คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : คุ ณ ผู้ จั ด ก า ร ll [OS] REAL LOVE lKrisHol
*แนะนำให้ปิดเพลงหน้าบทความนะคะ*
REAL LOVE
ความรักไม่มีเหตุผล ไร้การควบคุม...มอบสิ่งที่ดีที่สุดหรือแม้กระทั่งสิ่งเลวร้ายที่สุด ความหมายมากมายอัดแน่นอยู่ในคำคำนี้ และเพราะบางครั้งมันก็ไร้เหตุผลจนทำให้คนหนึ่งคนยังคงยอมทำเรื่องโง่งม
อดีตที่ไม่มีวันหวนมาเจอ...แม้จะเจ็บปวด แต่ก็มีค่าเกินกว่าจะลืมเลือนหรือให้สิ่งใดมาแทนที่
ยอมทนอยู่เพื่อรัก...อยู่เพื่อรอ...ยอมทั้งนั้น เพราะแค่รักคำเดียว
.......
...
.
ในตอนเช้าตรู่ของมหาวิทยาลัย นักเรียนที่มีเรียนตอนเช้าของขณะศิลปกรรมจะมากระจุกรวมกันอยู่ที่ห้องศิลปะนี้เป็นปกติ และคิม จุนมยอนตัวเล็กๆหน้าหวานๆ ที่หอบหิ้วงานเพื่อมาส่งอาจารย์ก็เป็นอีกคน...ที่ชอบมานั่งดูเพื่อนๆเล่นกันอย่างสนุกสนานให้ห้องนี้
“ทำตัวเหมือนเด็กมอ.ปลายหมาดๆกันไปได้ เรียนปีสามแล้วนะ” คนตัวขาวแซวเพื่อนๆเล่นหลังจากที่เข้ามานั่งประจำที่ตัวเอง ทำให้เพื่อนที่นั่งคุยกันกลุ่มใหญ่พากันหันมาสนใจ
“ก็จุนมยอนดูไอ้ชานยอลมันสิ น้องแบคฮยอนสุดน่าฟัดคนนั้นน่ะนะ...มาส่งมันถึงที่นี่แล้วยังจะ...ให้ช็อกโกแลตอีกต่างหาก!!! อิจฉาวะ~!!!!”
เพื่อนคนหนึ่งวิ่งโร่เข้ามาบอกจุนมยอน ในมือก็มีกล่องช็อกโกแลตสีหวาน ส่วนคนถูกพูดถึงน่ะเหรอ...หน้าแดงแปร๊ดไปถึงหูกางๆซะแล้วล่ะ
“น่าอิจฉาสุดๆไปเลยปาร์ค ชานยอล!!” ใช่...น่าอิจฉา น่าอิจฉาที่นายมีคนที่นายรัก....และนายก็รักเขา นายน่าอิจฉามากที่มีเด็กตัวเล็กๆนั้นคอยเอาใจ ส่วนฉันคนนี้...ก็มีแค่ความเหงาเป็นเพื่อน เคียงข้างด้วยกันไป...ในทุกวินาที
พอนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เสียงและความสนุกต่างๆรอบๆกายก็ไม่ได้ถูกเป็นความสนใจอีกต่อไป กลไกความคิดเริ่มทำงานของตัวมันเองไปเรื่อยๆ คิดวนซ้ำไปซ้ำมาให้เจ็บ...ในหัวใจ
“แล้วจะมาคิดทำไมวะเนี่ย” สะบัดหัวแรงๆเพื่อขับไล่ความสับสนของตัวเองออกไป มันก็แค่...อาการน้อยใจ...ไม่เข้าท่า
คืนนี้ที่มีดาวเต็มฟ้าและพระจันทร์ที่ไม่เต็มดวงนั้นก็ทอแสงของมันอย่างสวยงาม โทรศัพท์มือถือที่ปกติไม่ค่อยได้ใช้ติดต่อกับใครเสียเท่าไหร่...ถูกวางเอาไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ จุนมยอนเปิดเป็นระบบธรรมดาตั้งแต่กลับขึ้นมาบนห้อง
เผื่อว่าใครคนนั้นโทรมา...ถ้าเกิดว่าตัวเขาไม่ได้ยินหรือรับไม่ทัน คงจะเสียใจแย่
“การรอใครคนหนึ่งมันทรมาน...เปลวไฟจากเทียนเล่มเล็กๆในทางเดินกว้างที่มืดมิด ยามมันต้องลมแสงไฟเหลือเพียงริบหรี่ มันก็เหมือนกับความหวังของการรอ...” จุนมยอนพึมพำ ถึงประโยคที่ได้คุยผ่านสายโทรศัพท์กับ..คนคนนั้น ประโยคที่เขาเคยพูดเอาไว้ และตอนนี้จุนมยอนก็ต่อมันด้วยความคิดของเขาเอง
“...แต่แม้มันจะให้ความสว่างเพียงริบหรี่แค่ไหน...มันก็เป็นสิ่งเดียว...แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวที่ส่องประกาย มันเป็นความหวัง...น้อยนิด ของคนที่กำลังรอ...”
นัยน์ตาหวานทอดมองไปยังดวงดาวบนท้องฟ้า เขาไม่รู้หรอกว่าเจ้าดาวลูกไก่หรือว่าดาวอะไรที่มันเป็นรูปร่างน่ะอยู่ตรงไหน แต่ที่มองก็เพราะว่าเมื่อมาอยู่รวมกันทั้งตัวของมันที่ส่องแสงสวยงามและแสงอ่อนนวลของพระจันทร์ มันช่วยให้แสงสว่างกับท้องฟ้าสีรัตติกาลจนเกิดความสดใสสวยงามอย่างไม่น่าเชื่อ
Peeeeeee
เสียงโทรศัพท์หยุดความคิดทั้งหมด และเรียกให้คนที่กำลังเหม่อรีบกระตือรือร้นไปที่โทรศัพท์เครื่องนั้น ดวงตากลมโตพราวระยับอย่างมีความหวัง แต่ความหวังนั้นก็พลันสลาย
เมื่อสายที่โทรเข้ามา...
ไม่ใช่คนรอคอย...
“ครับ”
[ … ]
“สวัสดีครับ”
จุนมยอนตั้งใจจะตัดสายเมื่อคนที่โทรเข้ามาไม่คิดที่จะพูดอะไร บางทีเขาอาจจะ...
