NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ
  • มีการบรรยายเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรงสูง

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เมียเนื้อหวาน

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1 :: งานแต่งงานของสองเรานั้น... [50%]

    • อัปเดตล่าสุด 7 พ.ค. 61


    **แก้ไขเนื้อหาในเหมือนใน e-book กลัวจะงงกันจ้า**


    บทที่ 1 :: งานแต่งงานของสองเรานั้น...

    __________________

    ไพนารี



    เมื่อสี่ปีที่แล้ว

    ในตอนนั้น ไร่ล้อมตะวัน ไร่ส้มแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรีได้จัดงานมงคลขึ้นอย่างเรียบง่าย ...เรียบง่ายเสียจนมองแทบไม่ออกเลยว่านี่คืองานแต่งงาน

    หากไม่มี บ่าวสาว และ สินสอด ก็ไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่านี่แหละคือการแต่งงานจริงๆ

    บรรยากาศวันนี้อึมครึมไม่น้อย ยิ่งไม่มีเสียงเพลงรื่นเริงก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่ามันช่างหดหู่พิกล ทุกอย่างผ่านพ้นไปทีละขั้นตอนอย่างเงียบกริบ กระทั่งการจดทะเบียนสมรสเสร็จลง ถึงได้มีเสียงทอดถอนใจเหมือนทนไม่ไหว

    ไม่รู้ว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นใคร เพราะไม่มีใครให้ความใส่ใจ พิธีการ

    จบลงก็เหมือนหมดหน้าที่ กลุ่มคนในโถงบ้านค่อยขยับออกจากจุดเดิมของตัวเองทีละคนสองคน จนในที่สุดก็เหลือแต่บ่าวสาวและบุพการีของแต่ละฝ่าย

    “ต่อไปนี้น้าฝากน้องด้วยนะคุณเผ่า ดูแลยัยหลินให้ดีนะ อย่าทิ้งขว้างน้อง”

    “...”

    “ขอบคุณนะจ๊ะคุณนายที่มีเมตตาต่อพวกเรา”

    เพ็ญจันทร์เหลือบมองลูกชายเมื่อแม่ยายของอีกฝ่ายหันมาพูดกับตน ทว่าเจ้าบ่าวกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบรับอะไร หากไม่เพราะลูกตาดำที่ขยับบ้างเป็นบางคราวนั้นแล้ว ดูๆ ไปก็เหมือนว่า พริษฐ์ ไม่มีชีวิต

    นางปั้นยิ้มให้นวลตาอย่างเสียไม่ได้ จากนั้นสายตาก็เลยไปมองลูกสะใภ้ตัวเล็กอยู่แวบหนึ่ง ก่อนจะกลับมามองหน้านวลตาอีกครั้ง “ทุกอย่างมันก็เป็นไปตามที่มันควรจะเป็น ให้ตาเผ่ากับหลินขึ้นไปพักผ่อนเถอะ ฉันเองก็อยากจะพักผ่อนแล้วเหมือนกัน”

    นวลตาพยักหน้าให้ หันไปหาลูกสาวกับลูกเขย “ได้เวลาเข้าหอแล้ว...”

    ร่างสูงใหญ่ของเจ้าบ่าวผละออกห่างวงสนทนาไปอย่างรวดเร็ว ทำเอาแม่ยายเหวอไปครู่หนึ่ง เมื่อตั้งสติได้นางก็รีบสะกิดบอกลูกสาวให้รีบตามอีกฝ่ายไป

    เจ้าสาวที่อยู่ในชุดเดรสสีขาวทำหน้าเลิ่กลั่ก พอเห็นผู้เป็นแม่ถลึงตาใส่ก็เลยคิดได้ เธอรีบตาม สามี ไปทันที

    นวลตายกมือขึ้นป้องปาก หัวไหล่กระเพื่อมไปมาตามจังหวะการหัวเราะ จากนั้นก็พูดกับเพ็ญจันทร์ว่า “ดูสิ รีบกันจัง เราขึ้นไปอวยพรอีกหน่อยไหมจ๊ะ”

    “ไม่ล่ะจ้ะ ฉันไม่ไหวแล้ว ...ปวดตัวมาก ยังไงก็ขอตัวเหมือนกันนะ ส่วนเธอหากอยากได้อะไรหรือหิวก็บอกเด็กได้เลย” ว่าแล้วก็เดินลิ่วๆ ออกจากบ้านของลูกชายไปราวกับหากยังอยู่กับนวลตานานกว่านี้ลมจะตีแสกหน้าขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น

