัง มีความรักแล้วได้ความรัก ไม่เหมือนพี่มีความรักแล้วได้เจ้ากรรมนายเวร”
“พี่เหมี่ยว‘เด็ด’ต่างหาก” นภัสษาใส่อารมณ์กับคำว่าเด็ดเป็นพิเศษ มทนาลัยไม่ได้สวยจัดจนชวนตะลึง แต่ให้ความรู้สึกที่ว่าน่ารักก็ได้ เซ็กซี่ก็ได้ มีเสน่ห์ทั้งตอนทำหน้านิ่งและยิ้มตาปิด อีกทั้งก็ยังมีเนื้อมีหนัง‘อวบอิ่ม’ ในแบบที่ผู้ชายชอบ “พี่อู๋เลยไม่อยากปล่อยให้หลุดมือ”
“ที่ไหนรับบริจาคความสวยบ้างนะ อือ ไม่ดีกว่า กว่าจะสะพรึงได้อย่างทุกวันนี้เสียไปไม่ใช่น้อยๆ ต้องขายแล้วล่ะ”
“…”
“อะไร ทำไมทำหน้าแบบนั้นน้ำค้าง ตับไตยังขายได้ ความสวยก็ต้องขายได้เหมือนกัน พี่ไม่ได้เสริมเติมแต่งเข้ามาแต่ก็เสียค่าครีมไปเป็นแสนแล้ว ต้องได้คืนสักหน่อยสิ”
คนถูกถามแทบอยากเอื้อมมือไปหยิกแรงๆ ส่งเสียงแหลมเล็กว่า “หมั่นไส้พี่สาวคนสวย!รู้ว่าเครียดค่ะ แต่อารมณ์อย่าสวิงมาก น้องตามไม่ทัน”
พี่สาวคนสวยยกยิ้มมุมปาก แต่รอยยิ้มนั้นก็อยู่ไม่นาน มันอันตรธานจากใบหน้าไปเมื่อเธอกำลังใช้ความคิด เธอเงียบอยู่พักหนึ่งถึงเอ่ยขึ้นหลังตัดสินใจได้ “พี่ว่าเย็นนี้จะนัดคุยกับพี่อู๋อีกครั้ง”
นับจากอาทิตย์ส่งสัญญาณเตือนว่าจะขอคืนดี เธอก็ไม่เคยนิ่งเฉยกับการรุกของเขา พูดตรงๆ ก็แล้ว หลบหน้าหลบตาก็แล้ว ทำหมางเมินก็แล้ว ทว่าเขาก็ยังไม่ยอมถอดใจ ยังตามเธอจนถึงทุกวันนี้ เห็นชัดว่าการสลัดเขาออกจากชีวิตที่ทำมาไม่มีวิธีไหนประสบผลสำเร็จ แต่อย่างไรเธอก็ต้องกลับไปใช้หนึ่งในวิธีนั้นใหม่ เพราะเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ทางเดียวที่จะยุติปัญหาคาราคาซังลงภายในวันนี้ตามที่ตรีทรรศขีดเส้นตาย ก็คือต้องนัดอดีตคนรักมาเคลียร์กันอีกครั้ง
“แล้วครั้งนี้พี่ก็ว่าจะขู่เขาด้วย จะยกเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้มาพูดด้วย ว่าเขาเกือบทำพี่ถูกไล่ออก”
นภัสษาไม่ข้องใจ ไม่มีคำถาม แค่ได้ยินน้ำเสียงที่ไร้แววล้อเล่นก็เข้าใจในการสื่อสาร โพล่งขึ้นว่า “น้องไปเป็นเพื่อน”
“พี่กำลังจะพูดพอดีเลยว่าไปเป็นเพื่อนพี่หน่อย” หลายเรื่องในชีวิตเฮงซวย ทว่าได้กัลยาณมิตรดีเธอก็พอยิ้มออก
