คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1 :: งานแต่งงานของสองเรานั้น... [50%]
**แก้ไขเนื้อหาในเหมือนใน e-book กลัวจะงงกันจ้า**
บทที่ 1 :: งานแต่งงานของสองเรานั้น...
__________________
ไพนารี
เมื่อสี่ปีที่แล้ว
ในตอนนั้น
ไร่ล้อมตะวัน ไร่ส้มแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรีได้จัดงานมงคลขึ้นอย่างเรียบง่าย
...เรียบง่ายเสียจนมองแทบไม่ออกเลยว่านี่คืองานแต่งงาน
หากไม่มี
‘บ่าวสาว’ และ ‘สินสอด’ ก็ไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่านี่แหละคือการแต่งงานจริงๆ
บรรยากาศวันนี้อึมครึมไม่น้อย
ยิ่งไม่มีเสียงเพลงรื่นเริงก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่ามันช่างหดหู่พิกล
ทุกอย่างผ่านพ้นไปทีละขั้นตอนอย่างเงียบกริบ กระทั่งการจดทะเบียนสมรสเสร็จลง
ถึงได้มีเสียงทอดถอนใจเหมือนทนไม่ไหว
ไม่รู้ว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นใคร
เพราะไม่มีใครให้ความใส่ใจ พิธีการ
จบลงก็เหมือนหมดหน้าที่
กลุ่มคนในโถงบ้านค่อยขยับออกจากจุดเดิมของตัวเองทีละคนสองคน
จนในที่สุดก็เหลือแต่บ่าวสาวและบุพการีของแต่ละฝ่าย
“ต่อไปนี้น้าฝากน้องด้วยนะคุณเผ่า
ดูแลยัยหลินให้ดีนะ อย่าทิ้งขว้างน้อง”
“...”
“ขอบคุณนะจ๊ะคุณนายที่มีเมตตาต่อพวกเรา”
เพ็ญจันทร์เหลือบมองลูกชายเมื่อแม่ยายของอีกฝ่ายหันมาพูดกับตน
ทว่าเจ้าบ่าวกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบรับอะไร
หากไม่เพราะลูกตาดำที่ขยับบ้างเป็นบางคราวนั้นแล้ว ดูๆ ไปก็เหมือนว่า ‘พริษฐ์’
ไม่มีชีวิต
นางปั้นยิ้มให้นวลตาอย่างเสียไม่ได้
จากนั้นสายตาก็เลยไปมองลูกสะใภ้ตัวเล็กอยู่แวบหนึ่ง ก่อนจะกลับมามองหน้านวลตาอีกครั้ง
“ทุกอย่างมันก็เป็นไปตามที่มันควรจะเป็น ให้ตาเผ่ากับหลินขึ้นไปพักผ่อนเถอะ
ฉันเองก็อยากจะพักผ่อนแล้วเหมือนกัน”
นวลตาพยักหน้าให้
หันไปหาลูกสาวกับลูกเขย “ได้เวลาเข้าหอแล้ว...”
ร่างสูงใหญ่ของเจ้าบ่าวผละออกห่างวงสนทนาไปอย่างรวดเร็ว
ทำเอาแม่ยายเหวอไปครู่หนึ่ง
เมื่อตั้งสติได้นางก็รีบสะกิดบอกลูกสาวให้รีบตามอีกฝ่ายไป
เจ้าสาวที่อยู่ในชุดเดรสสีขาวทำหน้าเลิ่กลั่ก
พอเห็นผู้เป็นแม่ถลึงตาใส่ก็เลยคิดได้ เธอรีบตาม ‘สามี’
ไปทันที
นวลตายกมือขึ้นป้องปาก
หัวไหล่กระเพื่อมไปมาตามจังหวะการหัวเราะ จากนั้นก็พูดกับเพ็ญจันทร์ว่า “ดูสิ รีบกันจัง
เราขึ้นไปอวยพรอีกหน่อยไหมจ๊ะ”
“ไม่ล่ะจ้ะ
ฉันไม่ไหวแล้ว ...ปวดตัวมาก ยังไงก็ขอตัวเหมือนกันนะ
ส่วนเธอหากอยากได้อะไรหรือหิวก็บอกเด็กได้เลย” ว่าแล้วก็เดินลิ่วๆ ออกจากบ้านของลูกชายไปราวกับหากยังอยู่กับนวลตานานกว่านี้ลมจะตีแสกหน้าขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น
นวลตายืนอยู่ในโถงบ้านคนเดียว
พอคนอื่นไปกันหมดนางก็รู้สึกไม่รู้จะหัวเราะให้ใครฟัง ดังนั้นจึงพ่นลมหายใจออกมาพลางกวาดสายตามองไปรอบบ้านไม้หลังใหญ่