    นวลตายืนอยู่ในโถงบ้านคนเดียว พอคนอื่นไปกันหมดนางก็รู้สึกไม่รู้จะหัวเราะให้ใครฟัง ดังนั้นจึงพ่นลมหายใจออกมาพลางกวาดสายตามองไปรอบบ้านไม้หลังใหญ่ มองแล้วก็ถอนหายใจ จากนั้นก็บ่นขึ้นอย่างแสนเสียดาย “งานก็ไม่ได้จัดใหญ่โตอย่างที่คิดไว้ แขกเหรื่อก็มีแต่พวกคนงานที่ชอบสอดรู้สอดเห็น เฮ้อ แต่เอาเถอะ ถึงยังไงคนระแวกนี้ก็รู้แล้วล่ะว่านังหลินได้มาเป็นสะใภ้ไร่นี้”

    ถึงจะไม่พอใจกับการกระทำของฝ่ายนั้นอยู่บ้าง แต่นวลตาก็รู้ว่าอะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูด แค่ลูกสาวจับผู้ชายที่รวยที่สุดในจังหวัดได้ตามที่ตนบอกก็รู้สึกหัวใจเบิกบานแล้ว ไม่ได้จัดงานใหญ่โต ไม่ได้ใส่ชุดไหมราคาหลายพันออกงาน แต่ได้สินสอดครึ่งล้านพร้อมกับคนทั้งบางรู้ว่า ลลนา เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของพริษฐ์แล้ว ก็ถือว่ายังพอมีเรื่องดีๆ ให้เสพเป็นความสุขของชีวิตได้บ้าง

    แม่เจ้าสาวยิ้มออกอีกครั้งเมื่อหันไปเห็นพานใส่สินสอดที่ไม่มีใครสนใจแล้ว นางรีบปรี่เข้าไปอุ้มขึ้นแนบอกอย่างทะนุถนอม นัยน์ตาพร่างพราวแสดงถึงความปีติล้นอก ก่อนจะกกกอดออกจากบ้านไปอย่างสุขอุรา

     

     

    บรรยากาศข้างบนกับข้างล่างไม่ต่างกันเลย ลลนาลอบปาดเหงื่อออกเงียบๆ พลางมองสามีที่เลียนท่าหุ่นยนต์ได้เหมือนนัก

    พริษฐ์มีสีหน้าเดียวมาได้เป็นเดือนแล้ว ...ตั้งแต่วันที่เธอทำให้เขาเกือบได้เข้าไปอยู่ในคุกกระมัง

    เมื่อเดือนก่อนเธอมาสมัครงานที่นี่โดยอ้างว่ามาหาค่าเทอม ทว่าจริงๆ แล้วกลับมีแผนการร้ายซ่อนอยู่ เขารับเธอเข้าทำงานในวันนั้นเลยเพราะเห็นว่าแม่ก็ทำงานที่นี่เหมือนกัน ทำให้พวกเธอเริ่มแผนการได้อย่างรวดเร็ว

    ภายใต้สีหน้าราบเรียบที่เดาความคิดเขาไม่ได้ ลลนามั่นใจว่าเกือบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ต้องมีโทสะที่เกิดขึ้นเพราะเธออยู่อย่างแน่นอน เขาคงโกรธมาก โกรธจนเกลียดเธอเข้ากระดูก ตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องฉาวโฉ่กระฉ่อนไปทั่ว เขาพูดว่าจะรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง จากนั้นมาก็ไม่เคยปริปากพูดอะไรกับเธออีกเลย

    ไม่ผิดที่เขาจะโกรธ ก็การกระทำของเธอมันต่ำช้าเลวทรามเป็นไหนๆ ผู้หญิงอายุสิบแปดยังไม่บรรลุนิติภาวะจับผู้ชายอายุสามสิบจนอยู่หมัด อิสรภาพในชีวิตหดหาย ภรรยาที่ดีที่พริษฐ์สมควรได้ก็ไม่ได้ ได้ใครมาก็ไม่รู้ ไม่มีหัวนอนปลายเท้าแล้วยังเป็นคนไม่ดีอีก ให้พูดอีกกี่ครั้งความผิดที่เธอมีต่อเขามันก็ช่างใหญ่หลวงจริงๆ

    เป็นโชคร้ายของพริษฐ์ที่เกิดมารวยจนเป็นที่หมายตาของครอบครัวเธอ และก็เป็นโชคดีของเธอที่ต่อไปนี้จะได้มีอนาคตแล้ว

    ถ้าพูดว่าไม่เต็มใจทำเรื่องนี้ก็คงไม่ถูก และพูดว่าถูกบังคับขู่เข็ญก็คงมีส่วนประมาณหนึ่ง เริ่มแรกเธอถูกบังคับแต่ก็เพราะสมัครใจทำ เรื่องมันถึงมาถึงขั้นนี้ได้

    ฉันไม่มีเงินให้แกเรียนหรอกนะ คิดว่าเรียนมหาลัยมันใช้เงินบาทสองบาทเหรอ อยากเรียนก็ไปหาผัวรวยๆ เอา ให้เขาหาเลี้ยง ฉันเบื่อจะเลี้ยงแกแล้ว อยากได้อนาคตก็ไปดิ้นรนหาเอา