[ ยังรออยู่ใช่ไหม ]
เสียงที่คุ้นเคย ทำให้จุนมยอนแปลกใจเขารีบดึงโทรศัพท์กลับมาและเพ่งดูอีกครั้งว่าคนที่โทรเข้ามานั้นเป็นใคร เบอร์นี้ไม่ใช่เบอร์โทรศัพท์ที่เขาบันทึกไว้ และเบอร์ของคนนั้นเขาก็จำมันได้ดีแต่นี่มันเป็นเพียงแค่เลขหมายที่เขาไม่คุ้นเคยก็เท่านั้น
“เอ่อ...ไม่ทราบว่าใครพูดเหรอครับ?” อยากจะถามเพื่อว่าจะมีคนที่โทรผิดมา แต่คำพูดที่ตอบกลับและน้ำเสียง ทำให้เขามั่นใจ
[ นายลืมคนที่ตัวเองรอ...งั้นก็แสดงว่า... ]
“เราไม่เคยลืมและไม่เคยหยุดรอ!”
[ หึ ] เสียงหัวเราะที่เฉยชาไม่ว่าฟังกี่ครั้งมันก็รู้สึกไม่ดี แต่ถ้าเป็นในครั้งนี้ที่เขาโทรมา
ถ้าเขาจะด่าทอให้เจ็บใจ...มันก็รู้สึกดี เพราะมันหมายความว่าเรา...ยังอยู่ในหัวใจของเขาบ้าง
[ ฉันไม่ได้โทรมาเพราะคิดถึง ตอนนี้ฉันอยู่ที่สนามบินและกำลังจะไปแคนาดา ฉันจะโทรมาย้ำ... ]
“จะบอกจะย้ำทำไม เมื่อคุณก็รู้ดีที่สุด...เรา!!...มีแค่คุณคนเดียว ตลอดมาและตลอดไป”
[ ... ]
“เรารู้ว่าเรายังรักกัน แต่เราไม่รู้ว่าคุณทำอย่างนี้ทำไม”
[ ... ]
“แต่ถ้าทำแล้วมีความสุขคุณก็ทำไปเถอะ...”
[ … ]
“แต่เราอยากให้คุณจำไว้ ไม่ว่ายังไง...เราก็ยังรักและรอคุณเสมอ”
[ RrrrrrRrrrr ] ปลายสายตัดไปพร้อมกับหัวใจที่ถูกกระแทกด้วยอะไรบางอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความรู้สึกซึ่งเป็นเหมือนแก้วใสๆซึ่งเปราะบาง ในตอนนี้ถูกขว้างปาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนจะนำกลับมาต่อกันใหม่อย่างลวกๆและนำไปขว้างทิ้งอย่างไม่ใยดีอีกครั้ง
“ขอบคุณนะ...ขอบคุณที่คุณโทรมา” ไม่ว่ากี่ครั้งที่ได้คุยกันผ่านทางโทรศัพท์หลังจากวันนั้น ไม่มีครั้งไหนที่น้ำตา...ไม่ได้หลั่งไหลซ้ำเติมความเจ็บปวดให้หัวใจ
“จุน...แม่ไม่ค่อยเจอ...”
“เขาไม่ค่อยว่างน่ะฮะ ตอนนี้ไปเรียนต่อ”
“อืม...เขาขยันจังเลยแฮะ” เป็นเช้าวันที่สดใส เป็นวันที่จุนมยอนมีเรียนในตอนบ่าย และเวลาอาหารเช้าของวันนี้คุณแม่ของเขาก็เปิดประเด็นที่จุนมยอนไม่ได้นึกอยากจะฟัง...เขาไม่ได้อยากรับรู้ถึงคนคนคนนั้นเท่าไหร่
แดดค่อนข้างแรงแม้จะพึ่งสายๆได้ไม่เท่าไหร่ จุนมยอนที่นั่งวาดภาพเล่นๆอยู่ที่ระเบียงห้องนอนต้องล้มเลิกและเข้ามานั่งพักอยู่ในห้องอย่างเลี่ยงไม่ได้ วันนี้รู้สึกไม่อยากจะไปเจอใคร
อยากจะล็อกห้องและนอนคิดอะไรเงียบๆอยู่แค่คนเดียว...คิดถึงวันเวลาเก่าๆ
หลอกตัวเองว่าเหตุการณ์เมื่อวันนั้นมันไม่ได้เกิดขึ้น และจุนมยอน...กับคนคนนั้นก็ยังรักกันดีเหมือนเดิม
มันเป็นช่วงเวลาที่แสนดี...ความทรงจำที่ไม่ว่านึกถึงเมื่อไหร่ก็ยิ้มได้เสมอ
“ในเมื่อเราเป็นพระอาทิตย์ที่คุณจะมองตาม และทำไมในตอนนี้พระอาทิตย์ต้องคอยหันไปเพื่อให้ดอกทานตะวันอย่างคุณมองมาด้วยล่ะ...”
ล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มๆของตัวเอง คนคนนั้นชอบให้เสมอ ดอกทานตะวัน...เขาชอบที่จะให้และทุกครั้งเขาก็จะบอกความหมายอย่างที่จุนมยอนพึมพำในตอนแรกเสมอ พอนึกถึง...ก็อดจะดึงตัวเองให้ไปจมอยู่กับกล่อง...ที่บรรจุสิ่งๆดีๆที่เคยทำร่วมกัน ความทรงจำที่สวยงาม ยากจะลืมเลือน
อาจคล้ายดูเหมือนคนพึ่งจะมีความรักครั้งแรก ตั๋วหนังกี่เรื่องที่ดูด้วยกัน รูปถ่ายหรือแม้แต่ภาพวาดที่ไม่ได้สวยงามมากมายซึ่งๆคนคนนั้นอ้อนให้เขาช่วยสอนวาด ดอกทานตะวันหลายดอก แม้ว่ามันจะแห้งเหี่ยวซักแค่ไหน จุนมยอนก็พยายามดูแลและเก็บมันไว้อย่างดีที่สุด
แม้ไม่ใช่เด็กๆ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะพลัดกันเขียนไดอารี่ของกันและกัน
“แทบไม่อยากจะเชื่อเลย...” ไม่อยากจะเชื่อว่าเคยมีวันนั้น เพราะว่าในตอนนี้เขาเปลี่ยนไป...และมันทำร้ายหัวใจของผมเหลือเกิน
...
..
.
ไปเรียนด้วยหัวใจที่เลื่อนลอย แม้จะรู้ว่ายังไงก็คงไม่เจอแต่มันก็กลายเป็นความเคยชินแย่ๆของคนที่ชื่อคิมจุนมยอนไปซะแล้ว ทุกครั้งต้องมาหยุดยืนที่ป้ายรถเมล์หน้ามหาวิทยาลัย จ้องมองไปที่ร้านกาแฟฝั่งตรงข้าม แค่แอบหวังว่าเขาจะมายืนเก๊กอยู่หน้าร้านและเมื่อเห็นจุนมยอนเขาก็จะส่งยิ้มอบอุ่นละไมมาให้เหมือนเคย
“คิดอะไรไม่เข้าท่าน่าจุนมยอน” เขาเลิกสนใจกับอะไรเก่าๆ ขาเรียวหันเดินกลับไปทางมหาวิทยาลัยเหมือนที่สมควรจะเป็น
..
