ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Rogue Prince ภาคปฐมบทแห่งการเดินทาง

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่2 100% ซะที

    • อัปเดตล่าสุด 2 ต.ค. 53


    ตอนที่2

     

    เช้าวันต่อมา

     

    ทิวกับนาธายืนในบริเวณประตูเมืองในชุดที่มีเสื้อกั้กอยู่ด้านนอกสำหรับใส่อุปกรณ์ชิ้นเล็กๆและกางเกงยีนส์

     

    ตามปกติที่นี่เวลานี้จะไม่ค่อยมีคนมากนัก   แต่วันนี้คนเยอะเป็นพิเศษ   อาจเป็นเพราะผู้ดูแลพวกเขาในหลายเดือนที่ผ่านมาจะต้องจากไปก็เป็นได้

     

     

     

     

     

    ขอบคุณมากนะครับที่มาส่ง ชายร่างสูงกล่าวพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย ไม่ต้องห่วงนะครับ   ผมไปไม่นานหรอก   ส่วนเรื่องความปลอดภัยทางการจะส่งคนมาดูแลชั่วคราวด้วยครับ

     

    พวกเราไม่ห่วงเรื่องนั้นหรอก หญิงชราที่ใกล้ชายหนุ่มมากที่สุดกล่าว เรากลัวว่าฮีโร่ของพวกเราจะเป็นอะไรมากกว่า

    ป้าไม่ต้องห่วงหรอกครับ   ไอ้ทิวมันไปคนเดียวที่ไหนกันนาธาพูดพลางตบไหล่ของทิว มีผมไปด้วยทั้งคน   ปลอดภัยหายห่วง

    นั่นสินะ เสียงจากชายอีกคนดังขึ้น ถ้างั้นพวกเจ้าก็รีบไปกันได้แล้ว   ทางไปทริสตาเทิลยังอีกไกล   เดี๋ยวไปมืดค่ำในป่า มันจะอันตราย

     

    ถ้างั้นพวกเราไปก่อนนะครับ

     

     

     

     

     

    “ก่อนหน้านั้นก็ต้องไปเมืองวิกตอเรียสินะ”นักดนตรีหนุ่มถามพร้อมกับกางแผนที่

    “ใช่” ร่างสูงตอบ “เพราะนอกจากที่นั่นจะเป็นทางผ่านแล้ว ถ้าจะหาเสบียงและอาวุธดีๆก็คงต้องเป็นที่นั่นด้วยเช่นกัน”

    “อืม”ชายร่างบางตอบรับพลางมองแผนที่ “แต่เท่าที่ดูจากแผนที่นี่ก็น่าจะไกลใช้ได้เหมือนกันนะ”

    “แต่อย่างพวกเราน่าจะใช้เวลาประมาณ2-3วันก็ถึงแล้วล่ะ”ทิวกล่าว “เอางี้นายเอาแผนที่มา    เดี๋ยวฉันนำทางให้เอง”

    “เฮ้ย” นาธาอุทาน “อย่าดีกว่ามั้ง   ฉันถือแผนที่เองดีกว่า”

    “ไม่เอาน่า”ชายร่างสูงกล่าวอย่างหงุดหงิด “มีแผนที่แล้วจะกลัวอะไรอีก” พูดจบร่างสูงก็เดินไป

     

    ชายร่างบางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่   แล้วตามร่างสูงไป






    5 ชั่วโมงผ่านไปไวเหมือนโกหก

    "เฮ้ย ทิว"นักดนตรีหนุ่มถามอย่างเน้นเสียง "เรา อยู่ ที่ ไหน แล้ว"
    "เออน่า   เดี๋ยวก็ถึง" อีกฝ่ายตอบกลับพลางเดินตรงข้างหน้า
    "ถามจริงๆเหอะ" นัยน์ตาสีอเมทิสต์จ้องไปที่ร่างสูงเขม่น "เราหลงแล้วใช่มั้ย"


    ฉับพลันเสียงฝีเท้าก็หยุดลง ชายร่างสูงยืนตัวสั่นเล็กน้อย   ก่อนที่จะค่อยๆหันมาหาคู่หูอย่างกล้าๆกลัวๆ

    "ท่าทางจะเป็นอย่างงั้นว่ะ" นั่นไง ตูว่าแล้ว   ร่างบางนั่งตรงขอนไม้พร้อมกับกุมขมับตัวเองเพื่อยั้งอารมณ์


