คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : -03- ลองไหม
"พ่อฮะ" ข้าวปุ้นพูดน้ำเสียงอ้อยอิ่ง สายตาก้มมองลงพื้นไม่กล้าเงยหน้ามาหาผู้เป็นพ่อ
"ฉันส่งแกไปเรียนนะไม่ได้ไปหาผู้ชาย นี่อะไรซ้อนมอไซค์ผู้ชายกลับบ้าน"
"แต่เขาเป็นเพื่อนปุ้นนะ" น้ำเสียงสั่นเครือต่างกับผู้เป็นพ่อที่พูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
"เพื่อนอะไรกอดกันกลมขนาดนั้นฮะ!"
"ปุ้นไม่ได้กอดนะ" ใบหน้าสวยเงยหน้าขึ้นมาอธิบายกับผู้เป็นพ่อ "คาเฟ่ก็แค่อาสามาส่งในฐานะเพื่อนเอง ปุ้นแค่เกาะไหล่เขาเองพ่อ"
"แล้วนี่อะไร" พ่อชูแท่งลิปมันที่ข้าวปุ้นแอบซ่อนไว้ในห้อง ดวงตากลมเบิกกว้างพยายามคว้าคืนแต่กลับโดนผู้เป็นพ่อดันจนล้มลงไปกลับพื้น
"พ่อไม่มีสิทธิ์มาค้นห้องปุ้นนะ"
"ฉันเป็นพ่อแกทำไมฉันจะไม่มีสิทธิ์" พูดจบผู้เป็นพ่อก็จ้องมองมาที่กระเป๋าของลูกชาย ข้าวปุ้นเพ่งเล็กไปมองกระเป๋าที่ล่วงอยู่บนพื้นก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปยื้อแย่งกับผู้เป็นพ่อ
ชายร่างท่วมกระแทกร่างของลูกชายจนเซปล่อยมือออกจากกระเป๋า
"พ่อ!"
ผู้เป็นพ่อเปิดกระเป๋าออกก่อนจะเทของทั้งหมดล่วงลงบนพื้น
นี่มัน... ไม่ใช่กระเป๋าเขานี่
ข้าวปุ้นมองสิ่งของที่ล่วงลงมาอย่างสับสนก่อนจะนึกได้ว่าเขาวางกระเป๋าไว้กับของคาเฟ่ซึ่งเป็นกระเป๋าของโรงเรียนเช่นกัน หรือว่าเขาจะเผลอสลับกระเป๋ากัน
"โอ้โหข้าวปุ้น! นี่มันอะไรเนี่ย!" เสียงตะคอกดังลั่นบ้านจนร่างเล็กเองสะดุ้งตกใจ ข้าวปุ้นรีบพุ่งตัวไปเก็บของตรงหน้าแต่กลับถูกพ่อผลักออก
"พ่อฮะ มันไม่ใช่ของปุ้นนะ"
"ไม่ใช่ของแกละนี่มันอะไร" มือสากหยิบปากกาที่ผู้เป็นย่าเคยซื้อไว้ให้หลานชายซึ่งเป็นของที่ข้าวปุ้นให้คาเฟ่ยืมไป ดวงตากลมจ้องมองผู้เป็นพ่อน้ำตารื้น
"ปุ้นสลับกระเป๋ากับเพื่อน"
"เพื่อนหรือผัว ทำไมมึถุงยางอยู่ในกระเป๋านักเรียนฮะ" กล่องถุงยางอนามัยถูกโยนฟาดร่างของลูกชายอย่างแรงจนข้าวปุ้นต้องยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมาป้องศีรษะตัวเองไว้
"พ่อฮะฟังปุ้นบ้างสิ!"
