ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ikon - M U S E - double b

    ลำดับตอนที่ #6 : scene_05 take 3

    • อัปเดตล่าสุด 21 ม.ค. 62






    scene_05 take 3 cam roll 2101 sound 20:17:12




    กับคำตอบที่เหมือนจะยังไม่ถูกต้อง คิมฮันบินได้เลือกที่จะมองข้ามมันไ

    หนุ่มน้อยมองดูรุ่นพี่ตัวโตที่เข้ามาหิ้วคอหลานรหัสของตัวเองออกไป แล้วก็ต้องดึงตัวเองให้กลับมาโฟกัสที่งาน

    ...ที่จนตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมนักศึกษาเอกฟิล์มอย่างเขา จะต้องมารับงานแสดงอะไรแบบนี้ไปทำไม ไม่ได้ต้องเก็บพอร์ตสักหน่อยนี่นา

    “สู้ ๆ เดี๋ยวพาไปเลี้ยงไก่ทอด”

    คิมจีวอนเหมือนจับความรู้สึกได้ว่าเขากำลังสับสนเรื่องอะไร รีบยกเอาสวัสดิการมาหลอกล่อให้ตายใจ

    “กองเล็ก... งบข้าวเลยมีเยอะ”

    เสริมอีกเมื่อเขามองอย่างกังขา

    คิมฮันบินเมื่อฟังคำอธิบาย อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมานิดหน่อย เพราะว่ากองที่ประกอบด้วยนักแสดงคนเดียว ไม่มีกระทั่งนางเอกหรือเอ็กซ์ตร้า มันก็เล็กจนเล็กกว่านี้ไม่ได้แล้วจริง ๆ นั่นล่ะ

    "ไก่ทอด!!! หูย ผมจะถ่ายให้หมดเมมเลย"

    และก็ยังเป็นอีกคนที่ตื่นเต้นแทน แต่ตอนนั้นฮันบินก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าทำไมรุ่นพี่จีวอนต้องหยิบกระเป๋าเงินมานับบัตร

    เริ่มสายแล้ว แสงตอนนี้แรงกว่าเช้ามาก และคนก็เริ่มมาจับจองที่นั่งในห้องสมุดมากขึ้น ทำให้กองถ่ายขนาดเล็กต้องอพยพตัวเองกันแล้ว

    "ปู่ครับ เดี๋ยวผมมีคลาสตอน 11 โมง ไว้จะอัพรูปไว้ในเซิฟให้นะ อย่าลืมนัดมาเลี้ยงไก่ทอดผมนา" ซอนโฮเอ่ยลารุ่นพี่เมื่อเดินลงมาถึงเจ้าเวสป้าคันเดิม คุยกันไม่กี่คำก็วิ่งไปทางตึกเรียนรวม

    "ยังมีเวลาเหลือก่อนถึงสี่โมง เราไปขับรถเล่นหาโลกันไหม"

    อุปกรณ์ถูกพับ มัด ยัด ลงกล่องท้ายเวสป้าอย่างชำนาญจนทำเอาคนยืนเหม่อมองเลิ่กลั่กกับคำถาม

    "เอ๋ สี่โมง?"

    "เราไปทำbgmที่ฮงแดตอนสี่โมงไง จำไม่ได้หรือ"

    ร่างสูงใหญ่ยืดตัวหลังจากนั่งลงไปมัดของเสร็จเรียบร้อย ทำเอาเจ้าของนัดรีบล้วงเอาโทรศัพท์ออกมาดู

    "จริงด้วย พี่จำได้แม้แต่นัดของผมเหรอ"

    เพราะต้องตื่นเช้าหรืออะไรก็แล้วแต่ ฮันบินลืมนัดที่ฮงแดของตัวเองเสียสนิทไปเลย แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่เขาลืม ด้วยความที่งานเยอะ กลุ่มงานก็แยะ ไหนจะเวลานอนที่ลูกผีลูกคน คนคณะเขาน่ะ หาคนไม่เบลอสักคนหนึ่งยังยาก

