ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ใครไม่สาด Mozart

    ลำดับตอนที่ #2 : ออกเดินทางกันเถอะ

    • อัปเดตล่าสุด 30 ม.ค. 58



    Let's go!

     

    21/08/14

     

    เชื่อไหม ฉันนั่งจ้องกระเป๋าเดินทางสีดำใบใหญ่ที่ยังไม่ได้รูดซิปนี่มามากกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว มันโล่งเกินไป…ไม่ใช่กระเป๋านะที่โล่ง แต่ในหัวของฉันต่างหาก มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้เลย สองสามเดือนก่อนหน้านี้ ฉันเคยจินตนาการว่ามันคงจะตื่นเต้นและรู้สึกโหวงๆไปพร้อมๆกัน แต่นี่อะไร วันสุดท้ายที่จะได้อยู่บ้าน ฉันกลับนอนตื่นสายโด่ง เดินไปต้มมาม่ากินราวกับว่าวันนี้ไม่ได้มีอะไรพิเศษ เอาน่า ก็แค่วันวันหนึ่ง

     

    ระหว่างที่นั่งซดน้ำมาม่าร้อนๆอย่างสบายอารมณ์ในอากาศที่อบอ้าว เสียงแจ้งเตือนไลน์ก็ดังขึ้น ไลน์จากปีา

     

    ป๊า:เมื่อวานที่บอกว่าอยากได้กล้องโพราลอยด์น่ะ จะเอาสีอะไร เผื่อมีจะดูให้

    ฉัน:เอิ่ม เอาสีดำรุ่นนี้อ่ะค่ะ

     

    ฉันตอบพร้อมกับแนบรูปกล้องที่เพิ่งเสิร์ชจากอินเตอร์เน็ตสดๆร้อนๆส่งให้ป๊า ที่จริงอยากได้ตังนานแล้ว กล้องโพราลอยด์มินิเนี่ย แต่ไม่มีตังค์ซะที พอเก็บตังค์พอก็ไม่กล้าซื้อ เสียดาย เฮ้อ

    ปกติป๊าของฉันไม่ซื้ออะไรแพงๆให้ง่ายๆหรอก เว้นเสียแต่ว่าจะซื้อให้เนื่องในโอกาสพิเศษอะไรแบบนี้ เช่น พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของฉัน

     

    ใช่ พรุ่งนี้เป็นวันเกิดครบรอบอายุสิบเจ็ดปีของฉันและวันเดินทางสู่โลกกว้าง ก็ไม่ได้กว้างเท่าไหร่เถอะ เอาเถอะ ช่างเถอะ

     

    ตกเย็น ฉันอาบน้ำแต่งตัวพร้อมเดินทาง… ไปไหว้ลาคุณย่าคุณอาคุณญาติเยื้อเชื้อสายก่อนไปที่สนามบิน ตอนนี้กระเป๋าถูกปิดล็อคอย่างดีแล้ว ฉันนั่งรอป๊ากลับมาจากที่ทำงานเพื่อมารับฉันกับแม่ ฉันนั่งสไลด์นิ้วไปตามหน้าจอสมาร์ทโฟนของตัวเอง อ่านไทม์ไลน์ที่ไหลไปเรื่อยๆ บางข้อความมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเลยซักนิด พอเอามาอ่านต่อๆกันมันก็ตลกดี อย่างเช่น จัสตินบีเบอร์ร่วมงานปาร์ตี้ฆาตกรรมที่บ้านเทเลทับบี้ อะไรประมาณนี้ อันที่จริงมันไม่ค่อยมีความหมายเท่าไหร่

     

    ไม่นานนักป๊าก็เปิดประตูเข้ามาในบ้าน ป๊าถือกล่องสีขาวอยู่ในมือข้างหนึ่ง ฉันมองตามด้วยความหวังที่จะได้เห็นกล้องโพราลอยด์ที่อยากได้

     

    “ไม่มีกล้องโพราลอยด์สีดำนะ มันหมด” อ่าว สีอื่นก็ได้ ที่จริงสีเหลืองก็อยากได้นะ

     

