คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : : the eleventh :
11
แบมแบมรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล
ปกติมนุษย์เราขี้ลืมกันมากน้อยหรือบ่อยแค่ไหน? ถึงจะจบม.ปลายจากสายวิทย์แต่แบมแบมไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ ไม่ได้วิจัยเรื่องสมองและความสามารถในการจดจำ เขาไม่สามารถตอบได้ว่ามนุษย์เป็นโรคขี้หลงขี้ลืมกันมากน้อยแค่ไหน แต่อย่างอาม่าอายุเฉียดร้อยแถวบ้านที่มักลืมว่าตัวเองใส่แว่นตาอยู่ หรือแม่ของเขาที่ลืมโทรศัพท์ไว้ในตู้เย็น แบมแบมก็คิดว่ามันคือเรื่องทั่วไปที่พบมากในคนแก่
แต่สำหรับมนุษย์ผู้ชายชื่อมาร์ค ต้วน ที่อายุแค่ยี่สิบเอ็ด ยังห่างไกลจากคำว่าแก่และ(คิดว่า)ไม่มีความผิดปกติทางสมอง ความเสี่ยงการเป็นโรคหลงๆ ลืมๆ จัดว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานค่อนไปทางต่ำ บางครั้งอาจมีเบลอๆ ลืมนั่นลืมนี่เล็กน้อย อย่างที่ลืมแจ็คเก็ตไว้ที่ห้องเขา ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่แบมแบมว่ามันก็แปลก
ลองคิดดูก็คงเริ่มตั้งแต่วันที่มาร์คมาเอาแจ็คเก็ตที่ห้อง มันไม่ใช่ว่าได้เสื้อคืนแล้วจบแค่นั้น เพราะไอ้พี่หัวแดงดันมาลืมแฟ้มใส่ชีทเรียนไว้แทน แบมแบมเจอมันปนอยู่กับกองหนังสือบนโต๊ะหน้าทีวีหลังอีกฝ่ายกลับไป ตอนนั้นก็ไม่ติดใจสงสัยอะไรหรอก ใครๆ ก็ขี้ลืมกันได้ใช่ป่ะล่ะ แต่พอมาร์คมาเอาแฟ้มคืนแล้วลืมสมุดสเก็ตช์ไว้ พอเก็บสมุดไปก็ดันลืมกระเป๋าสตางค์เอาไว้อีก
ได้ของอย่างหนึ่งคืน ก็ดันลืมของอีกอย่างเอาไว้แทน วนลูปซ้ำๆ อยู่แบบนี้
นี่แหละที่รู้สึกไม่ชอบมาพากล
มาร์ค ต้วนแม่งขี้ลืมขนาดนี้เลยเหรอวะ
แล้วสักสองสามวันต่อมามนุษย์ผมแดงก็จะคาทกมาถามหาของ แรกๆ แบมแบมก็ไม่รู้หรอก เรียกว่าไม่ใส่ใจสังเกตห้องตัวเองเลยด้วยซ้ำว่ามีอะไรแปลกปลอมเพิ่มมาหรือเปล่า ต้องให้มาร์คบอกถึงจะรู้ว่า อ้าว มันลืมของไว้เหรอ และพอนึกอยากจะใจดี เป็นฝ่ายเอาไปคืนให้ อีกฝ่ายก็ดันตอบกลับมาแบบ ฝากไว้ก่อนแล้วกัน ยังไม่รีบใช้เท่าไหร่ ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปเอาเอง อะไรทำนองนั้น
ซึ่งแบมแบมไม่เข้าใจว่ามาร์คจะทำให้ชีวิตยากทำไม
และถึงจะยืนยันว่าจะ-เอา-ไป-ให้ ไอ้พี่หัวแดงมันก็กวนกลับมาให้แบมแบมต้องพ่นลมออกจากจมูกอย่างระอาจิตทุกที เป็นอย่างนี้นานวันเข้า สุดท้ายก็ปล่อยเลยตามเลย เออ ช่างแม่งเหอะ อยากได้คืนเมื่อไหร่เดี๋ยวมันก็มาเอาเองแหละ
ซึ่งเมื่อไหร่ที่อยากได้ของคืนก็จะส่งข้อความมาถามว่าตอนนี้อยู่ไหน จะไปเอาของนู่นนี่นั่นที่ห้อง หากคำตอบของเขาคืออยู่คณะและอีกฝ่ายก็อยู่คณะ วันนั้นแบมแบมจะได้ซ้อนจักรยานมาร์คกลับหอ ด้วยเหตุผลที่ไอ้พี่หัวแดงเคยบอกว่าหออยู่ทางเดียวกัน (และพูดตามตรงเลยนะ เขาเองก็ขี้เกียจเดิน)
หรือถ้าวันไหนอยู่หอ แบมแบมก็จะได้ลงมาเปิดประตูทางเข้าให้พร้อมสีหน้าเบื่อหน่ายที่ใช้ทักทายมนุษย์ผมแดงโดยเฉพาะว่าสวัสดี มาอีกแล้วเหรอ นี่เคยรับรู้บ้างไหมว่าเบื่อ ถึงแม้จะทดแทนกันได้ด้วยโกโก้เย็นเจ้าอร่อยหน้าปากซอยที่มาร์คซื้อมาฝากทุกครั้ง อีกหนึ่งเรื่องลึกลับ แบมแบมไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้ได้ยังไงว่าเขาชอบกิน
‘พี่อยู่หน้าหอแล้ว’
วันนี้ก็เช่นกัน มาร์ค ต้วนมาเอากระบอกใส่แบบที่ลืมทิ้งไว้เมื่อสองวันก่อน แบมแบมละมือจากสิ่งที่กำลังทำ ลงมาเปิดประตูให้พร้อมหน้าเบื่อๆ หลังจากไอ้พี่หัวแดงส่งข้อความมา พอเปิดประตูก็เจอกับถุงหิ้วบรรจุถุงกระดาษพิมพ์ชื่อร้านน้ำหน้าปากซอย ยื่นมาตรงหน้าเป็นการทักทายเหมือนอย่างเคย
“ไม่คิดว่าผมจะเบื่อโกโก้บ้างรึไง” เล่นซื้อมาให้กินซะทุกครั้งแบบนี้