"ถุงยางไม่พอ บุหรี่อีก! ฉันส่งแกไปเรียนหนังสือแต่กลับไม่มีหนังสือสักเล่มเลยเนี่ยนะ!!!" เสียงตะโกนลั่นพร้อมกับเสียงกระเป๋าที่ฟาดลงบนร่างของลูกชายด้วยความโกรธเกรี้ยว โมโหที่ลูกชายตัวดีไม่เคยทำอะไรได้ดังใจสักอย่าง
"ฮือๆๆ" ข้าวปุ้นแอบสะอื้นไห้เบาๆพยาบามกลั้นเสียงไว้จนเจ็บในลำคอไปหมด
"คุณคะ!!!" สาววัยกลางคนกลับมาจากที่ทำงานรีบโยนกระเป๋าทิ้งด้วยความตกใจแล้ววิ่งมาโอบกอดลูกชายไว้ในอ้อมอกอย่างปลอบประโลม
"ลูกก็ไม่ได้เรื่อง เมียก็ไม่ได้เรื่อง ให้ท้ายจนลูกเป็นตุ๊ดเป็นแต๋วแบบเนี่ย" คำพูดหยาบโลนจากผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหัวหน้าครอบครัว บาดลึกเข้าไปในหัวใจของผู้เป็นลูกอย่างสุดแสนจะลึกล้ำ
"คุณพูดแบบนี้ได้ไง ลูกเราจะเป็นอะไรมันก็เป็นสิทธิ์ของเขา"
"ลูกเธอคนเดียวเถอะ ลูกของฉันต้องเป็นลูกชายที่เข้มแข็งไม่ใช่ลูกแบบนี้ เสียชาติเกิดเปล่าๆ"
ข้าวปุ้นพยายามกลั้นเสียงสะอื้นในอ้อมกอดของผู้เป็นแม่จนกระทั่งผู้เป็นพ่อเดินจากไปด้วยอารมณ์คุกรุ่น
"ข้าวปุ้นอย่าไปใส่ใจกับพ่อเลยนะ"
"แม่ต้องเชื่อปุ้นนะ มันไม่ใช่ของปุ้น" หญิงสาวกระชับกอดลูกชายแน่นสายตาหันไปมองข้าวของที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นจึงปะติดปะต่อเรื่องราวที่ทำให้สามีที่ปกติอารมณ์ร้ายอยู่แล้วเพิ่มความรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก
"แม่เชื่อลูกจ้ะ" ข้าวปุ้นยื่นแขนขึ้นไปกอดเอวผู้เป็นแม่แน่นแล้วปล่อยโฮออกมาด้วยความคับแค้นใจ
"ฮือๆๆๆ"
เช้าวันต่อมา
"ห้ามไปยุ่งกับเด็กผู้ชายคนนั้นอีก" ชายร่างท่วมกระชับเสียงแข็งหลังจากที่ขับรถมาส่งลูกชายที่โรงเรียน
"พอปุ้นมีเพื่อนเป็นผู้หญิงพ่อก็ว่าปุ้นเป็นตุ๊ด พอปุ้นมีเพื่อนผู้ชายพ่อก็ว่าเป็นผัวปุ้น พ่ออยากได้อะไรจากปุ้นกันแน่" ข้าวปุ้นพูดตัดพ้อพรางเปิดประตูลงจากรถด้วยท่าทีเลื่อนลอย
"ข้าวปุ้น" เหมยเดินมารับข้าวปุ้นที่โถงทางเดินก่อนจะลูบแก้มเพื่อนสนิทอย่างปลอบประโลม "แกโอเคไหม"
ดวงตากลมหันไปมองเพื่อนสนิทที่มีท่าทีว่าเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด ข้าวปุ้นส่ายหน้าพร้อมกับน้ำตาที่ผุดคลอขึ้นมาบนดวงตาที่แดงกล่ำ
เพื่อนสาวดึงเพื่อนสนิทมากอดแล้วลูบหลังอย่างอ่อนโยน ข้าวปุ้นกอดกระชับร่างเหมยแน่นด้วยกายอันสั่นเทา
"กูไม่โอเค กูไม่เข้าใจว่าตัวเองทำไรผิด" เสียงสะอื้นระบายความในใจอย่างอัดอั้น
"มึงไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ไม่มีใครผิดแค่เพราะเป็นตัวของตัวเองหรอกนะ" เหมยลูบหลังเพื่อนพรางกอดกระชับอย่างอบอุ่น ให้กำลังใจเพื่อนรักเพียงคนเดียวอย่างถึงที่สุด
"กูเอากระเป๋ามาคืน" ข้าวปุ้นยื่นกระเป๋าเป้คืนให้กับคาเฟ่ทันทีหลังจากที่เจ้าตัวจอดรถมอเตอร์ไซค์
"ขอบใจ" คาเฟ่รับกระเป๋าตัวเองคืนไปก่อนจะส่งกระเป๋าของข้าวปุ้นคืนให้
"มึงพกของแบบนั้นไว้ทำไมวะได้ใช้เหรอ" ข้าวปุ้นเงยหน้าขึ้นมาถามคาเฟ่ที่เปิดกระเป๋าเช็คดูข้างใน
"หมายถึงอะไร" คาเฟ่เลิกคิ้วขึ้น "บุหรี่เหรอ"
