ละครเวที 4รัก
เพราะได้ดูละครเวที จึงเป็นแรงบันดาลใจให้เขียนบทความวิจารณ์ให้คนที่ได้ดูและไม่ได้ดูมาอ่านกัน หากอ่านแล้วไม่รู้เรื่อง ก็ขออภัยด้วยครับ
ผู้เข้าชมรวม
834
ผู้เข้าชมเดือนนี้
10
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
บทวิจารณ์ ละครเวทีเรื่อง 4รัก By Bookmark S
เนื่องจากในวันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ.2554 ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปดูละครเวทีเรื่องนี้ แล้วรู้สึกชอบ จึงอยากจะลองวิจารณ์ละครเวทีเรื่องนี้ดูครับ (ถ้ามีการใช้คำรุนแรงไปบ้าง ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ)
ก่อนอื่นก็คงต้องเป็นเรื่องย่อ โดยละเอียด (ปรากฎว่าจะย่อหรือไม่ย่อ) นะครับ
เรื่องย่อ
ดารชาเป็นนักเรียนที่เพิ่งย้ายมาใหม่ ด้วยความที่เพิ่งเคยมาโรงเรียนแห่งนี้เป็นครั้งแรก จึงได้สอบถามเส้นทางไปยังห้องของตนกับคนๆหนึ่ง ซึ่งก็คือนที และเพราะนทีเป็นคนสุภาพ เรียบร้อย เป็นห่วงคนอื่นแม้จะพบกันครั้งแรก ทำให้ดารชารู้สึกชอบนทีตั้งแต่แรกพบ
แล้วก็เหมือนโชคชะตาเป็นใจ เมื่อดารชาได้มาอยู่ห้องเดียวกับนที และได้นั่งข้างๆกัน ซึ่งเดิมทีที่ตรงนั้นเป็นที่ของอัคคี หนุ่มป็อปประจำโรงเรียน ผู้มีกิ๊กถึง14คน เมื่อดารชาเข้ามา จึงทำให้อัคคีต้องระเห็ดไปนั่งข้างวายุ หนุ่มผิวขาวบอบบางที่สุดในห้อง (ล้อเล่นน่ะครับ) ถัดจากอัคคีไปทางขวาก็เป็นที่ของสองสาว แพรวา (ไม่ใช่คนที่ชนรถตู้จนเป็นข่าวนะ) สาวช่างเม้าท์ที่สุดในโรงเรียน กับพัชชา สาวนิ่งคู่หู
สิ่งที่มาใหม่ไม่ใช่แค่ดารชาเท่านั้น เมื่อ อ.ราเชนทร์ อาจารย์สุดเฮี้ยบ ได้ไปคุยกับครูใหญ่ เรื่อง หนังสือรุ่น ซึ่งก็ได้รับคำตอบมาว่า ต้องการให้นักเรียนทุกคนทำหนังสือรุ่นกันเอง โดย อ.วีณากร อาจารย์สอนร้องเพลง ก็ได้แต่งตั้งให้ วายุเป็นบรรณาธิการหนังสือ นทีเป็นคนถ่ายรูปในหนังสือ อัคคีเป็นผู้ทำคอลัมภ์ทั้งหมด แพรวาจึงได้ขออัคคีทำในส่วนคอลัมภ์Gossip ซึ่งอัคคีก็อนุญาตอย่างไม่เต็มใจนัก แต่ได้ขอให้ดารชาช่วยทำคอลัมภ์แทน ทางด้านดารชารู้ว่าตนเองเรียนตามเพื่อนไม่ทัน จึงได้ขอให้นทีติวหนังสือ โดยมีแพรวาและพัชชาขอติวด้วย
ในวันเสาร์ (รึเปล่า) นที ดารชา แพรวา และพัชชาได้ติวหนังสือร่วมกันจนเมื่อถึงเวลา แพรวาและพัชชาขอตัวกลับบ้านไปก่อน ดารชาจึงขอให้นทีไปส่ง นทีก็ตกลงโดยที่ทิ้งกระเป๋าไว้เพราะมีนัดกับวายุ ทว่าแพรวาและพัชชาได้กลับมาเพราะลืมหนังสือ ในระหว่างที่หาหนังสือกันอยู่นั่นเอง ก็พบรูปของวายุตกอยู่ที่พื้น ด้านหลังรูปมีการเขียนเป็นเชิงชม ซึ่งดูจากลายมือแล้วน่าจะเป็นของนที จึงถือวิสาสะค้นกระเป๋าของนที เป็นดังคาดเพราะได้พบรูปของวายุเป็นจำนวนมาก แต่ไม่ทันจะได้สืบอะไรต่อ วายุก็มาพอดี ทำให้ทั้งคู่ต้องเก็บรูปไว้กับตัว ก่อนจะขอตัวออกไป ทางด้านวายุเองก็ไปค้นกระเป๋าของนทีเช่นกัน แต่รูปทั้งหมดไปอยู่ที่สองสาวประกอบกับนทีได้กลับมาพอดี จึงไม่ได้พบอะไร