มองแล้วก็ถอนหายใจ จากนั้นก็บ่นขึ้นอย่างแสนเสียดาย “งานก็ไม่ได้จัดใหญ่โตอย่างที่คิดไว้
แขกเหรื่อก็มีแต่พวกคนงานที่ชอบสอดรู้สอดเห็น เฮ้อ แต่เอาเถอะ
ถึงยังไงคนระแวกนี้ก็รู้แล้วล่ะว่านังหลินได้มาเป็นสะใภ้ไร่นี้”
ถึงจะไม่พอใจกับการกระทำของฝ่ายนั้นอยู่บ้าง
แต่นวลตาก็รู้ว่าอะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูด
แค่ลูกสาวจับผู้ชายที่รวยที่สุดในจังหวัดได้ตามที่ตนบอกก็รู้สึกหัวใจเบิกบานแล้ว
ไม่ได้จัดงานใหญ่โต ไม่ได้ใส่ชุดไหมราคาหลายพันออกงาน
แต่ได้สินสอดครึ่งล้านพร้อมกับคนทั้งบางรู้ว่า ‘ลลนา’
เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของพริษฐ์แล้ว ก็ถือว่ายังพอมีเรื่องดีๆ
ให้เสพเป็นความสุขของชีวิตได้บ้าง
แม่เจ้าสาวยิ้มออกอีกครั้งเมื่อหันไปเห็นพานใส่สินสอดที่ไม่มีใครสนใจแล้ว
นางรีบปรี่เข้าไปอุ้มขึ้นแนบอกอย่างทะนุถนอม นัยน์ตาพร่างพราวแสดงถึงความปีติล้นอก
ก่อนจะกกกอดออกจากบ้านไปอย่างสุขอุรา
บรรยากาศข้างบนกับข้างล่างไม่ต่างกันเลย
ลลนาลอบปาดเหงื่อออกเงียบๆ พลางมองสามีที่เลียนท่าหุ่นยนต์ได้เหมือนนัก
พริษฐ์มีสีหน้าเดียวมาได้เป็นเดือนแล้ว
...ตั้งแต่วันที่เธอทำให้เขาเกือบได้เข้าไปอยู่ในคุกกระมัง
เมื่อเดือนก่อนเธอมาสมัครงานที่นี่โดยอ้างว่ามาหาค่าเทอม
ทว่าจริงๆ แล้วกลับมีแผนการร้ายซ่อนอยู่ เขารับเธอเข้าทำงานในวันนั้นเลยเพราะเห็นว่าแม่ก็ทำงานที่นี่เหมือนกัน
ทำให้พวกเธอเริ่มแผนการได้อย่างรวดเร็ว
ภายใต้สีหน้าราบเรียบที่เดาความคิดเขาไม่ได้
ลลนามั่นใจว่าเกือบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ต้องมีโทสะที่เกิดขึ้นเพราะเธออยู่อย่างแน่นอน
เขาคงโกรธมาก โกรธจนเกลียดเธอเข้ากระดูก ตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องฉาวโฉ่กระฉ่อนไปทั่ว
เขาพูดว่าจะรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง
จากนั้นมาก็ไม่เคยปริปากพูดอะไรกับเธออีกเลย
ไม่ผิดที่เขาจะโกรธ
ก็การกระทำของเธอมันต่ำช้าเลวทรามเป็นไหนๆ
ผู้หญิงอายุสิบแปดยังไม่บรรลุนิติภาวะจับผู้ชายอายุสามสิบจนอยู่หมัด
อิสรภาพในชีวิตหดหาย ภรรยาที่ดีที่พริษฐ์สมควรได้ก็ไม่ได้ ได้ใครมาก็ไม่รู้
ไม่มีหัวนอนปลายเท้าแล้วยังเป็นคนไม่ดีอีก ให้พูดอีกกี่ครั้งความผิดที่เธอมีต่อเขามันก็ช่างใหญ่หลวงจริงๆ
เป็นโชคร้ายของพริษฐ์ที่เกิดมารวยจนเป็นที่หมายตาของครอบครัวเธอ
และก็เป็นโชคดีของเธอที่ต่อไปนี้จะได้มีอนาคตแล้ว
ถ้าพูดว่าไม่เต็มใจทำเรื่องนี้ก็คงไม่ถูก
และพูดว่าถูกบังคับขู่เข็ญก็คงมีส่วนประมาณหนึ่ง
เริ่มแรกเธอถูกบังคับแต่ก็เพราะสมัครใจทำ เรื่องมันถึงมาถึงขั้นนี้ได้
‘ฉันไม่มีเงินให้แกเรียนหรอกนะ คิดว่าเรียนมหา’ลัยมันใช้เงินบาทสองบาทเหรอ อยากเรียนก็ไปหาผัวรวยๆ เอา
