คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : : the fifteenth
15
“แบม...”
“อะไร”
“โหย อย่าทำเสียงเย็นชางี้ดิวะ”
คิมยูคยอมส่งเสียงงุ้งงิ้งมาจากโต๊ะข้างๆ และเอาแต่เขย่าแขนเขาไม่หยุดหย่อน แบมแบมคิดว่าเพื่อนสนิทใกล้เคียงกับการคอสเพลย์เป็นความน่ารำคาญเข้าไปทุกที ดูจากการที่มันพยายามทำสิ่งที่เรียกว่าง้อด้วยการทำตัวง้องแง้งแบบที่คิดว่าน่ารักที่สุดในโลกใส่เขา
“เลิกงอนกูเหอะ…นะ น้าาา” แบมแบมเหล่มองเพื่อนคนดีคนเก่งของตัวเองอย่างระอาใจ พ่นลมออกจากจมูกเมื่อเห็นมันเบะปากทำหน้าจะร้องไห้
“ไม่ได้งอน”
“ไม่ได้งอนแต่หน้าเป็นตูดงี้เหรอ ไม่เอาดิแบม กูไม่ได้จะทิ้งมึงจริงๆ นะ สาบาน”
ยูคยอมพูดพร้อมยกมือขึ้นชูสามนิ้วพร้อมกล่าวว่าถ้าเรื่องที่มันพูดเป็นเรื่องโกหกขอให้ไอดีคาทกสาวๆ ที่มันสะสมเอาไว้หายทั้งหมดด้วยสีหน้าจริงจังจนน่าขำ แบมแบมเหล่มองและต้องอดทนอย่างมากที่จะไม่หลุดเสียงหัวเราะออกมา เขาหันกลับ ยักไหล่ แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วลงมือเขียนรายละเอียดลงในแผ่นงานสเก็ตช์ต่อ
“งอนมากเป็นตุ๊ดนะมึง”
“เชี่ยนี่” เก้าอี้ล้อเลื่อนถอยหลังดังครืดด้วยแรงส่งจากคอนเวิร์ดสีดำเบอร์แปด
ยูคยอมไถเก้าอี้กลับมาที่เดิม พูดเสียงอ่อย “เย็นนี้กูเลี้ยงข้าวก็ได้อะ”
แบมแบมพ่นลมหายใจพรืด หมุนเก้าอี้ไปหาเพื่อน มองหน้าหงอยๆ หางลู่หูตกของมันแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ก็ได้ ก็ได้ เขาขี้เกียจเก๊กหน้าบูดเต็มที ถึงแม้เหตุผล(ที่มันบังอาจทิ้งเขาไว้กับมาร์คเมื่อคืนก่อน)ที่มันเพียรอธิบายให้ฟังจะไม่เข้าท่า แต่เห็นแก่ความพยายามที่ง้อมาตั้งแต่เมื่อวาน รวมทั้งความจริงที่ว่าคิมยูคยอมในโหมดนี้น่ารำคาญเป็นสิบเท่าของโหมดปกติ
“สองอาทิตย์”
“สองอาทิตย์ก็สองอาทิตย์”
“โอเค ตามนั้น ไม่งอนแล้วก็ได้”
ไม่ได้เห็นแก่ของฟรีนะ แต่เห็นแก่กิน
แบมแบมหัวเราะลั่นในใจ บอกได้เลยว่ามันจะต้องเป็นสองอาทิตย์ที่ชีวิตดีและฟินมากแน่ๆ ไม่ต้องห่วงกระเป๋าตังค์ของคิมยูคยอมหรอก ไอ้เพื่อนบ้านรวย(ฉิบหาย)นี่ไม่มีวันสะทกสะท้านเรื่องกำลังทรัพย์ตราบใดที่ห้างดังแถวถนนคนรวยยังไม่เจ๊งหรือพ่อมันยังไม่มีความคิดจะขายกิจการล้านแปดทิ้ง
ห่วงเรื่องบรรดาสาวในสต๊อกของมันดีกว่า
สองอาทิตย์นี้มึงจะไม่ได้ไปม่อใครที่ไหนแน่ เตรียมตัวอยู่ติดกับกูทั้งสัปดาห์ได้เลย
“รู้ตัวไหมว่าตอนนี้หน้ามึงชั่วมาก”
แบมแบมหันไปยิ้มบางๆ “อย่าห่วงเลย ยังไงก็ได้ไม่ถึงครึ่งของมึงหรอก” แล้วหุบยิ้มฉับ
เขาหันหนียูคยอมที่พุ่งมาจับแขนแกว่งไปแกว่งมา โวยวายให้เลิกงอนได้อย่างน่าอับอายสายตาเพื่อนร่วมห้องหลายสิบชีวิตที่มองว่าเมื่อไหร่มึงจะหยุด เขาตัดรำคาญด้วยการดึงแขนหนี แต่ก่อนที่จะได้ทำแบบนั้น เจ้าเพื่อนตัวโตก็เงียบไปเสียเฉยๆ แบมแบมสังเกตเห็นสายตาแปลกๆ ของเพื่อนที่จ้องมองแขนเขาเข้าเสียก่อน หัวคิ้วขมวดราวกับเห็นสิ่งผิดปกติ อะไรล่ะ เขามีแขนงอกเพิ่มขึ้นมาหรือไง
“มีไร มองทำไม”
แบมแบมถามกลับเสียงห้วน รู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมาตงิดๆ แล้วก็ใจหายวาบเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ เขาชักแขนกลับ หมุนเก้าอี้หันเข้าหาโต๊ะทำงานเหมือนเดิม พยายามเลี่ยงการสบตาเพื่อนแบบไม่ให้มันผิดสังเกต แต่ยูคยอมก็ยังจ้องอยู่อย่างนั้น ส่วนเขาก็ได้แต่ขยับตัวอย่างอึดอัดอยู่บนเก้าอี้
“แปลกว่ะ”
เอาแล้วไง
“มึงเอาเสื้อใครมาใส่”
เหี้ยละ...