    “อ่าว แล้วนี่อะไรอ่ะคะ” ฉันถาม

     

    ป๊ายื่นกล่องสีขาวนั่นมาให้ฉัน “ฟิล์มโพราลอยด์?” ไม่มีกล้องเลยซื้อฟิล์มมาแทน โอ้โห ป๊าฉัน ทำดี

     

    “พกใส่กระเป๋าไปแล้วกัน เดี๋ยวไปดูที่สนามบิน เผื่อมีกล้องโพราลอยด์ขาย”ป๊าบอก อ๋อ เอาแบบนี้เลย? ถ้าจำไม่ผิด ฉันว่าฉันไม่เคยเห็นกล้องโพราลอยด์ที่สนามบินนะ

     

     

    …สนามบิน…เวลาสี่ทุ่ม….

     

    กระเป๋ามันหนักมาก น้ำหนักเกินไปสองกิโลกว่าๆ แต่มีเพื่อนร่วมเดินมาอีกคนของฉันเกินไปประมาณห้ากิโลได้ ถ้าฉันไม่รอดมันก็ไม่รอดล่ะวะ

     

    เพื่อนร่วมเดินทางของฉันมีทั้งหมดห้าคน มีฉัน เดียร์ เอม กานต์ และเจน ทุกคนเป็นผู้หญิงด้วยกันหมด เพราะมีกันแค่นี้ พวกเราจึงค่อนข้างสนิทกันเร็วอยู่พอควร

     

    ฉันนั่งมองกลุ่มหญิงชายวัยรุ่นที่ยังอยู่ในชุดนักเรียนมายืนจับกลุ่มร่ำลากัน มีทั้งเพื่อนจากโรงเรียนของเดียร์ เอม และกานต์ ยกเว้นเจนล่ะมั่ง เพราะเจนเป็นสาวเชียงใหม่ครึ่งไทยไอร์แลนด์ แต่ต้องมาขึ้นเครื่องที่กรุงเทพฯนี่ ส่วนฉัน…ไม่ใช่ว่าไม่มีเพื่อนนะ แต่ไฟลท์ของพวกเราออกตอนตีสอง เพราะฉะนั้นฉันเลยไม่ได้ขอให้ใครมาส่ง ฉันบอกทุกคนไปว่าไม่ต้องมาหรอก เพราะมันดึกมาก เอาจริงๆฉันก็อยากให้มีเพื่อนมาส่งซักนิดนึง แต่เอาน่า แค่ครอบครัวของฉันก็พอแล้วล่ะ

     

    ฉันหยิบโทรศัพท์ออกมาเล่น เช็คข่าวนู่นนี่ไปเรื่อย กว่าจะเอากระเป๋าไปโหลดได้มันก็อีกตั้งนาน

    “แก! พรีม!” อยู่ๆก็มีอะไรก็ไม่รู้มาบดบังทัศนียภาพของสนามบินแถวนั้นเต็มไปหมด เหลือแต่หน้าคนสี่ห้าคนเต็มๆ

    “เฮ้ย มาได้ไง” ฉันถามออกไป หน้าตายังเอ๋อไม่หาย ฉันนึกว่ามันจะไม่มากันซะอีก? เพื่อนๆของฉันมาในสภาพชิวกันสุดๆ จริงๆนะ มันมากันห้าคน เกรซ วินนี่ ปิ่น พริม และรีโอ เพศชายหนึ่งเดียวในกลุ่ม

     

    “อ่ะ แฮปปี้เบิร์ดเดย์ล่วงหน้าสองชั่วโมง” เกรซกับวินนี่ยัดกล่องของขวัญขนาดเท่าสองฝ่ามือมาในมือฉัน

     

    “แกะเลยๆ”

    ฉันแกะห่อของขวัญอย่างไม่ค่อยปราณีต ยังไงก็ไม่เอากลับไปใช้อีกรอบหรอก

     

    โอ้ มันเป็นกล้องโพราลอยด์สีดำ รุ่นที่ฉันบอกป๊าไปเมื่อกลางวัน

     