ทางด้านแพรวากับพัชชา ตัวแพรวานั้นต้องการจะบอกเรื่องนี้กับทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือดารชาและวายุ จึงเริ่มที่จะบอกกับดารชาก่อน แต่พัชชาได้ห้ามไว้ ทว่าตัวพัชชานั่นแหละที่หลุดปาก ทำให้ดารชารู้ความจริงว่า นทีชอบวายุ แต่ต้องการพิสูจน์ว่าสิ่งที่ตนเองรู้ไม่ใช่ความจริง โดยการบอกชอบกับนที แต่นทีปฏิเสธ พร้อมบอกว่า เขามีคนที่ชอบอยู่แล้ว ดารชาจึงถามว่า คนที่ชอบคนนั้นคือวายุรึเปล่า ฉับพลันนทีก็นิ่งอึ้งแล้วสอบถามถึงต้นข่าวจนรู้ นทีจึงยอมรับอย่างเป็นกังวลว่าจะมีคนรู้เรื่องนี้อีก
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา แพรวาก็พยายามที่จะบอกเรื่องนี้ให้วายุได้รู้โดยตลอด แต่นทีกับดารชาก็มาขวางไว้ โดยเฉพาะดารชาที่ถึงขั้นนัดวายุไปโน่นมานี่จนกระทั่งถึงวันที่มีงานเลี้ยงหมู่ ทำให้วายุคิดว่าดารชาชอบตน แต่ความจริงเป็นเพราะดารชาต้องการให้นทีมีความสุขกับการที่ได้ชอบวายุต่างหาก
อีกด้านหนึ่ง อัคคีเองก็ใช่ว่าจะอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร เขาเองก็คอยจีบดารชาตลอด แต่สุดท้ายดารชาเองก็ได้ปฏิเสธไป เพราะต้องการเป็นกับอัคคีแค่เพื่อน อีกทั้งยังคงชอบนทีอยู่ ทำให้อัคคีช็อกพอสมควร แต่ก็ไม่นานนัก เขาก็ยอมรับ ณ จุดนี้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดว่า ยอมเป็นแค่เพื่อนกับดารชาก็ตาม
ในวันที่จัดงานเลี้ยงหมู่ แพรวาก็ได้ทำสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึง คือ การป่าวประกาศให้ทุกคนได้รู้ว่า นทีชอบวายุ วายุรับไม่ได้จนเดินหนีจากงานเลี้ยง แม้ว่านทีจะตามไปขอโทษเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง และต่อว่าอย่างรุนแรง ตั้งแต่วันนั้นวายุก็ไม่ยุ่งกับนที แม้แต่จะมองหน้ากันด้วยซ้ำ ทำให้นทีเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก
หลังจากนั้น วายุก็ได้บอกชอบกับดารชา แต่ดารชาปฏิเสธโดยบอกว่าตนเองนั้นชอบนที และที่เธอนัดไปโน่นมานี่ก็เพียงแค่กันวายุจากแพรวาเท่านั้น และยังบอกว่า สิ่งที่วายุทำกับนทีในตอนนี้มันไม่ถูก ทำให้วายุถึงขั้นพูดไม่ออกไปเลยทีเดียว แต่อัคคีก็ได้เข้ามาปลอบใจ ทำให้วายุรู้สึกดีขึ้น และอัคคีก็เห็นด้วยกับคำพูดในตอนท้ายของดารชา