    ตอนนี้ก็เจอคนนึงละ

    คิมจีวอนไง

    "จำได้สิ" อีกฝ่ายตอบมาอย่างง่าย ๆ จนใจที่เต้นผิดจังหวะไปหน่อยนั่นดูน่าอายไปเลย

    เขาอาจจะเป็นคนความจำดีเฉย ๆ ก็ได้

    "อ่ะ เราขึ้นก่อน แล้วกระเถิบไปใกล้กล่องนะ" เจ้าของพาหนะช่วยผู้โดยสารให้ขึ้นนั่งรถด้วยท่าไม่ปกติ เพราะมีกล่องใส่ของผู้อยู่เลยวาดขาคร่อมตามปกติไม่ได้ ต้องนั่งตรงคนขับก่อนค่อยกันตัวเองขึ้นไป

    "นั่นล่ะ เก่งมาก คราวนี้อ้าขาหน่อย"

    !

    ฮันบินคงจะไม่ตกใจขนาดนี้ ถ้าอีกฝ่ายแค่บอกเฉย ๆ แต่ไม่เพียงคำพูด มือใหญ่โตที่ร้อนเกินความจำเป็นก็วางลงบนหน้าขา ออกแรงเบา ๆ เป็นสัญญาณให้ขยับ คิมฮันบินหน้าร้อนจนเหมือนจะลุกติดไฟได้ในอากาศหนาว ทว่าอีกฝ่ายดูเหมือนไม่ได้รับรู้ เพราะในอึดใจต่อมา รุ่นพี่คนเก่งก็ผละมือออกไป ขยับตัวขึ้นนั่งบนตำแหน่งคนขับด้วยท่าทางไม่อินังขังขอบอย่างเดิม

    “แคบหน่อยนะ โทษที”

    คำพูดที่เสียงเบา ๆ นั้นกล่าว ฮันบินฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง รู้เพียงแต่ว่าตำแหน่งที่อีกฝ่ายวางมือบนขาตัวเองนั้นยังร้อนผ่าวอยู่เลย...

    และฮันบินก็ได้รับรู้ว่ารอยมือบนขานั้นคล้ายกับฮีทเตอร์อุ่น ๆ ไปเลยเมื่อสองเข่าของเขาถูกจับและดึงให้โอบรอบข้างสะโพกสอบ

    "อ๊ะ!" สองมือยันเข้ากับไหล่หนาแต่ก็ทำได้แค่เพิ่มระยะห่างนิดหน่อยระหว่างอกของเขากับหลังของรุ่นพี่

    "ถ้านั่งห่างมากจะขี่ไม่ปลอดภัย กอดเอวพี่ไว้ก็ได้นะ" เพราะขับอยู่ในมหาวิทยาลัยจึงไม่ต้องสวมหมวก ทำให้พออีกฝ่ายหันมาพูด ลมหายใจกรุ่นกลิ่นกาแฟก็รินรดปลายจมูก

    "...จับเสื้อได้ไหม" เผลอหลุบตาลงทำไมก็ไม่รู้ ส่วนสองมือที่เอื้อมไปจับใต้เบาะก็เลื่อนไปขยุ้มผ้าเนื้อหนานุ่มของพี่เอาไว้

    "...เอางี้แล้วกัน" อีกฝ่ายเงียบไปจนนึกว่าจะสตาร์ทรถแล้ว แต่กลับเป็นว่ามือเล็กทั้งสองข้างถูกดึงเข้าไปจนแก้มเขาเบียดเข้ากับไหล่หนา และกว่าจะนึกออกว่าตัวของพวกเขาแนบกันขนาดไหน มือเขาก็สัมผัสถึงความอุ่นของผ้า

    คิมจีวอนเอามือเขาไปใส่กระเป๋าหน้าท้องตัวเอง

    "พี่!"