.
“สู้ๆนะครับพี่ชานยอล”
“แบคฮยอนก็เหมือนกันนะ” จุนมยอนยิ้มกับเพื่อนของตัวเองที่หน้าแดงแปร๊ด เพราะถูกเด็กตัวเล็กๆหน้าตาน่ารักที่ชื่อว่าแบคฮยอนหอมที่แก้มไปเบาๆก่อนจะรีบวิ่งออกไป เมื่อเห็นว่าเพื่อนตัวเองน่าจะโอเคในระดับหนึ่งแล้ว ถึงได้เดินเข้าไปหา
“เด็กคนนั้นน่ารักมากเลยชานยอล”
“อือ...น่ารักที่สุดเลย”
เพื่อนที่ไม่ค่อยจะสนิทสนมกันเท่าไหร่นัก ตอนนี้กำลังเดินไปที่ตึกคณะด้วยกัน การพูดคุยในเรื่องต่างๆเปิดเผยความลับในบางส่วนในเวลาอันรวดเร็ว มันเป็นการทำให้คนสองคนสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ อาการเกรงๆทีแรกค่อยๆเป็นธรรมชาติพวกเขาดูจะเป็นเพื่อนที่เหมือนเพื่อนกันจริงๆ
“กินข้าวมาหรือยังจุนมยอน”
“นายยังไม่ได้กินเหรอ?”
“คือ...ฉันอยากกินข้าวกล่องของแบคฮยอนตอนนี้เลยน่ะ” คนเอ่ยชวนสารภาพทั้งที่หน้าแดงๆ
“ฉันกินเรียบร้อยแล้วล่ะ แต่ถ้านายอยากหาเพื่อนกินเดี๋ยวฉันไปนั่งเป็นเพื่อนก็ได้ ^^” เมื่อมองนาฬิกาแล้วยังเหลือเวลาเกือบสองชั่วโมงกว่าจะเรียนคาบแรก จุดมุ่งหมายในตอนนี้เปลี่ยนไปเป็นแคนทีนของมหาวิทยาลัยแทน จุนมยอนเลือกนั่งตรงมุมที่มองเห็นสวนสวยๆของมหาวิทยาลัย
เพลงคลาสสิกเน้นเสียงไวโอลินที่ดีเจเปิด มันทำให้ฟังแล้วผ่อนคลายแต่ก็เรียกน้ำย่อยได้ดีทีเดียว
“ชั้นไปหาซื้ออะไรกินหน่อยนะชานยอล นั่งฟังเพลงแล้วมันเกิดหิวขึ้นมาน่ะ”
“กินกับฉัน...”
“ถ้าชวนตามมารยาทก็ไม่เป็นไร ข้าวกล่องของแบคฮยอนนายคงอยากจะกินคนเดียวแน่ๆอยู่แล้วล่ะ เดี๋ยวมานะ” ดวงตาคมมองตามแผ่นหลังบางๆของเพื่อนที่พึ่งจะสนิทกันซึ่งเดินห่างออกไป
จุนมยอนเป็นคนที่พูดตรงๆนั่นคือเขาเป็นคนที่จริงใจ เขาดูน่ารักและไม่ได้มีท่าทีเสแสร้งเลยแม้แต่นิด
“เครปเค้กกับอเมริกาโน่...เอ้ย!ลาเต้ครับ” และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งความเคยชินแย่ๆ ทำไมจะต้องไปจำกาแฟรสที่คนคนนั้นชอบกินจนลืมไปว่าตัวเองชอบกินกาแฟรสอะไร หลายๆเรื่องของเขาซึมซับเข้าสู่สมองอย่างไม่ตั้งใจ...
เพราะใกล้ชิดและรับรู้ในทุกเรื่องราวของกันและกัน...ไม่เคยมีเรื่องอะไรให้ปกปิด
ยกเว้น...เรื่องที่คนคนนั้นจากไปเฉยๆและวนกลับมาทำร้ายหัวใจอย่างไม่มีสาเหตุ
...
..
.
“แบคฮยอนทำกับข้าวเก่งจังเลยแฮะ” คนที่นั่งกินไปยิ้มไปอย่างมีความสุขตอนนี้เขานั่งยิ้มกว้างกว่าเดิมเสียอีก เมื่อข้าวกล่องน่ารักๆของแบคฮยอนที่ทำมาให้ เขากินจนหมดเกลี้ยงไปเลย
“นายถึงได้ซัดจนไม่เหลืออะไรแบบนี้ เรารีบไปกันเถอะ...ใกล้จะถึงเวลาเรียนแล้ว”
...
..
.
วันนี้จุนมยอนถือว่ามันเป็นวันดีๆ วันนี้เขาได้เพื่อนสนิมเพิ่มมาหนึ่งคน ความจริงต้องบอกว่าชานยอลเป็นเพื่อนสนิทคนแรก เพราะว่าจุนมยอนไม่ได้มีเพื่อนสนิทเลยซักคน และเมื่อกลับมาถึงบ้านในตอนทุ่มกว่าๆคุณพ่อคุณแม่ของเขานั้นขึ้นไปนอนกันข้างบนเรียบร้อยแล้ว อาหารเย็นถูกวางไว้บนโต๊ะโดยมีผ้าคลุมอย่างเรียบร้อย จุนมยอนเดินเงียบๆเอากระเป๋าขึ้นไปเก็บ โทรศัพท์เปิดให้เป็นโหมดธรรมดาและวางไว้ที่เตียง ก่อนจะเข้าไปอาบน้ำในห้อง
เขากับโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กลงมาทานอาหารเย็น ภายในบ้านหลังกว้างๆเงียบงัน นึกอยากจะเปิดเพลงแต่ว่าความเงียบมันก็ดี ทำให้เราได้รับรู้เสียงต่างๆจากภายนอกบ้างและคิดอะไรได้อย่างไม่มีสิ่งใดคอยรบกวน
Pip Pip
เสียงข้อความที่เข้ามา ทำให้จุนมยอนละจากการกินข้าวแล้วหันไปเปิดข้อความขึ้นอ่าน จากคนที่เขายังรออยู่เสมอ
…ฉันไม่อยากจะฟังนายพล่ามอะไรไร้สาระ และที่ฉันส่งข้อความมาพี่คงรู้นะว่าผมจะบอกนายว่าอะไร...ฉันขอให้นายหยุดรอ! และเลิกหวังอะไรที่มันไม่มีทางเป็นไปได้ซักที เหมือนเดิมน่ะ...มันเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว...