ทางด้านนทีนั้นก็ซึมเศร้าอย่างหนักจนถึงขั้นไม่มาโรงเรียน และในช่วงที่ทุกคนทะเลาะกันอยู่นี่เอง อ.ราเชนทร์ก็ได้บอกว่า หนังสือรุ่นนั้นหากว่ายังไม่เสร็จ คุณครูจะรับไปทำเองดังเช่นหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนที่ยังไม่เสร็จนั้นก็คือ รูปภาพในหนังสือที่นทีเป็นผู้ดูแล ทว่าเจ้าตัวนั้นไม่อยู่ ทำให้อัคคีและดารชาต้องหาทางยุติเรื่องเหล่านี้ให้ได้ โดยการนัดนที วายุ แพรวาและพัชชาให้มาที่ห้องในตอนเย็น เพื่อมาปรับความเข้าใจอย่างเปิดใจกัน ในที่สุดทุกคนก็เข้าใจกันและกันมากขึ้น และรักใคร่สามัคคีกันอย่างหาที่สุดมิได้
ปล. (เสียเล็กน้อยก่อนเดินเรื่องต่อ) เนื่องจากในช่วงที่ผมมาเขียนเป็นช่วงที่พาไปนานพอสมควรทำให้เนื้อเรื่องอาจขาด คลาดเคลื่อนไปจากเนื้อเรื่องจริงไปบ้าง ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
บทวิจารณ์ จริงๆซักทีนะครับ
ละครเรื่อง 4รักนั้นแสดงถึงรักของ4คน 4แบบ คือ รักในมุมมองของ นที ดารชา วายุ และอัคคี ว่าง่ายๆคือ
ความรักของนที เป็นแบบแอบชอบ คือ ประมาณว่า เขาไม่จำเป็นต้องรู้หรอกว่าเราชอบเขา ขอเพียงเราได้อยู่ข้างเขาก็พอแล้ว ซึ่งผมคิดว่าถ้าแพรวาไม่บอกเรื่องนี้กับวายุล่ะก็ วายุก็ไม่มีทางรู้เรื่องอย่างแน่นอน เพราะนทีคงไม่คิดจะบอกวายุอย่างแน่นอน เนื่องจากรู้ดีว่าหากวายุรู้เรื่องนี้ เขาอาจจะต้องเสียเพื่อนคนนี้ไป อนึ่งผมมองว่า บางทีนทีก็อยากจะบอก แต่ยังหาเวลาที่เหมาะสมไม่ได้ ดูได้จากการที่เขาเคยถามวายุว่า ถ้ามีผู้ชายมาบอกชอบ จะทำยังไง ก็เพื่อที่จะดูปฏิกริยาก็เป็นได้
ขออีกสักหน่อยล่ะกัน นทีนั้นด้วยนิสัยภายนอกที่เป็นคนสุภาพ ห่วงใยทุกคน และเป็นที่รักใคร่ของทุกคน ประกอบเป็นคนที่ชอบถ่ายภาพ ทั้งหมดจึงบดบังพฤติกรรมที่แสดงออกและโอกาสที่เขาจะมีความรู้สึกกับวายุแบบนั้น ไปแบบชนิดกินขาด แม้แต่ตัวผมเอง ถ้าไม่มาดูละครเรื่องนี้ก็ไม่มีทางรู้เลย
ความรักของดารชา เป็นแบบที่เราเห็นในละครบางเรื่องที่ว่า “ความรักนั้นคือการที่ได้เห็นคนที่เรารักมีความสุขไม่ใช่เหรอ” เห็นได้จากการที่พยายามกันวายุจากแพรวาเพื่อไม่ให้วายุรู้เรื่อง และให้นทีมีความสุขกับการที่ได้ชอบวายุต่อไป ทั้งๆที่นทีเป็นคนปฏิเสธรักจากดารชาและขอให้เป็นแค่เพื่อนกันแท้ๆ นับว่าคนคนนี้เป็นคนที่รักใครรักจริง และไม่อยากให้คนที่ตนรักเสียใจอย่างแท้จริง (คนที่มีนิสัยแบบนี้ น่าจะเป็นส่วนน้อย ถ้าดูจากสังคม ณ ปัจจุบันนะครับ)
