ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [GOT7] LOST CONTROL (MARKBAM)

    ลำดับตอนที่ #15 : : the fifteenth

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.39K
      45
      29 ต.ค. 60

      
     

    15

     

     

     

              “แบม...

              “อะไร 

              “โหย อย่าทำเสียงเย็นชางี้ดิวะ

     

              คิมยูคยอมส่งเสียงงุ้งงิ้งมาจากโต๊ะข้างๆ และเอาแต่เขย่าแขนเขาไม่หยุดหย่อน แบมแบมคิดว่าเพื่อนสนิทใกล้เคียงกับการคอสเพลย์เป็นความน่ารำคาญเข้าไปทุกที ดูจากการที่มันพยายามทำสิ่งที่เรียกว่าง้อด้วยการทำตัวง้องแง้งแบบที่คิดว่าน่ารักที่สุดในโลกใส่เขา

     

              “เลิกงอนกูเหอะนะ น้าาา แบมแบมเหล่มองเพื่อนคนดีคนเก่งของตัวเองอย่างระอาใจ พ่นลมออกจากจมูกเมื่อเห็นมันเบะปากทำหน้าจะร้องไห้

     

              “ไม่ได้งอน

     

              “ไม่ได้งอนแต่หน้าเป็นตูดงี้เหรอ ไม่เอาดิแบม กูไม่ได้จะทิ้งมึงจริงๆ นะ สาบาน

     

              ยูคยอมพูดพร้อมยกมือขึ้นชูสามนิ้วพร้อมกล่าวว่าถ้าเรื่องที่มันพูดเป็นเรื่องโกหกขอให้ไอดีคาทกสาวๆ ที่มันสะสมเอาไว้หายทั้งหมดด้วยสีหน้าจริงจังจนน่าขำ แบมแบมเหล่มองและต้องอดทนอย่างมากที่จะไม่หลุดเสียงหัวเราะออกมา เขาหันกลับ ยักไหล่ แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วลงมือเขียนรายละเอียดลงในแผ่นงานสเก็ตช์ต่อ

     

              งอนมากเป็นตุ๊ดนะมึง

     

              “เชี่ยนี่เก้าอี้ล้อเลื่อนถอยหลังดังครืดด้วยแรงส่งจากคอนเวิร์ดสีดำเบอร์แปด

     

              ยูคยอมไถเก้าอี้กลับมาที่เดิม พูดเสียงอ่อย เย็นนี้กูเลี้ยงข้าวก็ได้อะ

     

              แบมแบมพ่นลมหายใจพรืด หมุนเก้าอี้ไปหาเพื่อน มองหน้าหงอยๆ หางลู่หูตกของมันแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ก็ได้ ก็ได้ เขาขี้เกียจเก๊กหน้าบูดเต็มที ถึงแม้เหตุผล(ที่มันบังอาจทิ้งเขาไว้กับมาร์คเมื่อคืนก่อน)ที่มันเพียรอธิบายให้ฟังจะไม่เข้าท่า แต่เห็นแก่ความพยายามที่ง้อมาตั้งแต่เมื่อวาน รวมทั้งความจริงที่ว่าคิมยูคยอมในโหมดนี้น่ารำคาญเป็นสิบเท่าของโหมดปกติ

     

              “สองอาทิตย์

     

              “สองอาทิตย์ก็สองอาทิตย์

     

              “โอเค ตามนั้น ไม่งอนแล้วก็ได้

     

              ไม่ได้เห็นแก่ของฟรีนะ แต่เห็นแก่กิน

     

              แบมแบมหัวเราะลั่นในใจ บอกได้เลยว่ามันจะต้องเป็นสองอาทิตย์ที่ชีวิตดีและฟินมากแน่ๆ ไม่ต้องห่วงกระเป๋าตังค์ของคิมยูคยอมหรอก ไอ้เพื่อนบ้านรวย(ฉิบหาย)นี่ไม่มีวันสะทกสะท้านเรื่องกำลังทรัพย์ตราบใดที่ห้างดังแถวถนนคนรวยยังไม่เจ๊งหรือพ่อมันยังไม่มีความคิดจะขายกิจการล้านแปดทิ้ง

     

              ห่วงเรื่องบรรดาสาวในสต๊อกของมันดีกว่า

              สองอาทิตย์นี้มึงจะไม่ได้ไปม่อใครที่ไหนแน่ เตรียมตัวอยู่ติดกับกูทั้งสัปดาห์ได้เลย

     

              “รู้ตัวไหมว่าตอนนี้หน้ามึงชั่วมาก

     

              แบมแบมหันไปยิ้มบางๆ อย่าห่วงเลย ยังไงก็ได้ไม่ถึงครึ่งของมึงหรอก แล้วหุบยิ้มฉับ

     

              เขาหันหนียูคยอมที่พุ่งมาจับแขนแกว่งไปแกว่งมา โวยวายให้เลิกงอนได้อย่างน่าอับอายสายตาเพื่อนร่วมห้องหลายสิบชีวิตที่มองว่าเมื่อไหร่มึงจะหยุด เขาตัดรำคาญด้วยการดึงแขนหนี แต่ก่อนที่จะได้ทำแบบนั้น เจ้าเพื่อนตัวโตก็เงียบไปเสียเฉยๆ แบมแบมสังเกตเห็นสายตาแปลกๆ ของเพื่อนที่จ้องมองแขนเขาเข้าเสียก่อน หัวคิ้วขมวดราวกับเห็นสิ่งผิดปกติ อะไรล่ะ เขามีแขนงอกเพิ่มขึ้นมาหรือไง

     

              “มีไร มองทำไม

     

              แบมแบมถามกลับเสียงห้วน รู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมาตงิดๆ แล้วก็ใจหายวาบเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ เขาชักแขนกลับ หมุนเก้าอี้หันเข้าหาโต๊ะทำงานเหมือนเดิม พยายามเลี่ยงการสบตาเพื่อนแบบไม่ให้มันผิดสังเกต แต่ยูคยอมก็ยังจ้องอยู่อย่างนั้น ส่วนเขาก็ได้แต่ขยับตัวอย่างอึดอัดอยู่บนเก้าอี้

     

              “แปลกว่ะ

     

              เอาแล้วไง

     

              “มึงเอาเสื้อใครมาใส่

     

              เหี้ยละ...