“นัดที่ร้านอาหาร คนเยอะๆ พูดใส่หน้าไปดังๆ เลยว่าพี่เหมี่ยวไม่ได้รักเขาแล้ว รำคาญในสิ่งที่เขาทำมาก น้องว่าเสียเซลฟ์จนไม่กล้ามาเหยียบมวกเหล็กอีกแน่ๆ”
“เดี๋ยวพี่โทร.หาเขาก่อน”
มทนาลัยหยิบเครื่องมือสื่อสารมาเลื่อนหาเบอร์โทร.ที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในเครื่อง แต่มักจะขึ้นเป็นสายไม่ได้รับอยู่เสมอ หลังจิ้มนิ้วลงไป รอสัญญาณอยู่ไม่กี่วินาที ปลายสายก็กดรับน้ำเสียงกระตือรือร้น
“ครับเหมี่ยว”
“เหมี่ยวมีเรื่องอยากคุยด้วย เย็นนี้เจอกันที่ร้าน…หกโมงครึ่งนะคะ”
ไม่รู้เพราะจับอารมณ์เธอได้หรือเปล่า เสียงเขาที่ดังขึ้นระลอกสองผิดหูไปจากก่อนหน้าชัดเจน “ครับ แล้วเป็นยังไงบ้าง เหมี่ยวโดนผู้จัดการนั่นด่าว่าอะไรหรือเปล่า เขาเป็นคนที่ใช้ไม่…”
“ไว้ค่อยคุยกันเย็นนี้ค่ะ” เธอตัดบทสนทนาแล้วก็ชิงตัดสาย ทอดถอนใจพลางประสานสายตากับนภัสษา “เคลียร์จบแล้วพี่จะพาไปเลี้ยงบุฟเฟต์”
“น้องไปเป็นเพื่อนเพราะไม่อยากให้ไปคนเดียว ไม่ได้หวังสินน้ำใจอะไรนะ”
“รู้ แต่จะไม่ให้พี่ฉลองหรือไง”
“อา งั้นก็โอเค
“ชวนเจ้าวินไปด้วย”
“พี่เหมี่ยวพูดจริงไหม”
“เอ้า จริงสิ”
“นางต้องดีใจมากแน่เลยที่มีสาวชวนไปออกเดต”
มทนาลัยให้คู่หูไปจัดการเรื่องที่ตกลงกันไว้หลังออฟฟิศ ส่วนตัวเองก็รับลูกค้าที่เข้ามาเปิดห้องพัก
หลังจากนั้นชั่วโมงนิดๆ โทรศัพท์ของมทนาลัยก็มีสายเข้าถึงจะเห็นแล้วว่าเป็นเบอร์ใคร หญิงสาวก็เมินเฉยอย่างที่แล้วมาไม่ได้ จำต้องกดรับ “มีอะไรอีกคะ”
“เหมี่ยว พี่มีเรื่องจะคุย สะดวกไหมครับ”
“เหมี่ยวบอกแล้วไงว่าคุยกันทีเดียวเย็นนี้”
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ คือตอนนี้พี่มีงานเข้า เลยอยากตกลงกันกับเหมี่ยวก่อน”
เธอนิ่งไปเล็กน้อย เอ่ยด้วยเสียงที่ปราศจากโทสะ “ว่ามาค่ะ”
“พอดีแดเนียล…ลูกค้าของบริษัทฯ เขามาเที่ยวปากช่อง ทีนี้อาผารู้ว่าตอนนี้พี่ก็อยู่แถวๆ ปากช่องพอดี ก็เลยให้พี่ไปคุยงานกับแดเนียลแทน แล้วเวลานัดมันดันเป็นหกโมงเย็นของวันนี้ พี่เลยอยากจะถามเหมี่ยวว่าเลื่อนนัดของพวกเราออกไปเป็นวันพรุ่งนี้ได้ไหม อาผาเพิ่งโทร.มาบอกพี่ก่อนที่พี่จะโทร.หาเหมี่ยวนี่เอง พี่ขอโทษนะครับ ไม่ได้อยากทำแบบนี้เลย นัดเหมี่ยวสำคัญกับพี่มาก แต่ว่าก็พี่ก็ปฏิเสธงานที่อาผามอบหมายให้ไม่ได้ เพราะมันเกี่ยวกับการต่อสัญญา กว่าจะเสร็จธุระที่ว่านี้ก็คงดึก แดเนียลค่อนข้างเอาใจยากน่ะ”