“คิดอยู่เหมือนกัน แต่ตั้งใจซื้อมาให้ รับไว้หน่อยก็ดี” ตบท้ายด้วยรอยยิ้มกว้างที่ทำให้เขาต้องเบนสายตาไปที่ถุงกระดาษแทน
มีเหตุผลสองข้อที่แบมแบมยอมรับไปง่ายๆ หนึ่ง มันคือโกโก้เย็นที่เขาชอบ สอง โดยเฉพาะโกโก้เย็นที่เป็นของฟรี เขาเจาะหลอดกับถุงเครื่องดื่มที่ซ้อนอยู่ในถุงกระดาษอีกชั้น ดูดเข้าไปหนึ่งอึกใหญ่ตามสเต็ป เปิดทางให้มาร์คเข้ามาแล้วเดินนำขึ้นบันไดไปโดยไม่พูดอะไร (มันเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์ เพราะถึงจะบอกให้รออยู่ข้างล่าง ไอ้พี่บ้านี่ก็หาข้ออ้างขึ้นมาจนได้อยู่ดี)
มาถึงห้อง แบมแบมบอกอีกฝ่ายแค่ว่าวางกระบอกไว้ที่โซฟาหน้าทีวีแล้วเดินลิ่วไปที่มุมเดิมเพื่อทำงานต่อ ปล่อยให้ผู้มาเยือนขาประจำ(แม่งมาบ่อยกว่าเพื่อนเขาอีก)เดินไปหาของเองตามอัธยาศัย จากการสังเกตหลายๆ ครั้ง พบว่ามาร์คไม่ค่อยยุ่งกับข้าวของในห้อง มาแค่แป็ปเดียว พอได้ของคืน กวนตีนเขาจนพอใจแล้วก็กลับ เลยไม่ได้ใส่ใจนั่งจับตามองอะไรเท่าไหร่
“ทำอะไรอยู่” มาร์คถามเจ้าของห้องที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะเขียนแบบข้างหน้าต่าง ชายหนุ่มเดินไปหยุดชะโงกดูจากด้านหลังอย่างสนใจ บนโต๊ะหน้าขาวมีกระดาษวางแผ่อยู่คู่กับดินสอดราฟ เทมเพลท สเกล และอุปกรณ์เขียนแบบอื่นๆ ทั้งหลายแหล่
“แบบวิชาคอนฯ” แบมแบมตอบสั้นๆ เหล่ตามองคนถามแล้วทำงานต่อ สัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างจากด้านหลังที่ทำให้เกร็งขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ก็แค่ไม่ชอบให้คนมาจ้องตอนกำลังทำงาน ยิ่งตอนทำการบ้านวิชามหาโหดที่ต้องมีสติทุกขณะจิตยิ่งแล้วใหญ่ และมาร์ค ต้วนก็กำลังทำแบบนั้นโดยการยืนจ้องเขาอยู่
แบมแบมขยับตัวอย่างอึดอัดอยู่บนเก้าอี้ จากที่ทำงานหัวกำลังแล่นก็สติกระเจิงหายหมด ความรู้สึกคล้ายกับตอนนั่งให้อาจารย์ตรวจแบบแต่ไม่ใช่ เลยไม่รู้ว่าตัวเองจะเกร็งทำไม อาจเป็นเพราะมาร์คยืนอยู่เงียบๆ แล้วเขาไม่รู้ความเคลื่อนไหว และไม่อยากหันไปมอง ทั้งที่เป็นคนตัดบทสนทนาเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนแท้ๆ แต่ทนไม่ไหวจนต้องเปิดประเด็นใหม่เสียเอง
“เจอของหรือยัง”
“เจอแล้ว” งั้นก็กลับไปได้แล้วครับ จะยืนอยู่ทำซาก
“คราวนี้จะลืมอะไรอีกมั้ย”
“ไม่รู้ กำลังคิดอยู่”
“จะลืมของนี่ต้องคิดก่อนด้วย? ...ประสาท”
ประโยคหลังแบมแบมบ่นขมุบขมิบเบาๆ ไปตามเรื่องตามราว พร้อมกันนั้นก็บังคับตัวเองให้ทำงานต่อ แต่ขณะที่กำลังวัดสเกลห้องนอน คนที่ยืนอยู่ด้านหลังก็เท้ามือสองข้างกับขอบโต๊ะและก้มมาดูแบบร่างใกล้ๆ แบมแบมจะไม่ว่าเลยถ้าเขาไม่ได้ถูกกักเอาไว้ระหว่างแขนสองข้างของมาร์ค
คางที่คล้ายจะเกยบนไหล่...
กลิ่นน้ำหอม...
ใกล้ขนาดแค่เหลือบตามองก็เห็นเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายชัดเจน
มะ...ไม่ดีเท่าไหร่ว่ะ
“ลองปรับสเกลห้องน้ำรวมให้กว้างขึ้นดีป่ะ พี่ว่ามันแคบไปว่ะ เพิ่มนิดนึงยังไงก็ไม่กินที่ตรงห้องนอนสองอยู่แล้ว” ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ แต่ไม่ต้องมาพูดอยู่ข้างหูก็ได้โว้ย! เออ แล้วพอดีไหม ไม่ต้องก้มลงมาแล้ว นี่ก็แนบกันจนจะรวมร่างแล้วป่ะ สายตาสั้นมากเลยหรือไงถึงต้องดูใกล้ขนาดนี้ เลสิกไหมหรือไม่ก็ตัดแว่นใส่เหอะ
แบมแบมพยายามปัดความรู้สึกหวิวโหว่งในท้อง ขณะที่มาร์คยังคงชี้จุดที่ควรแก้ให้ดูต่อไปพร้อมคำอธิบาย แต่ถามสิว่ามีสติมากพอจะฟังทั้งหมดนั่นไหม ตราบใดที่ไอ้พี่บ้านี่ยังไม่ถอยกลับไป สิ่งที่พูดมาทั้งหลายแหล่ก็เข้าหูซ้ายทะลุออกขวา ลอยหายไปหมดแล้ว และไปๆ มาๆ มันเริ่มไม่ใช่แนะนำจริงจังอย่างตอนแรกละ เริ่มกลายเป็นติแบบกวนตีนละ ยิ่งไอ้เสียงพูดเหมือนกลั้นหัวเราะนี่ชัดเลย
จะหาเรื่องไฝว้ให้ได้ใช่ไหม ตอบ!