     

              “อะไร เสื้อใครล่ะ ก็เสื้อกูไงเขาย้อนกลับ ขยับเบี่ยงแขนหนีสายตาเพื่อนขี้เสือกด้วยความลืมตัวว่ามีแต่จะยิ่งทำให้ผิดสังเกต

     

              ยูคยอมทำหน้าไม่เชื่อ

     

              “เสื้อมึงอะไรล่ะ ก็เห็นอยู่ทนโท่ว่าไม่ใช่ แค่รหัสรุ่นสองตัวแรกที่ปักบนแขนเสื้อกูก็รู้แล้ว

     

              ริมฝีปากเผยอค้างและมีเพียงเสียงเอ่ออ่าโง่ๆ หลุดออกมา แบมแบมไม่เคยรู้สึกจนตรอกและอยากหายตัวได้ขนาดนี้มาก่อน ก็คิดว่าเสื้อแจ็คเก็ตของคณะเป็นอะไรที่ไม่น่าจะสะดุดตาผู้คนที่สุดแล้ว เพราะเด็กคณะนี้มันมีใส่กันแทบทั้งนั้น สลับกันใส่มั่วก็ไม่มีใครรู้ถ้าไม่ดูรหัสประจำตัวบนแขนเสื้อ แต่ใครจะไปรู้วะ ว่ามนุษย์ตาเซ่ออย่างคิมยูคยอมจะสังเกตเห็นไอ้เลขแปดหลักนี่เข้าจนได้ ขอปรบมือให้ มึงนี่เหนือความคาดหมายไปอีก

     

              รู้แบบนี้ยัดเก็บไว้ในล็อกเกอร์แต่แรกก็ดี

     

              “โหย นี่พัฒนาถึงขั้นแลกเสื้อกันใส่แล้วเหรอ

     

             “พูดอะไรของมึงเขาตอบและหยิบปากกาสีฟ้าที่วางอยู่ใกล้มือขึ้นมาหมุนเล่นก่อนจะวางลงในกล่อง หยิบแท่งสีฟ้าอ่อนที่อยู่ใกล้กันขึ้นมา หมุนเล่น แล้ววางลงในกล่องข้างแท่งเมื่อกี้ และทำกับแท่งอื่นๆ เช่นเดียวกัน

     

              อันที่จริงการวางโคปิคมาร์กเกอร์ไล่โทนสีใส่ลงในกล่องไม่ได้น่าสนใจขนาดนั้น แบมแบมก็แค่แกล้งทำเป็นว่ามันน่าสนใจมากกว่าการนั่งตอบคำถามไร้สาระของยูคยอม ซึ่งหลังจากได้คำตอบที่ไม่น่าพอใจ เขาก็เห็นจากทางหางตาว่ามันเบ้ปาก

     

              “ไม่ต้องอ่ะ ก็เห็นอยู่เนี่ยว่าเสื้อพี่มาร์ค

     

              รู้ได้ไง อาจเป็นของดูจุนก็ได้ ปากกาในกล่องที่ไล่เรียงสีเสร็จเรียบร้อย ถูกหยิบมาวางบนโต๊ะอีกครั้งและแบมแบมก็ยังไม่สบตาเพื่อนเช่นเดิม

     

              “แล้วเขาจะให้มึงทำไม เขาก็ต้องให้แฟนเขาดิ มึงนี่ชอบแถอะไรโง่ๆยูคยอมส่ายหัวอย่างเอือมระอาเสียเต็มประดา

     

              แบมแบมล่ะเกลียดมนุษย์ที่ชื่อคิมยูคยอมจริงๆ

     

              ไม่รู้เหรอ กูกับพี่รหัสออกจะรักกัน

     

              “ก็คงไม่เท่ามาร์ค ต้วนที่ตามจีบมึงอยู่หรอก

     

              โดนย้อนกลับมาแบบนี้แบมแบมถึงกับเงียบ เขาเม้มปาก กลอกตาลุกลี้ลุกลน และขมวดคิ้วหงุดหงิดใส่เพื่อนที่ยื่นหน้าเข้ามายิ้มล้อเลียนอย่างได้ที แต่ความหงุดหงิดบนใบหน้าไม่มีผลอะไรกับคนอย่างยูคยอม แถมยังหัวเราะชอบอกชอบใจเสียยกใหญ่เมื่อเห็นว่าเขาไม่ออกอาการต่อต้านหรือปฏิเสธหัวชนฝาเหมือนทุกที

     

              “เฮ้ยๆ ไม่ปฏิเสธด้วยเว้ยยูคยอมหัวเราะคิกคัก แล้วสรุปว่านี่เสื้อพี่มาร์ค?

     

              แบมแบมชั่งใจอยู่สักพัก ก่อนจะถอนหายใจ “…เออ

     

              “เอาจริง? โห นี่แสดงความเป็นเจ้าของกันอย่างงี้เลย

     

              แบมแบมหันขวับ

     

              “เชี่ยเหอะ แค่ให้ยืมใส่กลับหอเว้ย

     

              เจ้าขงเจ้าของอะไร บ้าบอ คิมยูคยอมแม่งเพ้อเจ้อ

     

              อันที่จริงจะบอกว่าเสื้อตัวนี้ให้ยืมใส่ก็ไม่ถูก เพราะมาร์ค ต้วนมันบังคับให้ใส่ต่างหาก อ้างว่าตัวเขาเหม็นเหล้าอย่างนั้นอย่างนี้แล้วก็โยนแจ๊คเก็ตบ้าบอนี่มาให้ บอกให้ใส่ทับชุดเดิมไว้ ไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่าทำเพื่ออะไร แต่ถ้าเขาไม่ยอมใส่มันก็ไม่ยอมให้กลับ ประสาทไหมมึง เถียงกันได้สักพัก ด้วยความรำคาญเลยยอมใส่ไปให้หมดเรื่องหมดราว

