ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ikon - M U S E - double b

    ลำดับตอนที่ #3 : scene_02 take 2

    • อัปเดตล่าสุด 8 ส.ค. 61










    scene_02 take 2 cam roll 0608 sound 20:36:01




    ดวงตาเรียวยาวที่ดูเนือยๆ กลอกหลุกหลิก หาจุดโฟกัสความสนใจ อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่กลิ่นฟิล์ม กลิ่นน้ำยาล้างฟิล์ม และไม่ใช้ริมฝีปากที่อยู่ตรงหน้า ตรงกับระดับสายตาเขาพอดี

    แล้วคิมฮันบินก็ค้นพบว่า เสื้อตัวเองน่าสนใจไม่เลว

    “....”

    “....”

    “คุยกันหน่อยไหม?”

    “....”

    ความเงียบระหว่างกันดำเนินอยู่นาน ก็เป็นรุ่นพี่คนนั้นที่เอ่ยขึ้นมาก่อน

    คิมฮันบินเงยหน้า

    ค้นพบอีกเรื่องทั้งที่ก็ไม่ได้อยากจะค้นพบเลยสักนิดว่า ดูเหมือนริมฝีปากของรุ่นพี่จะอยู่ใกล้กว่าก่อนหน้านี้....

    “คุยไหม? หืม?”

    "...ตอนนี้?"

    ปราการที่พยายามก่อสร้างไว้ระหว่างพันนิ้วเข้ากับเสื้อตัวเองคล้ายจะทลายลงเป็นชิ้นๆ หนุ่มน้อยลืมกระทั่งว่าตอนนี้นิ้วตัวเองยังเป็นก้อนผ้าอยู่เลย

    แต่ก่อนที่จะระลึกได้ถึงเรื่องนั้น ไหล่บางก็กดตัวเองติดกับผนังรถไฟเมื่ออีกฝ่ายโน้มลงมา


    ใกล้กว่าเดิม


    "หึหึ ตอนนี้จะคุยรู้เรื่องไหม เสียงไม่ดังไปหน่อยหรือ" เสียงทุ้มนั้นต่ำลงไปอีกเมื่ออีกฝ่ายหัวเราะ มันไม่เหมือนเสียงหัวเราะไหนเลยที่ฮันบินเคยได้ยิน

    มันต่ำ และลึก ราวกับก้องอยู่ในอกกว้างนั่น

    "แล้วนี่จะทำอะไรน่ะ เล่นดึงเสื้อ?" นิ้วชี้เล็ก ๆ ที่กลายเป็นไส้ก้อนผ้าถูกจับ ๆ บีบ ๆ จากข้างนอก

    คิมจีวอนไม่ถือวิสาสะดึงมันออก เพียงคาดเดาและคล้ายกับสนใจถึงความเป็นมาของมันมากกว่าจะแก้ไข

    “ยุ่งน่า”

    คิมฮันบินดึงมือหนี รู้สึกร้อนผ่าวตรงที่ปลายนิ้วถูกบีบ โทษเอาว่าเป็นเพราะอุณหภูมิจากตัวอีกฝ่ายที่ส่งผ่านเนื้อผ้าหลายชั้น

    “ปกติก็เป็นคนหวงตัวขนาดนี้เลยหรือ?”

    คิมจีวอนถาม น้ำเสียงไม่บ่งบอกอารมณ์จนฮันบินจับทางไม่ถูก

    ก่อนหน้านี้เองพวกเขาในฐานะรุ่นพี่กับรุ่นน้อง ก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกันมากนัก วิชาเรียนเองก็ไม่เคยลงตัวเดียวกันในเซคชั่นเดียวกันมาก่อน

    ใช้ชีวิตเหมือนวงกลมสองวงที่ไม่ค่อยได้มีส่วนก้ำเกยกันมาสองสามปี จู่ๆ ก็ถูกรุกล้ำเข้ามา...รวดเร็วมากทีเดียว คิมฮันบินคิดว่าตัวเองยังไม่ค่อยชิน

    "คนปกติเขาก็ไม่มาจับคนอื่นแบบพี่..นี่" แม้จะขึ้นประโยคด้วยเสียงออกจะแข็ง แต่พอเผลอเงยหน้าขึ้น ละสายตาจากนิ้วที่ร้อนขึ้นมาอย่างน่ารำคาญ สบเข้ากับจันทร์เสี้ยวแพรวพราวคู่หนึ่งนั้น


    ท้ายประโยค ก็สั่นไหว


    "..." อีกฝ่ายไม่โต้ตอบอะไร ไม่แม้จะตอบรับคำพูดเขาในลำคอ กลับจ้องมองจนเจ้าของคำพูดหลุบตาลงอีกครั้งอย่างรับมือไม่ถูก

    และยังคงมีเพียงเสียงจอแจที่ดังขึ้น

    หรือ...จะโดนโกรธ?