“พอเลย ไม่ต้องดูแล้ว พี่นี่แม่ง...” แบมแบมหมุนเก้าอี้ไปด้านหลัง ตั้งใจจะย้อนกลับไปแรงๆ สักประโยค แต่ก็ต้องกลืนคำพูดลงคอเมื่อหันไปเจอเข้ากับสายตาคมๆ และรอยยิ้มกรุ้มกริ่มของอีกฝ่าย วินาทีนั้นเขารู้สึกเหมือนโดนอะไรสักอย่างทุบเข้าที่หัวอย่างแรง สตั้น ทำอะไรไม่ถูก และอากาศในห้องเหมือนจะร้อนผิดปกติ
บ้าชะมัด...
“ทำไม พี่ทำไมเหรอ” แบมแบมผงะถอยเมื่อมาร์คยื่นหน้าเข้ามาใกล้ เม้มริมฝีปากแน่น เป็นความกดดันแปลกๆ ที่อธิบายไม่ได้ สิ่งที่แย่คือเขาลืมว่าเมื่อกี้จะพูดอะไร และที่แย่กว่านั้นคือความรู้สึกปั่นป่วนในท้องยิ่งรุนแรงขึ้นทุกที
“...เปล่า” กลอกตาล่อกแล่กหาทางพาตัวเองออกจากความกดดัน ไม่ได้...อยู่ตรงนี้ไม่ได้แล้ว แบมแบมรู้สึกไม่ค่อยดี เขาต้องมูฟตัวเองออกจากโพสิชั่นนี้ เดี๋ยวนี้! แต่ก็โดนกระชับพื้นที่จนหลังติดโต๊ะ ซ้ายขวาก็มีแขนกักไว้ ไม่มีช่องให้หนีออกไปได้เลย
“ถ้าเปล่าแล้วหลบตาทำไม” พอได้ยินแบบนั้นเข้า แบมแบมเลยตวัดสายตาขวับกลับมาที่คนตรงหน้าอีกครั้งและจ้องกลับอย่างไม่ยอมแพ้
“อะไร ใครหลบ ไม่ได้หลบซะหน่อย” แถมตีหน้าเลิกคิ้วยียวนยื่นเข้าไปหาอีกฝ่ายเป็นการยืนยันคำพูด ด้วยอารมณ์พาไปล้วนๆ ทั้งที่จริงอาการกำลังจะแย่ ความปั่นป่วนภายในไม่ยอมสงบสักที แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อน ยังไงครั้งนี้เขาจะไม่แพ้เด็ดขาด จ้องมาก็จ้องกลับได้อ่ะ เอาดิ
ถึงประกายวิบวับในดวงตาคู่สีเข้มจะทำให้อยากละลายหายไปจากตรงนี้ก็เถอะ...
“ถามจริง ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ” มาร์คมุ่นหัวคิ้วเข้าหากัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างล้นพ้น และดูกึ่งๆ ไม่พอใจอะไรสักอย่าง
“จะให้รู้สึกอะไร ให้ผมเขินพี่หรือไง”
“ก็...อะไรทำนองนั้นแหละ” มาร์คไหวไหล่
“ประสาทสิ มีเหตุผลอะไรให้ต้องเขิน” แบมแบมตอบหน้าตายแล้วหมุนเก้าอี้กลับมาที่โต๊ะเขียนแบบ เปล่า เขาไม่ได้ยอมแพ้นะ บอกแล้วไงว่าครั้งนี้คนแพ้ต้องไม่ใช่แบมแบม แต่ที่เป็นฝ่ายหันกลับมาก่อนก็เพราะเห็นว่ามันเริ่มไร้สาระเท่านั้นเอง แค่นั้นจริงๆ ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ
มาร์คถอยกลับไปยืนเหมือนเดิม “ไม่เขินเลยจริงดิ”
“จริง”
“สักนิดก็ไม่เหรอ”
“ไม่”
“ไม่รู้สึกอะไรเลยจริงอ่ะ”
“ไม่ก็คือไม่ดิ และถึงพี่จะถามอีกกี่ครั้ง คำตอบก็เหมือนเดิม...ไม่!”
“โอเค ไม่ก็ไม่” มาร์คพูดอย่างยอมแพ้เมื่อได้ยินคำตอบยืนยันหนักแน่น “แต่เพิ่งรู้นะ คนเราอยู่เฉยๆ ก็หูแดงได้ด้วย”
แบมแบมยกมือขึ้นกุมหูตัวเองทันที ก่อนจะรู้ตัวว่าพลาดที่เผลอออกอาการร้อนตัวเสียเอง ไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่ามาร์คคงกำลังกดยิ้มมุมปากกลั้นขำอยู่แน่ๆ ชีวิตก้าวพลาดบ่อยจริง เขาเลยไม่คิดจะต่อความให้ยาวยืด เดี๋ยวมันจะยิ่งเข้าตัวและรีบพูดเปลี่ยนเรื่อง
“ได้ของแล้วไม่ใช่เหรอ งั้นก็กลับหอไปได้แล้ว”
“ขออยู่อีกแปปนึงไม่ได้เหรอ รอดูก่อนว่าฝนจะตกไหม” เขาเงยหน้ามองหน้าต่าง และจริงดังที่อีกฝ่ายว่าเพราะท้องฟ้าดูครึ้มๆ เอ๊ะ เดี๋ยวนะ ตรงนี้คิดว่ามีอะไรแปลกๆ คือปกติเวลาเราเห็นฟ้าครึ้มเมฆตั้งเค้ามาแต่ไกล ก็สันนิษฐานได้แล้วว่าฝนกำลังจะตกป่ะ เออ เขามีแต่จะรีบกลับให้ทันฝนหรือก่อนฝนลงป่ะ แล้วมาร์ค ต้วนนี่ยังไง มาบอกขอรอดูฝนก่อน ตรรกะแบบไหนของมันวะ
“จะรอให้ฝนตกแล้วค่อยกลับรึไง บ้าป่ะ” ถ้าตอบมาว่าใช่ นอกจากจะกวนตีนผิดมนุษย์มนา เขาจะคิดว่ามาร์คเข้าข่ายคนไม่ปกติละนะ
“เปล่า รอให้ฝนตกจะได้อยู่กับแบมแบมต่อต่างหาก”
แม่ง...