     

              เขาตั้งใจจะคืนเสื้อตั้งแต่เมื่อวานแล้วก็ลืม เจ้าของเสื้อก็หายหัวไปด้วยทั้งที่ปกติจะหาเรื่องโผล่หน้ามาให้เห็นเป็นประจำ วันนี้เลยใส่ตั้งแต่ออกจากหอเพราะกลัวลืมจัด แต่ก็ล่วงเข้าตอนบ่ายแล้ว เขาก็ยังไม่เจอตัวมาร์ค แม้ปกติฝ่ายนั้นจะมาถามหาของก่อนก็ตามที แต่นี่สองวันก็ยังเงียบ เงียบมาก เงียบไปเฉยๆ เสมือนหายตัวไปจากโลกใบนี้ พอคิดจะเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน แบมแบมก็รู้สึกเสียศักดิ์ศรีขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล สุดท้ายก็ได้แต่ขยี้หัวให้กับความงี่เง่าของตัวเองแล้วโยนโทรศัพท์ใส่กระเป๋าตามเดิม

     

              แน่ะ แสดงว่าคืนนั้นไม่ได้กลับหอยูคยอมส่งเสียงกระเซ้า

     

              แบมแบมกลอกตา

     

              “โอเคๆ เอาเถอะ เอาที่มึงสบายใจนะเพื่อนยูคยอมตบไหล่เขาเบาๆแต่มึงหนีความจริงที่ว่าเขาชอบมึงไม่ได้หรอกหลังจากนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะร่าแล้วรีบไถเก้าอี้ถอยให้พ้นระยะคอนเวิร์ดสีดำเบอร์แปด แต่แบมแบมเร็วกว่า คราวนี้เสียงล้อเสียดสีกับพื้นดังครืดยาว ยูคยอมเกือบหงายหลังตกเก้าอี้ถ้าไม่คว้าขอบโต๊ะไว้ได้ทัน เป็นแรงถีบที่มาจากความหมั่นไส้ล้วนๆ

     

              “กลับไปทำงานเถอะไป๊!”

     
    .

    .

     

              มันเป็นเวลาบ่ายสองที่อากาศร้อนกว่าทุกวัน อุณหภูมิน่าจะอุ่นขึ้นสักหนึ่งหรือสององศา อย่างน้อยแบมแบมก็รู้สึกแบบนั้น เขาออกมาเดินอยู่ในโถงคณะกับยูคยอมหลังทำงานเสร็จด้วยความหิวโซ จุดหมายปลายทางคือคาเฟ่ทีเรียใต้ตึกหอสมุด

     

              แบมแบมตรงดิ่งไปยังร้านข้าว ทักทายคุณป้าแม่ครัว สั่งเมนูประจำอย่างชุดข้าวหน้าเนื้อกับซุป ชวนคุยอย่างอัธยาศัยดีระหว่างรอ ไม่เกินสองนาทีก็ได้ถาดที่ใส่ข้าวและกับในปริมาณเยอะเป็นพิเศษจนพูนขอบ เขาจ่ายค่าอาหาร (แน่นอนว่าเป็นเงินที่จกมาจากกระเป๋าสตางค์ของยูคยอมกล่าวคำขอบคุณแก่หล่อนพร้อมรอยยิ้ม แล้วเดินหาที่นั่ง เลือกมุมเดิมอย่างโต๊ะติดริมกระจก ยูคยอมตามมาทีหลังพร้อมชามบะหมี่ควันฉุย

     

              ซื้อโกโก้ให้ด้วยเขาตอบยูคยอมที่ถามว่าจะเอาอะไรที่ร้านน้ำไหม และในตอนที่มันกำลังจะเดินออกไป ทันใดนั้นเขาก็เหลือบไปเห็นบางอย่างตรงทางเข้าเสียก่อน แบมแบมไม่คิดอะไรทั้งนั้นนอกจากเอื้อมมือไปคว้าชายเสื้อของเพื่อน ดึงให้ขยับมาบังตัวเองไว้

     

              ยูคยอมขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ อะไรของมึงเนี่ย

     

              ที่สิบสองนาฬิกา แจ็คสัน หวังกำลังผลักประตูเข้ามา

     

              แบม...

     

              อ้าว ยูคยอม

     

              แจ็คสันที่สังเกตเห็นน้องรหัสของตัวเองยืนหัวโด่อยู่ในร้านก็ไม่ลังเลเลยที่จะเดินมาทางนี้ แบมแบมสบถในใจ แค่เห็นไกลๆ เรื่องเมื่อวันก่อนที่แจ็คสันเจอเขาอยู่ในห้องมาร์คก็ลอยเข้ามา แบมแบมหันรีหันขวาง ชั่งใจว่าจะเผชิญหน้าไปเลยแมนๆ หรือควรมุดลงไปหลบใต้โต๊ะดี สถานการณ์ตึงเครียดมากในความคิด คิมยูคยอมก็เอาแต่ถามและขยับตัวยุกยิก (มึงนี่ไม่เคยให้ความร่วมมือเลยโว้ย!)ขณะที่หนึ่งในคนที่หมายหัวไว้ในแบล็คสิสต์ใกล้เข้ามา

     

              “ไง แบมแบม นั่นมุดลงไปทำอะไรใต้โต๊ะน่ะ

     

              เพราะมัวแต่ยื้อยุดกับยูคยอม แบมแบมเลยทำได้แค่มุดหัวลงไปใต้โต๊ะในตอนที่แจ็คสันเดินมาถึง เขาสบถด่าเพื่อนในใจ แสร้งทำเป็นว่าหาเหรียญที่ทำตกอยู่สักพักแล้วเงยหน้าขึ้นมาเหมือนไม่มีอะไร เป็นเรื่องธรรมดาสามัญมากๆ ที่จะเจอเขามุดอยู่ใต้โต๊ะ