ริ้วอารมณ์ที่สลายตัวปรากฏขึ้นใหม่ในตากลม หากไม่มีนัดหมายที่เพิ่งตกปากรับคำกันไป คำพูดของอาทิตย์ดูไม่เป็นข้ออ้างเลย เพราะตอนที่คบกันอยู่ เขาก็เคยขอเลื่อนนัดเธอเพราะงานอยู่เหมือนกัน ทว่าตอนนี้ที่ได้ฟังเหตุผล เธอเข้าใจเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกจากเขาบ่ายเบี่ยงเพราะรู้สาเหตุที่เธอออกปากอยากเจอ “ไม่ได้ค่ะ เราต้องเจอกันวันนี้เท่านั้น”
ปลายสายเงียบไปอึดใจ ครู่หนึ่งถึงส่งเสียง “พรุ่งนี้พี่จะจัดดินเนอร์มื้อพิเศษให้นะครับ”
“พี่อู๋ไม่เข้าใจที่เหมี่ยวพูดหรือไง”
“เหมี่ยวไม่เชื่อเหรอว่าพี่ติดงานจริงๆ งั้นเดี๋ยวพี่ให้อาผาโทร.หาเหมี่ยวนะ”
“ไม่ต้องค่ะ”
“เหมี่ยว”
“วันนี้ก็คือวันนี้”
“เหมี่ยวครับ พี่ดีใจมากเลยนะที่เหมี่ยวอยากเจอพี่ แต่ถ้าพี่เบี้ยวนัดกับแดเนียล อาผาเล่นงานพี่เละแน่”
“…”
“ตอนนี้พี่กำลังกลับกรุงเทพฯ ไปเอาเอกสาร แล้วก็ต้องเหยียบรถกลับมาให้ทันนัดหกโมงเย็น กว่าพี่จะคุยธุระเสร็จและแยกย้ายกับลูกค้ามันก็คงดึก พี่ไม่อยากให้เหมี่ยวรอจนพี่เสร็จงานถึงเจอกัน…มันไม่โอเค ไม่อยากรบกวนเวลาพักผ่อนของเหมี่ยวด้วยเพราะพรุ่งนี้เหมี่ยวก็ทำงาน …พี่ไม่อยากให้เหมี่ยวรู้สึกแย่กับพี่ไปมากกว่านี้”
“ที่ว่าดึก กี่โมงคะ”
“สี่ห้าทุ่มเลยครับ”
หญิงสาวตอบโดยไม่เสียเวลาชั่งใจ “ไม่เป็นไรค่ะ เหมี่ยวรอ”
“แต่เหมี่ยวต้องตื่นเช้าไม่ใช่เหรอ อีกอย่างพี่ใช้เวลาขับรถจากปากช่องไปหาเหมี่ยว เร็วที่สุดก็เกือบๆ ครึ่งชั่วโมงเลยนะ”
“พี่อู๋นัดลูกค้าที่ร้านไหนคะ”
อาทิตย์บอกชื่อร้านไป
ร้านที่ว่ามทนาลัยรู้จัก เป็นร้านขึ้นชื่อของปากช่องอยู่ห่างตัวเมืองสิบกว่ากิโลนิดๆ “โอเคค่ะ เดี๋ยวสี่ทุ่มเหมี่ยวไปรอเจอที่นั่น”
“ไม่ดีมั้งเหมี่ยว” อาทิตย์แย้ง “เหมี่ยวเป็นคนนัดพี่แล้วยังต้องมารออีก พี่ว่า…”
“เหมี่ยวไม่ถือ เหมี่ยวรอได้”