มันเกี่ยวกันตรงไหนไม่ทราบ!
แล้วทีหลังตอบอะไรมาก็ขอแบบที่ไปต่อได้ด้วยดิวะ ไม่ใช่มาทำให้เขาไปไม่ถูกแบบนี้! ถามอีกอย่าง...การบ้านนี่จะเสร็จเมื่อไหร่กัน พอจะทำงานไอ้พี่หัวแดงก็ขัดอีก ความราบรื่นของชีวิตไม่มีอีก ดีจังเลย เย้!
จะบ้าเหรอ!!!
“มีหออยู่ก็กลับไปหอตัวเองสิ ประตูอยู่นู่น เชิญ”
แบมแบมลุกขึ้น เดินไปหยิบร่มพับที่วางอยู่บนชั้นวางของแล้วกลับมายัดใส่มือมาร์ค คว้ากระเป๋าเป้กับกระบอกสีดำบนโซฟายัดใส่แขนให้แบบส่งๆ ก่อนจะดันหลังอีกฝ่ายไปที่ประตูห้อง ซึ่งไอ้พี่หัวแดงก็ยอมเดินตามแรงผลักอย่างไม่ขัดขืน
เขายืนพิงกรอบประตู มองมาร์คใส่รองเท้าด้วยความเร็วระดับอ้อยอิ่งกว่าจะใส่ได้ทั้งสองข้างและก้าวออกไปยืนที่โถงด้านนอก ถามอีกฝ่ายว่าเอาของไปครบหรือเปล่าอย่างทุกครั้ง แล้วถอยกลับเข้าห้องเตรียมปิดประตู แต่มาร์คก็ยื่นมือมาจับขอบประตูไว้
โว๊ะ อะไรอีกล่ะ เดี๋ยวดึงประตูให้หนีบนิ้วหักซะหรอก
“เหมือนฝนจะตกแรงเลยอ่ะ” แล้วไงวะ แล้วทำไมต้องทำหน้าตาน่าสงสาร ฝนยังไม่ตกซะหน่อย มันแค่ตั้งเค้ามาเฉยๆ ไหม ถ้ากลัวฝนลงแรงกลางทางก็ควรรีบกลับไปได้แล้วป่ะ ไม่ควรมายืนดันประตูห้องเขาไว้แล้วทำหน้าหมาหงอยใส่เขาป่ะ มาร์ค ต้วนนี่ยังไงเนี่ย
“ถ้าฝนตกก็กางร่มสิ ยากตรงไหน ผมไม่ได้ให้ร่มพี่ไปเฉยๆ นะ” แบมแบมส่ายหน้าอย่างระอาเต็มทนพลางดึงประตูให้ปิดแต่มาร์คก็ยังยื้อเอาไว้ เขาถอนหายใจ มองหน้ามนุษย์ผมแดงเจ้าปัญหาเป็นเชิงว่ามีอะไรอีก
“แล้วถ้าอยากได้เจ้าของร่มด้วยล่ะ ต้องทำยังไง”
บางอย่างในคำพูด สายตาที่ใช้มอง รอยยิ้มขี้เล่น ล้วนแต่ทำให้แบมแบมเกิดอาการไปไม่เป็นและอยากจะระเบิดตัวเองทิ้งมันซะตรงนั้น เขาเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง พยายามเค้นคำพูดยังไงก็มีแต่ความว่างเปล่าในสมอง สุดท้ายเลยขมวดคิ้ว ทำหน้ายุ่งอย่างขัดใจและหันมายื้อประตูอย่างเอาเป็นเอาตาย
“จะเอาไปทำไม บ้าหรือเปล่า”
มาร์คหัวเราะในลำคอ ยอมปล่อยมือจากขอบประตู “อืม ก็คงบ้าจริงๆ แหละ”
ไม่ไหวแล้วนะ…
...จะแย่แล้ว
ไอ้พี่บ้านี่ต้องกลับไปเดี๋ยวนี้เลย
“เดี๋ยว แบมแบม” เขาชะงักมือที่กำลังจะปิดประตู
“อะไรอีก”
เจ้าของชื่อมองรอยยิ้มคล้ายจะล้อเลียนอย่างไม่ไว้ใจ
“รู้ตัวหรือเปล่าว่าหูแดงอีกแล้ว”
แบมแบมทำหน้าเหลอหลาก่อนจะเปลี่ยนเป็นขึงตาและแยกเขี้ยวโมโหใส่มาร์คที่ยิ้มตาหยี ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่ปิดบัง เขาออกปากไล่ให้อีกฝ่าย’กลับไปได้แล้ว’อีกครั้งและแทบจะเหวี่ยงประตูปิดใส่หน้าแบบไม่คิดจะรักษามารยาทใดๆ
ขอให้แม่งเดินตกบันได!
เขาเอนหลังพิงบานประตู พรูลมหายใจยาวอย่างที่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหนื่อยกับการคุยกับมนุษย์กวนประสาทหรือโล่งใจที่มาร์คกลับไปได้เสียที ไม่ต้องให้ใครมาบอก แบมแบมรู้ตัวดีว่ากำลังเขิน เขายอมรับ ความเห่อร้อนบนหน้าและลามไปถึงหูเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้
เช่นเดียวกับใจที่ยังไม่หายเต้นแรง
แย่ว่ะ…
คราวนี้ยิ่งแย่ลงกว่าเดิมอีก
เขาจะรับมือกับความรู้สึกนี้ยังไงดี
.
.
.