     

              “อ้าว สวัสดีพี่แจ็คสัน ผมทำเหรียญตกน่ะแบมแบมชูเหรียญห้าร้อยวอนให้ดู หันไปหายูคยอม ไปซื้อน้ำก่อนนะเขาชิงพูดขึ้นก่อน ฉกเงินที่เพื่อนกำไว้ในมือและไม่รอช้าที่จะเดินเลี่ยงออกมา

     

              แมนมากแบมแบม 

              แมนสุดๆ ไปเลย

     

              หลังจากยืนมองพี่สาวร้านขายน้ำทำการชงโกโก้เย็นด้วยความเร็วระดับอ้อยอิ่งตามที่ร้องขอ แบมแบมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เขาจ่ายเงินค่าเครื่องดื่มแล้วกลับไปที่โต๊ะ แจ๊คสันกับยูคยอมยังคงคุยกันอยู่ ที่มองจากตรงนี้ลักษณะเหมือนการสุมหัวนินทาไม่ก็วางแผนทำเรื่องชั่วมากกว่าสองคนนั้นหันมายิ้มแป้นเมื่อเขาไปถึง เป็นยิ้มที่คล้ายจะล้อเลียนอยู่สักหน่อย หรือบางทีเขาก็คงหวาดระแวงไปเอง

     

              ปีสามงานเย๊อะเยอะ นี่ก็โดนโปรเจคถล่มจนตายคาสตูกันหมดแล้ว

     

              แบมแบมเหลือบมองแจ็คสันที่บ่นให้น้องรหัสของตัวเองฟัง แต่เขามั่นใจและไม่ได้คิดไปเองว่าเห็นคนบ่นแอบเหลือบหางตามาทางเขาแวบหนึ่ง อะไร จะสื่ออะไร มีอะไรก็บอกมาตรงๆ เมื่อกี้เห็นนะเว้ย แหม ไม่ต้องมาทำเป็นบ่นแล้วแอบเหลือบมอง

     

              “เหมือนช่วงชดใช้กรรม ต้องหมกตัวอยู่แต่ในสตู เวลานอนก็แทบไม่มี

     

              ถ้าแจ็คสันจะหันไปบ่นงุ้งงิ้งกับยูคยอมสองคนแบมแบมก็พอเข้าใจ แต่นี่บ่นเสียงดังแบบฟังดูก็รู้ว่าจงใจให้เขาได้ยินด้วย อันนี้ไม่เข้าใจว่าต้องการอะไร หน้าตาเขาเหมือนอยากรู้มากเลย? ก็เปล่านะ

     

              แล้วแจ็คสันก็หาวพร้อมบิดขี้เกียจด้วยท่าทางโอเวอร์ ไปล่ะ มาร์คฝากซื้อข้าว ป่านนี้หิวตายไปแล้วหรือยังก็ไม่รู้ตบบ่ายูคยอมและส่งยิ้มที่คิดว่าดูดีที่สุดให้น้องๆ ทั้งสองอีกหนึ่งที บรรยากาศอบอุ่นจนน่าโบกป้ายไฟ ไวล์ดแอนด์เซ็กซี่กายขยับบีนนี่สีดำให้เข้าที่ก่อนจะเดินจากไปอย่างที่มั่นใจว่าเท่ที่สุดในแผ่นดิน

     

              เดี๋ยว พี่แจ็คสันแบมแบมเรียก ผมฝากอะไรพี่หน่อยสิ

     

              เขาลุกไปหาแจ็คสันที่เพิ่งเดินไปได้ไม่ไกล ถอดแจ็คเก็ตตัวนอกที่ใส่อยู่ พับลวกๆ แล้วยื่นให้ ฝากคืนเสื้อให้เพื่อนพี่หน่อย

     

              แจ็คสันเลิกคิ้ว เพื่อนพี่? คนไหนล่ะ?

     

              แบมแบมเงียบไปอึดใจ ก็...คนนั้นแหละ เพื่อนพี่อ่ะ

     

              “ใครล่ะ ดูจุน? ฮิมชาน?แจ็คสันถามกลับหน้าซื่อ

     

              แบมแบมกลอกตามองสูง เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ อะไรไอ้พี่แจ็คสัน ทำไมมึงจะไม่รู้ว่าพูดถึงใคร ก็ในเมื่อยืนยิ้มแป้นแล้นร่วมเป็นพยานตอนที่เขาโดนบังคับให้ใส่เสื้ออยู่ตรงมุมห้องน่ะ ไม่ต้องมาตีหน้าซื่อไม่รู้เรื่องเลยโว้ย!

     

              พี่แจ็คสันแบมแบมพูดเสียงเรียบ

     

              แจ็คสันหัวเราะ เอาไปคืนมันเองสิ

     

              แต่ยังไงพี่ก็ต้องเจอเพื่อนพี่อยู่แล้วนี่

     

              “พี่ไม่รับฝากครับน้อง เสื้อใครก็เอาไปคืนเจ้าของเขาเองแจ็คสันว่า อีกอย่างนะ มาร์คมันต้องการกำลังใจ แบมไปหามันเองน่ะดีแล้วพูดจบก็ตบไหล่เขาเบาๆ แล้วส่งสายตากับรอยยิ้มล้อเลียนมาให้ก่อนจะเดินจากไปด้วยท่าทางที่คิดเอาเองว่าเท่มากเช่นเดิม

     

              เขามองเสื้อในมือ

     

              เผาทิ้งแม่งเลยดีไหม

     

     