    “ทำไมโมโหอีกแล้วล่ะ”

    คนทื่อด้านที่ไม่กระสากับเรื่องใดเลยถามอย่างไม่เข้าใจ

    ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงถูกเรียกด้วยเสียงแบบนี้เสมอ

    ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่ค่อยจะได้เห็นรอยยิ้มของรุ่นน้องคนนี้เลย

    ตัวเขาน่ะ ทำอะไรผิดอีกแล้วอย่างนั้นหรือ

    “แบบนี้มัน มัน...มันใกล้เกินไปนะ”

    ฮันบินเองหลังจากถูกถาม ก็ตระหนักขึ้นมาเหมือนกันว่าเมื่อพิจารณาดูดี ๆ แล้ว เรื่องที่อีกฝ่ายทำ ก็ไม่ได้น่าโมโหตรงไหน ก็แค่ดึงตัวเขาเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อที่จะได้ไม่ตก แล้วมือที่แข็งเย็นไปแล้วเพราะอากาศหนาว ก็ได้รับความอบอุ่นจากฮีทแพคในกระเป๋าเสื้อของพี่

    กระนั้น นอกจากความร้อนที่มือและใบหน้าแล้ว ฮันบินก็ไม่สามารถเป็นตัวของตัวเอง

    ไม่ว่าคิมจีวอนจะทำอะไร เขาก็อยากจะร้องตะโกนด้วยความหงุดหงิดงุ่นง่านไปหมดเลย

    "ทนหน่อยนะ ไว้วันหลังจะยืมรถมาใช้" คนที่กำลังเถียงกับตัวเองในใจพลันรู้สึกผิดวูบที่ทำตัวราวกับเป็นนางเอกจอมเรียกร้องให้คุณผู้กำกับมาตามใจ ตัวที่แข็งทื่อก็อ่อนลง

    "...ไม่ต้องหรอก ผม...นั่งได้"

    อ่อนลงเหมือน...บางอย่างในใจ

    รถเวสป้าสีดำตัดครีมค่อย ๆ ขับไปตามถนนในมหาวิทยาลัย อากาศเย็นพัดแก้มอยู่บ้างแต่เพราะขับไปช้า ๆ เลยไม่บาดผิว อีกอย่าง ฮันบินเองก็เพิ่งรู้ว่าถ้ามือเราอุ่น ตัวเราก็จะอุ่น

    ...รึเปล่านะ?

    "ขอไปดูตรงนี้หน่อย" อยู่ ๆ พาหนะก็หยุดลง ดวงตากลมมองไปด้านข้างก็เห็นว่าเป็นกรีนเฮาส์ของคณะวิทยาศาสตร์

    โรงเรือนขนาดใหญ่ทำจากกระจกใสต่อเข้ากับโครงเหล็กสีดำ แผ่นกระจกสูงขึ้นไปในท้องฟ้าสีฟ้าใสไร้เมฆ มองทะลุเข้าไปข้างในเป็นพืชจำพวกกระบองเพชรและสวนหิน

    "ฮันบิน พี่ขอเข้าไปดูหน่อย"

    เสียงทุ้มนั้นดังมาอีก ทำให้เขาที่เพิ่งเคยเห็นสถานที่นี้หันกลับไปหา จะอ้าปากถามว่าแล้วทำไมไม่ไปเสียที่ มือที่อยู่ในกระเป๋าจิงโจ้ก็ถูกบีบเบา ๆ

    "เดี๋ยวกลับมาให้อุ่นใหม่นะ ขอไปก่อนแป๊บนึง"

    คำพูดที่ราวกับเขาเป็นฝ่ายเข้าไปกอดรัดขอความอบอุ่นจากอีกฝ่ายนั้นทำให้ก้อนความร้อนที่น่าจะเป็นความโมโหขยายตัวอยู่ในท้อง แต่ว่าเพราะเพิ่งครุ่นคิดเรื่องที่ตัวเองไม่มีเหตุผลมาตั้งหลายครั้ง คิมฮันบินจึงสะกดกลั้นคำพูดร้าย ๆ ที่กำลังจะหลุดออกจากริมฝีปากไว้ ดึงมือของตัวเองกลับมารวดเร็ว กอดอกโดยไม่พูดอะไรสักคำ

    คิมจีวอนพิจารณาใบหน้าตูม ๆ ของคนอายุน้อยกว่า ทั้งแดงก่ำและยับยุ่ง รู้สึกไม่ค่อยเข้าใจในสภาวะอารมณ์ของอีกฝ่าย แต่เหมือนเขาจะถูกโกรธอีกแล้วรึเปล่านะ

    “เอ้อ...” คนพูดไม่ค่อยเก่งทำตัวไม่ถูก เขาพยายามแล้ว พยายามมากจริง ๆ ที่จะไม่ทำอะไรน่าโมโห แต่ก็ดูจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่นัก

    “...เราน่ะ คือว่า...อยากเข้าไปด้วยกันไหม?”