ให้เขาหาเลี้ยง ฉันเบื่อจะเลี้ยงแกแล้ว อยากได้อนาคตก็ไปดิ้นรนหาเอา’
‘คนอย่างแกรึจะมีปัญญาเรียน หัวทึ่มๆ
อย่างนี้ไปเป็นเมียน้อยใครซักคนโน่นไป’
‘ต่อให้แกทำงานทุกวันเพื่อหาเงินมาเรียนมันก็ไม่พอหรอก
นอกจากจะไปขายตัว หรือถ้าไม่อยากทำแบบนั้นก็ไปจับคนรวยๆ ให้ได้ ฉันคิดให้แล้วนะ
เลือกเอาแล้วกันว่าอยากได้แบบไหน อนาคตแกไม่ใช่อนาคตฉัน ฉันไม่เดือดร้อน
ฉันให้แกได้เท่านี้ ถ้าจะโทษก็โทษที่แกเกิดมาเป็นลูกฉันแล้วกัน’
คำพูดเหล่านี้ล้วนเป็นคำพูดของแม่แท้ๆ
จริงๆ ที่แม่ด่าทอมีเยอะกว่านี้แต่ลลนาคร้านจะเก็บมาใส่ใจ
เธอรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้รักใคร่อะไรตนนัก
เพราะในตัวเธอมีเลือดอีกครึ่งหนึ่งที่เป็นของผู้ชายที่แม่เกลียด
พ่อกับแม่ไม่ได้รักกัน
แต่ที่อยู่ด้วยกันก็เพราะว่าพลาดมีเธอ อยู่ด้วยความไม่รักไหนเลยจะอยู่รอด
พอเธออายุได้หกขวบทั้งสองก็แยกทางกัน พ่อทำตัวราวกับสูญหายไปจากโลกใบนี้แล้ว
ไม่เคยติดต่อมาสักครั้ง ไปแล้วไปลับราวกับว่าลืมลูกคนนี้
ตอนที่แยกทางกันใหม่ๆ
แม่ยังพาเธออยู่ที่บ้านเกิด แต่พอตายายเสียทั้งคู่เหลือแต่ญาติพี่น้องก็เกิดความไม่ลงรอยกัน
มีปากเสียงกันบ่อยเข้าจนมองหน้ากันไม่ติด สุดท้ายแม่ก็พาเธอหนีมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่กรุงเทพฯ
แต่อยู่ได้ปีเดียวก็พาเธอมากาญจนบุรี
คราวแรกลลนาไม่เข้าใจว่าทำไมจึงต้องมาอยู่จังหวัดนี้
แต่พอมาอยู่ได้ไม่ถึงเดือนเธอก็เข้าใจทุกอย่าง ...นั่นเพราะที่นี่มีคนรักของแม่อยู่
ผู้ชายคนนั้นชื่อสันต์
เป็นคนสูงโปร่งผิวค่อนข้างคล้ำแต่ว่าหน้าตาดี ลลนาเรียกอีกฝ่ายว่าน้าสันต์ แม้แม่จะแต่งงานกับเขาแล้วเธอยังเรียกพ่อเลี้ยงว่าน้าสันต์อยู่เช่นเดิม
สันต์ใจดีกับเธอ
เห็นเธอเป็นเหมือนลูกแท้ๆ แต่นับวันแม่กลับชิงชังเธอมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่เดิมก็ดุด่าสั่งสอนเสมออยู่แล้ว
แต่พอเธอโตขึ้นคำดุด่าเหล่านั้นกลับไม่ได้มีเพื่อสั่งสอนอย่างเดียว ทั้งดูถูก
รังเกียจ และไม่มีความรักเจือปนอยู่ ยิ่งพอแม่มีลูกกับสันต์ เธอก็กลายเป็นส่วนเกินของครอบครัว
จะอยู่จะตายก็ไม่ส่งผลอะไรกับแม่ทั้งนั้น แม้แต่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ แม่ก็ไม่ดีใจ
ซ้ำยืนยันว่าจะไม่ให้เงินสักสตางค์เดียว
กดดันทุกวิถีทางจนไม่เหลือเวลาให้เธอหาทางออกกับชีวิตตัวเอง
สุดท้ายก็เลือกเส้นทางนี้จนได้
ความเจ็บที่ผุดขึ้นกลางอกทำให้หญิงสาวดึงความคิดตัวเองกลับมา
เธอเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังหนาใหญ่ของอีกคน สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยขึ้นว่า
“หลินจะไปกรุงเทพฯ แล้ว คุณเผ่าไปส่งที่ท่ารถได้ไหมจ๊ะ”
เริ่มอัปเนื้อหาแล้วน้า ฝากนิยายเรื่องใหม่ล่าสุดด้วยค่า
ไม่ดราม่า หวานแหวว และไม่ปวดสมอง อิอิ
กดแอดเรื่องไว้รออัป
V
V
ความคิดเห็น