              แบมแบมพาดแจ็คเก็ตไว้ที่แขน ดื่มด่ำกับรสชาติเข้มข้นของโกโกเย็น(ที่อร่อยเป็นพิเศษเพราะเป็นของฟรี)ในยามบ่ายที่ลมพัดเอื่อยๆ ขณะเดินกลับไปยังตึกสตูดิโอ คลอด้วยเสียงบ่นกระปอดกระแปดของยูคยอมที่มีให้ได้ยินตลอดทาง เอาแต่บ่นที่เขาซื้อนมเย็นมาให้ทั้งที่มันอยากกินชาเขียว เออ ขอโทษได้ไหมล่ะ ผิดเองแหละที่ไปซื้อแล้วไม่ถามก่อน พอไปยืนตรงหน้าเคาน์เตอร์แล้วมันนึกออกแต่นมเย็นนี่หว่า

     

              เดี๋ยว หยุดเลย นี่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับมาร์ค ต้วน ไม่ต้องโยง

     

              แบมแบมปล่อยให้ยูคยอมบ่นจนกว่ามันจะพอใจและหยุดไปเอง ดื่มด่ำกับโกโก้ต่อไปอย่างไม่รู้สึกรู้สา จนเมื่อพวกเขาเลี้ยวเข้ามาในโถงทางเดินในอาคาร แบมแบมก็เจอเข้ากับใครบางคน

     

              มาร์ค ต้วน

     

              คนๆ นั้นกำลังยืนคุยอยู่กับสาวนางหนึ่งตรงระหว่างทางเดินไปห้องสตูปีสอง ท่าทางดูสนุกสนานเพราะเห็นหัวเราะกันกระหนุงกระหนิงงุ้งงิ้งฟีลลิ่งทุ่งดอกไม้บานยามเช้า ประหนึ่งว่ามีกันอยู่สองคนบนโลก

     

              อย่า อย่าได้คิดอะไรไร้สาระประเภทว่าแบมแบมหึงไอ้พี่นั่นเชียว มันจะไปคุยกับใครไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องสนใจเสียหน่อย เออ แต่แบบ แม่งขวางทางว่ะ จะคุยกันก็ไปยืนหลบๆ หน่อยได้ป่ะวะ รู้จักพื้นที่สาธารณะกันไหม เล่นยืนครองทางเดินแบบไม่เผื่อแผ่ให้คนอื่นเขาสัญจรกันเลย แล้วไหนแจ็คสันบ่นว่าปีสามงานเยอะ เวลาจะนอนแทบไม่มี แต่มีเวลาม่อสาวเหรอวะ แล้วจากที่เห็นหน้าตาก็ดูชื่นบานดีออก ไม่เห็นดูเหมือนใกล้ตายอย่างที่ว่า

     

              ย้ำอีกทีว่าไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งนั้น

              ไหนๆ เจอก็ดีแล้ว จะได้คืนเสื้อให้เลย

     

              แบมแบมเดินเข้าไป

     

              หนึ่งร้อยเมตร
     

              ห้าสิบเมตร
     

              สิบเมตร

     

              ...

     

              ขวางทางว่ะ

     

              เดินผ่าตรงกลางระหว่างสองคนนั้น ไม่ลืมที่จะเหวี่ยงเสื้อที่ถือเตรียมไว้คืนให้เจ้าของแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็วปานพายุโดยไม่สนอะไรทั้งสิ้น ท่ามกลางสายตางุนงงของมาร์คกับผู้หญิงที่เขาเพิ่งหน้าชัดๆ ว่าคือเพื่อนร่วมรุ่นคนสวยอย่างเบซูจี และยูคยอมที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามหลังมา

     

              หึงเขาไง?เหมือนรอจังหวะนี้อยู่ ยูคยอมเริ่มต้นด้วยคำถามสร้างสรรค์สังคมทันทีที่พ้นประตูเข้ามา

     

              เขาหันไปทำหน้าเบื่อใส่เพื่อน ก็พูดอยู่ว่าขวางทาง

     

              “เหรอ แต่หน้าตาหงุดหงิดแบบเห็นได้ชัดขนาดนี้ ขวางทางหรือขวางหูขวางตากันแน่ครับ

     

              “ถ้าจะไม่พูดอะไรที่จรรโลงใจก็หุบปากเถอะไป พร้อมง้างขาเตรียมฟาดแข้งใส่อย่างเหลืออดเหลือทน

      

             พูดจริงๆ เขาไม่ได้หึงเสียหน่อย

     

              ก็แค่...รู้สึกไม่ชอบใจ


     


    .


    .

     

     

    วันนี้จะนอนคณะรึไง

     

    เสียงของใครคนหนึ่งดังทะลุเข้ามาในห้วงความคิด แบมแบมชะงักมือที่หมุนปากกาเล่นระหว่างนั่งทอดอารมณ์เรื่อยเปื่อย นอกหน้าต่างฟ้ามืดแล้ว เบนสายตากลับมายังคนถาม ยองแจกับยูคยอมยืนอยู่ข้างโต๊ะ สะพายกระเป๋าเตรียมพร้อมกลับบ้าน

     

    คงงั้น งานยังไม่ถึงไหนเลย พวกมึงกลับก่อนก็ได้ เขาไถหน้าลงกับโต๊ะทำงานรกๆ หลับตาลงพลางถอนหายใจ โปรเจคสตูดิโอดีไซน์ทั้งวันมีความคืบหน้าเพิ่มมาแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ รู้สึกใกล้เป็นบ้าเต็มทนเพราะคิดงานไม่ออก สมองไม่ปลอดโปร่งเอาเสียเลย น่าหงุดหงิดชะมัด

     

    เพราะงั้น เลยไม่ทันได้เห็นการถกเถียงทางสายตาระหว่างยูคยอมกับยองแจ

     

    เออ งั้นพวกกูกลับแล้วนะ มึงอยู่ดึกก็ระวังมีแขกมาเยี่ยมล่ะ

     

    เชี่ยนี่ปากเสีย รีบกลับไปเลยไป

     