"กูหมายถึงถุงยาง" ข้าวปุ้นถามอย่างตรงไปตรงมาจนคาเฟ่ชะงักไปรีบค้นกระเป๋าตัวเองจนพบกับถุงยางอนามัยใหม่แกะกล่องที่ตนเองไม่คุ้นเคย
"กูไม่เคยพกถุงยางนะสงสัยเพื่อนแกล้งว่ะ" คาเฟ่หัวเราะชอบใจก่อนจะโยนกล่องถุงยางทิ้งในถังขยะใกล้ๆกัน "อีกอย่างนี่ก็ไม่ใช่ไซซ์กู"
"อ่ออืม" ข้าวปุ้นพยักหน้าเข้าใจก่อนจะหันหลังก้าวออกไป
"มึงเป็นไรวะปุ้น ดูไม่ร่าเริงเลย" คาเฟ่รีบปิดกระเป๋าแล้วเดินตามคนตัวเล็กที่ดูเหี่ยวเฉาต่างกับทุกทีที่คุยกัน
"ไม่มีอะไร กูผิดเองที่เผลอสลับกระเป๋ากับมึง"
คาเฟ่เลิกคิ้วขึ้นมองดวงตาแดงกล่ำบวมเป่งราวกับผ่านการร้องไห้ออกมาอย่างหนักจึงพอเข้าใจ
"ทะเลาะกับที่บ้านเพราะของในกระเป๋าเหรอวะ"
"มึงไม่ต้องสนใจหรอก แต่ต่อจากนี้อย่ามาอยู่ใกล้กูได้ไหม" คาเฟ่ขมวดคิ้วแน่นก่อนจะดึงแขนอีกคนให้หยุดแล้วหันมาพูดคุยกันดีๆ
"เฮ้ย ทำไมเป็นงี้วะ" ข้าวปุ้นพยายามแกะมือของอีกคนออกโดยไม่พูดอะไร
"กูไม่อยากเป็นลูกที่พ่อไม่ต้องการ" ร่างสูงชะงักไปราวกับถูกไฟฟ้าช็อตจนร่างกายชาสะท้าน ยิ่งพอได้สบกับดวงตาที่ดูเศร้าหมองกลับรู้สึกเหมือนมีเข็มเล่มหนึ่งจี้เข้าไปในหัวใจจนเจ็บจี๊ด
คาเฟ่ยอมปล่อยให้ข้าวปุ้นเดินหนีไปแต่โดยดี
หลังเลิกเรียน
"มึงกลับบ้านก่อนก็ได้ กูลาอาจารย์ให้" เหมยหันมาบอกเพื่อนสนิทที่กำลังเก็บของอยู่
"ขอบใจมึงบ้าง" ใบหน้าซีดเซียวส่งยิ้มแห้งให้เพื่อนสนิทอย่างห่อเหี่ยว
คาเฟ่ที่แอบฟังอยู่ข้างหลังรอจังหวะให้ข้าวปุ้นเดินออกจากห้องแล้วลุกขึ้นยืนเดินไปสะกิดเหมยที่อยู่โต๊ะข้างหน้า
"เหมยข้าวปุ้นเป็นไรวะ" หญิงสาวหันมามองร่างสูงที่มองมาคาดคั้น นัยน์ตาฉายแววจริงจังซะจนเหมยเลิกคิ้วมองอีกคนด้วยความสงสัย
"มึงอยากรู้ทำไมวะ" เหมยถามอย่างจริงจัง "กูโคตรอยากรู้เลยว่าที่มึงเข้าหาข้าวปุ้นเพราะอะไร"
"มึงบอกเรื่องข้าวปุ้นมาก่อนดิ มันทะเลากับที่บ้านเหรอ เรื่องของในกระเป๋าน่ะเหรอ" คาเฟ่พ่นคำถามใส่หญิงสาว เหมยถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
"ทุกอย่างที่ข้าวปุ้นเป็น แม่งไม่เคยเป็นที่ยอมรับของพ่อมันเลย มึงเข้าใจปะ"
คาเฟ่นิ่งเงียบไป
"ถ้ามึงคิดจะมาเล่นๆกับเพื่อนกูอะนะ ก็ช่วยเห็นมันเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีความรู้สีกเหมือนมึงสักหน่อยเถอะว่ะ" เหมยสะพายกระเป๋าพร้อมพูดเสียงแข็งก่อนจะเดินออกจากห้องไป
ตามทางเท้าริมถนนเส้นหนึ่ง ยามเย็นแดดยังคงแรงอยู่ตามสภาพอากาศ รถสัญจรไม่พุ่งพล่านนักเพราะยังไม่ถึงเวลาของการเลิกงาน
ข้าวปุ้นเดินตามทางอย่างอ้อยอิ่งและเอื่อยเฉื่อย ถ่วงเวลาไม่ให้ถึงบ้านเร็ว บ้านที่ไม่เหมือนบ้าน ไม่เคยอบอุ่นเลยตั้งแต่คุณย่าเสียชีวิต
คุณย่าคือคนเดียวที่ปกป้องข้าวปุ้นจากความรุนแรงของพ่อได้ พอคุณย่าเสียไปเหมือนเกาะคุ้มกันของเด็กน้อยคนหนึ่งแตกออกเป็นเสี่ยงๆแถมยังสร้างบาดแผลจากการจากไปของคุณย่าอย่างไม่มีวันหวนคืน
"ข้าวปุ้น!" เสียงตะโกนเรียกจากริมถนนไม่ได้เข้าไปในโสตประสาทการได้ยินของเจ้าของชื่อเลยแม้แต่นิด
"..."