“อะไร เสื้อใครล่ะ ก็เสื้อกูไง” เขาย้อนกลับ ขยับเบี่ยงแขนหนีสายตาเพื่อนขี้เสือกด้วยความลืมตัวว่ามีแต่จะยิ่งทำให้ผิดสังเกต
ยูคยอมทำหน้าไม่เชื่อ
“เสื้อมึงอะไรล่ะ ก็เห็นอยู่ทนโท่ว่าไม่ใช่ แค่รหัสรุ่นสองตัวแรกที่ปักบนแขนเสื้อกูก็รู้แล้ว”
ริมฝีปากเผยอค้างและมีเพียงเสียงเอ่ออ่าโง่ๆ หลุดออกมา แบมแบมไม่เคยรู้สึกจนตรอกและอยากหายตัวได้ขนาดนี้มาก่อน ก็คิดว่าเสื้อแจ็คเก็ตของคณะเป็นอะไรที่ไม่น่าจะสะดุดตาผู้คนที่สุดแล้ว เพราะเด็กคณะนี้มันมีใส่กันแทบทั้งนั้น สลับกันใส่มั่วก็ไม่มีใครรู้ถ้าไม่ดูรหัสประจำตัวบนแขนเสื้อ แต่ใครจะไปรู้วะ ว่ามนุษย์ตาเซ่ออย่างคิมยูคยอมจะสังเกตเห็นไอ้เลขแปดหลักนี่เข้าจนได้ ขอปรบมือให้ มึงนี่เหนือความคาดหมายไปอีก
รู้แบบนี้ยัดเก็บไว้ในล็อกเกอร์แต่แรกก็ดี
“โหย นี่พัฒนาถึงขั้นแลกเสื้อกันใส่แล้วเหรอ”
“พูดอะไรของมึง” เขาตอบและหยิบปากกาสีฟ้าที่วางอยู่ใกล้มือขึ้นมาหมุนเล่นก่อนจะวางลงในกล่อง หยิบแท่งสีฟ้าอ่อนที่อยู่ใกล้กันขึ้นมา หมุนเล่น แล้ววางลงในกล่องข้างแท่งเมื่อกี้ และทำกับแท่งอื่นๆ เช่นเดียวกัน
อันที่จริงการวางโคปิคมาร์กเกอร์ไล่โทนสีใส่ลงในกล่องไม่ได้น่าสนใจขนาดนั้น แบมแบมก็แค่แกล้งทำเป็นว่ามันน่าสนใจมากกว่าการนั่งตอบคำถามไร้สาระของยูคยอม ซึ่งหลังจากได้คำตอบที่ไม่น่าพอใจ เขาก็เห็นจากทางหางตาว่ามันเบ้ปาก
“ไม่ต้องอ่ะ ก็เห็นอยู่เนี่ยว่าเสื้อพี่มาร์ค”
“รู้ได้ไง อาจเป็นของดูจุนก็ได้” ปากกาในกล่องที่ไล่เรียงสีเสร็จเรียบร้อย ถูกหยิบมาวางบนโต๊ะอีกครั้งและแบมแบมก็ยังไม่สบตาเพื่อนเช่นเดิม
“แล้วเขาจะให้มึงทำไม เขาก็ต้องให้แฟนเขาดิ มึงนี่ชอบแถอะไรโง่ๆ” ยูคยอมส่ายหัวอย่างเอือมระอาเสียเต็มประดา
แบมแบมล่ะเกลียดมนุษย์ที่ชื่อคิมยูคยอมจริงๆ
“ไม่รู้เหรอ กูกับพี่รหัสออกจะรักกัน”
“ก็คงไม่เท่ามาร์ค ต้วนที่ตามจีบมึงอยู่หรอก”
โดนย้อนกลับมาแบบนี้แบมแบมถึงกับเงียบ เขาเม้มปาก กลอกตาลุกลี้ลุกลน และขมวดคิ้วหงุดหงิดใส่เพื่อนที่ยื่นหน้าเข้ามายิ้มล้อเลียนอย่างได้ที แต่ความหงุดหงิดบนใบหน้าไม่มีผลอะไรกับคนอย่างยูคยอม แถมยังหัวเราะชอบอกชอบใจเสียยกใหญ่เมื่อเห็นว่าเขาไม่ออกอาการต่อต้านหรือปฏิเสธหัวชนฝาเหมือนทุกที
“เฮ้ยๆ ไม่ปฏิเสธด้วยเว้ย” ยูคยอมหัวเราะคิกคัก “แล้วสรุปว่านี่เสื้อพี่มาร์ค?”