    เขาถามออกไป หวังเพียงแค่ว่าอยากจะเปลี่ยนความสนใจของตัวเองคนสำคัญให้ออกจากเรื่องน่าโมโหที่เขาก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร

    "...ก็ได้" ฮันบินไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงตกลงไป อาจจะเพราะถ้าปฏิเสธ มันก็เหมือนเขาจะแพ้ที่หลีกเลี่ยงอีกฝ่าย

    เขาจะเลี่ยงทำไม

    ไม่ได้ทำไรผิดสักหน่อย!

    ป้ายทางเข้าบอกว่าที่นี่คือโรงเรือนของภาควิชาชีววิทยา นักศึกษาสามารถเข้าได้ฟรี แต่อาจจะเพราะเป็นช่วงสายที่ส่วนใหญ่จะมีคลาส จึงไม่มีใครอยู่ด้านในนี้เลย

    "อุ่นจัง" แน่นอนว่ากรีนเฮาส์ต้องปรับอุณหภูมิให้อุ่นเอาไว้สำหรับต้นไม้ และนี่มันก็เหมือนสวรรค์สำหรับมนุษย์ขี้หนาวคิมฮันบิน

    "ฮันบิน มาตรงนี้หน่อย" มัวแต่ชื่นชมต้นไม้รูปร่างประหลาด ทำให้เดินตามคนที่เดินฉับ ๆ ไปข้างหน้าไม่ทัน รู้ตัวอีกทีก็ถูกเรียก

    "อะไรเหรอ" มาหยุดอยู่ที่ที่คนตัวโตยืนอยู่ คิมจีวอนกำลังวัดแสง

    "แตะหนามกระบองเพชรนี่ได้ไหม"

    ...ห๊ะ?

    “อันนี้ ไม่ได้อยู่ในบทนี่”

    รุ่นน้องหนุ่มน้อยระแวงระวัง ใช้ดวงตาคู่งามที่เบิกกว้างกลมโตมองดูรุ่นพี่ที่ไม่แสดงสีหน้าอารมณ์ ราวกับว่าสิ่งที่พูดออกมาเมื่อกี้นั้นเป็นการขอความช่วยเหลือเรื่องทั่วไป เหมือนยกของหรือแค่ขยับตัว

    “แค่คิดว่า ถ้าได้ใส่เอาไว้ในเรื่องน่าจะสวยดีนะ ฉากที่ค่อย ๆ รู้สึกตัว เดจาวูน่ะ”

    และคิมจีวอนท่าทางจะคิดอย่างนั้นจริง ๆ เสียด้วยสิ

    “แค่แตะเหรอ?”

    “อืม แค่แตะ”

    “จะไม่ทำอะไรน่ากลัวแบบบังคับเอาหนามทิ่มมือผมใช่ไหม”

    คราวนี้ ถึงตารุ่นพี่กะพริบตา แสดงสีหน้าคาดไม่ถึงออกมา

    “เห็นพี่เป็นคนยังไงน่ะเรา”

    นั่นสินะ คิมจีวอนเป็นคนยังไงนะ

    ฮันบินไม่ได้ตอบคำถามนั้น เพียงแค่ยักไหล่บางก่อนจะเลิกคิ้วราวกับจะถามว่า 'เอาเลยมั๊ย'

    ผู้กำกับกดปุ่มกล้องในมืออยู่ครู่หนึ่งพลางวัดแสง ไม่นานเขาก็พยักหน้า

    ฮันบินไม่ต้องจัดการสีหน้า แต่ความสงสัยนี้ก็ปรากฎที่ปลายนิ้ว เนื้อนุ่มที่เคยขาวซีดในแสงนีออนของห้องสมุด ตอนนี้มีสีแดงระเรื่อ คงเพราะความอุ่นของเรือนกระจก

    มะ...ไม่ใช่เพราะเอาไปซุกกระเป๋าหน้าท้องใครหรอกนะ

    "ดี กลัวก็ได้ หรือจะสงสัยก็ได้ ทำตามใจเลย"