อีกอย่างหนึ่ง ผมอดสงสัยไม่ได้ ทั้งๆที่ดารชาเป็นคนที่มีบทบาทเยอะมากในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนใหม่ มีบทสนทนาคู่มากที่สุด หรือบทปรองดองทุกคนให้เข้าใจกันร่วมกับอัคคี แต่ทำไมถึงดูมีเรตติ้งน้อยกว่านทีเพียงเพราะนทีชอบวายุ (อย่าว่ากล่าวเพ้อเจ้อ แต่สังเกตว่าดารชามีบทคู่กับใคร ทุกคนแค่ตั้งใจฟังกันอย่างเงียบๆ แต่นทีไม่ทำไรมาก แค่จับมือวายุตอนคุยกับดารชาแค่เนี้ย เสียงมากันเลย ยิ่งฉากนทีกับวายุกอดยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย) แต่ถึงอย่างนั้นผมเองก็คิดว่าตัวละครตัวนี้ให้แง่คิดกับหลายๆคนที่มาดูมากที่สุดในเรื่องเลยเชียวล่ะ
ความรักของวายุ มีนิยามง่ายๆคือ “ความรักเป็นสิ่งสวยงาม และมีความเป็นขั้นเป็นตอนของมัน” ที่ผมพูดแบบนี้ เพราะสังเกตได้ว่า แค่ดารชายอมเล่านิทานอีสปให้ฟัง (วายุบอกว่า เดิมทีเขาชอบฟังจากพี่สาวเขา แต่เมื่อพี่สาวเขาจากไป เขาก็ไม่ได้ฟังอีก ดารชาเห็นว่าวายุดูซึมๆจึงปลอบใจโดยการเล่าให้ฟัง) ก็คิดไปแล้ว ดารชาน่าจะมีใจให้ตน ยิ่งตอนดารชากันวายุจากแพรวาโดยการพาไปเที่ยว ก็ย้ำหัวตะปูเข้าไปใหญ่ ผมจึงมองว่า วายุเป็นคนที่มีนิสัยอ่อนต่อโลก และยึดถือความคิดของตนเองเป็นหลัก (แต่ก็อาจไม่ใช่ทั้งหมดก็ได้ เพราะวายุเองก็มีส่วนดีตรงที่เป็นคนรักเพื่อนอย่างจริงใจ) แต่สุดท้ายเมื่อดารชาลองคุยกันด้วยเหตุผลกันจริงๆ ก็ต้องยอมรับว่า วายุเป็นคนที่ฟังคนและยอมรับผลที่ตามมาได้ดี
อีกเรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องที่นทีชอบวายุ ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า ถ้านทีเป็นคนบอกชอบวายุเองในเวลาที่เหมาะสมจริงๆ วายุจะรังเกียจแบบนี้มั้ย เพราะวายุบอกตอนที่หนีออกจากห้องกับนทีประมาณว่า ทำไมถึงไม่บอกเอง ต้องการให้เขาอายใช่มั้ย อะไรแบบนี้น่ะครับ ทั้งที่ว่ากันตามจริง ถ้าวายุเป็นคนแอนตี้เรื่องแบบนี้มากจริงๆ ก็ไม่น่าจะพูดแบบนี้ แสดงว่าวายุอาจรับเรื่องนี้ได้อยู่แล้ว หรือไม่ เขาเองก็มีความสงสัยในพฤติกรรมที่นทีแสดงออกกับตน แต่ยังไม่ชัวร์และไม่ใส่ใจมากนัก ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริง ก็แสดงว่าเขาเป็นคนที่ดูลึกลับคนหนึ่งเลยล่ะ เพราะแม้ว่าภายนอกเขาจะดูไม่รู้ ‘อะไร’ แต่จริงๆ เขารู้ ‘อะไร’ และเก็บมันได้อย่างแนบเนียนมาก (แต่ผมคงจะคิดไปเอง เพราะพี่ชัยที่เล่นเป็นวายุ เขาแสดงไปตามบทเท่านั้น แต่ผมก็ต้องยอมรับว่าเขาแสดงได้สมบทบาทมาก ทั้งนี้ก็ต้องขอรวมไปพี่ๆที่แสดงในเรื่องนี้ทุกคนด้วยนะครับ)