แบมแบมชั่งใจอยู่สักพัก ก่อนจะถอนหายใจ “…เออ”
“เอาจริง? โห นี่แสดงความเป็นเจ้าของกันอย่างงี้เลย”
แบมแบมหันขวับ
“เชี่ยเหอะ แค่ให้ยืมใส่กลับหอเว้ย”
เจ้าขงเจ้าของอะไร บ้าบอ คิมยูคยอมแม่งเพ้อเจ้อ
อันที่จริงจะบอกว่าเสื้อตัวนี้ให้ยืมใส่ก็ไม่ถูก เพราะมาร์ค ต้วนมันบังคับให้ใส่ต่างหาก อ้างว่าตัวเขาเหม็นเหล้าอย่างนั้นอย่างนี้แล้วก็โยนแจ๊คเก็ตบ้าบอนี่มาให้ บอกให้ใส่ทับชุดเดิมไว้ ไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่าทำเพื่ออะไร แต่ถ้าเขาไม่ยอมใส่มันก็ไม่ยอมให้กลับ ประสาทไหมมึง เถียงกันได้สักพัก ด้วยความรำคาญเลยยอมใส่ไปให้หมดเรื่องหมดราว
เขาตั้งใจจะคืนเสื้อตั้งแต่เมื่อวานแล้วก็ลืม เจ้าของเสื้อก็หายหัวไปด้วยทั้งที่ปกติจะหาเรื่องโผล่หน้ามาให้เห็นเป็นประจำ วันนี้เลยใส่ตั้งแต่ออกจากหอเพราะกลัวลืมจัด แต่ก็ล่วงเข้าตอนบ่ายแล้ว เขาก็ยังไม่เจอตัวมาร์ค แม้ปกติฝ่ายนั้นจะมาถามหาของก่อนก็ตามที แต่นี่สองวันก็ยังเงียบ เงียบมาก เงียบไปเฉยๆ เสมือนหายตัวไปจากโลกใบนี้ พอคิดจะเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน แบมแบมก็รู้สึกเสียศักดิ์ศรีขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล สุดท้ายก็ได้แต่ขยี้หัวให้กับความงี่เง่าของตัวเองแล้วโยนโทรศัพท์ใส่กระเป๋าตามเดิม
“แน่ะ แสดงว่าคืนนั้นไม่ได้กลับหอ” ยูคยอมส่งเสียงกระเซ้า
แบมแบมกลอกตา
“โอเคๆ เอาเถอะ เอาที่มึงสบายใจนะเพื่อน” ยูคยอมตบไหล่เขาเบาๆ “แต่มึงหนีความจริงที่ว่าเขาชอบมึงไม่ได้หรอก” หลังจากนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะร่าแล้วรีบไถเก้าอี้ถอยให้พ้นระยะคอนเวิร์ดสีดำเบอร์แปด แต่แบมแบมเร็วกว่า คราวนี้เสียงล้อเสียดสีกับพื้นดังครืดยาว ยูคยอมเกือบหงายหลังตกเก้าอี้ถ้าไม่คว้าขอบโต๊ะไว้ได้ทัน เป็นแรงถีบที่มาจากความหมั่นไส้ล้วนๆ
“กลับไปทำงานเถอะไป๊!”
.
.
มันเป็นเวลาบ่ายสองที่อากาศร้อนกว่าทุกวัน อุณหภูมิน่าจะอุ่นขึ้นสักหนึ่งหรือสององศา อย่างน้อยแบมแบมก็รู้สึกแบบนั้น เขาออกมาเดินอยู่ในโถงคณะกับยูคยอมหลังทำงานเสร็จด้วยความหิวโซ จุดหมายปลายทางคือคาเฟ่ทีเรียใต้ตึกหอสมุด
แบมแบมตรงดิ่งไปยังร้านข้าว ทักทายคุณป้าแม่ครัว สั่งเมนูประจำอย่างชุดข้าวหน้าเนื้อกับซุป ชวนคุยอย่างอัธยาศัยดีระหว่างรอ ไม่เกินสองนาทีก็ได้ถาดที่ใส่ข้าวและกับในปริมาณเยอะเป็นพิเศษจนพูนขอบ เขาจ่ายค่าอาหาร (แน่นอนว่าเป็นเงินที่จกมาจากกระเป๋าสตางค์ของยูคยอม) กล่าวคำขอบคุณแก่หล่อนพร้อมรอยยิ้ม แล้วเดินหาที่นั่ง เลือกมุมเดิมอย่างโต๊ะติดริมกระจก ยูคยอมตามมาทีหลังพร้อมชามบะหมี่ควันฉุย
“ซื้อโกโก้ให้ด้วย” เขาตอบยูคยอมที่ถามว่าจะเอาอะไรที่ร้านน้ำไหม และในตอนที่มันกำลังจะเดินออกไป ทันใดนั้นเขาก็เหลือบไปเห็นบางอย่างตรงทางเข้าเสียก่อน แบมแบมไม่คิดอะไรทั้งนั้นนอกจากเอื้อมมือไปคว้าชายเสื้อของเพื่อน ดึงให้ขยับมาบังตัวเองไว้
ยูคยอมขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ “อะไรของมึงเนี่ย”
ที่สิบสองนาฬิกา แจ็คสัน หวังกำลังผลักประตูเข้ามา
“แบม...”