"ข้าวปุ้น!!" คาเฟ่เพิ่มแรงเสียงให้ดังขึ้นสู้กับเสียงรถที่แล่นผ่านไปมา เหมือนจะได้ผลเพราะเจ้าตัวหันหน้ามามอง
"คาเฟ่" ร่างสูงนั่งคร่อมมอเตอร์ไซค์เข็นตามข้าวปุ้นมาสักพัก พยายามเรียกให้ได้ยินแต่คนตัวเล็กก็ยังเหม่อลอย
"มึงหลอกให้ลากลูกรักมาครึ่งชั่วโมงละนะ"
"เวอร์! จากโรงเรียนถึงตรงนี้ยังไม่ถึง10นาทีเลย" ข้าวปุ้นถอนหายใจลั่นก่อนจะหันกลับไปเดินต่อ
"ขึ้นมาดิ เดี๋ยวกูไปส่ง" ข้าวปุ้นไม่ตอบอะไรเดินต่อไปอย่างเงียบๆ คาเฟ่ไม่ลดละความพยายามเข็นตามอีกคนไป "กูไปส่งใกล้ๆก็ได้ไม่ต้องถึงบ้าน"
"ไม่เป็นไร" ข้าวปุ้นปฏิเสธเสียงเรียบและใบหน้าที่นิ่งเฉย คาเฟ่จึงตัดสินใจแวะเข้าปั๊มข้างทางไป
ในใจของข้าวปุ้นคงคิดว่าคาเฟ่ละทิ้งความพยายามที่จะตื้อของอีกฝ่ายลงแล้วจึงเดินต่อไปเรื่อยๆแล้วแวะไปนั่งพักที่ป้ายรถเมล์ใกล้ๆ
"น้ำ" ใบหน้าสวยเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือที่ยื่นขวดน้ำเย็นฉ่ำมาให้เขา
"ขอบใจ แต่น่าจะกินเองนะ เหงื่อชุ่มขนาดนี้" ข้าวปุ้นขำเยาะเบาๆเมื่อเห็นสภาพเหงื่อโชกพร้อมกับอาการหอบของคาเฟ่
"เออดี กูคิดว่าจะตามมึงไม่ทัน" คาเฟ่เปิดฝาขวดแล้วกระดกน้ำเย็นดื่มให้ชื่นใจ แดดบ้านเรามันก็ร้อนจนตับจะแตกอยู่แล้ว ยิ่งวิ่งฝาแดดแรงๆมาก็แทบจะทรุดลงนั่ง
"นั่งก่อนดิ" ร่างสูงทรุดลงนั่งเก้าอี้ข้างๆข้าวปุ้นอย่างเหนื่อยล้า ราวกับขาไร้เรี่ยวแรงจะพยุงร่างสูงไว้แล้ว
"ทะเลาะกับพ่อเรื่องของในกระเป๋าเหรอ" คาเฟ่โพร่งถามออกมาอย่างไม่ได้ตั้งตัว ข้าวปุ้นได้แต่พยักหน้าตอบกลับไม่มีคำพูดออกจากปากสักคำแต่คาเฟ่ก็พอจะเข้าใจข้าวปุ้นอยู่บ้าง
"..."