และแล้วก็ถึงคนสุดท้าย อัคคี รักในมุมมองของเขานั้น คือ การค้นหาสิ่งที่ใช่ที่สุดของเขา เพราะสังเกตว่าเขามีกิ๊กเยอะมาก แต่เมื่อเขามีแฟนเขากลับมีแค่คนเดียว แม้ว่าสุดท้ายเขาจะถูกบอกเลิกจากแฟนคนนี้ แต่เขาก็มิได้คบกับใครอีก แสดงให้เห็นว่า ภายนอกเขาจะดูเจ้าชู้ แต่เอาเข้าจริง อัคคีก็เป็นคนที่รักใครรักจริง และยอมทำทุกอย่างให้เขาได้ แต่ก็เป็นคนที่ล้มแล้วกว่าจะลุกก็นาน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเขามีความมั่นใจในตัวเองค่อนข้างสูง ดังนั้นเมื่อถูกดารชาปฏิเสธ ก็ไม่แปลกเลยที่เขาจะอึ้งจนต้องขอเวลาทำใจคนเดียว แต่เมื่อเขาทำใจได้แล้ว เขาก็เป็นเพื่อนที่ดี แถมยังเป็นคนที่ช่วยประสานรอยร้าวของทุกคนให้กลับมาเหมือนเดิมร่วมกับดารชาอีกด้วย ก็คิดได้อีกว่า เขาเป็นคนที่แยกเรื่องต่างๆออกจากกัน โดยไม่เอาอารมณ์หรือความหลังมาเป็นตัวขัดขวางได้ ซึ่งโดยส่วนตัว (จริงๆบทความนี้ก็มุมมองผมเองล้วนๆ แต่ก็พยายามใส่ความเป็นกลางให้มากที่สุดเท่าที่จะได้นะครับ) ผมมองว่า ลึกๆแล้วอัคคีอาจจะยังชอบดารชาอยู่ เหมือนที่ดารชาชอบนที เพียงแต่อัคคีเห็นว่ามีเรื่องอื่นที่สำคัญยิ่งกว่า จึงปล่อยมันไปก่อน และเมื่อเสร็จแล้ว จึงค่อยกลับมาเรื่องนี้ก็ได้ คือเป็นคนที่นึกถึงเพื่อนเป็นหลัก ทำให้ในช่วงท้ายเรื่อง อัคคีจึงเป็นคนที่มีความโดดเด่นมาก ไม่ว่าจะวางแผนปรองดอง หรือ พูดสรุปตอนท้ายก่อนจบก็ดีทั้งนั้น
แม้ว่าจะมีมุมมองที่ต่างกัน แต่ก็มีจุดร่วมกัน คือ “หากแม้รักนี้ไม่สมหวัง ก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ โดยมิได้ตะขิดตะขวงใจเลยแม้แต่น้อย” อีกอย่างในเป็นความรักที่บริสุทธิ์ ไม่ได้คิดจะชิงสุขก่อนห่ามเหมือนใครบางคนในปัจจุบัน จึงนับว่าเป็นแง่คิดดีๆที่หลายคนยอมรับจากการดูละครเวทีเรื่องนี้
แต่เรื่องราวแบบนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าขาดตัวประกอบสำคัญ2คน นั่นคือ แพรวาและพัชชาที่เป็นคนเปิดโปงความจริงทั้งหมด จนเกิดเรื่องขึ้น ซึ่งความจริงแล้วคนที่บอก มีแค่แพรวาคนเดียว แต่ทั้งสองรู้ด้วยกันเท่านั้น ตัวแพรวานั้นเป็นคนที่ไม่สนความรู้สึกใคร ทำอะไรไม่ค่อยคิดถึงผลที่ตามมา จึงต้องการบอกกับวายุคนเดียวในตอนแรก แต่ดารชานั้นกันวายุมาตลอดจนถึงวันเลี้ยงหมู่ ซึ่งทำให้แพรวาโกรธจนต้องป่าวประกาศ ส่วนทางด้านพัชชา ทั้งๆที่รู้ว่าแพรวาจะทำอะไร แต่ไม่สามารถห้ามปรามได้ เพราะด้วยความที่เป็นคนไม่ค่อยพูดและไม่หนักแน่นพอ จะว่าไปสองคนนี้ค่อนข้างจะคนละขั้ว คือ คนหนึ่งชอบพูดแบบไม่คิดอะไร อีกคนมีสติทุกครั้งที่พูด นานๆจะหลุดซักที เสียดายที่พัชชาน่าจะมีความหนักแน่นมากกว่านี้ ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็อาจไม่มีการทะเลาะกันก็ได้ แล้วความลับก็จะยังคงเป็นความลับต่อไปอีกสักพัก แต่อย่างว่า ความลับไม่มีในโลก ประกอบกับเรื่องนี้เป็นละครสั้น ดังนั้นคนที่ควรจะได้รับบทนี้จึงควรเป็นแพรวา เพราะนทีกับพัชชาคงไม่คิดจะพูดอยู่แล้ว ส่วนดารชาไม่อยากให้นทีเสียใจดังนั้นคงจะไม่พูดเช่นกัน แต่สุดท้ายเมื่อคุยกันในฉากเกือบสุดท้าย ก็ได้รู้ว่าจริงๆ แพรวาเป็นคนที่แม้ภายนอกจะไม่สนอะไร แต่ลึกๆก็รู้สึกสำนึกผิดในสิ่งที่ตนกระทำแต่ไม่มีโอกาสบอกเท่านั้นเอง
หลังจากที่ขุดคุ้ยตัวประกอบหลักไปแล้ว ก็มาถึงตัวประกอบที่มีบทพูดให้แง่คิดและให้เสียงหัวเราะแก่ผู้ชมกันบ้าง อย่างเช่น อ.ราเชนทร์และอ.วีณากร พี่สาว (ร่างชาย) 2คนที่เหมือนเป็นตัวโจ๊กในเรื่อง และผู้ชายหลังห้อง3คนที่ไปไหนด้วยกันตลอด เหมือน3สหายหัวขาด (อย่าถามครับ ทำไมถึงเรียกอย่างนี้ เพราะตัวคนเขียนมันยังไม่รู้เลย) แต่มีบทเด่นในกลุ่มนี้เห็นจะเป็น อาจารย์ทั้งสองท่านที่เขาให้แง่คิด คือ “เรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานควรแยกออกจากกัน ไม่งั้นมันจะเสียทั้งคู่” ซึ่งทั้งสองคนจะพูดในฉากห้องเรียนเหมือนกัน แต่ก็ใช่ว่าเขาจะมีบทอยู่ที่ห้องเรียนไปเสียหมด เขาก็มีฉากให้ออกมาเรื่อยๆทั้งตอนออก (ที่โรงอาหารหรือที่สวน) และไม่ออก (ถูกนำอ้างโน่นอ้างนี่ไปเรื่อย อยากถามเหมือนกัน ว่าถูกเรียกบ่อยขนาดนี้ ไม่รำคาญบ้างเหรอ) แต่ก็นับว่าเป็นตัวละครที่สร้างสีสันในเรื่องนี้ทั้งสิ้น
อีกสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย คือ สภาพโดยรวม ไม่ว่าจะเป็นบทละครที่ทำให้เรารู้สึกว่าเหมาะกับการเป็นละครเวที ทีมงานทุกคน ตั้งแต่นักแสดงในเรื่องทุกคน คอสตูม ช่างไฟ ยันพิธีกร ทั้งหมดนี้ทำให้ผมรู้สึกว่า ค่าตั้วที่ผมซื้อมาแค่ 100 บาท (ผม ม.4 สวนกุหลาบ ราคาตั้วเลยลดลง50 บาท) แต่เมื่อดูละครแล้ว ก็คิดว่า 100 บาทมันถูกไป มันควรจะเป็น1000 หรือ 1500 บาท หรือมากกว่านี้ ผมก็ว่ามันคุ้มค่าแล้วที่ได้ดู ผมยอมรับมันเป็นละครเวทีเรื่องที่ดีที่สุดเท่าที่เคยดูมาเลยล่ะ (อนึ่งผมดูละครเวทีเรื่องนี้เรื่องแรกน่ะ)
สุดท้ายนี้ หากว่าผมได้เขียนสิ่งใดที่ถือเป็นการล่วงเกิน ดูหมิ่น หรือ น่ารำคาญ ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ผมก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ขอทิ้งท้ายด้วยคำพูดของนทีที่พูดกับอัคคีตอนช่วยทำเซอร์ไพรซ์ให้ดารชา ว่า
“ความรักก็เหมือน 3G รู้ว่ามีแต่ก็ยังไม่มา”
สวัสดีครับ
ผลงานอื่นๆ ของ Bookmark S ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Bookmark S
ความคิดเห็น