ตากลมหลับลงช้า สูดหายใจเข้าลึกเต็มปอดอย่าพยายามข่มความเจ็บปวดให้ลึกสุดใจ เขาพอจะรู้ว่าเจ้าของข้อความกำลัง...พยายาม พยายามที่จะทำร้ายเขาคอยแต่พร่ำบอกให้เขาหยุดรอได้แล้ว จุนมยอนไม่รู้ว่ามันเพราะอะไรที่เขาทำ...แต่เขาเลือกเพียงแค่กดข้อความตอบกลับสั้นๆ และเก็บจานให้เรียบร้อยทำเหมือนว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น
...เราอยากรู้เหตุผล...การกระทำทั้งหมดของคุณ...
….
…
..
.
มันอดจะหวังลึกๆไม่ได้ ว่าจะมีข้อความตอบกลับจากคนคนนั้นแต่เนิ่นนานจนความอ่อนล้าเริ่มออกฤทธิ์ เขาปิดโทรศัพท์และคงจะเป็นวันพรุ่งนี้ถึงค่อยเปิดมันอีกครั้ง ไฟในห้องดับลงพร้อมกับคนที่เหนื่อยล้าและท้อใจที่ล้มตัวลงนอน
ถ้าจุนมยอนยังเปิดโทรศัพท์...และเฝ้ารออยู่ในตอนนี้ เขาจะได้รับรู้ข้อความยาวๆที่ส่งมา...และมัน...อาจจะไม่สายเกินไป
...เราขอโทษ เพราะเราทำผิดกับคุณ...เราเข้าใจว่าคุณยังไม่พร้อมกับเรื่องแบบนั้น ตัวเราเองก็ไม่อยากบังคับ ถึงเราจะทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไร แต่การไปนอนกับคนอื่นลับหลังคุณซึ่งเรารู้กับใจมันทำให้เราทนเห็นแก่ตัวไม่ได้...เราถอยห่างเพราะไม่อยากจะทำร้ายคุณแบบนั้นต่อไป...แต่การที่เราต้องคอยวนเวียนมาทำให้คุณเจ็บปวด เพราะเราเองอยากให้คุณเลิกรัก..คนเลวๆคนนี้ได้แล้ว
เรารักคุณ..เหมือนที่คุณรักเรา มันเป็นอย่างนี้ตลอดมาและมันจะเป็นตลอดไป
ตอนนี้เราอยู่ที่สนามบินและกำลังจะไปเรียนต่อจริงๆแล้ว การห่างกัน...อาจจะทำให้คุณลืมเราได้บ้าง
ขอโทษจริงๆนะจุน และอู๋อี้ฟานคนนี้รักคิมจุนมยอนมากนะ...รักมาที่สุด...ทุกลมหายใจ..
ความรู้สึกแปลกๆตั้งแต่ตื่นขึ้นมา มันคอยเร่งเร้าให้เขาอยากจะไปเปิดโทรศัพท์เพื่อดูว่ามีข้อความเข้าหรือเปล่า แต่ว่าจุนมยอนก็เลือกที่จะไม่สนใจแล้วก็ทำทุกๆอย่างเหมือนในตอนเช้าของทุกๆวัน
วันนี้วันที่มีเรียนคาบบ่ายแต่ว่านัดกับชานยอลไว้แล้วว่างานโปรเจกต์คู่ที่อาจารย์สั่งเมื่ออาทิตย์ก่อนจะจับคู่และไปทำด้วยกันที่มหาวิทยาลัยตอนเช้า เพราะลืมนึกไปและรีบร้อนทำให้ไม่ได้เปิดโทรศัพท์มือถือ ซ้ำยังวางไว้ที่โต๊ะเขียนหนังสืออย่างเดิมอีกต่างหาก
“ไปก่อนนะครับ” คนตัวขาวบอกลาคุณพ่อกับคุณแม่แล้ววิ่งเร็วๆไปขึ้นรถเมล์ที่หน้าปากซอย มองดูนาฬิกาแล้วมันก็สายไปหลายนาที เพราะเขาเป็นคนรักษาสัญญาและตรงต่อเวลา เพราะฉะนั้นเขาถึงไม่อยากสายเลยแม้แต่วินาทีเดียว
แล้วมันก็เป็นอะไรที่แปลกมาก...จุนมยอนไม่ได้หยุดหรือว่ามองไปที่ร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามเลยแม้แต่นิด...เขาไม่สนใจ
ไม่ได้รู้...ว่าหลายอย่าง...กำลังเปลี่ยนไป
“ขอโทษนะชานยอล แฮ่ก...ขอโทษที่มาสาย”
“อ่า...ไม่เป็นไรหรอก ฉันก็พึ่งจะมาเหมือนกันแหละ” จุนมยอนตั้งอกตั้งใจทำงานร่วมกับชานยอลอย่างไม่ติดขัด สมองไม่มีเรื่องของคนคนนั้น...อู๋ อี้ฟาน
“กินข้าวกัน...”
“นายกินก่อนเถอะนะ ฉันกินมาแล้ว” ชานยอลมองเพื่อนตัวขาวที่ทำงานอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ได้สนใจอะไรนอกจากภาพที่ตัวเองกำลังลงสี ไม่น่าเชื่อที่วันนี้เขาไม่ได้คิดอะไรเลย แถมยังทำงานกับชานยอลอย่างราบรื่นไม่มีเหน็ดเหนื่อยจนแค่เพียงแป๊บเดียว งานก็คืบหน้าขึ้นมามาก
….
…
..
.
สุดท้ายก็กลับมาถึงบ้าน แม้จะไม่ได้ช้าเหมือนเมื่อวานแต่เขากลับเหนื่อยกว่าเมื่อวานเสียอีก ตอนที่นั่งรถเมล์กลับมาเขานึกขึ้นมาว่าพอถึงบ้านแล้วจะเปิดโทรศัพท์ก่อนเลย แต่ก็ต้องเลื่อนไปเพราะว่าเขาอยากจะอาบน้ำให้เรียบร้อยเสียก่อน จุนมยอนนั่งลงบนเตียงมือข้างหนึ่งเช็ดผมส่วนมืออีกข้างก็กดปุ่มเปิดโทรศัพท์
เขาอดจะสงสัยตัวเองไม่ได้ ก่อนหน้านี้...ในทุกๆวันอี้ฟานจะคอยเข้ามาป้วนเปี้ยนวนเวียนในความคิดของเขาอยู่เสมอ แต่วันนี้เขาพึ่งนึกได้ว่าตัวเอง ไม่ได้คิดถึงอีกคนเลย
...1 ข้อความ....