    ยองแจหัวเราะสนุกสนานพลางเอี้ยวตัวหลบให้พ้นระยะที่ขาของแบมแบมจะยันถึง ไม่ลืมที่จะกำชับด้วยความเป็นห่วงจริงๆ อีกรอบก่อนออกจากห้องไป พอเพื่อนทั้งสองไปแล้ว ทั้งสตูดิโอก็เหลือแค่เขากับเพื่อนร่วมสาขาอีกสองสามคนเท่านั้น

     

    แบมแบมนั่งเท้าคางกับโต๊ะ มองโครงร่างงานบนกระดาษแล้วผ่อนลมหายใจออกมาอีกครั้ง ลายเส้นยุ่งเหยิงดูสับสน ตัดกันไปมาเป็นรูปร่างแปลกๆ ราวกับคนวาดมีเรื่องกวนใจ สุดท้ายกระดาษแผ่นนั้นก็ถูกขยำ ใส่อารมณ์กับการปามันลงถังขยะ หงุดหงิดชะมัดเลย ให้ตายสิ เขาสบถในใจ ขยี้ตาด้วยความล้าแล้วเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

     

    เฮ้ย แบม กลับล่ะนะ

     

    หันไปโบกมือให้คิมฮันบินเพื่อนร่วมสาขาที่อยู่เป็นสองคนสุดท้ายกับเขา บรรยากาศวังเวงขึ้นอีกสิบเท่าเมื่อทั้งห้องเหลือตัวเองอยู่คนเดียว สตูดิโอปราศจากคนเงียบมากจนได้ยินเสียงครางหึ่งของเครื่องปรับอากาศ แบมแบมหันไปมองนาฬิกาดิจิตอลบนผนังและพบว่าเที่ยงคืนกว่าแล้ว เขาเลยตัดสินใจทำงานต่ออีกสักพักแล้วค่อยกลับ

     

                จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงแกรกเหมือนมีอะไรตก ใกล้และชัดเจนจนเขาต้องชะงัก มั่นใจว่าไม่ได้หลอนไปเองแน่ เหลียวหน้าเหลียวหลังมองไปรอบห้องโล่งๆ ที่ไม่มีใครแล้วก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาตามสันหลังเสียเฉยๆ แบมแบมหันกลับมา ไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากหัว ไม่มีอะไรสักหน่อย เขาคิดแล้วควานหาโทรศัพท์บนโต๊ะ เปิดเพลงผ่อนคลายความเงียบน่าขนลุก

     

                เชี่ยไรวะ!”

     

    เขาสบถลั่นเมื่อไฟในห้องดับพรึบ รอบตัวมืดสนิท สมองเริ่มจินตนาการถึงสิ่งลึกลับในความมืด หลั่งไหลออกมาเหมือนก๊อกแตก แบมแบมคลำสะเปะสะปะหาโทรศัพท์ แต่แสงจากหน้าจอไม่สว่างพอที่จะทำให้รู้สึกน่ากลัวน้อยลง เขาเลยเก็บของใส่กระเป๋า เหลือบซ้ายแลขวามองไปในความเวิ้งว้างดำมืดและไม่รอช้าที่ก้าวออกมา

     

    ถึงคณะจะตัดไฟเมื่อถึงเวลาปิดตึกแต่ตึกสตูดิโอไม่เคยตัดไฟกะทันหัน แต่นี่ ณ ตอนนี้ แม้กระทั่งโถงทางเดินก็มืดสนิท เดาได้ว่าคงไฟดับและดูเหมือนเครื่องปั่นไฟไม่ทำงาน แบมแบมกำสายกระเป๋าแน่นขณะเดินฝ่าความมืดไปเงียบๆ แสงจากจอโทรศัพท์ส่องให้เห็นทางเลือนราง น่าประหลาดที่ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน ใจตกไปอยู่ตาตุ่มครั้งแรกตอนเลี้ยวผ่านห้องกระจกเก็บโมเดลที่มีหุ่นคนตั้งโชว์อยู่ และครั้งที่สองเมื่อจู่ๆ ก็มีมือคว้าหมับที่ไหล่

     

    เฮ้ย!!!”

     

    แบมแบมสะดุ้งเฮือก ร้องลั่น สะบัดปัดป้องตามสัญชาตญาณ เขาไม่ใช่คนกลัวผีแต่การสู้กับสิ่งที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นไม่ใช่หนทางพิสูจน์ความแมน เขาเลยไม่ลบหลู่ ที่ร้องเสมือนตุ๊ดแตกเมื่อกี้มันเกิดขึ้นจากความตกใจต่างหาก ย้ำอ่อน ว่าตกใจ และถึงแม้จะหวาดหวั่นอยู่สักหน่อยแต่แบมแบมก็หันกลับไป ภาวนาไม่ให้เจออะไรที่สยองกับจิตใจมากเกินไปนักขณะยกจอโทรศัพท์ขึ้น แสงสลัวสะท้อนใบหน้าในความมืดให้เห็นรางๆ

     

    แบมแบม?

     

    ใบหน้าในแสงสลัวนั้นถามกลับ เลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ...มาร์ค ต้วน

     

    ถอนหายใจด้วยความโล่งอก โผล่มาซะตกใจหมดเขาขมวดคิ้วใส่อีกฝ่ายและพึมพำ

     

    อยู่ทำอะไรดึกดื่นคนเดียว

     

    ทำงานเขาตอบและหมุนตัวกลับ เดินออกมาจากตรงนั้นก่อนที่มาร์คจะได้พูดอะไร ได้ยินเสียงฝีเท้าตามหลังมา แต่ไม่มีบทสนทนา เพียงแค่เดินมาด้วยกันเงียบๆ ตลอดโถงทางเดินมืดๆ จนถึงประตูใหญ่ของตึก ออกมายืนที่ชานพักบันไดด้านหน้า แบมแบมสูดหายใจเอาอากาศเย็นๆ เข้าเต็มปอดหลังเดินอยู่ในอาคารที่ทั้งร้อนทั้งมืด สมองปลอดโปร่งขึ้นจากที่อึดอัดอยู่นาน