    จากประสบการณ์ที่ผ่านมาตลอด10ปี   มันได้สอนให้เขารู้ว่า   หากจะให้ใครสักคนนำทางก็ไม่สมควรจะเป็นเพื่อนซี้ของเขาเป็นอันขาด

    "ตอนนี้นายหมดความสงสัยแล้วใช่มั้ย" นาธาลุกขึ้นแล้วเดินไปหาร่างสูง "ว่าทำไมทั้งๆที่มีแผนที่ ฉันถึงห้ามไม่ให้นายเป็นคนนำทาง!" แล้วคว้าเอาแผนที่จากมือร่างสูง
    "เออ   ฉันขอโทษน่า  ก็คิดว่ามีแผนที่แล้ว   แต่ไม่นึกว่ามันจะ..."
    "เออ   ช่างมันเหอะ  เอาเป็นว่าตอนนี้เราตั้งแคมป์ชั่วคราวก่อน" ชายร่างบางพูดพลางหยิบนาฬิกาขึ้นมาดู "นี่ก็บ่ายแล้ว   ถ้าไม่กิน มันจะแย่"



    ฟุ่บ!



    เสียงดังขึ้นพร้อมกับพุ่มไม้ที่สั่น เรียกสายตาของทั้งคู่ให้หันไปมอง

    อะไรว่ะนั่น



    ทันใดนั้นเจ้าของเสียงจากพุ่มไม้ก็พุ่งออกมา!





    หือ!    เจ้านั่นมัน...

    สิ่งที่เห็น ทำให้ทิวทำสายตาอย่างเบื่อหน่าย ในขณะที่นาธาถอนหายใจอย่างโล่งอก

    ลูกหมูป่าตัวประมาณ1ไม้บรรทัดขนสีน้ำตาลอ่อน   มีแถบสีแดงข้างตัวและมีเขี้ยวสีเหลืองเล็กๆข้างจมูก
    ทันทีที่มันเห็นคนแปลกหน้า   มันก็ทำการขับไล่ผู้บุกรุกโดยการพุ่งเข้าใส่!!!








    "เอาไงกับมันดี" ชายร่างสูงหันไปถามร่างบางพลางนั่งยองๆแล้วเอามือข้างหนึ่งไปดันสวนกับสัตว์ตรงหน้า
    "อืม...เท่าที่ดูจากลักษณะแล้ว   ท่าทางจะเป็นหมูป่าเฟอร์มัส" อีกฝ่ายตอบพลางพิจารณา "นายจัดการแค่สลบพอนะ   อย่าให้หนีกลับไปได้"

    "อือ" ทันทีที่ละมือจากการดัน   หมูตัวน้อยก็ลื่นไปชนเข้าที่ตัวร่างสูงจนล้ม
    "หนอยแน่!"ชายหนุ่มยันตัวขึ้นพร้อมกับถีบสัตว์ตรงหน้าไปแบบชนิดที่ว่า 'มาทางไหน กลับไปทางนั้น' และไปพร้อมกับเสียงดังครวญครางอย่างไม่ขาดสาย


    "เฮ้ย!   ไอ้ทิว นายทำอย่างนั้นทำไม"นาธากล่าวพร้อมกับนำมือกุมขมับตนเอง
    "แล้วจะทำไมล่ะ ตัวแค่นั้นเองจะทำไรได้    ต่อให้ตัวพ่อแม่มันมาจะตัวแค่นั้นกัน"



    "3 เมตร"
    "เอ๋"
    "หมูป่าเฟอร์มัส ที่เคยยินมา   ตัวมันโตเต็มที่สุดคือ3เมตร"
    "หา"
    "แถมไอ้ที่มันมาไม่ใช่แค่ตัวพ่อแม่มัน   แต่เป็นทั้งฝูงเลย   ไอ้ทิว"
    จากคำพูดดังกล่าว ทำเอาร่างสูงอึ้งไปเล็กน้อย



    "จะเวอร์ไปแล้วล่ะมั้ง   นาธา   ป่าข้างเมืองเอลเฟอร์มันจะมีตัวพรรค์ได้ยังไง"อันธพาลหนุ่มพูดเมื่อตั้งสติพลางเอามือเช็ดเหงื่อ
    "โถ   เพื่อนรัก   เอ็งอยู่ที่นี่มากี่ปี ยังไม่รู้อีกเหรอ"ชายร่างบางพูดพลางส่งยิ้มขัดกับใบหน้าซีดๆและเหงื่อที่แตกพลั่กที่ทำให้ดูเหมือนคนบ้าชอบกล
    "เอาเป็นว่าตอนนี้เราหนีก่..."