    ...ชินชน สถานีต่อไป ชินชน...


    "งั้นจะไม่จับตัวเรานะ"


    ...Next station Shinshon...


    "ตอนถ่ายทำจะมองอย่างเดียว..."


    ฮันบินนิ่งไปหลายวินาที หลังจากฟังเสียงนุ่มนวลอ่อนโยนนั้นจนจบ ค่อยนึกขึ้นได้ว่าเขาต้องปฏิเสธนี่นา

    “ผมไม่ได้บอกสักคำว่าจะตกล--- โอ๊ะ!”

    จังหวะที่อ้าปากเถียง พอดีเป็นจังหวะเดียวกันกับที่รถไฟเข้าเทียบจอดชานชลาและเปิดประตู

    ผู้โดยสารจำนวนมากที่พยายามเบียดเข้ามานั้น แม้แต่คิมจีวอนก็กั้นเอาไว้ไม่ไหว ถูกดันเข้าชิดกับรุ่นน้องมากกว่าเดิมจนได้

    “โทษที โทษที ไม่ได้ตั้งใจจะเบียด...ว่าแต่เมื่อกี้เราว่าอะไร?”

    กลิ่นแลปฟิล์มที่ทำให้คิมฮันบินร้อนรนอย่างประหลาดนั่น... เหมือนจะชัดเจนกว่าเดิมเวลาที่มีลมอุ่นๆ เป่าลงใส่ปลายจมูก

    ...จั๊กจี้…


    “ไม่...ได้...ตกลงนะ....”


    แล้วจะตะกุกตะกักทำไมล่ะเนี่ยคิมฮันบิน

    "ตกลงเถอะ นะ" เสียงที่กระซิบลงมานั้นทำให้คนฟังตัวแข็งทื่อ ริ้วร้อนวิ่งขึ้นมาบนใบหน้าอย่างไม่รู้จะห้ามยังไง

    คน...คนๆนี้..เสียง...


    "นะ"


    ราวกับคิมจีวอนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายได้จินหรือไม่ ริมฝีปากสีสดกลิ่นหอมหวานเหมือนลูกอมโน้มลงแทบเคลียกับใบหูสีแดง กระซิบน้ำเสียงทุ้มต่ำลงไป

    "อ้าว"

    ปฏิกิริยาถัดมาทำเอาคนขอน้องร้องออกมาอย่างแปลกใจ

    "ปิดหูทำไมเล่าเนี่ย ไม่อยากได้ยินขนาดนั้นเลยเหรอ" อกกว้างขยับขึ้นลงตามเสียงหัวเราะที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้คำตอบ

    คิมฮันบินยกมือกุมหูทั้งสองข้างเอาไว้ เสียงหัวเราะของคนตัวโตนั้นยังอุตส่าห์ลอดเข้ามาอย่างดื้อรั้น ผสมกับเสียงโครมครามในตัวเอง

    บางอย่างข้างใน ...พังลงเสียงดังจนหนวกหูไปหมด




    กริ๊ง


    "ยินดี---กลับมาแล้วหรือลูก" เสียงตอบรับเปลี่ยนจากคุณเจ้าของร้านเป็นคุณแม่เมื่อคนที่เดินเข้ามาไม่ใช่ลูกค้าแต่เป็นลูกชาย

    "บยอลละครับแม่" ฮันบินปลดเป้ลงก่อนจะซุกเข้าใต้เคาท์เตอร์ กลิ่นหอมของน้ำหอมอวลอยู่ในร้านเล็กสีขาวนี้ทำให้ใจที่เต้นแรงมาตลอดทางที่เดินได้ค่อย ๆ ช้าลง