อดจะยิ้มไม่ได้ เมื่อเขาก็ยังใส่ใจตอบกลับแต่พออ่านข้อความนั้นแล้วมันก็อดที่จะหัวใจสลายไม่ได้ เหตุผลของอี้ฟาน...ไม่เคยถามจุนมยอนเลยว่าต้องการมันไหม เขาโตมากพอ...พอที่จะเข้าใจสิ่งที่อีกคนทำ เขาไม่ได้ว่าอะไร อี้ฟานดีและให้เกียรติเขามาก...มันเป็นสิ่งที่คนที่มีความรักทุกคนต้องการได้รับจากคนที่ตัวเองรู้สึกดีๆด้วย
ไล่สายตาอ่านทวนอีกหลายครั้ง ตอกย้ำซ้ำๆว่าตัวเองทำได้เพียงรอต่อไป...และทำใจจนถึงวันที่เขากลับมา
เขาเชื่อว่าอี้ฟานจะยังเหมือนเดิม เพราะว่ามันไม่ใช่เพียงระยะเวลาวันสองวัน...ห้าเดือนหรือหนึ่งปี จุนมยอนกับอี้ฟานผูกพันและรักกันมานานเกือบๆจะห้าปี หลายๆความรู้สึกดีๆมีมากมายจนนับๆได้ไม่หมด เพราะฉะนั้นระยะเวลาที่ห่างกันนี้
มันเป็นเครื่องพิสูจน์ใจชั้นเยี่ยม...ไม่ว่าจะนานแค่ไหน เขาจะยังมีกันและกันเสมอไปหรือเปล่า...?
......
....
..
.
‘หวัดดีหน้าหวาน มาอยู่ชมรมบาสได้ยังไงเนี่ย’ จุนมยอนมองคนตัวสูงในชุดบาสเกตบอลที่หน้าจะอ่อนกว่าเขาซักปีสองปีด้วยสายตาประเมิน ใบหน้าหล่อเหลากำลังส่งยิ้มแบบกวนๆมาให้
‘มาหาพี่ชีวอน เขาอยู่ที่นี่หรือเปล่า?’
‘พี่ชีวอนเขามีแฟนแล้วนะ เรานี่สิที่ยังว่างอยู่’
‘ไอ้คริส! แกอย่ามาเต๊าะน้องเขาหน่อยเลยน่ะ!’ เจ้าของใบหน้าที่หล่อเหลาไม่แพ้กันเดินตรงเข้ามาและกอดคอร่างสูงนั้นไว้
‘พี่แชรินให้มาบอกว่าถ้าไม่โทรกลับไปหา...จะโดนกินหัวเอา...เพราะฉะนั้นหลังจากได้รับข้อความจงรีบไป...’
‘อ่า...โดยไวเดี๋ยวนี้เลยคร้าบบบ’ ใครจะรู้บ้างว่าหัวหน้าชมรมบาสสุดเท่จะกลัวแฟนมาก ถึงขนาดลนลานวิ่งไปเอาโทรศัพท์ที่อยู่ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังโรงยิม
‘ฮ่าๆๆ’
‘ฉันชื่ออู๋ อี้ฟานนะตัวขาว’ จุนมยอนหันมามองคนที่มีท่าทางเหมือนๆจะกวนประสาทอย่างเห็นได้ชัด เขากำลังแนะนำตัวเองและยิ้มกว้างจนน่าหมั่นไส้
‘อือ เราชื่อจุนมยอน’
‘ยินดีที่ได้รู้จักนะจุนมยอนคนสวย’
‘เราไม่ใช่โฮโมหรอกนะจะบอกไว้ให้ฟัง’
‘นายไม่เคยได้ยินหรือไง ความรักไม่สำคัญว่าเป็นเพศไหน...สิ่งสำคัญมันอยู่ที่หัวใจและความรักที่มีให้กันของคนสองคน’ ตากลมมองคนที่กำลังยืดอกยิ้มภูมิใจในคำคมของตัวเอง ไม่ปฏิเสธหรอกว่าผู้ชายที่ชื่ออี้ฟานคนนี้น่ะมีเสน่ห์...แล้วก็ดูท่าว่าจะเสน่ห์แรงซะด้วยสิ
....
...
..
.
‘ในกลุ่มคนที่กรี๊ด...มีแฟนของคุณ...’
‘ฉันไม่ได้มีแฟนซะหน่อย!!’
‘แล้วทำไมจะต้องขึ้นเสียงด้วยล่ะ!’ บรรยากาศในตอนเช้า ร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามมหาวิทยาลัยที่จุนมยอนบ้าจี้เดินข้ามถนนตามคนตัวสูงที่ยืนยิ้มกวักมือเรียกอย่างไม่อาย พอเขาเอ่ยปากว่าอยากเลี้ยงกาแฟ ก็เดินตามเข้ามาในร้านเสียง่ายๆ
‘จุน ไปกินกาแฟกัน เรายังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย’ จุนมยอนมองคนตัวสูงๆที่ยืนทำหน้าเศร้าลูบท้องตัวเองป้อยๆ ซึ่งมันต่างจากที่เขาได้เพื่อนในห้องพูดถึง อู๋อี้ฟานหนุ่มฮอตสุดขรึม...โกหกกันหรือเปล่า...??
‘อเมริกาโน่กับบราว์นี่ชุดนึงครับ’
‘ยังไม่ได้กินข้าวเช้าแล้วพาเรามาร้านกาแฟเนี่ยนะ’
‘งือ...งั้นเอาอเมริกาโน่อย่างเดียวครับ เดี๋ยวให้คนน่ารักแถวนี้พาไปกินข้าวดีกว่า’ จุนมยอนรู้ว่าอี้ฟานชอบกินกาแฟมาก โดยเฉพาะอเมริกาโน่ที่สั่งทุกครั้งเวลาที่มาร้านกาแฟ
ก็เตือนว่าไม่ให้กินมาก...แต่ไม่มีผลกับคนดื้อซักนิด
...
..
.
‘Black Day!!’
‘แบล็คเดย์แล้วไม่ต้องเรียนหรือไง ทำไมจะต้องตื่นเต้นขนาดนั้นด้วยล่ะ’ ผ่านมาหนึ่งปีที่คนสองคนใช้เวลาทำความรู้จักกัน มันมากพอสำหรับความรู้สึกดีๆ...ที่เริ่มก่อตัว
‘โดดเรียนกันดีไหม’ อี้ฟานหันมาถามคนตัวขาวอย่างนึกสนุก แต่เขาคงจะลืมไปว่าคนที่เขากำลังชวนนั้นเป็นใคร พอเจอสายตาดุๆเข้าเขาก็ต้องล้มเลิกความคิดทันที ‘โอเคๆพูดเล่นน่ะ’
‘...’