“พี่เริ่มดีใจไม่ออกแล้ว ไม่ได้อยากเจอกันเฉยๆ งั้นเหรอ”
“ก็อย่างที่บอกว่ามีเรื่องจะคุยค่ะ แค่นี้นะคะ”
“อา…ถ้างั้นพี่จะเร่งมือปิดจ็อบแดเนียลให้เร็วขึ้นแล้วกันครับ เหมี่ยวจะได้ไม่ต้องรอพี่นาน”
เธอฟังเขาพูดจนจบประโยค ไม่ได้ตอบกลับว่าอย่างไร ตัดสายแล้วไถลโทรศัพท์มือถือออกห่างตัว “น้ำค้าง เปลี่ยนที่เคลียร์กับพี่อู๋แล้ว ไปปากช่องแทน ไปกับพี่ได้ใช่ไหม”
“ได้ค่ะ” นภัสษาแม้จะนั่งฟังอยู่ข้างๆ แต่ก็จับใจความไม่ได้มาก “แต่ทำไมต้องเปลี่ยนที่ละคะ”
“เขาติดคุยเรื่องสัญญางานกับลูกค้าที่ปากช่องกะทันหัน ขอเลื่อนนัดเป็นพรุ่งนี้แต่พี่ไม่ยอม พี่เห็นว่าร้านที่เขานัดลูกค้าไม่ไกลเท่าเราเข้าในเมือง ก็เลยไปร้าน…ดีกว่า”
“งานก็มาซะถูกเวลาเลยแม่” นภัสษาบ่นเสียงเบา
สองสาวหารือกันใหม่เพราะกว่าจะถึงเวลานัดก็อีกหลายชั่วโมง พวกเธอได้ข้อสรุปกันว่าหลังเลิกงานจะไปปากช่องเลยทันที เที่ยวเล่นเตร็ดเตร่อยู่แถวๆ นั้นให้ถึงเวลานัด ทว่าในตอนที่เลิกงานและกำลังรอคิรากร…แฟนหนุ่มของนภัสษาที่จะไปด้วยกัน ก็เกิดเรื่องเรื่องหนึ่งขึ้น
“สวัสดีค่ะ…ค่ะ ใช่ค่ะ อะไรนะคะ!”
ท่าทีของนภัสษาที่รับโทรศัพท์เปลี่ยนปุบปับทำมทนาลัยขมวดคิ้ว แล้วกลางหว่างคิ้วก็ยิ่งเป็นร่องลึกกว่าเดิมเมื่อสาวรุ่นน้องน้ำตาไหลอาบหน้า ปากคอสั่นราวกับคนขวัญเสีย “มีอะไรน้ำค้าง”
นภัสษาสะอื้นตาแดง “พี่เหมี่ยว…วินรถล้ม พาน้องไปโรงพยาบาลหน่อย น้องจะไปหาวิน”
ใบหน้านวลถอดสี ก่อนหน้านี้คิรากรยังคุยเจื้อยแจ้วผ่านโทรศัพท์กับพวกเธออยู่เลย ไม่คาดคิดว่าอยู่ดีๆ เขาจะประสบอุบัติเหตุ “ได้ๆ”
ระหว่างที่ขับรถเข้าอำเภอ มทนาลัยก็ปลอบนภัสษามาตลอดทาง คนตื่นตระหนกกับข่าวร้ายเลยคลายความกังวลลง แต่พอมาถึงโรงพยาบาลก็สะอึกสะอื้นขึ้นมาอีก แม้แฟนหนุ่มจะไม่ได้อาการสาหัสมาก ทว่าก็ดูน่าสงสารจนสะท้อนใจ
คิรากรยกมือสวัสดีสาวรุ่นพี่ จากนั้นก็ปลอบคนรักให้หยุดร้องไห้ กระทั่งนภัสษาสงบสติอารมณ์ได้ เขาถึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง ว่าขณะที่ขับมอเตอร์ไซค์ออกจากโรงงานมาได้ประมาณหนึ่ง จู่ๆ ก็มีรถยนต์เลี้ยวตัดหน้า เขาเลยเสียหลักพุ่งลงข้างทาง รถคันนั้นไม่คิดจะจอดดูดำดูดี หายเข้าซอยไปไม่เห็นเงา ดีที่เขาได้คนระแวกนั้นช่วยก็เลยมาถึงโรงพยาบาลเร็ว