“กูเศร้านะเนี่ยแบม สนใจกูหน่อย”
ระหว่างที่กำลังนั่งชิลรับลมเย็นหลังส่งงานที่ลานปูนกลางคณะ จู่ๆ คิมยูคยอมก็ถอนหายใจและพูดประโยคดังกล่าวขึ้นมาลอยๆ เรียกร้องความสนใจแบบไร้ที่มาที่ไป เดือดร้อนคนโดนเมนชั่นหาอย่างแบมแบมต้องหันไปถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
“เป็นเชี่ยอะไรอีก หญิงไม่ยอมให้ฟันรึไง” จากแอคติ้งโศกาน้ำตาปริ่ม แบมแบมหัวเราะร่าเมื่อเพื่อนสนิทจิ๊ปากขัดใจแล้วเปลี่ยนมาทำหน้าเซ็งใส่เขาแทน
“โห่ ไม่ใช่ดิ มึงนี่ขัดอารมณ์กูจัง”
“แล้วถ้าไม่ใช่ งั้นมึงเศร้าอะไร” พอถามไปแบบนั้น ยูคยอมก็กลับเข้าโหมดดราม่าอีกครั้ง ตอบคำถามของเขาด้วยการพร่ำพรรณนาเรื่องเศร้าใจของมันให้ฟัง
“ก็เดี๋ยวนี้น้องแบมดูจะติดใจวิถีสก๊อยจักรยานจนลืมเบาะหน้ารถพี่ไปแล้ว” คิมยูคยอมกล่าวด้วยน้ำเสียงกับสีหน้าตัดพ้อที่พอเห็นแล้วอยากจะถีบแม่งออกไปไกลๆ ลูกตา และแบมแบมบอกเลยว่ามันเป็นคำตอบที่น่าเอาไม้ทีฟาดปากคนพูดที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยิน
“ไร้สาระ” เขาพ่นลมหายใจอย่างเพลียจิต แน่นอนว่าคนอย่างยูคยอมไม่มีทางสลด เพื่อนตาเซ่อของเขาหัวเราะชอบอกชอบใจยิ่งนักที่ได้ปลดปล่อยความกวนตีนของตัวเอง ซึ่งอีกเดี๋ยวอาจได้ล่อตีนไปประดับบนใบหน้าเป็นของสมน้ำหน้าคุณ
“เอ้า เห็นช่วงนี้ซ้อนจักรยานพี่มาร์คกลับหอบ่อย นึกว่าติดใจ” แบมแบมขอย้ำอีกทีนะ เกลียดคิมยูคยอมจังเลยโว้ย!!! เคยแก้ไขความ(อยาก)เข้าใจแบบผิดๆ ของเพื่อนสนิทไปตั้งแต่ครั้งแรกที่มันเห็นแบมแบมกลับหอไปกับมาร์คแล้วนะ แต่แม่งก็ยังเก็บเป็นประเด็นเอามาล้อเขาได้ไม่เลิกไม่ลา บัดซบที่สุด
“ติดใจก็แย่ละ...ไม่ใช่เว้ย”
และไม่ได้มีแค่คิมยูคยอมคนเดียวให้ต้องไฝว้ด้วยทุกสามเวลาก่อนหลังอาหาร
“ไม่หรอก กูว่ามันติดใจเจ้าของจักรยานมากกว่า” แบมแบมยังมีเพื่อนสนิทที่เรียนอยู่ภาคไอเออย่างชเวยองแจอีกคน เฟี้ยวสุดคือมีหน้าที่เป็นฝ่ายคอยยุยงส่งเสริมเพื่อนเบอร์หนึ่งกันอย่างเข้าขา แล้วแม่งชอบรวมหัวกันสองคนมาแกล้งแบบเป็นแพ็คคู่ ส่วนไอ้คนโดนแกล้งก็ต้องต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว
โหย นี่พูดเลย ชีวิตไม่น่าสงสารก็ไม่ได้ชื่อกันต์พิมุกต์ ภูวกุลแล้ว
“เกลียดพวกมึง” เช่นเดียวกับยูคยอม ไม่ปรากฏความสลดใดๆ ในตัวเพื่อนเบอร์สองนอกจากหัวเราะไปกับเพื่อนเบอร์หนึ่งอย่างสนุกสนาน เออ นี่ก็คบกันมาจนขึ้นปีสองละ อยากถามพวกมันจริงๆ นะ ไอ้การแกล้งเขามันน่าสนุกตรงไหนวะ โดนด่าแล้วมีความสุข? ถามความเห็นดาวก่อนสิว่าอยากโดนแกล้งไหม สัด!