    ฉันหันไปมองป๊า ป๊าไม่พูดอะไร ได้แต่ยิ้มส่งกลับมา ตอนนั้นฉันยิ้มเหมือนเป็นบ้าเลย

     

    “นี่กูลงทุนโทรไปเตี๊ยมกับพ่อมึงเลยนะ” กล้องโพราลอยด์มันมาจากที่เพื่อนๆรวมเงินกันซื้อให้ฉันนี่เอง ซึ้งเป็นบ้าเลยว่ะ

     

    หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้ทำอะไรมาก นอกจากถ่ายรูป ถ่ายรูป และถ่ายรูป ใช่เลย พวกเรามันบ้ากล้อง อย่างน้อยก็ต้องมีรูปลงในอินสตาแกรมให้ได้ล่ะน่า

     

     

    หลังจากบอกลาทุกคนเรียบร้อยแล้ว พวกเราห้าคนก็ต้องขึ้นบันไดเลื่อนเพื่อเข้าสู่ตัวสนามบินจริงๆ ฉันมองคนที่ยืนอยู่ขางล่าง โบกมือให้อีกครั้งก่อนจะเดินเข้าประตูไป

     

    “…”

    เราห้าคนกำลังยืนอยู่หน้าบอร์ดที่บอกข้อมูลไฟลท

    “แก เครื่องมันดีเลย์หนึ่งชั่วโมงอ่ะ”

    ใครบางคนในหมู่พวกเราพูด

    “อืม รู้ละ”

    “เอาไง”

    “หาอะไรกินไหม”

    “…”

    “เอาดิ”

     

    ฉันหิว ตอนนี้มันดึกมากแล้ว อาหารเย็นก็คงย่อยไปหมดพอดี ทำให้พวกเราเคลื่อนพลมาจับจองที่นั่งอยู่ในร้านอาหารในสนามบิน

    “เฮ้ย พี่พรีม นี่มันวันเกิดแกมาครึ่งชั่วโมงแล้วนี่หว่า”

    เออจริงด้วย ฉันอายุสิบเจ็ดแล้ว

    “อยากกินอะไร เดี๋ยวพวกเราเลี้ยง”

    เออดี กำลังอยากกินน้ำมะพร้าวอยู่พอดี

     

    นี่คงเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ฉันจะได้ดื่มน้ำมะพร้าวหลังร้องเพลงวันเกิดแทนที่จะเป่าเค้กนุ่มๆ ที่จริงคือเป่าเทียนบนเค้ก แต่ก็นั่นแหละ เป่าเค้ก

     

    สองชั่วโมงต่อมา ฉันนั่งประจำที่อยู่บนเครื่องบินพร้อมที่จะเดินทาง จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีความรู้สึกตื่นเต้นเลย มันเฉยมาก ที่เคยคิดว่าจะตื่นเต้นหรือโหวงๆเนี่ย เอาจริงพอถึงเวลามันเลือกไม่ถูกว่าจะตื่นเต้นตอนไหนดี
    ตอนบอกลาครอบครัวกับเพื่อนๆ?
    ตอนขึ้นเครื่อง?
    ตอนเครื่องลอยขึ้นจากแผ่นดินประเทศไทย?
    ที่เครื่องแลนดิ้ง
    หรือตอนที่เจอโฮสต์?

     

    แต่ เดียวก็รู้

     

    ฉันหลับตาลงด้วยความง่วงเพราะนี่ก็ใกล้จะตีสามแล้ว อาหารมาอย่าลืมปลุกด้วย

     

    อ่อ ฉันบอกไปหรือยังนะ ว่าฉันไปประเทศอะไร?

     

    Diary part

     

    21/08/14

    -วันสุดท้ายที่ได้อยู่ไทยก่อนไปออสเตรีย

    -ก็ไม่รู้ทำไมไม่ค่อยตื่นเต้น

    -เกรซรีโอวินนี่ปิ่นพริม ทีแรกบอกไม่มา

    -อิวินนี่โทรเตี๊ยมกับป๊าเรื่อกล้อง พรล

    -โอ้ยยยย ไม่เคยโดนเซอร์ไพรส์แบบนี้มาก่อน T^T

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×