    ตูม!ตูม!ตูม!



    ไม่ทันจะพูดจบก็มีเสียงประหลาดดังขึ้นเรียกให้ทั้งคู่หันไปทางเดิมซึ่งมีควันบางอย่างคละคลุ้งไปทั่ว



    หวังว่า คงจะไม่ใช่...



    ทันเท่าความคิด   หมูตัวมหึมาเป็นฝูงก็โผล่ออกมาอย่างรวดเร็วพร้อมส่งเสียงคำราม

     

     

     

    “วิ่ง!!!

     

     

     

    ทั้ง2 วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตจนกระทั่ง...

     

    “เอาไงดีทิวทางตันแล้ว” นาธาพูดเมื่อเห็นเนินสูงล้อมกรอบเป็นมุมตัน   แล้วหันไปทางร่างสูง

     

     

     

    หมับ!

     

     

     

    “เฮ้ย! จะทำอะไร” ร่างบางสะดุ้งเมื่อร่างสูงจับแขนไว้

    “ก็ทำอย่างนี้ไง วิหคเหินหาว” แล้วทั้ง2ก็ลอยขึ้นไปบนเนินนั้น   ก่อนที่จะหันไปข้างหลัง

     

    “เท่านี้พวกมันก็น่าจะ...เฮ้ย!” ทิวอุทานในสิ่งที่เห็น

     

     

     

    หมูป่าจำนวนมากกำลังวิ่งไต่กำแพงขึ้นมาหาพวกเขาจนอดสงสัยนิดๆไม่ได้

     

     

     

    พวกเขาไปฆ่าหรือไถ่ตังค์ไอ้ลูกหมูตัวนั้นรึไง   ทำไมถึงตามกันขนาดนี้!!

     

     

     

    “นาธา! นายสนับสนุนฉันจากด้านหลัง   เดี๋ยวฉันจะถ่วงเวลาให้”ทิวกล่าวพร้อมจับดาบขึ้นมา

    “อะ...โอเค” นักดนตรีหนุ่มตอบรับพร้อมกับหยิบอาวุธขึ้นมาเช่นกัน   หากแต่มันเป็นเพียงไวโอลินเท่านั้น

     

    ณ ที่แห่งนั้นมี2เสียงเกิดขึ้น   เสียงหนึ่งคือเสียงต่อสู้ของชายร่างสูงกับหมูป่าทั้งฝูง   อีกเสียงหนึ่งคือไวโอลินที่เล่นอย่างต่อเนื่อง

     

     

     

     

     

    “นาธา! เร็วเข้าจะไม่ไหวแล้ว” ทิวพูดพร้อมกับถีบหมูตัวหนึ่งแล้วใช้ดาบฟันอีกตัวหนึ่ง   แต่ด้วยจำนวนของพวกมันที่มากเกินไป   ทำให้เขาพลาดล้มลงไปที่พื้น   และ...

     

     

     

    พวกมันก็กำลังพุ่งใส่เขาอย่างรุนแรง   ทิวยกดาบขึ้นป้องกันไว้!!!

     

     

     

    ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เขาไม่รู้เจ็บจากการถูกชน มือยังกุมดาบไว้อยู่และรู้สึกยังอยู่ที่เดิมนานเกินไป   จนเขาต้องลดดาบลงเพื่อดูสถานการณ์

     

    สิ่งที่เห็นคือ หมูป่าเหล่านั้นอยู่ใกล้เขาถึงคืบแต่พวกมันหันซ้ายหันขวาอย่างสับสนเหมือนมีอะไรบางอย่าง   นั่นทำให้ต้องหันไปทางเพื่อนของเขาที่แม้จะสีไวโอลินอยู่   แต่นัยน์ตาสีอเมทิสต์มองตรงที่เขา   ก่อนที่ปากของชายร่างบางจะขยับเป็นเชิงให้เขาออกจากวงล้อมตรงนั้น   ทิวจึงค่อยๆเดินผ่านหมูป่าเหล่านั้นไปหาเพื่อนนักดนตรี   แล้วหนีโดยปล่อยให้พวกมันงุนงงกับบางอย่างที่เขามองไม่เห็นอยู่อย่างนั้น