โรคจิตกันทั้งบาง
“โธ่ น้องแบมเป็นสก๊อยก็ไม่เลวร้ายอะไรนี่ ออกจะน่ารักมุ้งมิ้ง”
“เชิญมึงมุ้งมิ้งไปคนเดียวเถอะ”
เขาเบ้ปากใส่คู่หูดูโอ้ประสาทแดกและกลับมาให้ความสนใจกับรูปสเก็ตช์งานในสมุดบนตัก นั่งคิดงานอยู่ดีๆ ก็มีอันต้องหงุดหงิดใจอยากจะโยนดินสอทิ้ง เมื่อมนุษย์ขี้แกล้งอีกคนโผล่ขึ้นมาในความคิด
ก็...คนนั้นแหละ คนที่มีจุดเด่นเป็นผมสีแดงอ่ะ
นิสัยกวนตีนมากจนน่าด่า
...แถมยังพูดจาไม่เข้าท่าอีก
‘แล้วถ้าอยากได้เจ้าของร่มด้วยล่ะ’
ถ้าไม่ช่วยให้คิดงานออก ก็อย่ามาหลอกหลอนอยู่ในหัวแบบนี้ได้เปล่า ขนาดสวดไล่ทุกคืนก่อนนอนกันเก็บไปฝันร้ายก็ยังไม่ยอมหายไปสักที เหนือชั้นขึ้นไปอีกคือสามารถสร้างความวูบวาบแปลกๆ ให้เขาได้แม้จะแค่แวบเดียวที่นึกถึง ช่างเป็นบุคคลที่น่ากลัวจริงๆ เลย
แบมแบมสะบัดหัวไล่มาร์คออกไปเมื่อได้ยินโทรศัพท์แผดเสียงร้องจากในกระเป๋า เขาหยิบขึ้นมา มองชื่อคนโทรเข้าก่อนจะกดรับ ทักทายปลายสายด้วยเสียงเบื่อหน่าย ยุนดูจุนไม่มีการอ้อมค้อม บอกธุระแสนสั้น ถามว่าว่างไหมและวานให้เขาซื้อกระดาษเอาไปให้ที่สตูดิโอ มีเสียงโหวกเหวกที่น่าจะเป็นแจ๊คสัน หวังแทรกเข้ามาว่าฝากซื้อนมกล้วยด้วย ก่อนสายจะตัดไป
“มึงจะไปไหน” ยูคยอมทักเมื่อเห็นเขาลุกขึ้นปัดกางเกงและเก็บของใส่เป้
“ร้านเครื่องเขียน” แบมแบมหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพาย “แล้วก็ไปหาดูจุนที่สตูฯ”
“อ๋อ…ไปห้องสตูฯ ปีสาม”
ยองแจกับยูคยอมร้องอ๋อขึ้นมาพร้อมกัน เขามองเพื่อนสนิทที่พยักหน้ายิ้มๆ เข้าใจถูกแน่นอนว่ากำลังคิดอะไรกันอยู่ ไม่พ้นเรื่องสิ่งมีชีวิตสีแดงแน่ล่ะ ทั้งที่พูดชัดเจนว่าไปหาดูจุนแต่เหมือนมันสองคนจะรับรู้กันผิดประเด็น อยากเหวี่ยงกระเป๋าใส่หัวแม่งสักที แต่เขาจะไม่เสียเวลาไร้สาระกับพวกมัน แบมแบมถอนหายใจ ส่ายหน้าหน่ายๆ แล้วบอกลา
เขาซื้อกระดาษที่ร้านใต้ตึกห้องสมุด แวะซื้อนมกล้วยที่คาเฟ่ติดกัน แล้วกลับมาที่ตึกสตูดิโอ ขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง แบมแบมหยุดยืนอยู่หน้าห้องสตูดิโอสาม มองหาดูจุนผ่านช่องกระจกบนบานประตูก่อนจะผลักเข้าไปข้างใน พี่เทคโบกมือให้หยอยๆ มาจากโต๊ะแถวริมหน้าต่าง เดินไปหาก็เห็นว่ากำลังนั่งทำงานกับกลุ่มเพื่อนที่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา
...ไม่สิ เหมือนจะขาดมนุษย์ผมแดงไปหนึ่งคน
“มาร์คไม่อยู่หรอก ไปคุยแบบกับอาจารย์” แบมแบมขมวดคิ้วใส่ใบหน้ายิ้มแย้มของพี่เทค เขาว่าเขายังไม่ได้ถามถึงมาร์ค ต้วนสักคำเลยนะ ไม่เข้าใจว่าดูจุนจะบอกทำไม หน้าตาเขาดูสงสัยใคร่รู้วิถีชีวิตไอ้พี่หัวแดงนั่นมากเลยงั้นดิ มันจะไปไหนแล้วเกี่ยวอะไรกับเขาล่ะวะ
“ไม่ได้อยากรู้ซะหน่อย”
“ก็เห็นมองหาอยู่”
อะไรๆ อย่ามา ไม่ได้มองหาเลยโว้ย!
“กระดาษที่ฝากซื้อ จ่ายตังค์ด้วย” แม้จะเริ่มชินเพราะโดนแซวบ่อยแต่มันก็น่ารำคาญ แบมแบมเลยตัดบทเปลี่ยนเรื่องเองเสียเลย เขาวางม้วนกระดาษลงบนโต๊ะและแบมือไปตรงหน้าดูจุน “หรือจะเลี้ยงข้าวก็ได้นะ ถือว่าจ่ายคืนเหมือนกัน”
แบมแบมหัวเราะเมื่อโดนผลักหัวแทบคว่ำ ดูจุนล้วงกระเป๋ากางเกงด้านหลัง วางแบงก์ยับๆ ลงในมือเขา ในตอนนั้น แจ๊คสันก็พุ่งตัวมาถามหานมกล้วยพร้อมเงินจำนวนพอดีเป๊ะโดยไม่ต้องทวง เจาะหลอดดูด งอแงใส่เพื่อนทำนองว่าขี้เกียจดราฟงานใหม่ก่อนจะโดนไล่ให้กลับโต๊ะ
“ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม จะได้กลับ” ถามขัดพี่เทคที่ทำท่าจะหันไปตีกับแจ๊คสัน เรียกร้องให้สนใจเขาก่อน แบมแบมไม่อยากอ้อยอิ่งอยู่นานกว่านี้ อันที่จริงคือไม่อยากเจอมาร์ค ไม่มีเหตุผลว่าทำไม แต่จะคิดว่าเป็นเพราะช่วงนี้เจอหน้ากันบ่อยเกินไป เบื่อจนไม่รู้จะเบื่อยังไงแล้ว และเขาจะไม่อยู่รอจนเห็นหัวแดงๆ โผล่มา
ดูจุนหยุดเล่น หันมาหาด้วยสีหน้ายิ้มๆ “ไม่รอกลับพร้อมมาร์คเหรอ”
แล้ว-มัน-เรื่อง-อะ-ไร-ที่-เขา-ต้อง-รอ-กัน-ล่ะ-?