    คนอย่างแกรึจะมีปัญญาเรียน หัวทึ่มๆ อย่างนี้ไปเป็นเมียน้อยใครซักคนโน่นไป

    ต่อให้แกทำงานทุกวันเพื่อหาเงินมาเรียนมันก็ไม่พอหรอก นอกจากจะไปขายตัว หรือถ้าไม่อยากทำแบบนั้นก็ไปจับคนรวยๆ ให้ได้ ฉันคิดให้แล้วนะ เลือกเอาแล้วกันว่าอยากได้แบบไหน อนาคตแกไม่ใช่อนาคตฉัน ฉันไม่เดือดร้อน ฉันให้แกได้เท่านี้ ถ้าจะโทษก็โทษที่แกเกิดมาเป็นลูกฉันแล้วกัน

    คำพูดเหล่านี้ล้วนเป็นคำพูดของแม่แท้ๆ จริงๆ ที่แม่ด่าทอมีเยอะกว่านี้แต่ลลนาคร้านจะเก็บมาใส่ใจ เธอรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้รักใคร่อะไรตนนัก เพราะในตัวเธอมีเลือดอีกครึ่งหนึ่งที่เป็นของผู้ชายที่แม่เกลียด

    พ่อกับแม่ไม่ได้รักกัน แต่ที่อยู่ด้วยกันก็เพราะว่าพลาดมีเธอ อยู่ด้วยความไม่รักไหนเลยจะอยู่รอด พอเธออายุได้หกขวบทั้งสองก็แยกทางกัน พ่อทำตัวราวกับสูญหายไปจากโลกใบนี้แล้ว ไม่เคยติดต่อมาสักครั้ง ไปแล้วไปลับราวกับว่าลืมลูกคนนี้

    ตอนที่แยกทางกันใหม่ๆ แม่ยังพาเธออยู่ที่บ้านเกิด แต่พอตายายเสียทั้งคู่เหลือแต่ญาติพี่น้องก็เกิดความไม่ลงรอยกัน มีปากเสียงกันบ่อยเข้าจนมองหน้ากันไม่ติด สุดท้ายแม่ก็พาเธอหนีมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่กรุงเทพฯ แต่อยู่ได้ปีเดียวก็พาเธอมากาญจนบุรี คราวแรกลลนาไม่เข้าใจว่าทำไมจึงต้องมาอยู่จังหวัดนี้ แต่พอมาอยู่ได้ไม่ถึงเดือนเธอก็เข้าใจทุกอย่าง ...นั่นเพราะที่นี่มีคนรักของแม่อยู่

    ผู้ชายคนนั้นชื่อสันต์ เป็นคนสูงโปร่งผิวค่อนข้างคล้ำแต่ว่าหน้าตาดี ลลนาเรียกอีกฝ่ายว่าน้าสันต์ แม้แม่จะแต่งงานกับเขาแล้วเธอยังเรียกพ่อเลี้ยงว่าน้าสันต์อยู่เช่นเดิม

    สันต์ใจดีกับเธอ เห็นเธอเป็นเหมือนลูกแท้ๆ แต่นับวันแม่กลับชิงชังเธอมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เดิมก็ดุด่าสั่งสอนเสมออยู่แล้ว แต่พอเธอโตขึ้นคำดุด่าเหล่านั้นกลับไม่ได้มีเพื่อสั่งสอนอย่างเดียว ทั้งดูถูก รังเกียจ และไม่มีความรักเจือปนอยู่ ยิ่งพอแม่มีลูกกับสันต์ เธอก็กลายเป็นส่วนเกินของครอบครัว จะอยู่จะตายก็ไม่ส่งผลอะไรกับแม่ทั้งนั้น แม้แต่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ แม่ก็ไม่ดีใจ ซ้ำยืนยันว่าจะไม่ให้เงินสักสตางค์เดียว กดดันทุกวิถีทางจนไม่เหลือเวลาให้เธอหาทางออกกับชีวิตตัวเอง สุดท้ายก็เลือกเส้นทางนี้จนได้

    ความเจ็บที่ผุดขึ้นกลางอกทำให้หญิงสาวดึงความคิดตัวเองกลับมา เธอเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังหนาใหญ่ของอีกคน สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยขึ้นว่า “หลินจะไปกรุงเทพฯ แล้ว คุณเผ่าไปส่งที่ท่ารถได้ไหมจ๊ะ”



    เริ่มอัปเนื้อหาแล้วน้า ฝากนิยายเรื่องใหม่ล่าสุดด้วยค่า

    ไม่ดราม่า หวานแหวว และไม่ปวดสมอง อิอิ 

    กดแอดเรื่องไว้รออัป 

    V

    V



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×