    "น้องมีคลาสเต้นน่ะจ้ะ แล้วไม่ชวนเพื่อนเข้ามาเหรอลูก ยืนอยู่ข้างนอกทำไมกัน"

    ถึงตรงนี้

    มุมปากของคิมฮันบินกระตุกน้อย ๆ

    ใบหน้าที่นุ่มนวลลงนิดหน่อยไม่แข็งทื่อเป็นหุ่นเมื่อกลับถึงบ้านเจืออารมณ์หงุดหงิดใจ

    “ไม่ใช่เพื่อนครับ”

    คุณแม่คนสวยเลิกคิ้วมองลูกชาย

    แล้วคิมฮันบินก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

    “ไม่ใช่เพื่อน เป็นรุ่นพี่ที่เค้าตื๊อให้ไปช่วยงาน”

    “ก็แล้วทำไมไม่ช่วยเขาหน่อยล่ะลูก?”

    “ผมไม่ค่อยว่างนี่ ยังมีงานของตัวเอง”

    หนุ่มน้อยตอบเหมือนท่องไว้ ซึ่งก็เป็นข้ออ้า— เหตุผลเดียวกันกับที่เขาบอกกับรุ่นพี่คนนั้น

    “เด็กคนนี้นี่น้า... ยังไงก็เถอะ ไปชวนเขาเข้ามาดื่มอะไรอุ่น ๆ สักหน่อยดีกว่า ข้างนอกหนาวจะตายไป เขาอุตส่าห์มาส่งเราไม่ใช่หรือจ๊ะ?”




    ก่อนหน้านี้ฮันบินโยกโย้กับแม่อยู่หลายคำ แต่สุดท้ายเขาก็มายืนตรงนี้จนได้

    ตรงหน้าคิมจีวอน

    "เรียบร้อยแล้ว งั้นพี่ไปแล้วนะ"

    ทั้ง ๆ ที่ก่อนจะเข้าไปเมื่อกี้ ก็บอกว่าถึงบ้านแล้ว กลับไปได้แล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังยืนรอจนเห็นเขาเดินเข้าไปในร้าน เหมือนยืนยันคำพูดของเจ้าตัว

    'พี่ต้องเห็นว่าเราเจอคุณแม่แล้ว'

    ยังกับว่าแถวบ้านเขามันน่ากลัวนักแหละ น่ากลัวสุดก็พวกป้าขายตรงเท่านั้นแหละ


    ฮึ่ย


    "พี่จีวอน!" เขาส่งเสียงออกไป

    "แม่ชวนดื่มชา"




    "โถ พ่อคุณ" ใบหน้าของหนุ่มน้อยหงิกพอๆกับใบชายังไม่ได้ต้มเมื่อแม่เขาถอนหายใจไปพลางรินชามะลิใส่ถ้วย

    "เขาบอกว่ารีบกลับ ทำไมแม่ต้องทำท่าเสียดายด้วยล่ะฮะ" พูดเสียงขึ้นจมูกพลางพึมพำขอบคุณก่อนจะเอามือเย็น ๆ ไปประคองถ้วยอุ่น

    "เขาคงจะเกรงใจบ้านเรานะ เพราะมีคนทำหน้าไม่รับแขก" คุณนายคิมพูดกระทบลูกชายหน้าตาเฉยแล้วประคองถ้วยชาของตนขึ้นมาบ้าง ไม่ใส่ใจหน้าหงิกงอจนเบี้ยวไปข้างของลูกชาย

    “หน้าผมก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เกิด” คิมฮันบินพึมพำอย่างดื้อรั้นผ่านกลุ่มไอน้ำเหนือผิวถ้วย

    “ไม่จริงสักหน่อย ตอนเด็กๆ น่ะเราออกจะเป็นเด็กยิ้มง่าย ร่าเริง พอโตมาเนี่ยสิ ดันกลายเป็นคนชอบทำหน้าบึ้งซะได้ แม่เลี้ยงผิดไปตรงไหนกันนะ”

    คุณนายคิมแตะปลายคางด้วยท่าทางครุ่นคิด

    “คนแก่ชอบลำเลิกความหลัง”

    “เอ๊ะ! เจ้าลูกคนนี้!”