อย่าคิดว่าเป็นพี่เทคแล้วจะไม่กล้าไฝว้นะเว้ย
“โอเค งั้นไม่มี แบมกลับล่ะ” พูดเองตัดสินใจเองเสร็จสรรพและผละออกจากการยืนพิงโต๊ะ ขณะเดียวกัน อิมแจบอมก็ส่งเสียงโพล่งขึ้นกลางวง
“เฮ้ยๆ มึง มาร์คลืมหยิบงานไปแผ่นนึง เอาขึ้นไปให้มันหน่อย ใครก็ได้” ทุกสายตาจับจ้องไปยังมนุษย์แว่นกับผมสีเทาเงินที่ถือโทรศัพท์แนบหู ถ่ายทอดคำพูดจากคนในสายให้เพื่อนได้ร่วมรับรู้
แล้วทุกสายตาก็ย้ายมาปรึกษาหารือกันในหัวข้อใครว่างที่สุด ยืนฟังมติเกี่ยงกันว่าใครจะเป็นคนวิ่งขึ้นไปห้องอาจารย์บนชั้นสาม แต่มันเป็นเรื่องนอกเหนือความรับผิดชอบของเขา แบมแบมขอชิ่งออกมาเงียบๆ ดีกว่า
“แบม…” แต่ไม่ทันได้ก้าวไปไหนก็ต้องชะงัก เมื่อจู่ๆ สายตาเจ็ดคู่เคลื่อนมาหยุดที่เขาโดยพร้อมเพรียง
มะ...มองทำไมกันวะ
“อะไร” แบมแบมหันไปหายุนดูจุนที่เป็นคนเรียกเขาเมื่อกี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของพี่เทคดูยังไงเรื่องที่กำลังจะพูดต่อไปก็ไม่น่าจะใช่เรื่องดี
...รู้สึกเหมือนงานจะเข้า
“ไหนๆ ก็ยังไม่กลับและแกก็ว่าง...”
“อะไร ใครว่าง ไม่ว๊าง แบมต้องกลับหอแล้ว พี่ดูดิเนี่ย เหมือนฝนจะตกเลย แบมต้องกลับไปเก็บผ้า” เขารีบพูดแทรกเสียงสูงพร้อมอธิบายเหตุผลให้ฟังในรวดเดียวโดยไม่รอให้จบประโยค พลางชี้ให้อีกฝ่ายดูท้องฟ้าขมุกขมัวคล้ายฝนจะตกข้างนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าจริงจัง
“รู้หรือไงว่าจะให้ทำอะไร”
“ก็เดาได้อยู่ว่าไม่น่าใช่เรื่องดี” ดูจุนทำหน้าเหมือนอยากจะลุกขึ้นมาตบหัวน้องเทคตัวเองสักป้าบ
“แค่จะขอให้ช่วยเอางานไปให้เพื่อนพี่นี่ไม่ดีตรงไหนวะ”
ทุกตรงเลยเหอะ
“ไม่ดีตรงแบมโดนใช้นี่แหละ” และไม่ดีตรงคนที่ต้องเอาของไปให้คือคนที่แบมแบมไม่อยากเจอมากที่สุดไง วินาทีนี้เลี่ยงได้ขอเลี่ยง เลี่ยงไม่ได้ก็จะหาทางเลี่ยงให้ได้ แต่อะไรคือโดนดูจุนบล็อคทางกันเฉย แถมยังหางานให้แบบไม่มีถงไม่มีถามสุขภาพสักคำ
“มีน้องต้องใช้งานน้องให้คุ้มดิ”
“ถามน้องก่อนสิว่าอยากโดนใช้หรือเปล่า”
“โอเค คราวหน้าจะถาม แต่ตอนนี้พวกพี่ต้องแก้งานส่งให้ทันสี่โมง น้องคงต้องยอมโดนใช้ก่อนล่ะ” คนเป็นน้องกวาดตามองบนโต๊ะของพวกคนเป็นพี่ที่มีกระดาษเขียนแบบแผ่กางไว้เหมือนกันหมด ลักษณะดูเร่งรีบปั่นงานตาเหลือกกันทุกคน
เขาเหลือบมองนาฬิกาดิจิตอลบนผนัง บ่ายสามสี่สิบเจ็ด แล้วเบนสายตากลับมาเมื่อดูจุนพล่ามต่อ
“พี่รู้ว่าน้องแบมของพี่เป็นเด็กดี ใช้งานได้ เพราะงั้น…” พี่เทคที่เคารพพูดพร้อมส่งม้วนกระดาษมาให้แบบแทบจะยัดใส่มือ “...ฝากเอาขึ้นไปให้มาร์คหน่อย”
“เฮ้ย พี่ เดี๋ยว...” แบมยังไม่ได้รับปากเลยโว้ย!
“ชั้นสาม เลี้ยวขวา ห้องเกือบสุดทางเดิน”
“แต่...”
“รีบขึ้นไปนะ จะถึงคิวตรวจของมันแล้ว”
นี่ยุนดูจุนฟังกันบ้างไหมเนี่ย!
..
.
