ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ห้วงเวลาพบรัก

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 5 มิ.ย. 62










    1



             มีเรื่องเล่าปากต่อปาก ของผู้แสวงหารักแท้ ว่าใครที่ได้เข้าไปในร้านกาแฟ พบรักษ์ ที่ตั้งอยุ่ย่านเมืองเก่า ตอนช่วงฟ้าเปลี่ยนเป็นสีทอง จะได้พบกับเนื้อคู่ ผู้คน ที่ต้องการพบรักแท้ ต่างแห่เหนกันมาที่นี้ คิดหวังจะได้พบ ชายหรือหญิงที่เป็นคู่แท้ของตน วันแล้ววันเล่า ไม่มีใครได้ดั่งหวัง เรื่องเล่าอันน่าประทับใจ กลับกลายเป็นเพียงเสียงเล่าแผ่วเบา และสุดท้ายคนต่างคิดว่าเป็นเพียงกลยุทธทางการค้า ผู้คนเริ่มหดหาย ร้านกาแฟกลับมาเงียบสงบและเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์อีกครั้ง เพื่อต้อนรับชายและหญิงซึ่งเป็นรักแท้ของกันและกัน 


               สายฝนที่เริ่มโปรยปรายในช่วงต้นเดือนมิถุนา เป็นสัญญานบอกให้ให้รู้ว่าได้เข้าสู่หน้าฝนแล้ว เสียงเม็ดฝนที่ตกกระทบหลังคารถ สอดคล้องกับเสียงปัดกระจกหน้า คลอด้วยเสียงดีเจแผ่วเบา ทำให้จิตใจชายหนุ่มหลังพวงมาลัยผ่อนคลายลง นี่ก็ล่วงเลยมาชมกว่าแล้วที่เขาติดแหงกอยู่ แยกนี้  ทันทีที่นาฬิกาบอกเวลา 17:00 เขาก็เก็บของรีบออกจากบริษัททันที เพื่อตรงกลับบ้าน แต่ต้องมาติดบนถนนร่วมชม. แล้วฝนยังตกลงมาอีก ชายหนุ่มจ้องมองไปด้านหน้า เหลือบมองตัวเลขสีแดงที่วิ่งถอยหลังวินาที ในความรู้สึกของเขามันช่างยาวนานเหลือเกิน เบนหน้าไปมองท้องฟ้าที่สีส้ม ชมพู ฟ้า ที่ผสมปนเปกัน สวยงามเหมือนภาพวาด ขอแค่พ้นแยกนี้ไปเท่านั้น เขาคิด  ด้วยงานทีทำมาทั้งวันทำให้เขาโหยหาบ้านมากกว่าทุกครั้ง. 10 9 8 …. 3 2 1แสงสีแดงเปลี่ยนเป็นสีเขียว รถทุกคันต่างเบียดเสียดไปข้างหน้า 


               รถเคลื่อนไปตามถนนใหญ่ ข้ามสะพานข้ามแม่น้ำสายหลักของเมือง เข้าสู่ย่านชุมชนเก่า ตึกสูงระฟ้าและจอแอลอีดีถูกแทนที่ด้วย บ้านสองชั้น วัด และอาคารเก่า รถเลี้ยวเข้าซอยเล็กๆมีนักท่องเที่ยวเดินกันปะปลาย หน้าร้านกาแฟตึกแถวห้องเดียวเล็กๆซ้ายมึอ  ที่เคยเต็มไปด้วย หนุ่มสาว จับกลุ่มกันหน้าร้าน บัดนี้กลับเงียบเหงาไร้ผู้คน

               ราเชนทร์ได้แต่นึกขำ เขาเคยได้ยินมาบ้าง เรื่องมันเริ่มจากสองปีก่อน มีคอลัมน์นิตยสารแฟชั่นรายสัปดาห์ฉบับหนึ่ง เขียนเล่าเรื่องราวการได้พบคนรัก ที่ร้านกาแฟ "พบรักษ์" ที่อยู่ย่านเมืองเก่า  ทันที่ที่บทความออกเผยแพร่ ผู้คนก็แห่กันมาจนมีช่วงนั้น ร้านแน่นขนัด ชาวบ้านแถวนี้พลอยค้าขายคึกคักตามกันไปด้วย แต่กับเขาแล้ว เขาคิดว่ามันช่างไร้สาระ ถึงเขาจะพึ่งมาอยุ่บ้านหลังนี้แบบจริงๆจังๆได้ไม่นาน แต่เขาก็ไปๆมาๆ และเห็นร้านนี้ตั้งแต่เด็กๆ สมัยอาแป๊ะรักษ์เจ้าของร้านยัง ยืนชง กาแฟ จนตอนนี้ลูกหลานของอาแป๊ะ เข้ามาปรับปรุงจากร้านกาแฟบ้านๆกลายเป็นคาเฟ่เก๋ๆที่มีเรื่องราวรักๆใคร่ๆ ดึงดูดลูกค้าไปซะแล้ว รถเคลื่อนไปหยุดที่บ้านเดี่ยวหลังปานกลาง  ท้ายซอย เขาดับเครื่องยนต์ หยิบแฟ้มงาน พิมพ์เขียวและกระเป๋าสตางค์รวมถึงโทรศัพท์มือถือ ล๊อครถ และเดินเข้าบ้านไป