    คิมฮันบินหัวเราะร่าอย่างที่ทำไม่บ่อยให้กับท่าทางหงุดหงิดใจของมารดา ปลดเปลื้องความขมุกขมัวที่ไม่รู้จักในอกไปได้เสียที


    หัวใจ...กลับมาเต้นเป็นจังหวะเดิมเมื่อไม่มีรุ่นพี่จอมยียวนคนนั้นในระยะสายตา





    [คิมจีวอน นายยังไม่ได้ส่งงานส่วนของนายให้ฉันเลย]

    ดวงตาเรียวรีมองข้อความที่เด้งขึ้นมาในโทรศัพท์ เป็นการทักทวงถามจากเพื่อนที่จับคู่กันในคาบเรียนหัวข้อทฤษฎีแสง

    [ถึงห้องแล้วจะส่งให้]

    [ออกไปตั้งแต่บ่าย นี่จะสองทุ่มแล้วยังไม่ถึงอีกเรอะ มีปัญหาอะไรรึเปล่า?]

    ถึงแม้เขาจะไม่ได้สนิทสนมกับองซองอูมากเกินกว่าการเป็นคนที่จับคู่กันบ่อยๆ ในวิชาที่เอกละครกับเอกฟิล์มเรียนร่วมกัน แต่ก็ถือว่าเป็นคนคุ้นเคยกันดี จึงมีการแสดงความเป็นห่วงกันตามสมควร

    [ไม่มี]

    [มาทำธุระที่มาโป]

    [ไกลนะนั่น]

    [กำลังกลับ ไม่เกินสามทุ่มจะส่งให้]

    [โอเค กลับดีๆ ไม่ต้องรีบก็ได้ แค่นึกว่านายลืม]

    [โอเค]

    ชายหนุ่มเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋าเสื้อเมื่อไม่เห็นข้อความอื่นต่อมา

    บทสนทนาอันเป็นปกติของเขาที่จริงก็เป็นแบบนี้ นี่จึงจะเป็นสิ่งที่เขาคุ้นชินและปฏิบัติ

    ไม่พูดอธิบายเรื่องไม่จำเป็นเพิ่มแม้สักครึ่งคำ

    ดังนั้นทุกๆ คำที่พูดคำคิมฮันบินนั่น ที่จริง...เขาต้องพยายามอย่างมากเลยทีเดียว

    ดวงตามองเหม่อออกไปแต่สมองครุ่นคิดชัดเจน ถึงภาพที่เขาอยากจะเล่าผ่านมือคู่นั้นของมิวส์


    แต่ก็อื่นต้องตื๊อให้สำเร็จก่อนสินะ


    ชายหนุ่มถูจมูกด้วยข้อนิ้ว นิสัยติดตัวที่เขาไม่ค่อยรู้ตัวเวลาใช้ความคิด เขายอมรับว่าตัวเองไม่ค่อยพูดคุยกับคน ไม่ใช่คนใช้คำพูดหว่านล้อมเก่ง แต่ก็อยากจะได้คิมฮันบินมาอยู่ในโปรเจ็คจบของตัวเองจริงๆ สลัดออกจากหัวไม่ได้เลย


    จะทำยังไงดีนะ




    สัปดาห์ต่อมาของคิมฮันบินนั้นปกติดี ราบเรียบไร้ปัญหาทั้งงานส่วนตัวและงานคณะ ทุกอย่างเป็นอย่างที่มันเคยเป็น จะเส้นก็แต่เสียงจุ๊บจิ๊บกระจิบกระจาบรอบตัว


    "หายไปเลยเนาะ"

    "ไม่ใช่ว่าโดนไทร์แล้วเหรอ?"

    ...

    "ไม่ส่งงานเฉย ๆ นี่นา จะไทร์เลยเหรอ"

    "อือ....หรือว่าจะป่วย? ไม่ได้กินอะไรจนล้มกองอยู่หน้าประตูขณะที่กำลังจะออกไปหาหมอ เอื้ออออ คร่อก"

    "คร่อกนี่มันหลับแล้วไหมลลิสา..."

    "อ้าวเหรอ ฮ่าๆ ภาษาเกาหลียากจังเลย"

    ...