‘แต่ว่าพอเลิกเรียนแล้ว...ไปด้วยกันนะ ไปกินจาจังมยอนด้วยกัน’
‘...’
‘...’
‘ก็ได้’
....
...
..
.
‘คบกันนะ ก็อยากจะบอกว่ารัก...แต่มันอาจจะเร็วเกินไป เอาเป็นว่าเราชอบจุนมากเลยนะ’ ใครจะเชื่อ จุนมยอนคิดว่าถ้ามีใครซักคนเลือกจะบอกความรู้สึก เขาคงจะเลือกวันวาเลนไทน์ที่มันสุดแสนจะโรแมนติกและมีแต่กลิ่นไอความรัก
แต่ในวันนี้วัน Black Day วันของคนโสด วันที่ดูเหมือนจะหม่นหมอง เขากลับมาบอกรัก...และมันทำให้จุนมยอนรู้สึกว่ามันโรแมนติคมากกว่าในวันที่มีแต่สีชมพูนั้นเสียอีก
นัยน์ตาหวานจ้องมองดอกทานตะวันผูกโบที่ฟ้าที่เขายืนมาให้ ซึ่งจุนมยอนคิดว่าตัวเองเดาความหมายได้ไม่ยากและมันก็ดูเหี่ยวไปมาก คงเป็นเพราะคนตัวสูงเตรียมมันมาตั้งแต่เช้า แล้วโบสีฟ้านั้น...ถ้าเป็นคนอื่นคงบอกว่าผูกได้ยอดแย่อย่างแรง แต่สำหรับจุนมยอน...ที่รู้จักและเห็นตัวตนของผู้ชายตรงหน้านี้มากกว่าใครๆ เขารู้ดีว่าอี้ฟาน...เป็นคนผูกมันเองกับมือ
‘เราปลูกดอกทานตะวันไว้ที่บ้านเป็นไร่เลย เพราะเราเคยได้ยินพวกผู้หญิงในห้องพูดถึงความหมายของมัน...คุณคงจะเคยฟัง...แต่เราก็จะบอก เราเป็นดอกทานตะวันเล็กๆที่คอยตามมองพระอาทิตย์อย่าคุณตลอดไป จุนมยอน...คบกับผู้ชายคนนี้ได้มั้ยครับ มาเป็นแสงสว่างที่นำทางให้เราตลอดไป’
...
..
.
ย่างเข้าปีที่ห้า ที่ทั้งสองคนคบกันอย่างมีความสุข ทั้งคู่รักกันในสายตาของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย เวลาอยู่กับจุนมยอนผู้ชายตัวโตคนนั้นไม่ได้เคร่งขรึมเหมือนที่ใครคิดเลย เขายิ้มน่ารักพูดหวานๆและขี้อ้อนเป็นที่สุด
.
.
.
‘เลิกกันนะ’
‘...?!!!...’
‘จากกันตลอดกาล!’ ไม่ทันที่มือเรียวทจะละจากรูปที่วาดอยู่จะหันไปพูดหรือถามอะไรให้หายข้องใจ เจ้าของน้ำเสียงห้วนๆร่างสูงๆนั้นก็เดินออกไปเสียก่อนแล้ว จุนมยอนคิดว่าอีกคนคงอาจจะพูดเล่นๆ แต่น้ำเสียงแบบนั้นตั้งแต่รู้จักกันมาเขายังไม่เคยได้ยินมันเลยซักครั้ง
และก็ไม่สามารถจะหลอกตัวเองให้สบายใจได้เลย ลู่ฮานพยายามโทรติดต่ออี้ฟานหลายครั้ง เขาอยากจะรู้ว่ามัน...เพราะอะไร..??
‘คุณ!!’
[[ นายไม่เข้าใจคำว่าเลิกกันที่ฉันบอกหรือไง! ]]
‘...’
[[ มันคือเรื่องจริง! และอย่ามาโทรมาอีก!! ]]
‘อี้ฟาน...!!’
[[ RrrrrrRrrrr ]] สายตัดไปแล้ว และจุนมยอนก็ไม่สามารถจะได้ยินเสียงของคนรักอีก
มันเนิ่นนาน...ทรมานแทบขาดใจ อี้ฟานไม่ใช่รักครั้งแรก...แต่ว่าทำไมเขาถึงได้ร้องไห้ฟูมฟายมากมายขนาดนั้นเมื่อยู่ดีๆเขาก็จากไป เขาไม่ได้เสียดายเวลาที่คบกันมา...ไม่ได้เสียดายความรักที่ทุ่มเทลงไปให้
แต่แค่ไม่เคยคิดมาก่อน...ว่าความรัก...มันจะจบลงได้ง่ายดายขนาดนี้
ที่ผ่านมา...ตลอดเวลา...เขารักมากเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไม...เขาถึงได้พูดคำว่าเลิกกันออกมาได้อย่างไม่รู้สึกอะไรแบบนั้นล่ะ...
เกือบปีที่คิดถึงและเฝ้ารอคราวคราวเขาอย่างมีความหวัง ตอนที่เขาโทรมามันทำจุนมยอนดีใจที่สุดในชีวิต...แต่คำพูดของเขาเพียงแค่บอกให้ตัดใจและเลิกรอได้แล้ว
[[ นายอย่ามาคิดถึง อย่ามารอฉันอีกเลยได้ไหม การรอใครคนหนึ่งมันทรมาน...แม้ความหวังจะเป็นแค่เพียงเปลวไฟจากเทียนเล่มเล็กๆในทางเดินกว้างที่มืดมิด เวลาที่มันต้องลมแสงไฟเหลือแค่ริบหรี่ มันก็เหมือนกับความหวังของการรอ... ฉันไม่มีทางกลับไปหานายหรอก ]]
ประโยคที่จุนมยอนเฝ้านึกย้อนซ้ำไปซ้ำมา และพูดต่อกับตัวเองอยู่เสมอ เกือบปีที่เฝ้ารอและรักผู้ชายตัวโตคนนั้น ยังหวังกับสิ่งที่เป็นไปได้เพียงน้อยนิด
หวังว่าเราสองคน...จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม
...
..
.