     

    ดึกแล้ว เดี๋ยวไปส่งเสียงมาจากคนที่ยืนอยู่ข้างๆ

     

    ไม่เป็นไรเขาว่าและไม่รอฟังคำโต้แย้ง

     

    แบมแบมก้าวลงบันไดหน้าตึกทีละสองขั้นอย่างเร่งรีบ เวลาตีหนึ่งกว่าบนนาฬิกาข้อมือถูกยกมาเป็นข้ออ้างว่าต้องรีบกลับหอให้ตัวเองสบายใจ ว่าเขาแค่จะรีบกลับ เขาเหนื่อยและอยากนอน เขาไม่ได้กำลังหนีอะไรทั้งนั้น

     

    ไฟทางเดินสีส้มส่องสว่าง แบมแบมเดินฝ่าลมเอื่อยเฉื่อยไม่เร่งร้อน แล้วก็สะดุดใจเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง พอเงี่ยหูฟังดีๆ ก็มีเสียงที่ฟังคล้ายโซ่จักรยานหมุนแกรกรากคลอกับจังหวะฝีเท้านั้น แวบหนึ่งที่เกิดความรู้สึกบอกไม่ถูกขึ้นในใจแต่ก็ปัดมันออกไปอย่างรวดเร็ว แสร้งทำเป็นไม่สนใจและเดินต่อไปเรื่อยๆ

     

    แต่สุดท้ายก็ห้ามตัวเองไม่ได้ เขาเหล่มองอย่างที่คิดว่าแนบเนียนที่สุด มาร์คจับคอจักรยานเดินจูงตามหลังมาเงียบๆ ใบหน้าใต้แสงสีส้มนวลตาคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่สักอย่าง หรือไม่ ก็คงมีเรื่องวุ่นวายใจ ผิดปกติวิสัยกวนประสาทที่ชอบทำนักหนา

     

    ความอึดอัดแปลกประหลาดฟุ้งในบรรยากาศ

     

    เขาไม่ชอบเอาเสียเลย

     

    มีอะไรกับผมหรือเปล่า

     

    แบมแบมตัดสินใจหันกลับไปและถาม หลังจากปล่อยให้ความอึดอัดก่อกวนจิตใจจนถึงระดับที่ทนไม่ไหว เสียงแกรกรากของโซ่จักรยานหยุดลง มาร์คที่เดินตามมาเงียบๆ ดูตกใจกับการที่เขาหยุดเดินกะทันหัน ต่างฝ่ายต่างจ้องหน้ากันและกันไร้คำพูด ก่อนที่ร่องรอยความวุ่นวายใจบนใบหน้าอีกฝ่ายจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม

     

    นึกว่าจะไม่ยอมพูดกับพี่ซะแล้ว

     

    มาร์ค ต้วนต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ถึงได้เอาแต่ยิ้มกว้างใส่กันแบบนี้

     

    ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้พูดกับพี่หรือไงยิ้มบ้าอะไรหนักหนา ปากจะฉีกแล้ว มีอะไร

     

    เดี๋ยวปั่นจักรยานไปส่ง

     

    ไม่เป็นไร กลับเองได้ ปั่นไปปั่นมาเหนื่อยเปล่าๆ

     

    อยากไปส่ง

     

    คำพูดตรงๆ กับแววตาไม่ปิดบังความรู้สึก (จริงๆ มันไม่เคยพยายามปิดหรอก แสดงออกตรงไปตรงมาตลอด) เหมือนมีก้อนหินพุ่งชนเข้าจังเบ้อเร่อ มึนงงทำอะไรไม่ถูก ความรู้สึกอธิบายไม่ได้กลับมาอีกครั้งและครั้งนี้คล้ายมีบางอย่างในอกกำลังพองโต เขาหลุบตามองพื้นคอนกรีต กระพริบตาให้รอยแยกเล็กๆ ที่ทอดตัวเป็นเส้นตรงแน่วเหมือนขีดขึ้นด้วยหมึกสีดำบนกระดาษสีเทาซีด ขีดคั่นกลางระหว่างเขากับมาร์คพอดีอย่างน่าประหลาดใจ


                 เขามองเส้นแบ่งบนทางเท้า

    แล้วสงครามก็ก่อตัวขึ้นในหัว

     

    ความทรงจำที่มีอีกฝ่ายฉายวนซ้ำไปซ้ำมาราวกับไม่มีวันจบ ความรู้สึกทับซ้อน สับสน เหมือนเชือกที่พันกันยุ่งเหยิง ชวนให้ขุ่นเคืองใจเมื่อยิ่งแก้ปมก็ยิ่งพันกันจนใกล้เป็นเงื่อนตาย แต่ในระหว่างที่ไล่แก้ปมเชือกก็เกิดความคิดขึ้นว่าช่างหัวมันสิ ถ้ามันพันกันแล้วจะเป็นไรไปล่ะ? และยอมให้เกิดความรู้สึกยินดีที่มันเป็นแบบนั้น

     

    เขาปล่อยให้ความรู้สึกย้อนแย้ง จ้องมองเส้นตรงสีหม่นบนพื้น รองเท้าคอนเวิร์ดสีดำที่เลยหลังเส้นนั้นไป กางเกงยีนส์ เสื้อคลุมสีเทา รอยยิ้มบนริมฝีปากและเจือในแววตา สิ่งหนึ่งที่มาร์คไม่เคยรู้และเขาไม่อยากให้รู้ เปรียบเทียบว่ามีกำแพงและรั้วล้อมรอบ ตอนนี้อีกฝ่ายก็อยู่ชิดติดริมรั้ว ใกล้อย่างน่ากลัว อีกนิดเดียวก็จะเดินมาเคาะประตูหน้าบ้านแล้วเพียงแค่ข้ามรั้วมา

     

    ว่าไง แค่ขึ้นมาซ้อนท้ายเนี่ย คิดนานจัง

     