             บ้านเป็นบ้านไม้ผสมปูน มีสวนหย่อมสไตล์ญี่ปุ่นเล็กๆหน้าบ้าน หินกรวดสีขาวโรยปูเป็นทางเดินนำไปสู่ประดูบ้าน ภายในบ้านสองชั้นขนาดกำลังดี แม้โครสร้างภายนอกจะดูเก่าแบบอนุรักษ์นิยม แต่ภายในกลับดูทันสมัย ซ้ายมือ เป็นผนังกระจกทั้งบาน ที่มองเห็นตึกสูงทันสมัยใจกลางเมืองห่างออกไปโดยมีแม่น้ำเจ้าพระยากั้นกลาง มีชานไม้ตีออกไปสำหรับพักผ่อน เสียงน้ำกระทบคอนกรีตดังแผ่วเบา ชายหนุ่มเดินขึ้นไปชั้นสองมุ่งไปยังห้องนอน เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสบาย เดินกลับลงมายังห้องครัว เปิดตู้เย็น ดูว่ามีอะไรบ้างที่จะทำให้เขาอิ่มท้อง เขาพบเพียงเนื้อหมูสันนอกหันเป็นชิ้นสเตกส์ ที่เขาซื้อมาเมื่อสองวันก่อน กับผักเครื่องเคียงอีกนิดหน่อย และไข่ไก่อีกสองฟอง พึ่งต้นเดือนแท้ๆ ราเชนทร์กวาดทุกอย่างที่มีออกมาลงมือทำมื้อเย็นง่ายๆ ไม่กี่นาทีอาหารก็พร้อมกิน แม้หน้าตาจะไม่สวยงามแต่รสชาติก็พอประทังชีวิตได้ เขาเดินถือจานมาที่โต๊ะหน้าทีวี กดรีโมตเปิดดูข่าว ข่าวที่ไม่ว่าจะผ่านไม่กี่ยุคสมัยก็ยังคงวนเวียนแบบเดิม การเมืองที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์ ข่าวความรุนแรงต่างๆก็เห็นกันจนชินตา สองมือหั่นเนื้อสเต็กส์เข้าปาก ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเช่นทุกวัน  ไร้ซึ่งสีสรร หากแต่เขาก็พอใจ 

     

          ครืด ครืด


    เสียงโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะสั่น เขาเอื้อมมือไปกดสไลด์รับสายโดยไม่ต้องมองหน้าจอ เวลานี้มีไม่กี่คนที่โทรหาเขา กดเปิดลำโพง กรอกเสียงราบเรียบ

    “ว่าไง” 


    “พรุ่งนี้พี่จะกลับมาบ้านไม๊” เสียงหวานใส เอ่ยถาม ชิชา น้องสาวแสนสวยของเขาที่อาศัยอยุ่บ้านใหญ่

     

    “ทำไม” เขาตอบ พลางจิ้มเนื้อเข้าปาก อย่างไม่ใส่ใจ สายตาก็จับจ้องจอสี่เหลี่ยมข้างหน้าที่ตอนนี้เปลี่ยนจากรายการข่าวเป็นละครไปแล้ว

     

    “ก็แม่ให้ถามนะสิ แล้วสรุปพรุ่งนี้พี่จะเข้ามาไม๊ แม่จะได้เตรียมมื้อเย็นให้” เสียงใสเริ่มเจือไปด้วยความขุ่นมัว เพราะเธอต้องมาเป็นตัวกลางระหว่างแม่และพี่ชายเสมอๆ “แม่เขาคิดถึงพี่นะ”