จุนมยอนทำงานเป็นศิลปินอิสระที่ผลงานโดดเด่น หัวใจยังเฝ้ารอคนคนเดิมคนที่จากไปไกลและคิดว่าเขาน่าจะกลับมาได้แล้ว สี่ปีที่เขายังอยู่ที่เดิม ยังรัก...ยังคิดถึงและยังรอไม่เปลี่ยนแปลง
งานแสดงผลงานของจุนมยอนตั้งแต่ที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัย ข่าวดีมากๆที่เขาได้รับรู้เมื่อชานยอลพาแบคฮยอนมาชมงานด้วย ทั้งสองคนหมั้นกันแล้วอย่าเป็นทางการและจะแต่งงานเมื่อแบคฮยอนเรียนจบมหาวิทยาลัย นั่นทำให้ชานยอลแอบโกรธนิดหน่อยก็เขารักของเขานี่เนอะ
“พี่จุนมอยนต้องไปงานแต่งงานของแบคฮยอนกับพี่ชานยอลด้วยนะครับ”
“จ้าๆ” จุนมยอนพลอยสนิทกับแบคฮยอนไปด้วย เพราะชานยอลพามาแนะนำให้รู้จัก ความน่ารักสดใสทำให้ทั้งสองคนสนิทกันอย่างง่ายดายและรวดเร็ว
“แฟนพี่จุนมยอน...ที่พี่ชานยอลพูดให้ผมฟังเขายังไม่กลับมาอีกเหรอฮะ”
“แบคฮยอน!!”
“ฮ่าๆ” จุนมยอนขำน้อยๆเมื่อแบคฮยอนถามออกมาอย่างใสซื่อแต่ว่ากลับถูกชานยอลเอ็ดเอา ในใจมันอดจะโหวงๆไม่ได้เมื่อคำถามของเด็กตัวเล็กๆมันกระแทกใจเขาอย่างจัง
“เขา...เฮ้อ~พี่ก็ตอบไม่ค่อยจะถูกเหมือนกัน แต่จะเรียกว่าเขาเป็นแฟนพี่...มันก็ไม่ถูกซะทีเดียวหรอกนะ มันครึ่งๆกลางๆอยู่น่ะ”
“ขอโทษแทนแบคฮยอนด้วยนะจุนมยอน”
“ไม่เป็นไรหรอกชานยอลอย่าคิดมาก เดี๋ยวฉันพบลูกค้าก่อนแล้วกันนะ” จุนมยอนยิ้มให้ทั้งสองคนที่ทำหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่ก่อนจะเดินแยกตัวออกมา เขาไม่ได้ไปพบลูกค้าแต่บอกคนอื่นว่าไม่สบายและขอแยกตัวกลับไปที่บ้าน
MEMORY ROOM
ความทรงจำ ที่มันสวยงามและยังคงสวยงามอยู่เสมอ ดอกทานตะวันที่แห่งเหี่ยวเป็นร้อยๆดอกอยู่ตู้กระจกอย่างสวยงาม ดอกไม้พวกนี้เขาไม่ได้รับจากผู้ชายคนนั้นมาเป็นเวลาเนิ่นนานมากแล้ว เขาไปที่บ้านของอี้ฟานหลายครั้ง เข้าไปช่วยดูแลไร่ดอกทานตะวันที่อี้ฟานปลูกไว้ บางทีก็ขออนุญาตหยิบรูปถ่ายเพื่อมานั่งวาดเป็นภาพเหมือน
ไม่น่าแปลกใจที่ห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆสีฟ้า...สีที่คนคนนั้นชอบนี้จะมีแต่ภาพวาดเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปหมด มีทั้งภาพที่ลงสีน้ำมัน และที่เป็นแค่ภาพร่าง มีเรียวยกขึ้นไปสัมผัสกับใบหน้าคมที่ยิ้มแย้มในภาพวาด
อยากสัมผัส...สัมผัสจริงๆ อยากเจอ...
“อี้ฟาน เราคิดถึงคุณจังเลย...”
ระยะเวลาที่ยาวนาน ความคิดถึงทำงานของมันได้อย่างเต็มที่ น้ำใสๆรื้นขึ้นที่ขอบตา แต่จุนมยอนกลับกลั้นมันไว้และทำเพียงยิ้มออกมาจางๆ
“ถ้าเกิดว่าบางทีคุณเปลี่ยนไป...” พูดออกมาเพียงแค่นี้เพราะรู้สึกว่าน้ำตาตัวเองกำลังจะไหล ร่างบอบบางถอยออกมามองสิ่งต่างๆในห้องแห่งความทรงจำของเขาเป็นครั้งสุดท้าย ประตูไม้สีฟ้าถูกปิดลงพร้อมกับคนที่อ่อนแรงจนคิดว่าควรพอ...
ลมพัดแรงขึ้นมาก...และตอนนี้เปลวไฟแห่งความหวังอ่อนน้อยนิด...คงได้เวลาดับลงแล้ว
สองขาก้าวไปเรื่อยๆตามทางเดินอย่างไม่รีบร้อน นัยน์ตาสีเข้มทอดมองความสุขต่างๆที่เกิดขึ้นรอบๆตัว เขากลับมาได้ซักพักหนึ่งแล้ว น่าแปลก...เขาไม่อยากจะเชื่อว่าความรักมันจะคงอยู่เนิ่นนานมากมายขนาดนี้ ไม่อยากจะเชื่อ...ว่าแม้จากกันไปแสนนาน...หัวใจเขามันไม่ได้เปลี่ยนไปเลย แต่ว่า...
เขาจะยังรอนายอยู่อีกเหรอ?...
เขารู้เรื่องงานแสดงภาพวาดของคนตัวขาว ความจริงก็คิดมาหลายวันว่าจะไปดีไหม...อยากจะไปเจอ แต่ตัวเขาเองก็ทำร้าย...คิมจุนมยอนคนนั้นให้ปวดใจเอาไว้มาก
...
..
.
เดินวนไปวนมาเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมายมาจนเกือบจะเย็นแล้ว และก็พึ่งนึกขึ้นได้ว่างานแสดงภาพวาดของจุนมยอนวันนี้เป็นวันสุดท้าย
“ห้าโมง!”
...
..
.
เกือบจะมาไม่ทันเวลา ขาเรียวก้าวเข้าไปด้านในแม้จะรู้ว่าอีกไม่นานตึกก็จะปิดแล้ว อี้ฟานเดินดูรูปวาดไปเรื่อยๆ ความจริงเขาก็อยากจะเจอ...
“จุนมยอน” มุมมืดๆมุมหนึ่ง คนที่คิดถึงมาตลอดกำลังยืนมองรูปวาด ซึ่งเขาคิดว่าเขาจำมันได้ดี
ภาพนี้พี่จุนมยอนไม่ได้เป็นคนวาด...ทุ่งทานตะวันทอดยาวใกล้สุดลูกหูลูกตากับปลายพู่กันที่ถูกมือเล็กนุ่มนิ่มจับบังคับผ่านมือใหญ่ที่ไร้ทักษะ จนออกมาเป็นภาพวาดอย่างสมบูรณ์ได้
“กลับมาแล้วเหรอ คุณจะมาย้ำให้เราหยุดรออีกหรือเปล่า...เพราะเราเองก็ตั้งใจว่า...”