“อ้าว ยูคยอม”
แจ็คสันที่สังเกตเห็นน้องรหัสของตัวเองยืนหัวโด่อยู่ในร้านก็ไม่ลังเลเลยที่จะเดินมาทางนี้ แบมแบมสบถในใจ แค่เห็นไกลๆ เรื่องเมื่อวันก่อนที่แจ็คสันเจอเขาอยู่ในห้องมาร์คก็ลอยเข้ามา แบมแบมหันรีหันขวาง ชั่งใจว่าจะเผชิญหน้าไปเลยแมนๆ หรือควรมุดลงไปหลบใต้โต๊ะดี สถานการณ์ตึงเครียดมากในความคิด คิมยูคยอมก็เอาแต่ถามและขยับตัวยุกยิก (มึงนี่ไม่เคยให้ความร่วมมือเลยโว้ย!)ขณะที่หนึ่งในคนที่หมายหัวไว้ในแบล็คสิสต์ใกล้เข้ามา
“ไง แบมแบม นั่นมุดลงไปทำอะไรใต้โต๊ะน่ะ”
เพราะมัวแต่ยื้อยุดกับยูคยอม แบมแบมเลยทำได้แค่มุดหัวลงไปใต้โต๊ะในตอนที่แจ็คสันเดินมาถึง เขาสบถด่าเพื่อนในใจ แสร้งทำเป็นว่าหาเหรียญที่ทำตกอยู่สักพักแล้วเงยหน้าขึ้นมาเหมือนไม่มีอะไร เป็นเรื่องธรรมดาสามัญมากๆ ที่จะเจอเขามุดอยู่ใต้โต๊ะ
“อ้าว สวัสดีพี่แจ็คสัน ผมทำเหรียญตกน่ะ” แบมแบมชูเหรียญห้าร้อยวอนให้ดู หันไปหายูคยอม “ไปซื้อน้ำก่อนนะ” เขาชิงพูดขึ้นก่อน ฉกเงินที่เพื่อนกำไว้ในมือและไม่รอช้าที่จะเดินเลี่ยงออกมา
แมนมากแบมแบม
แมนสุดๆ ไปเลย
หลังจากยืนมองพี่สาวร้านขายน้ำทำการชงโกโก้เย็นด้วยความเร็วระดับอ้อยอิ่งตามที่ร้องขอ แบมแบมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เขาจ่ายเงินค่าเครื่องดื่มแล้วกลับไปที่โต๊ะ แจ๊คสันกับยูคยอมยังคงคุยกันอยู่ – ที่มองจากตรงนี้ลักษณะเหมือนการสุมหัวนินทาไม่ก็วางแผนทำเรื่องชั่วมากกว่า – สองคนนั้นหันมายิ้มแป้นเมื่อเขาไปถึง เป็นยิ้มที่คล้ายจะล้อเลียนอยู่สักหน่อย หรือบางทีเขาก็คงหวาดระแวงไปเอง
“ปีสามงานเย๊อะเยอะ นี่ก็โดนโปรเจคถล่มจนตายคาสตูกันหมดแล้ว”
แบมแบมเหลือบมองแจ็คสันที่บ่นให้น้องรหัสของตัวเองฟัง แต่เขามั่นใจและไม่ได้คิดไปเองว่าเห็นคนบ่นแอบเหลือบหางตามาทางเขาแวบหนึ่ง อะไร จะสื่ออะไร มีอะไรก็บอกมาตรงๆ เมื่อกี้เห็นนะเว้ย แหม ไม่ต้องมาทำเป็นบ่นแล้วแอบเหลือบมอง
“เหมือนช่วงชดใช้กรรม ต้องหมกตัวอยู่แต่ในสตู เวลานอนก็แทบไม่มี”
ถ้าแจ็คสันจะหันไปบ่นงุ้งงิ้งกับยูคยอมสองคนแบมแบมก็พอเข้าใจ แต่นี่บ่นเสียงดังแบบฟังดูก็รู้ว่าจงใจให้เขาได้ยินด้วย อันนี้ไม่เข้าใจว่าต้องการอะไร หน้าตาเขาเหมือนอยากรู้มากเลย? ก็เปล่านะ
แล้วแจ็คสันก็หาวพร้อมบิดขี้เกียจด้วยท่าทางโอเวอร์ “ไปล่ะ มาร์คฝากซื้อข้าว ป่านนี้หิวตายไปแล้วหรือยังก็ไม่รู้” ตบบ่ายูคยอมและส่งยิ้มที่คิดว่าดูดีที่สุดให้น้องๆ ทั้งสองอีกหนึ่งที บรรยากาศอบอุ่นจนน่าโบกป้ายไฟ ไวล์ดแอนด์เซ็กซี่กายขยับบีนนี่สีดำให้เข้าที่ก่อนจะเดินจากไปอย่างที่มั่นใจว่าเท่ที่สุดในแผ่นดิน
“เดี๋ยว พี่แจ็คสัน” แบมแบมเรียก “ผมฝากอะไรพี่หน่อยสิ”
เขาลุกไปหาแจ็คสันที่เพิ่งเดินไปได้ไม่ไกล ถอดแจ็คเก็ตตัวนอกที่ใส่อยู่ พับลวกๆ แล้วยื่นให้ “ฝากคืนเสื้อให้เพื่อนพี่หน่อย”
แจ็คสันเลิกคิ้ว “เพื่อนพี่? คนไหนล่ะ?”
แบมแบมเงียบไปอึดใจ “ก็...คนนั้นแหละ เพื่อนพี่อ่ะ”
“ใครล่ะ ดูจุน? ฮิมชาน?” แจ็คสันถามกลับหน้าซื่อ
แบมแบมกลอกตามองสูง เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ อะไรไอ้พี่แจ็คสัน ทำไมมึงจะไม่รู้ว่าพูดถึงใคร ก็ในเมื่อยืนยิ้มแป้นแล้นร่วมเป็นพยานตอนที่เขาโดนบังคับให้ใส่เสื้ออยู่ตรงมุมห้องน่ะ ไม่ต้องมาตีหน้าซื่อไม่รู้เรื่องเลยโว้ย!