    ต...ตัวอย่างกับหมี

    คงไม่ป่วยตายหรอกน่า




    คำถามที่ถามเองตอบเองในหัวนั้นวนเวียนไปมาจนกระทั่งคนคิดเองยังหงุดหงิด นี่ถ้าเป็นในหนังสักเรื่อง เขาคงเขียนบทให้ตัวเขาไปถามหาที่อยู่ของคน ๆ นั้นจากอ.ที่ปรึกษาเพื่อไปดูว่าเจ้าตัวยังปลอดภัยอยู่ไหมไปแล้ว

    แต่ในชีวิตจริง ใครเขาจะไปทำเรื่องน่าอายแบบนั้นเล่า!

    "ใจลอย"

    สัมผัสที่แตะลงมาบนปลายจมูกนั้นทำให้ฮันบินรู้สึกตัว และกลับจากความคิดตัวเองมาสู่ร้านกาแฟเล็ก ๆ หน้าประตู 2 ของมหาวิทยาลัย มานั่งตรงข้ามรุ่นพี่ที่สนิทสนมกันผ่านดนตรี

    "อ่ะ...ขอโทษนะพี่แจวอน" เขาลูบจมูกตัวเองป้อย ๆ และเห็นอีกฝ่ายยิ้มน้อย ๆ อย่างไม่ถือสา แต่นั่นก็ราวกับเพิ่มดอกไม้อีกดอกลงไปในแจกันที่สวยอยู่แล้ว ทำให้มันสวยยิ่งขึ้นอีกมาก ๆ เลย

    "ถามได้ไหม เรื่องที่ใจลอยน่ะ"

    จองแจวอนถามพลางหยิบคุกกี้ชิ้นเล็กขึ้นกัด ราวกับไม่สนใจเท่าไหร่ถ้าอีกฝ่ายจะไม่ตอบคำถามนั้น ทำให้คนที่วุ่นวายกับความคิดตัวเองมาสักพักเริ่มรู้สึกว่า ถ้าบอกไป...คงไม่เป็นไร




    "คิมจีวอน...? คิมบ๊อบบี้น่ะหรือ?" แจวอนถามขึ้นหลังจากรวบรวมข้อมูลผ่าน อ่า เอ่อ อืม ไม่ขนาดนั้น น่ารำคาญ ตามตื๊อ และการประทุษร้ายบิลค่ากาแฟจนเป็นผุยผงของคิมฮันบินได้

    "แจวอนนี่รู้จักเหรอ?"

    อืม...ตอบคำถามด้วยคำถาม น่าสนใจนะ

    "ก็ปีเดียวกัน แต่เงียบๆนะ"

    "ไม่เห็นจะเงียบเลย!"

    จองแจวอนเอียงคอกับคำตอบทันทีทันใดนั้นของรุ่นน้อง ย่อยข้อมูลที่เป็นผลของการประทุษร้ายบิลค่ากาแฟหนึ่งใบถ้วน ได้ข้อสรุปออกมาเพียงหนึ่งประโยค


    “เป็นห่วง?”


    “ไม่ได้ห่วงสักหน่อย แค่สงสัยว่าตายไปแล้วรึเปล่า!”

    คิมฮันบินปกตินั้นเป็นเด็กเนือยมาก เหมือนใช้ชีวิตอยู่ในอีกการเลื่อนไหลของเวลา ใจเย็น เฉื่อยชา รู้จักกันมาตั้งนาน ก็เพิ่งจะรู้นี่ล่ะว่าทำหน้ายุ่ง ๆ เถียงคนคอเป็นเอ็นแบบนี้ก็ได้ด้วย


    ....ก็...น่ารักดี


    “ฉันพอจะรู้ที่อยู่ของหมอนั่นอยู่หรอกนะ จะบอกให้เอาไหมล่ะ?”

    นั่น นั่น นั่น....

    ไม่ต่างอะไรจากเสียงกระซิบล่อลวงของซาตาน.....

    "...ไม่เอาหรอก!" แจวอนมองรุ่นน้องที่ตนเอ็นดูปฏิเสธข้อเสนอด้วยท่าทางที่ขัดกับคำพูดอย่างยิ่งแบบนั้น ก็ยิ่งทำให้รู้สึกสนุกสนาน

    "ในคาทกรุ่นรู้สึกจะมีข้อมูลเบื้องต้นอัพไว้นะ" นิ้วเรียวยาวเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ปราดๆ

    "ไม่ได้อยากรู้สักหน่อย!"




    ฮันบินรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวอะไรสักอย่างที่วิ่งวนอยู่บนมือของจองแจวอน เพราะหลังจากแยกกันแล้วเขาก็ยังมึนหัวอยู่เลย

    แถมในคาทกยังมีภาพแคปหน้าจอเบอร์โทร คาทกและที่อยู่คิมจีวอนอีกต่างหาก

    'ไม่อยากได้นะ!'

    'ไม่อยากได้ก็ลบทิ้งสิ ไม่ได้ว่าสักหน่อย'

    ละ แล้วจะให้มาทำไม....




    "คะแนนโอเคเลยจีวอน สมกับเป็นเด็กฝึกงานของแนทจีโอ" เสียงที่ให้ความรู้สึกอ่อนโยนแต่ก็ร่าเริงนั้นไม่ได้ทำให้คนที่เดินกลับไปกลับมาหน้าหน้าอาคารเรียบๆ หลังหนึ่งมาร่วมครึ่งค่อนชั่วโมงสนใจไปมากกว่าคำว่า จีวอน

    คิมฮันบินหันไปมองทางต้นเสียง ห่างออกไปที่อีกฝั่งของถนน

    อ่ะ...คิมจีวอนจริงๆด้วย

    "ไม่หรอก ตอนไปฝึกไม่ได้ฝึกเขียนบทน่ะ"

    ฮันบินไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องยืนอยู่ตรงนี้ ได้แต่มองคนรู้จักที่ไม่ได้เห็นมาหลายวัน ในหัวก็โล่งไปหมด ลืมกระทั่งจะขยับหลบหรือถอย

    "อาจารย์ชเวยังเอาสารคดีที่จีวอนเป็นผู้ช่วยมาสอนฟิล์ม 101 อยู่เลย ภาพสวยมาก ๆ เลยนะ" คนที่พูดเจื้อยแจ้วนั้นเดินออกมาจากเงาร่างใหญ่ของคิมจีวอน ทำให้เห็นกายเพรียวบางที่ให้ความรู้สึกของซิตี้กาย ผมดำขลับ ดวงหน้าแต่งแต้มรอยยิ้มมีจุดสามจุดบนแก้ม ทั้งที่เป็นคนหล่อแต่ก็ให้ความรู้สึกน่ารัก

    "ก็ได้แต่ทำงานใช้แรง" แล้วคนนั้นน่ะอะไรกันนะ มีคนสวยน่ารักขนาดนี้มาคุยด้วย ทำไมเอาแต่ตอบห้วน ๆ ล่ะ

    "จะใช้แรงอย่างเดียวตั้งสองปีได้ไงเล่า ถ่อมตัวเกินไปแล้ว"

    ฝ่ายนั้นหยอกล้ออยู่อีกหลายคำก่อนจะผละออกไป

    ท่าทางจะเป็นคนอารมณ์ดีมาก ๆ เลยนะ...


    "...ฮันบิน?"


    ส่วนคนนี้น่ะ ทำไม...

    ทำไมไม่เห็นพูดเก่งเหมือนตอนคุยกับเขาเลยล่ะ

    อะไรกันนะ

    แต่ทันทีที่เห็นเขา ดวงตาเรียวรีที่แทบมองไม่เห็นความแตกต่างระหว่างตาขาวและดำนั่นจู่ ๆ ก็เหมือนมีแสงวาบ

    ใช้เวลาเพียงพริบตา คิมจีวอนก็ข้ามถนน มายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว


    “มาได้ยังไงน่ะ?”

    “หรือว่า ตกลงเรื่องถ่ายหนังแล้วหรือ?”


    นี่ไง นี่ไงเจ้าคนขี้ตื๊อช่างจ้อที่เขารู้จักคุ้นเคย


    “แค่บังเอิญเดินผ่านแถวนี้....”

    ฮันบินตอบออกไปแล้วก็นึกเสียใจ ดูรอบตัวเขาตอนนี้สิ มีแต่บ้านคนกับสนามเด็กเล่น ในตรอกลึกที่แม้แต่ร้านสะดวกซื้อยังไม่มี คิมฮันบินไม่ทราบว่าบังเอิญผ่านมาได้อย่างไร

    ถ้านี่เป็นวิชาเขียนบท เชื่อเถอะว่าเขาคงไม่ได้เห็นแม้แต่เส้นโค้งของตัว C ห่วยจนไม่รู้จะห่วยยังไงจริงๆ

    “อ้อ...งั้นหรอกหรือ... น่าเสียดายนะ”


    แล้วมันจำเป็นจะต้องทำเสียงหงอยๆ ขนาดนั้นเลยหรือยังไงน่ะคนคนนี้!