“จำทะเบียนได้ไหมวิน เผื่อตามตัวมารับผิดชอบเราได้”
“มันไวมากฮะพี่เหมี่ยว มองไม่ทันเลย”
“คนสมัยนี้แย่จริงๆ แล้วนี่หมอให้นอนโรงพยาบาลกี่วันล่ะ”
“ยังไม่รู้เลยฮะ รู้แต่ว่าได้นอน”
ทั้งสามคุยกันต่ออีกพักใหญ่ หัวข้อการสนทนาก็เปลี่ยนจากเรื่องอุบัติเหตุของคิรากรเป็นเรื่องนัดคืนนี้ของมทนาลัย เพราะคิรากรต้องนอนโรงพยาบาลและนภัสษาต้องอยู่เฝ้า ปัญหาจึงเกิดขึ้นเมื่อมทนาลัยต้องไปปากช่องคนเดียว
“เตงไปเป็นเพื่อนพี่เหมี่ยวเถอะ” คิรากรชอบที่มทนาลัยทำให้แฟนสาวมีความสุขกับการทำงาน ไม่บ่นเหมือนกับแต่ก่อน เลยถูกชะตากับอีกฝ่ายนัก “เค้าอยู่นี่มีเพื่อนเยอะแยะ แต่พี่เหมี่ยวไปคนเดียว อันตราย”
“เตงอยู่ได้ใช่ไหม”
“อยู่ได้สิ ซื้อของใช้มาไว้ให้ก็พอ”
“น้ำค้างอยู่เฝ้าวินเถอะ วินน่ะมือก็เจ็บเท้าก็เจ็บ ทำอะไรเองลำบาก”
หนุ่มสาวหันมองสาวรุ่นพี่เป็นตาเดียว จากนั้นนภัสษาก็เป็นฝ่ายพูดขึ้น “แล้วพี่เหมี่ยวล่ะ จะไปคนเดียวเหรอ ไม่ได้นะ”
“ผู้หญิงขับรถคนเดียวตอนกลางคืนอันตรายนะฮะ” คิรากรเสริม “ให้น้ำค้างไปเป็นเพื่อนอย่างน้อยก็อุ่นใจ”
มทนาลัยอมยิ้ม แน่นอนว่าเธอกลัวการไปไหนมาไหนตอนกลางคืนคนเดียว ถึงได้จะหนีบเอาสองคนนี้ไปด้วย ทว่าก็เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายขึ้นก่อน เธอเข้าใจหัวอกนภัสษาดีว่าห่วงทั้งคนรักห่วงทั้งเธอ อยากอยู่เฝ้าคิรากรแต่ก็ติดที่ได้รับปากเธอไว้แล้ว
ดังนั้นเมื่อเรื่องเป็นแบบนี้ แล้วนัดคืนนี้ก็ยกเลิกไม่ได้ เธอก็มีแต่ต้องเปลี่ยน ‘คนไปเป็นเพื่อน’เท่านั้น
“พี่ไม่ไปคนเดียวหรอก มีเพื่อนไปด้วยอยู่”
“ใครคะ”
ริมฝีปากอวบอิ่มขยับเป็นคำพูดไร้เสียง คิรากรนั้นงวยงงไม่เข้าใจ ทว่านภัสษาที่อ่านปากได้คำเดียวก็รู้จนหมดทุกคำตาแทบถลนออกมานอกเบ้า “พี่เหมี่ยว เอาจริง?!”
คนถูกถามระบายลมหายใจยาว พูดเสียงเนือยว่า “ไม่ใช่เขา…ก็ไม่ใช่ใครแล้วล่ะ”
เหม่ว
แกเล็งใครไว้
ใช่คนนั้นไหมอ่า
ความคิดเห็น