“พี่แจ็คสัน” แบมแบมพูดเสียงเรียบ
แจ็คสันหัวเราะ “เอาไปคืนมันเองสิ”
“พี่ไม่รับฝากครับน้อง เสื้อใครก็เอาไปคืนเจ้าของเขาเอง” แจ็คสันว่า “อีกอย่างนะ มาร์คมันต้องการกำลังใจ แบมไปหามันเองน่ะดีแล้ว” พูดจบก็ตบไหล่เขาเบาๆ แล้วส่งสายตากับรอยยิ้มล้อเลียนมาให้ก่อนจะเดินจากไปด้วยท่าทางที่คิดเอาเองว่าเท่มากเช่นเดิม
เขามองเสื้อในมือ
เผาทิ้งแม่งเลยดีไหม
แบมแบมพาดแจ็คเก็ตไว้ที่แขน ดื่มด่ำกับรสชาติเข้มข้นของโกโกเย็น(ที่อร่อยเป็นพิเศษเพราะเป็นของฟรี)ในยามบ่ายที่ลมพัดเอื่อยๆ ขณะเดินกลับไปยังตึกสตูดิโอ คลอด้วยเสียงบ่นกระปอดกระแปดของยูคยอมที่มีให้ได้ยินตลอดทาง เอาแต่บ่นที่เขาซื้อนมเย็นมาให้ทั้งที่มันอยากกินชาเขียว เออ ขอโทษได้ไหมล่ะ ผิดเองแหละที่ไปซื้อแล้วไม่ถามก่อน พอไปยืนตรงหน้าเคาน์เตอร์แล้วมันนึกออกแต่นมเย็นนี่หว่า
เดี๋ยว หยุดเลย นี่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับมาร์ค ต้วน ไม่ต้องโยง
แบมแบมปล่อยให้ยูคยอมบ่นจนกว่ามันจะพอใจและหยุดไปเอง ดื่มด่ำกับโกโก้ต่อไปอย่างไม่รู้สึกรู้สา จนเมื่อพวกเขาเลี้ยวเข้ามาในโถงทางเดินในอาคาร แบมแบมก็เจอเข้ากับใครบางคน
มาร์ค ต้วน
คนๆ นั้นกำลังยืนคุยอยู่กับสาวนางหนึ่งตรงระหว่างทางเดินไปห้องสตูปีสอง ท่าทางดูสนุกสนานเพราะเห็นหัวเราะกันกระหนุงกระหนิงงุ้งงิ้งฟีลลิ่งทุ่งดอกไม้บานยามเช้า ประหนึ่งว่ามีกันอยู่สองคนบนโลก
อย่า อย่าได้คิดอะไรไร้สาระประเภทว่าแบมแบมหึงไอ้พี่นั่นเชียว มันจะไปคุยกับใครไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องสนใจเสียหน่อย เออ แต่แบบ แม่งขวางทางว่ะ จะคุยกันก็ไปยืนหลบๆ หน่อยได้ป่ะวะ รู้จักพื้นที่สาธารณะกันไหม เล่นยืนครองทางเดินแบบไม่เผื่อแผ่ให้คนอื่นเขาสัญจรกันเลย แล้วไหนแจ็คสันบ่นว่าปีสามงานเยอะ เวลาจะนอนแทบไม่มี แต่มีเวลาม่อสาวเหรอวะ แล้วจากที่เห็นหน้าตาก็ดูชื่นบานดีออก ไม่เห็นดูเหมือนใกล้ตายอย่างที่ว่า
ย้ำอีกทีว่าไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งนั้น
ไหนๆ เจอก็ดีแล้ว จะได้คืนเสื้อให้เลย
แบมแบมเดินเข้าไป
หนึ่งร้อยเมตร
ห้าสิบเมตร
สิบเมตร
...
“ขวางทางว่ะ”
เดินผ่าตรงกลางระหว่างสองคนนั้น ไม่ลืมที่จะเหวี่ยงเสื้อที่ถือเตรียมไว้คืนให้เจ้าของแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็วปานพายุโดยไม่สนอะไรทั้งสิ้น ท่ามกลางสายตางุนงงของมาร์คกับผู้หญิงที่เขาเพิ่งหน้าชัดๆ ว่าคือเพื่อนร่วมรุ่นคนสวยอย่างเบซูจี และยูคยอมที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามหลังมา
“หึงเขาไง?” เหมือนรอจังหวะนี้อยู่ ยูคยอมเริ่มต้นด้วยคำถามสร้างสรรค์สังคมทันทีที่พ้นประตูเข้ามา
เขาหันไปทำหน้าเบื่อใส่เพื่อน “ก็พูดอยู่ว่าขวางทาง”
“เหรอ แต่หน้าตาหงุดหงิดแบบเห็นได้ชัดขนาดนี้ ขวางทางหรือขวางหูขวางตากันแน่ครับ”
“ถ้าจะไม่พูดอะไรที่จรรโลงใจก็หุบปากเถอะไป” พร้อมง้างขาเตรียมฟาดแข้งใส่อย่างเหลืออดเหลือทน
พูดจริงๆ เขาไม่ได้หึงเสียหน่อย
ก็แค่...รู้สึกไม่ชอบใจ
.
.
.