“จุน..เราขอโทษ...เราไม่ได้จะมาให้คุณหยุดรอบ้าบออะไรอีกแล้ว แต่ว่า...ถ้าเกิดโอกาสยังพอจะมี...เราก็อยากจะขอเริ่มต้นใหม่กับคุณ” แววหวานจ้องมองใบหน้าคมอย่างเฉยชา...และมันก็ทำให้อีกคนรู้สึกใจหาย
“คุณเคยคิดบ้างมั้ยล่ะว่าความอดทนของคนเรามันมีขีดจำกัด...และเราเองก็คิดว่ามันนานเกินไปสำหรับโอกาสอีกครั้ง”
“คุณ...ไม่รักเราแล้วเหรอ?” เป็นตัวเองที่ถูกทำให้เจ็บที่หัวใจบ้าง แต่ไม่ว่ายังไงก็ต้องยอมรับกับคำตอบ
เขารู้ดีว่าตัวเองผิด...ผิดที่ยังรัก...แต่ก็ปล่อยให้อีกคนทนอยู่อย่างนี้ ปล่อยให้รักเขารอตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า...ทำเหมือนกับว่าไม่ได้สนใจว่าอีกคนจะรู้สึกยังไงบ้าง
....
...
..
.
“เราตั้งใจว่าจะหยุดรอแล้ว...เราเหนื่อย เหนื่อยมากจริงๆ...” นัยน์ตาคมฉายเศร้าสร้อยและผิดหวังออกมาอย่างชัดเจน ใบหน้าหล่อเหลาหลุบลงต่ำแต่ตั้งท่าว่าจะเดินจากไป
“แต่ถ้าคุณ...ถ้าสมมติว่าคุณยังรักพี่อยู่...และตั้งใจว่าจะกลับมาหากัน...จะกลับมาเพื่อเริ่มต้นใหม่ ดูแลและไม่ทิ้งขว้างกัน...อึก”
“...”
“โอกาส..มันก็มีให้คุณตลอดมาอยู่แล้ว...” พูดยังไม่ทันจะจบประโยค คนตัวสูงก็วิ่งกลับมาโถมกายเข้าใส่ กอดตัวเล็กๆบอบบางไว้อย่างเต็มรัก...ความอบอุ่นจากคนคนนี้ไม่ว่าผ่านไปเท่าไหร่ มันก็ยังเป็นที่ต้องการและช่วยปัดเป่าความหนาวไปได้เสมอ...ไม่ว่าความหนาวกาย...หรือหนาวใจ
แขนทั้งสองค่อยๆเลื่อนขึ้นมากอดตอบ แล้วมันก็ทำให้อ้อมกอดอุ่นกระชับแน่นขึ้นกว่าเดิมโดยอัตโนมัติ
...จะไม่ให้เสียไปอีกแล้ว...
อี้ฟานดันคนน่ารักออกมาห่างตัว จ้องมองใบหน้าหวานนั้นเปื้อนคราบน้ำตาด้วยสีหน้าจริงจัง
“คุณ..งั้นเราจะบอกคุณว่า...คบกับเรา...อีกครั้งนะ”
“..”
“แล้วคราวนี้เราคงจะพูดได้อย่างเต็มปากและไม่เขินเลย...เรารักคุณนะ”
....
...
..
.
จุนมยอนแสร้งทำเป็นนิ่งๆไม่พูดอะไร อยากจะเห็นท่าทีร้อนรนของอีกคนซึ่งมันดูแล้วทั้งตลกและน่ารัก
พอเห็นคนตัวสูงที่สีหน้าเริ่มไม่ค่อยดีแล้วก็นึกขำอยู่ในใจ
“ถึงตรงนี้เราน่าจะร้องไห้นะ แต่มันร้องไม่ออกเลย...งั้นคิมจุนมยอนคนนี้จะตกลงคบกับอู๋อี้ฟาน เราจะเริ่มคบกันใหม่เรียนรู้กันอีกครั้ง”
..
.
“ขอบคุณมากนะจุน!!! เรารักคุณ...รักคุณที่สุดเลย” เป็นอีกครั้งที่ร่างบอบบางถูกดึงเข้าสู่อ้อมกอดอุ่น คนถูกกอดรัดปล่อยหัวเราะออกมา...ไม่ว่ายังไงผู้ชายคนนี้ของเขาก็ยังคงเหมือนเดิม
“รักน่ะ...อย่าพูดบ่อยได้มั้ย เดี๋ยวมันไม่ขลังนะ!”
“มาห้ามได้ยังไงก็เรารักคุณอ่ะ!!” เขารีบตะโกนออกมาทำหน้างอ จุนมยอนยิ่งหัวเราะเสียงดัง
การรอของเขานั้น...มันไม่ได้สูญเปล่า เขากับอู๋อี้ฟานยังรักกันมากเหมือนเดิม มันหมายถึงหัวใจที่มั่นคง...และคนคนนี้เขาสามารถเชื่อใจโดยไม่มีข้อแม้อะไรเลย
“เราแต่งงานกันเลยมั้ย?”
“พูดอะไรคิดบ้างหรือเปล่าคนบ้า~!!”
THE END
สวัสดีค่า ก็มาแบบเอา OS มาฝากระหว่างรอฟิคที่เหลือนะคะ
เป็นฟิคที่นิวแต่งไว้นานมากแล้ว เป็นเวอร์ชั่นโฮอน SHINee มาก่อนค่ะ
แล้วก็ปรับแก้หลายส่วนเลย คืออาจจะอ่านแบบภาษาไม่เพราะเท่าไหร่
ยังไงจะมารีไรท์ให้อีกทีนะคะ กลัวคนอ่านคิดถึงค่ะ
ความจริงคือคืดถึงคนอ่าน...สารภาพเลย 55555
ค่ะสำหรับยังไงฟิคเมเนเจอร์ ชิปเปอร์หลักก็เป็นคริสโฮค่ะ
แต่นิวก็จะเติมคู่อื่นๆลงไปเพื่อเพิ่มรสชาติ ไม่ว่ากันนะคะ
ยืนยันว่าชิปเปอร์หลักของฟิคเมเนเจอร์คือ...คริสโฮค่ะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันค่ะ แล้วก็อากาศร้อนมาก
รักษาสุขภาพด้วยนะคะ ระวังอาหารการกินด้วยน้าาา
แล้วเจอกันค่า จุ้บๆ~
ความคิดเห็น