    “ตัดใจเรื่องผมสักทีเถอะน่า ถ้ายังไม่รีบเริ่ม เดี๋ยวก็ตัดต่อไม่ทันเอาหรอก”

    "ไม่เป็นไร รอได้" คำตอบที่ได้มาทำเอาฮันบินอยากทึ้งหัวตัวเองแล้ว

    "ซัมเมอร์ก่อนไปฝึกงานมาจากอเมริกามา พี่ไม่รู้รึไงว่าความพยายามมันไม่ได้จะสำเร็จไปซะทุกครั้งน่ะหา!" คน 'บังเอิญผ่านมา' โพล่งข้อมูลที่เพิ่งรู้ออกไปอย่างลืมตัว และเมื่อได้ยินสิ่งที่ตนเองพูดออกไป เขาก็มองไปที่อีกฝ่ายด้วยความกังวลว่ามันจะ แรง ไปรึเปล่า

    แล้วหน้านิ่ง ๆ แบบนั้นจะรู้ได้ยังไงว่าเจ็บปวดรึเปล่าน่ะ

    "ตอนปี 1 ได้เรียนกับอ.ชเวไหม ฟิล์ม 101 น่ะ"

    อึดใจหนึ่ง ตอนที่ฮันบินเกือบจะขอโทษออกไปแล้ว อีกฝ่ายก็ถามขึ้นมา

    "อ่ะ อืม" อ.ชเวที่ใส่สูทสีเขียว ฟ้า ม่วง แดง มาสอนคนนั้น ใคร ๆ ก็ไม่น่าจะลืม

    แต่ฮันบินก็ไม่เห็นจะเข้าใจว่ามันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่พวกเขาคุยกันอยู่


    "ภาพตอนเอนด์เครดิต พี่ถ่ายเอง"


    ดวงตากลมค่อย ๆ เบิกกว้าง เพราะภาพนั้นทำเอาเขาจ้องมองอย่างหลงใหล ถึงกับเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เลือกเอกนี้ตอนขึ้นเรียนชั้นปีที่สอง

    ภาพของดวงอาทิตย์ที่ค่อย ๆ เลื่อนลงสู่มหาสมุทร สะท้อนคลื่นเบาบางจากวาฬแม่ลูก ภาพเคลื่อนไหวนั่นที่ถูกเร่งเล็กน้อยให้พอดีกับจำนวนชื่อสตาฟ

    "พี่ไปตั้งกล้องบนหน้าผานั่น ตั้งเต็นท์ รอพระอาทิตย์กับแม่ลูกคู่นั้นทุกวัน รออยู่สองเดือน" น้ำเสียงที่เล่านั้นราบเรียบ ธรรมดา ไม่บ่งบอกว่าอีกฝ่ายหนาวแค่ไหน การกินอาหาร การใช้ชีวิตลำบากเพียงใด

    เขาเล่า...เหมือนไม่ลำบากเลย

    "ของที่พี่รอ มีค่าควรที่จะรอ"


    "..."

    “...”

    “...บท...”

    “?”

    “เอาบทมาดูก่อนก็ได้”


    แพ้แล้ว


    ทว่าเมื่อคิมฮันบินมองเห็นดวงตาเป็นประกายวับวาว หนุ่มน้อยก็สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ


    ฮึบ


    “ยังไม่ได้ตกลงนะ ขอดูบทก่อน ถ้าไม่น่าสนใจ ก็ถือว่าไม่ได้พูดอะไร—“

    คิมจีวอนเหมือนไม่ได้ฟังเสียงเอ่ยอ้างข้อแม้ของเขา ดึงมือเขาไปจับ ด้วยสองมือ ทั้งบีบและเขย่า ท่าทางตื่นเต้นดีใจราวกับเด็กได้ขนม


    “ขอบใจนะฮันบิน ดีใจมากๆ มากๆ จริงๆ ขอบคุณที่ยอมมาถ่ายด้วยกันนะ”

    “บอกว่าขอดูบทก่อนไงเล่า!”




    tbc.

    #ฮึบไว้ฮันบิน


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×