“วันนี้จะนอนคณะรึไง”
เสียงของใครคนหนึ่งดังทะลุเข้ามาในห้วงความคิด แบมแบมชะงักมือที่หมุนปากกาเล่นระหว่างนั่งทอดอารมณ์เรื่อยเปื่อย นอกหน้าต่างฟ้ามืดแล้ว เบนสายตากลับมายังคนถาม ยองแจกับยูคยอมยืนอยู่ข้างโต๊ะ สะพายกระเป๋าเตรียมพร้อมกลับบ้าน
“คงงั้น งานยังไม่ถึงไหนเลย พวกมึงกลับก่อนก็ได้” เขาไถหน้าลงกับโต๊ะทำงานรกๆ หลับตาลงพลางถอนหายใจ โปรเจคสตูดิโอดีไซน์ทั้งวันมีความคืบหน้าเพิ่มมาแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ รู้สึกใกล้เป็นบ้าเต็มทนเพราะคิดงานไม่ออก สมองไม่ปลอดโปร่งเอาเสียเลย น่าหงุดหงิดชะมัด
เพราะงั้น เลยไม่ทันได้เห็นการถกเถียงทางสายตาระหว่างยูคยอมกับยองแจ
“เออ งั้นพวกกูกลับแล้วนะ มึงอยู่ดึกก็ระวังมีแขกมาเยี่ยมล่ะ”
“เชี่ยนี่ปากเสีย รีบกลับไปเลยไป”
ยองแจหัวเราะสนุกสนานพลางเอี้ยวตัวหลบให้พ้นระยะที่ขาของแบมแบมจะยันถึง ไม่ลืมที่จะกำชับด้วยความเป็นห่วงจริงๆ อีกรอบก่อนออกจากห้องไป พอเพื่อนทั้งสองไปแล้ว ทั้งสตูดิโอก็เหลือแค่เขากับเพื่อนร่วมสาขาอีกสองสามคนเท่านั้น
แบมแบมนั่งเท้าคางกับโต๊ะ มองโครงร่างงานบนกระดาษแล้วผ่อนลมหายใจออกมาอีกครั้ง ลายเส้นยุ่งเหยิงดูสับสน ตัดกันไปมาเป็นรูปร่างแปลกๆ ราวกับคนวาดมีเรื่องกวนใจ สุดท้ายกระดาษแผ่นนั้นก็ถูกขยำ ใส่อารมณ์กับการปามันลงถังขยะ หงุดหงิดชะมัดเลย ให้ตายสิ เขาสบถในใจ ขยี้ตาด้วยความล้าแล้วเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
“เฮ้ย แบม กลับล่ะนะ”
หันไปโบกมือให้คิมฮันบินเพื่อนร่วมสาขาที่อยู่เป็นสองคนสุดท้ายกับเขา บรรยากาศวังเวงขึ้นอีกสิบเท่าเมื่อทั้งห้องเหลือตัวเองอยู่คนเดียว สตูดิโอปราศจากคนเงียบมากจนได้ยินเสียงครางหึ่งของเครื่องปรับอากาศ แบมแบมหันไปมองนาฬิกาดิจิตอลบนผนังและพบว่าเที่ยงคืนกว่าแล้ว เขาเลยตัดสินใจทำงานต่ออีกสักพักแล้วค่อยกลับ
จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงแกรกเหมือนมีอะไรตก ใกล้และชัดเจนจนเขาต้องชะงัก มั่นใจว่าไม่ได้หลอนไปเองแน่ เหลียวหน้าเหลียวหลังมองไปรอบห้องโล่งๆ ที่ไม่มีใครแล้วก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาตามสันหลังเสียเฉยๆ แบมแบมหันกลับมา ไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากหัว ไม่มีอะไรสักหน่อย เขาคิดแล้วควานหาโทรศัพท์บนโต๊ะ เปิดเพลงผ่อนคลายความเงียบน่าขนลุก
“เชี่ยไรวะ!”
เขาสบถลั่นเมื่อไฟในห้องดับพรึบ รอบตัวมืดสนิท สมองเริ่มจินตนาการถึงสิ่งลึกลับในความมืด หลั่งไหลออกมาเหมือนก๊อกแตก แบมแบมคลำสะเปะสะปะหาโทรศัพท์ แต่แสงจากหน้าจอไม่สว่างพอที่จะทำให้รู้สึกน่ากลัวน้อยลง เขาเลยเก็บของใส่กระเป๋า เหลือบซ้ายแลขวามองไปในความเวิ้งว้างดำมืดและไม่รอช้าที่ก้าวออกมา
ถึงคณะจะตัดไฟเมื่อถึงเวลาปิดตึกแต่ตึกสตูดิโอไม่เคยตัดไฟกะทันหัน แต่นี่ ณ ตอนนี้ แม้กระทั่งโถงทางเดินก็มืดสนิท เดาได้ว่าคงไฟดับและดูเหมือนเครื่องปั่นไฟไม่ทำงาน แบมแบมกำสายกระเป๋าแน่นขณะเดินฝ่าความมืดไปเงียบๆ แสงจากจอโทรศัพท์ส่องให้เห็นทางเลือนราง น่าประหลาดที่ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน ใจตกไปอยู่ตาตุ่มครั้งแรกตอนเลี้ยวผ่านห้องกระจกเก็บโมเดลที่มีหุ่นคนตั้งโชว์อยู่ และครั้งที่สองเมื่อจู่ๆ ก็มีมือคว้าหมับที่ไหล่
“เฮ้ย!!!”
แบมแบมสะดุ้งเฮือก ร้องลั่น สะบัดปัดป้องตามสัญชาตญาณ เขาไม่ใช่คนกลัวผีแต่การสู้กับสิ่งที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นไม่ใช่หนทางพิสูจน์ความแมน เขาเลยไม่ลบหลู่ ที่ร้องเสมือนตุ๊ดแตกเมื่อกี้มันเกิดขึ้นจากความตกใจต่างหาก ย้ำอ่อน ว่าตกใจ และถึงแม้จะหวาดหวั่นอยู่สักหน่อยแต่แบมแบมก็หันกลับไป ภาวนาไม่ให้เจออะไรที่สยองกับจิตใจมากเกินไปนักขณะยกจอโทรศัพท์ขึ้น แสงสลัวสะท้อนใบหน้าในความมืดให้เห็นรางๆ
“แบมแบม?”