    คิมจีวอนอยู่ห่างออกไปอีกหนึ่งช่วงแขนชัด ๆ แต่ไม่รู้ว่าทำไม เสียงของอีกฝ่ายจึงได้ให้ความรู้สึกใกล้นัก ใกล้เสียจนเหมือนกระซิบอยู่ข้างหู อุปมาไปเองว่าถูกลมหายใจแผ่วเบาอุ่นจัดกระทบลงมาใส่เนื้อหนัง มันทุ้มต่ำ งึมงำ สั่นสะเทือนราวกับกลองไม้ที่มีหน้ากลองเป็นหนัง

    สอดประสานเข้ามาในท่วงทำนองของร่างกายคนอื่นโดยปราศจากการขออนุญาต

    ทำให้ ทำให้ ทำให้ ทำให้หัวใจที่เดิมทีเต้นอยู่ดี ๆ ของเขา สั่นไหวไม่เป็นจังหวะอย่างน่ารำคาญ


    "โอ๊ย"


    และโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ปลายนิ้วที่สั่นระริกของเขา ก็บังเอิญถูกหนามแหลมของกระบองเพชรทิ่มแทงเข้ามา

    "อย่าสะบัด" ความเจ็บที่ปลายนิ้วทำให้ฮันบินรีบชักมือออก แต่เป็นเสียงนิ่งที่พูดออกมาที่ทำให้เขาชะงัก

    "นิ่งก่อน" เลนส์สีดำแวววาวที่ติดอยู่กับอุปกรณ์ stabilizer สำหรับกันสั่นค่อย ๆ ขยับเข้ามา สะท้อนหยดสีแดงบนปลายนิ้วที่ใหญ่ขึ้นทุกทีจนคล้ายมีเม็ดทับทิบกลมวาววางอยู่บนนั้น

    "ค่อย ๆ ยกมือ ให้เลือดไหลไปตามนิ้ว"

    คน ๆ นี้เป็นบ้า

    ฮันบินอยากจะทุบเจ้าคนบ้าการถ่ายนี่เข้าสักหลาย ๆ ทีจริง ๆ เขาน่ะเจ็บจนจะหายเจ็บแล้ว แต่ผู้กำกับไม่คิดจะคัทสักที แถมยังใช้โอกาสนี้ถ่ายทำเลือดเขาด้วย

    ขูดค่าจ้างเพิ่มซะดีมั้ง

    "ดี สวยมาก คัท" หลายอึดใจที่จีวอนจับภาพเม็ดทับทิมกลมค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นหยดน้ำ ก่อนจะไหลลง ทิ้งร่องรอยแดงสดไว้เป็นทางเล็ก ๆ ตามเนื้อขาว สีแดงนี้ใสจนเห็นจะมองเห็นท้องฟ้าเบื้องบนในนั้น

    มันสวยมาก

    และลึก...มากเช่นกัน

    "มีผ้าที่รถ" ตอนแรกที่เขาบาดเจ็บ คนบ้านี่ไม่ใส่ใจแผลเขาแถมยังฉวยโอกาสถ่ายภาพ แต่พอคัทและปล่อยกล้องให้ห้อยไว้กับสายที่เอว ตัวใหญ่โตก็ก้าวมาจนบังแสงข้างหน้าเขาไว้ และจับมือเปื้อนเลือดของเขาชูสูง

    "สนใจผมได้แล้วเหรอ" ถามไปอย่างหยอกเย้า ก็มันน่าขำจะตายไปนี่นา คนอะไร เห็นแก่ฟุตเทจมากกว่าคน

    ด้วยระยะที่ใกล้ ด้วยแสงที่มองเห็นไม่ชัด คิมฮันบินมองเห็นไปว่าดวงตาของคนที่อยู่ตรงหน้าวูบพรายไปชั่วขณะหนึ่ง

    ความรู้สึกมากมายพร่างพรูออกมาในชั่วขณะนั้น

    ซึ่ง เขาคงจะคิดไปเอง---

    “ก็สนใจเราอยู่ตลอดนั่นล่ะ”


    Tbc.

    #ฮึบไว้ฮันบิน


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×