"ไม่ใช่มึงคนเดียวหรอกที่เกิดมาแล้วพ่อไม่ต้องการอะ" ข้าวปุ้นหันหน้าไปมองใบหน้าคมที่ฉายแววตัดพ้อออกมาจากดวงตาอันเศร้าหมอง
"ทำไมเหรอ"
"กูก็เป็นลูกที่พ่อไม่ต้องการเหมือนกัน" คาเฟ่หันมาสบตากับนัยน์ตาน้ำตาลอ่อนที่จ้องมองมาที่เขา แววตาดูอ่อนลง รู้สึกได้ถึงความเห็นอกเห็นใจที่ส่งผ่านสายตา
"มึงรู้สึกอย่างนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่"
"ตั้งแต่เมียหลวงของพ่อกูบุกมาตบแม่กูถึงบ้านตอนแปดขวบมั้ง ตอนนั้นถึงได้รู้ว่าพ่อหลอกกูกับแม่มาตลอด" คาเฟ่พูดไปพรางส่งยิ้มเจื่อน พยายามแสดงออกว่าตัวเองไม่เป็นอะไรทั้งที่ข้าวปุ้นเองก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่กรีดลึกลงไปในหัวใจของเด็กน้อยตอนนั้น
"อายุพอๆกับตอนที่คุณย่ากูเสียเลยนะ" ริมฝีปากอิ่มเม้มเหยียดตรงเมื่อนึกถึงภาพคุณย่าที่แสนอบอุ่นและใจดีกับข้าวปุ้นเสมอมา
"พวกเรามีอะไรให้คุยกันเยอะเนอะ" ข้าวปุ้นพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลา
"แต่กูต้องกลับแล้วสิ"
"วันเสาร์นี้ไปขี่รถเล่นกันไหม" คิ้วเรียวเลิกขึ้นอย่างประหลาดใจ "มึงบอกพ่อว่าไปติวก็ได้"
"กูไม่อยากโกหกพ่อ"
"ไม่ได้โกหกซะหน่อยติวห้านาที นอกนั้นก็ไปขี่รถเล่น" ข้าวปุ้นหัวเราะร่วนกับความเจ้าเล่ห์ของคาเฟ่
"เจ้าเล่ห์นะมึง กูกลับละ"
"ให้กูไปส่งไหม ส่งจากไกลๆก็ได้" ข้าวปุ้นส่ายหน้าก่อนจะลุกขึ้นยืน
"มาส่งแค่นี้ก็พอแล้ว บาย" มือเรียวโบกมือลาคาเฟ่ที่นั่งอยู่ ร่างสูงยกมือขึ้นมาโบกมือลาช้าๆ ริมฝีปากอิ่มยกยิ้มก่อนจะหันหลังแล้วเดินหน้าต่อไป
คาเฟ่มองแผ่นหลังเล็กเดินจากไปอยู่ดีๆข้างในก็ตีกันสับสนไปหมด
ทำไมต้องเล่าเรื่องที่เก็บไว้ในใจมานานให้ข้าวปุ้นฟังด้วย ไว้ใจขนาดไหนเชียว ทั้งที่เป็นเรื่องที่ทำให้เขาอ่อนแอแท้ๆ ทำไมถึงอยากเล่าให้ข้าวปุ้นฟังนะ
คงไม่ได้มีใจให้เจ้าของใบหน้าสวย รอยยิ้มหวานคนนั้นแล้วใช่ไหมเนี่ย
คาเฟ่สะบัดหน้าไล่ความคิดนั้นออกไปจากหัว
นี่มันก็เป็นแค่เกมที่เขาอยากเอาชนะธามเท่านั้น
และเกมนี้เขาจะไม่เอาหัวใจลงไปเล่นเด็ดขาด
เมื่อคิดได้ดังนั้นก็เกิดแรงฮึกเฮิมเดินกลับไปยังปั๊มน้ำมันที่จอดลูกรักทิ้งไว้อย่างเร่งรีบ
To be continue
พี่เฟ่คะ มีใจให้น้องก็บอกมา อย่ามาทำเก๊กเดี๋ยวสำนึกที่หลังมัมหมีจะไม่ยกน้องให้แล้วนะคะ
คุณพ่อคะ //ไหว้ย่อ ขอโทษนะคะ //ผลัก
บังอาจมาทำลูกฉันเป็นรอยมันต้องเจอ!!!
ขอโทษค่ะไรต์อินไปหน่อย เชิญอ่านตอนต่อไปได้เลยค่ะ
ความคิดเห็น