ใบหน้าในแสงสลัวนั้นถามกลับ เลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ...มาร์ค ต้วน
ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “โผล่มาซะตกใจหมด” เขาขมวดคิ้วใส่อีกฝ่ายและพึมพำ
“อยู่ทำอะไรดึกดื่นคนเดียว”
“ทำงาน” เขาตอบและหมุนตัวกลับ เดินออกมาจากตรงนั้นก่อนที่มาร์คจะได้พูดอะไร ได้ยินเสียงฝีเท้าตามหลังมา แต่ไม่มีบทสนทนา เพียงแค่เดินมาด้วยกันเงียบๆ ตลอดโถงทางเดินมืดๆ จนถึงประตูใหญ่ของตึก ออกมายืนที่ชานพักบันไดด้านหน้า แบมแบมสูดหายใจเอาอากาศเย็นๆ เข้าเต็มปอดหลังเดินอยู่ในอาคารที่ทั้งร้อนทั้งมืด สมองปลอดโปร่งขึ้นจากที่อึดอัดอยู่นาน
“ดึกแล้ว เดี๋ยวไปส่ง” เสียงมาจากคนที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ไม่เป็นไร” เขาว่าและไม่รอฟังคำโต้แย้ง
แบมแบมก้าวลงบันไดหน้าตึกทีละสองขั้นอย่างเร่งรีบ เวลาตีหนึ่งกว่าบนนาฬิกาข้อมือถูกยกมาเป็นข้ออ้างว่าต้องรีบกลับหอให้ตัวเองสบายใจ ว่าเขาแค่จะรีบกลับ เขาเหนื่อยและอยากนอน เขาไม่ได้กำลังหนีอะไรทั้งนั้น
ไฟทางเดินสีส้มส่องสว่าง แบมแบมเดินฝ่าลมเอื่อยเฉื่อยไม่เร่งร้อน แล้วก็สะดุดใจเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง พอเงี่ยหูฟังดีๆ ก็มีเสียงที่ฟังคล้ายโซ่จักรยานหมุนแกรกรากคลอกับจังหวะฝีเท้านั้น แวบหนึ่งที่เกิดความรู้สึกบอกไม่ถูกขึ้นในใจแต่ก็ปัดมันออกไปอย่างรวดเร็ว แสร้งทำเป็นไม่สนใจและเดินต่อไปเรื่อยๆ
แต่สุดท้ายก็ห้ามตัวเองไม่ได้ เขาเหล่มองอย่างที่คิดว่าแนบเนียนที่สุด มาร์คจับคอจักรยานเดินจูงตามหลังมาเงียบๆ ใบหน้าใต้แสงสีส้มนวลตาคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่สักอย่าง หรือไม่ ก็คงมีเรื่องวุ่นวายใจ ผิดปกติวิสัยกวนประสาทที่ชอบทำนักหนา
ความอึดอัดแปลกประหลาดฟุ้งในบรรยากาศ
เขาไม่ชอบเอาเสียเลย
“มีอะไรกับผมหรือเปล่า”
แบมแบมตัดสินใจหันกลับไปและถาม หลังจากปล่อยให้ความอึดอัดก่อกวนจิตใจจนถึงระดับที่ทนไม่ไหว เสียงแกรกรากของโซ่จักรยานหยุดลง มาร์คที่เดินตามมาเงียบๆ ดูตกใจกับการที่เขาหยุดเดินกะทันหัน ต่างฝ่ายต่างจ้องหน้ากันและกันไร้คำพูด ก่อนที่ร่องรอยความวุ่นวายใจบนใบหน้าอีกฝ่ายจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม
“นึกว่าจะไม่ยอมพูดกับพี่ซะแล้ว”
มาร์ค ต้วนต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ถึงได้เอาแต่ยิ้มกว้างใส่กันแบบนี้
“ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้พูดกับพี่หรือไง” ยิ้มบ้าอะไรหนักหนา ปากจะฉีกแล้ว “มีอะไร”
“เดี๋ยวปั่นจักรยานไปส่ง”
“ไม่เป็นไร กลับเองได้ ปั่นไปปั่นมาเหนื่อยเปล่าๆ”
“อยากไปส่ง”
คำพูดตรงๆ กับแววตาไม่ปิดบังความรู้สึก (จริงๆ มันไม่เคยพยายามปิดหรอก แสดงออกตรงไปตรงมาตลอด) เหมือนมีก้อนหินพุ่งชนเข้าจังเบ้อเร่อ มึนงงทำอะไรไม่ถูก ความรู้สึกอธิบายไม่ได้กลับมาอีกครั้งและครั้งนี้คล้ายมีบางอย่างในอกกำลังพองโต เขาหลุบตามองพื้นคอนกรีต กระพริบตาให้รอยแยกเล็กๆ ที่ทอดตัวเป็นเส้นตรงแน่วเหมือนขีดขึ้นด้วยหมึกสีดำบนกระดาษสีเทาซีด ขีดคั่นกลางระหว่างเขากับมาร์คพอดีอย่างน่าประหลาดใจ
เขามองเส้นแบ่งบนทางเท้า
แล้วสงครามก็ก่อตัวขึ้นในหัว
ความทรงจำที่มีอีกฝ่ายฉายวนซ้ำไปซ้ำมาราวกับไม่มีวันจบ ความรู้สึกทับซ้อน สับสน เหมือนเชือกที่พันกันยุ่งเหยิง ชวนให้ขุ่นเคืองใจเมื่อยิ่งแก้ปมก็ยิ่งพันกันจนใกล้เป็นเงื่อนตาย แต่ในระหว่างที่ไล่แก้ปมเชือกก็เกิดความคิดขึ้นว่าช่างหัวมันสิ ถ้ามันพันกันแล้วจะเป็นไรไปล่ะ? และยอมให้เกิดความรู้สึกยินดีที่มันเป็นแบบนั้น