อะไรเอ่ย อยู่เฉยๆ ก็งานเข้า
แบมแบมลากตัวเองขึ้นบันไดมาชั้นสาม เลี้ยวขวาตามพิกัดที่ได้มา เกือบสุดโถงทางเดินโล่งๆ เห็นปีสามไม่กี่คนจับกลุ่มนั่งกันบริเวณหน้าห้อง พิจารณางานของตัวเองที่กางอยู่บนพื้น บางคนยังคงลบๆ วาดๆ แก้นั่นแก้นี่เพื่อความพอใจที่ไม่มีสิ้นสุด ระหว่างรอตรวจ
ในบรรดากลุ่มคนผมสีเข้ม เรือนผมสีน้ำตาลแดงหาเจอได้ไม่ยาก เขาเห็นทันทีแทบไม่ต้องมองหา มาร์ค ต้วนนั่งอยู่ริมทางเดินด้านหน้าต่างที่มีมู่ลี่บังแสงยาวปิดทั้งบาน ก้มหน้า กัดริมฝีปากล่างขณะเปิดงานแต่ละแผ่นดูสลับกันซ้ำไปซ้ำมา
“นี่...” เรียกเบาๆ และใช้ม้วนกระดาษในมือสะกิดๆ ไหล่อีกฝ่ายให้สนใจ มาร์คเงยหน้าขึ้น คลายหัวคิ้วที่ขมวดมุ่น มีสีหน้าประหลาดใจแวบนึงก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม
“อ้าว แบมแบม” เขาย่อตัวลงนั่งยองๆ ตรงข้าม มองหน้าตาสะโหลสะเหลเหมือนอดนอนมาทั้งอาทิตย์ของอีกฝ่าย กำลังแสดงสีหน้าบอกไม่ถูก แต่แบมแบมจะเข้าใจว่ามันคือหน้าหมางงไปแล้วกัน เพราะมาร์คดูค่อนข้างแปลกใจเสียเหลือเกินที่เห็นเขา
“เพื่อนพี่ให้เอางานมาให้” โดยไม่รอให้ถาม เขาบอกถึงเหตุผลที่มาและยื่นของในมือให้ มาร์คเลิกหางคิ้ว รับม้วนกระดาษไปกางออก กวาดตาดูก่อนจะเงยขึ้นมา ยิ้มขี้เล่นแบบที่ทำให้ภายในท้องของเขาพลิกกลับด้านกะทันหัน
“นึกว่ามาเพราะคิดถึงซะอีก”
อะไรนะ...ให้โอกาสตั้งสติแล้วพูดใหม่
มาร์ค ต้วนอย่ามาตลก
“มีอะไรน่าคิดถึงด้วยเหรอ” เอาจริงนะ คนแบบนี้มีอะไรให้คิดถึง ถึงการที่มาร์คมักจะโผล่แทรกขึ้นมาเวลากำลังคิดอะไรอยู่สักอย่าง แต่นั่นไม่จัดอยู่ในหมวดเดียวกับคำว่าคิดถึง ควรเรียกว่าหลอกหลอน สิ่งมีชีวิตสีแดงผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในหัว ไม่สามารถควบคุมได้และทำให้เขาหงุดหงิดใจ
“ก็มีพี่ไง”
“นั่นคือสิ่งที่ไม่น่าคิดถึงที่สุดเลยล่ะ”
มาร์คกดยิ้มมุมปากเหมือนกลั้นขำอย่างที่ชอบทำก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง
“พกกล่องดินสอมามั้ย พี่จะแก้งานแต่ไม่ได้เอาอะไรมาเลย ขอยืมหน่อยสิ” ซึ่งเป็นคนละเรื่องกันอย่างสิ้นเชิง หรือเพราะคำตอบเมื่อกี้มันตันจนไปต่อไม่ได้ เลยจบลงที่เอ่ยปากขอยืมกล่องดินสอของเขา
“ก็ไปยืมเพื่อนสิ เยอะแยะ”
“ก็พี่อยากยืมแบมแบม” ยังจะมาตอบหน้าซื่อ โอเค แบมแบมจะไม่พูดอะไรแล้ว เหตุผลกวนตีนมากอ่ะ เออ ผิดเองที่ลืมไปว่ากำลังสนทนากับใครอยู่ เข้าใจยากจริงๆ เลยมึง เขาพ่นลมออกจากจมูกและเปิดกระเป๋าเป้หยิบกล่องพลาสติกที่ใช้เก็บอุปกรณ์เขียนแบบออกมาให้
“กินข้าวรึยัง” มาร์คถามต่อขณะแก้อะไรสักอย่างในกระดาษที่ดูเหมือนรูปตัดอาคาร
“จะอยากรู้ไปทำไม” เห็นว่าตัวเองคงยังไม่ได้กลับในเร็วๆ นี้แน่ แบมแบมเปลี่ยนท่าเป็นนั่งขัดสมาธิ เท้าคางมองงานของปีสามที่เพียงแค่มองดูก็ชวนให้ปวดตับ แต่พอได้ยินที่คนผมแดงพูด แบมแบมก็อยากจะลุกหนีทันที
“ก็ไม่ทำไมหรอก พี่แค่อยากไปกินข้าวกับนายเฉยๆ”
แม่ง...
“เฮ้ย ใครตรวจต่อกู” เสียงประตูเลื่อนเปิดและปิดลง พี่ปีสามที่แบมแบมจำได้ว่าชื่ออีซองยอลหันซ้ายหันขวาถามเพื่อนร่วมชะตากรรมที่นั่งรอกันอยู่หน้าห้อง มาร์คเงยหน้าขึ้น ส่งเสียงบอกเพื่อนว่าตัวเองเป็นคนถัดไป ก่อนจะม้วนๆ รวบๆ งานเข้าด้วยกัน เก็บปากกาใส่กล่องอย่างเร่งรีบ
“รอพี่ตรวจงานแปป แล้วเดี๋ยวไปกินข้าวกัน”
“ยังไม่ได้บอกเลยว่าจะไปกินด้วย”
“งั้นไม่ต้องกินก็ได้ ไปนั่งเป็นอาหารตาให้พี่ก็พอ”
“ตลกละ...แล้วจะเอากล่องไปด้วยทำไมวะ คืนก่อนดิเห้ย!” มาร์คลุกขึ้นยืนและเดินไปพร้อมกระดาษงานกับกล่องใส่ของของเขา ไร้การตอบรับคำทวงใดๆ จากไอ้พี่หัวแดงทั้งสิ้น ไม่ได้ยินหรืออะไร หูหนวกฉับพลันเหรอ? พอไปถึงหน้าห้อง อีกฝ่ายก็หันมาทางเขา ขยับปากเป็นคำว่า
“รอแปปนึง” ก่อนจะหายเข้าไปในห้องพักอาจารย์
เรื่องอะไรจะรอ
แต่พอคิดได้ว่าในกล่องนั้นมีปากกาโคปิคอีกสิบกว่าแท่งและอุปกรณ์เขียนแบบที่ต้องใช้ทำงาน...
เออ รอก็ได้!
TALK
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ทุกคอมเม้นท์นะคะ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามเสพฟิคเรื่องนี้และถามไถ่ถึงมันเสมอ
ดีใจที่ชอบกัน ติชมได้เช่นเคยนะจ๊ะ <3
เจอกันตอนหน้าคร้าบบบบบ
ปล.ภาควิชาไอเอ(IA) ย่อมาจาก Interior Architecture มันคือภาควิชาสถาปัตยกรรมภายใน
ปลล.ปากกาสีโคปิคแท่งนึงแพงมาก แพงแบบ มึงจะแพงไปไหนว้า -_- แต่ใช้ดีจริง
ความคิดเห็น