    “อือ เดี่ยวเข้าไป ค่ำๆ” เสียงของเขายังคงราบเรียบ 

               ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ที่เขาไม่ได้คุยดีๆกับแม่ คงเป็นตอนที่พ่อเสียหล่ะมั้ง หรือตอนที่เขาตัดสินใจย้ายออกกันนะ ตั้งแต่จำความได้เขาก็รู้ว่าแม่ของเขา หรือคุณดารินกานต์ เป็นนักธุรกิจ ที่สวยและเก่ง เป็นที่เคารพของคนในแวดวงเดียวกัน แต่ความสัมพันธ์ภายในบ้านนั้นกลับย่ำแย่ พ่อและแม่มีปากเสียงกันตลอด แม่มีความสุขกับการทำงานมากกว่าที่จะทำหน้าที่แม่ เขาจึงเติบโตขึ้นมาด้วยการเลี้ยงดูของพ่อและพี่เลี้ยง มันเป็นตอนที่เขาอายุย่าง 15 ตอนเขารู็ว่าแม่กำลังจะมีน้อง เขาคิดว่าน้องคงได้พบกับชะตากรรมเดียวกัน แค่คิดเขาก็เศร้าใจ นั่นคือสิ่งที่เขาคิดในตอนแรก ไม่นานหลังจากชิชาเกิด  พ่อก็จากโลกนี้ไป แม่เลยต้องพักงานและกลับมาทำหน้าที่แม่ให้กับน้องสาวของเขาที่ยังเล็กอยู่ และตั้งแต่ตอนนั้นเขากับแม่เริ่มที่จะไม่คุยกัน อยุ่บ้านเดียวกันแต่ไร้ซึ่งความสัมพันธ์ เขาไม่เคยรู้ว่าเป็นเพราะอะไร ลึกๆเขาไม่ได้โกรธ แต่แค่ไม่รู้ว่าจะคุยอะไร  ทันทีที่เขาเรียนจบ เขาเลยตัดสินใจ ที่จะออกมาอยู่เอง เขาไปบอกแม่ให้รับรู้ ว่าเขาจะมาอยู่บ้านริมน้ำของพ่อ นั่นเป็นวันที่เขาและแม่มีปากเสียงกันครั้งแรก เขายังจำคำพูดของตัวเองในวันนั้นได้ดี 'ผมไม่ได้มาขออนุญาติแม่น่ะ ผมแค่มาบอก เพราะแม่เป็นแม่ ผมตัดสินใจแล้วยังไงผมก็จะย้ายออก' 


    วันนั้นก็เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นน้ำตาแม่ ในใจเขาก็ร้องไห้เช่นกัน


    “ฮัลโหล พี่ ฮัลโหลววว ยังอยุ่ไหมค่าา” เสียงน้องดึงสติให้เขากลับมาสู่ปัจจุบัน 


    “อือ มีไรอีก” 


    “ชา แค่จะบอกว่า พี่อะเลิกโกรธแม่ได้แล้ว ชาเห็นแม่ ดูรูปพี่กับพ่อแล้วร้องไห้ตลอดเลย คุยกันดีๆสิ”  เขาก็ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้สักหน่อย แต่มาไกลเกินจะกลับไปคุยได้ปกติ เขาคุ้นชินกับการไม่พูดไปแล้ว


     “จะพยายาม” เขาได้ยินเสียงเขาตอบกลับไปแบบนั้น 


    “โอเคร แค่นี้แหละ พรุ่งนี้เจอกันค่ะ” เขาวางโทรศัพท์ลงข้างจาน เอนตัวพิงพนักโซฟา สายตาจับจ้องทีวีเบี้องหน้า ภาพ ตัวละครวิ่งผ่านตาไปมาอย่างไร้ความหมาย เพราะเขามีเรื่องให้คิดทบทวนมากกว่าจะใส่ใจดูละครตบตีแย่งผู้ชายของละครไทย พรุ่งนี้เขาควรเริ่มพูดคุยกับแม่เรื่องอะไรดีนะ การเมืองหรอ หรือเศษฐกิจ หรือละครที่เขากำลังดูอยู่นี่ดี เมื่อคนเราขาดการพูดคุยกันไปนานๆเราจะยังกลับมาพูดคุยกันอีกได้ไม๊นะ เขาได้แต่ขบคิด 


    “เฮ้ออ”  ราเชนทร์ถอนหายใจ กดปิดรีโมททีวี เดินไปที่ครัวกวาดเศษอาหารลงถุงขยะ ล้างจาน เก็บกวาดครัว เดินขึ้นชั้นสองและล้มตัวนอนบนเตียงคิงไซส์ หมดไปอีกหนึ่งวันที่เรียบง่าย ดวงตายังคงเปิดมองเพดาน และคิดไม่ตกกับการพบแม่ในรอบ2ปี และสุดท้ายเขาก็ผลอยหลับไป











    ปล.จากใจคนเขียนเป็นเรื่องแรกที่ลองแต่งค่า ฝากติดตามติชมได้นะคะขอบคุณค่า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×