เขาปล่อยให้ความรู้สึกย้อนแย้ง จ้องมองเส้นตรงสีหม่นบนพื้น รองเท้าคอนเวิร์ดสีดำที่เลยหลังเส้นนั้นไป กางเกงยีนส์ เสื้อคลุมสีเทา รอยยิ้มบนริมฝีปากและเจือในแววตา สิ่งหนึ่งที่มาร์คไม่เคยรู้และเขาไม่อยากให้รู้ เปรียบเทียบว่ามีกำแพงและรั้วล้อมรอบ ตอนนี้อีกฝ่ายก็อยู่ชิดติดริมรั้ว ใกล้อย่างน่ากลัว อีกนิดเดียวก็จะเดินมาเคาะประตูหน้าบ้านแล้วเพียงแค่ข้ามรั้วมา
“ว่าไง แค่ขึ้นมาซ้อนท้ายเนี่ย คิดนานจัง”
ได้ยินความขบขันเจือในน้ำเสียง เขาหลบตาอีกฝ่าย มองที่เส้นแบ่งตรงปลายเท้าตัวเองอีกครั้ง สงครามเป็นไปดุเดือด, คำตอบแบ่งออกเป็นสองทาง, จะปลอดภัยโดยยืนอยู่ที่เดิมหรือจะลองก้าวไปยืนอีกฝั่ง, โดยที่ตัวเองก็รู้ดีถึงอันตรายที่อยู่หลังเส้นนั้น
สงครามยุติลงเมื่อเสียงเล็กๆ ในหัวให้คำตอบ
“ไปก็ไปสิ”
และเขาก็ถอยหลังกลับไม่ได้แล้วด้วย
เบซูจีคือน้องรหัสของมาร์ค, นั่นคือสิ่งที่สรุปได้จากคำบอกเล่าของอีกฝ่ายขณะนั่งซ้อนท้ายจักรยานกลับหอ (ซึ่งเขาไม่ได้เป็นฝ่ายถามอะไรเลย เปล่าเลยสักนิด จู่ๆ มาร์คก็โพล่งขึ้นมาเอง) ถึงคณะสถาปัตย์จะมีนิสิตนักศึกษาไม่เยอะอย่างอาณาจักรวิศวะหรือดินแดนมหัศจรรย์ของฝั่งคณะสายวิทย์ แม้จะเห็นหน้าเห็นตารู้จักกันทั่วถึงก็ไม่ได้หมายความว่าต้องจดจำสายรหัสของเพื่อนร่วมรุ่นได้ด้วย และเขาเองก็ไม่ได้สนิทกับซูจีขนาดนั้น
“แวะกินอะไรก่อนไหม”
“ไม่อ่ะ กลับเลยดีกว่า”
มาร์คถามขณะปั่นจักรยานผ่านถนนหลังมหา’ลัยที่ยังมีร้านอาหารเปิดอยู่ แต่ตอนนี้เขาง่วงมากในระดับที่สามารถล้มตัวลงนอนได้ไม่เกี่ยงสถานที่ แม้แต่บนเบาะจักรยานก็เถอะ แต่ถ้าไอ้พี่นี่เกิดอยากกวนตีนขึ้นมาด้วยการเลี้ยวเข้าร้านไหนสักร้านแล้วบอกว่าตัวเองหิว เขาจะตามไปหลับใส่ให้ดูตอนกินจริงๆ ด้วย แต่จักรยานก็แล่นฉิวผ่านไปไม่มีท่าทีว่าจะชะลอหรือจอดที่ไหน
เสียงเซ็งแซ่ค่อยๆ เบาลงจนเงียบสงัด เสียงหมุนวงโซ่จักรยานฟังคล้ายเพลงกล่อมไร้ชื่อ เขาปาดน้ำตาที่มาจากการหาว แว่วเสียงเรียกชื่อแผ่วเบาลอยมาในสายลม ขานรับง่วงงุนในลำคอ
“จำที่ถามวันนั้นได้ไหม” เสียงนั้นเงียบไปพักหนึ่ง คล้ายกำลังเลือกสรรคำให้เหมาะสม
“พี่ไม่รีบหรอกนะ”
เขาเงียบรอฟังแต่อีกฝ่ายไม่พูดอะไรต่อ เหมือนจะปล่อยให้ตีความนัยยะที่แฝงอยู่ในประโยคเอาเอง แต่แบมแบมคิดว่าเขาเข้าใจ เสียงทุ้มต่ำกับคำถามดังก้องสะท้อนในหูไร้ที่มา ขณะเหม่อมองแผ่นหลังตรงหน้า ที่จริงมันไม่ยากหรอกสำหรับคำตอบของคำถามนั้น เวลาผ่านไปมันก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนเขาเองก็โกหกไม่ได้ เพียงแต่เขาอยากให้มันชัดมากกว่านี้ ชัดจนสามารถสัมผัสจับต้องได้
“ถ้าไม่รีบอย่างที่ว่าจริงๆ”
ไล่สายตาตามแนวของเส้นด้ายที่ปักแน่นบนผ้าสีเทา นึกถึงเส้นแบ่งที่ตัดสินใจลองก้าวข้ามไป
“ขอเวลาหน่อยแล้วกัน”
Talk______________________________________________________
ในที่สุดก็มาถึงครึ่งทางแล้ววว เย้ /วิ่งชูมือรอบห้อง
ครึ่งเรื่องแล้วแต่ยังไปไม่ถึงไหนเลย *ปาดน้ำตา
แต่คนซึนของเราเขามีพัฒนาการทางความรู้สึกขึ้นเยอะแล้วนะคะ เยอะเท่าที่นางจะเยอะได้ ๕๕๕๕
เป็นการค้างเติ่งที่น่าเกลียดมาก หาเวลาเขียนต่อไม่ได้เลยทิ้งไว้นานมาก ขอโทษจริงๆ ค่ะ ;__;
และอีกอย่าง โน้ตบุ๊คเสีย มีคอมใช้ก็ช่วงหยุดกลับบ้านนี่แหละค่ะ ฮือออ
ในพาร์ทที่เหลือ พอจะเข้าใจสิ่งที่ต้องการจะสื่อมั้ย?
แบมแบมค่อนข้างสับสนลักลั่นย้อนแย้งในตัวเองพอสมควร ๕๕๕๕
ถ้ามีปัญหา สงสัย อยากถาม ข้องใจ คิดเห็นยังไงบอกได้นะคะ
จะทิ้งคอมเมนต์ไว้ในบทความหรือถามในทวิตเตอร์ เชิญช่องทางที่ท่านสะดวกค่ะ
ขอบคุณที่อ่านจนจบและเจอกันตอนหน้าค่ะ J
ความคิดเห็น