    ได้ยินความขบขันเจือในน้ำเสียง เขาหลบตาอีกฝ่าย มองที่เส้นแบ่งตรงปลายเท้าตัวเองอีกครั้ง สงครามเป็นไปดุเดือด, คำตอบแบ่งออกเป็นสองทาง, จะปลอดภัยโดยยืนอยู่ที่เดิมหรือจะลองก้าวไปยืนอีกฝั่ง, โดยที่ตัวเองก็รู้ดีถึงอันตรายที่อยู่หลังเส้นนั้น

     

    สงครามยุติลงเมื่อเสียงเล็กๆ ในหัวให้คำตอบ

     

    ไปก็ไปสิ

     

    และเขาก็ถอยหลังกลับไม่ได้แล้วด้วย 

     

    เบซูจีคือน้องรหัสของมาร์ค, นั่นคือสิ่งที่สรุปได้จากคำบอกเล่าของอีกฝ่ายขณะนั่งซ้อนท้ายจักรยานกลับหอ (ซึ่งเขาไม่ได้เป็นฝ่ายถามอะไรเลย เปล่าเลยสักนิด จู่ๆ มาร์คก็โพล่งขึ้นมาเอง) ถึงคณะสถาปัตย์จะมีนิสิตนักศึกษาไม่เยอะอย่างอาณาจักรวิศวะหรือดินแดนมหัศจรรย์ของฝั่งคณะสายวิทย์ แม้จะเห็นหน้าเห็นตารู้จักกันทั่วถึงก็ไม่ได้หมายความว่าต้องจดจำสายรหัสของเพื่อนร่วมรุ่นได้ด้วย และเขาเองก็ไม่ได้สนิทกับซูจีขนาดนั้น

     

    แวะกินอะไรก่อนไหม

     

    ไม่อ่ะ กลับเลยดีกว่า

     

    มาร์คถามขณะปั่นจักรยานผ่านถนนหลังมหาลัยที่ยังมีร้านอาหารเปิดอยู่ แต่ตอนนี้เขาง่วงมากในระดับที่สามารถล้มตัวลงนอนได้ไม่เกี่ยงสถานที่ แม้แต่บนเบาะจักรยานก็เถอะ แต่ถ้าไอ้พี่นี่เกิดอยากกวนตีนขึ้นมาด้วยการเลี้ยวเข้าร้านไหนสักร้านแล้วบอกว่าตัวเองหิว เขาจะตามไปหลับใส่ให้ดูตอนกินจริงๆ ด้วย แต่จักรยานก็แล่นฉิวผ่านไปไม่มีท่าทีว่าจะชะลอหรือจอดที่ไหน

     

    เสียงเซ็งแซ่ค่อยๆ เบาลงจนเงียบสงัด เสียงหมุนวงโซ่จักรยานฟังคล้ายเพลงกล่อมไร้ชื่อ เขาปาดน้ำตาที่มาจากการหาว แว่วเสียงเรียกชื่อแผ่วเบาลอยมาในสายลม ขานรับง่วงงุนในลำคอ

     

    จำที่ถามวันนั้นได้ไหมเสียงนั้นเงียบไปพักหนึ่ง คล้ายกำลังเลือกสรรคำให้เหมาะสม

     

    พี่ไม่รีบหรอกนะ

     

    เขาเงียบรอฟังแต่อีกฝ่ายไม่พูดอะไรต่อ เหมือนจะปล่อยให้ตีความนัยยะที่แฝงอยู่ในประโยคเอาเอง แต่แบมแบมคิดว่าเขาเข้าใจ เสียงทุ้มต่ำกับคำถามดังก้องสะท้อนในหูไร้ที่มา ขณะเหม่อมองแผ่นหลังตรงหน้า ที่จริงมันไม่ยากหรอกสำหรับคำตอบของคำถามนั้น เวลาผ่านไปมันก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนเขาเองก็โกหกไม่ได้ เพียงแต่เขาอยากให้มันชัดมากกว่านี้ ชัดจนสามารถสัมผัสจับต้องได้

     

    ถ้าไม่รีบอย่างที่ว่าจริงๆ

     

    ไล่สายตาตามแนวของเส้นด้ายที่ปักแน่นบนผ้าสีเทา นึกถึงเส้นแบ่งที่ตัดสินใจลองก้าวข้ามไป

     

    ขอเวลาหน่อยแล้วกัน

     

     

     

     

     

     

     

     

    Talk______________________________________________________


                ในที่สุดก็มาถึงครึ่งทางแล้ววว เย้ /วิ่งชูมือรอบห้อง
                 ครึ่งเรื่องแล้วแต่ยังไปไม่ถึงไหนเลย *ปาดน้ำตา
                 แต่คนซึนของเราเขามีพัฒนาการทางความรู้สึกขึ้นเยอะแล้วนะคะ เยอะเท่าที่นางจะเยอะได้ ๕๕๕๕


                 เป็นการค้างเติ่งที่น่าเกลียดมาก หาเวลาเขียนต่อไม่ได้เลยทิ้งไว้นานมาก ขอโทษจริงๆ ค่ะ ;__;

    และอีกอย่าง โน้ตบุ๊คเสีย มีคอมใช้ก็ช่วงหยุดกลับบ้านนี่แหละค่ะ ฮือออ

     

    ในพาร์ทที่เหลือ พอจะเข้าใจสิ่งที่ต้องการจะสื่อมั้ย?

    แบมแบมค่อนข้างสับสนลักลั่นย้อนแย้งในตัวเองพอสมควร ๕๕๕๕

    ถ้ามีปัญหา สงสัย อยากถาม ข้องใจ คิดเห็นยังไงบอกได้นะคะ

    จะทิ้งคอมเมนต์ไว้ในบทความหรือถามในทวิตเตอร์ เชิญช่องทางที่ท่านสะดวกค่ะ

     

    ขอบคุณที่อ่านจนจบและเจอกันตอนหน้าค่ะ J

     


    Minor!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×