     

     

     

     

     

    “เล่นเอาแย่เลยแฮะ” ทิวกล่าวขณะที่นั่งพักยนฝดขดหินอย่างเหนื่อยอ่อน

    “นั่นสินะ” นาธาตอบรับคำพูดนั้น “แต่ว่ากว่าพวกมันจะต้องเวทย์ของฉันได้ก็นานโขอยู่เลยนะ”

    “แต่ถ้าไม่ได้เวทย์ของนายนะ   ป่านนี้ฉันเละเป็นโจ๊กไปแล้วมั้ง”ชายร่างสูงพูดแล้วตบบ่าเพื่อนของเขา

     

     

     

    เวทย์มนต์ที่นาธาใช้นั้น คือ เวทย์เสียงมายาเป็นเวทย์ที่ต้องผ่านสื่อกลางทางเสียงใส่เป้าหมายโดยเมื่อเป้าหมายได้ยินจนถึง ณ จุดๆหนึ่งจะทำให้เป้าหมายได้เห็น ได้ยินหรือรู้สึกในสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการได้   ยกเว้นในบางกรณี   เช่น การใช้เวทย์ถูกหยุดกลางคัน   หูหนวก   เป้าหมายเป็นผู้ที่กุมสติได้ดี   ก็จะไม่ได้รับผลของเวทย์นั้นในระดับเท่าที่ควร   จึงนับเป็นเวทย์ที่ต้องใช้เวลานานพอสมควร

     

     

     

    “แล้วนี่เราจะพักที่ไหนล่ะ” นักดนตรีหนุ่มถามพลางมองขึ้นไป “ตอนนี้มันจะมืดแล้วนะ”

     

    ทิวมองไปรอบๆ ก่อนที่จะรู้สึกสะดุดตากับสิ่งๆหนึ่งเข้า

    “เอางี้ เราเข้าไปพักในถ้ำคืนนี้ก่อน” เขาพูดพลางชี้ไปยังถ้ำ “เดี๋ยวเรื่องจะเอาไงต่อค่อยว่ากันอีกที”

     

     

     

     

     

    “เหอะ สุดๆเลยแฮะ   วันนี้”นักเลงหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ “อยู่ดีๆก็หลงทาง   เจอหมูป่าตามอาฆาต   สุดท้ายก็ยังไม่ถึงวิกตอเรียสักที”

    “อ้าว วันแรกก็ท้อแล้วเหรอ” ชายผมเขียวกล่าว “เรื่องแค่นี้เอง อย่าคิดมาก”

    “ฉันรู้แล้วล่ะ   แต่อดคิดไม่ได้ว่าถ้ามีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นอีก   เรารอดมั้ย” ชายผมสีน้ำตาลพูดก่อนที่จะเอากิ่งไม้ใส่เข้าไปกองไฟ

    “เอาน่า คิดซะว่าเป็นสีสันของชีวิต” นักดนตรีหนุ่มพูดเป็นเชิงปลอบใจพลางตบหลัง “ถ้าแค่นี้นายท้อ   ต่อไปถ้ามีสิ่งที่ยิ่งกว่านี้ นายจะปกป้องใครเขาได้ไงเล่าโดยเฉพาะฉัน” แล้วนิ้วมาชี้ตัวเอง “ที่จะต้องเจอกับสาวๆอีกมากมาย   ถ้าฉันตายสงสัยพวกเธอเสียใจแย่”

    “โห   ไอ้หลงตัวเอง”ชายร่างสูงกล่าวแล้วเอามือไปตบหัวเพื่อนตัวดี “ห่วงแต่ตัวเองนี่หว่า”

    “เอาเถอะ   แต่ยังไงก็ขอบใจนะที่ให้กำลังใจ” ทิวพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน “ที่เราควรจะคิดตอนนี้   คือเราจะเดินทางต่อไปยังไงมากกว่าสินะ”

    ชายผมสีเขียวอ่อนมองเพื่อนของเขา แล้วยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับพูดว่า

     

    “นี่สิ   ถึงจะสมกับเป็นนาย”










    ขอโทษทีครับ ช่วงนี้ไม่ว่างจริงๆ  แต่จะพยายามอัพนะครับ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×