ตอนที่ 5 : CAKE [100%]
- 5 -
CAKE
นัตสึมิไม่เคยคิดว่าเวรกรรมมีจริง ไม่ใช่ไม่เชื่อแต่เธอไม่เคยพบเจอ ทุกอย่างมีเหตุและผลเสมอ ผลลัพธ์ที่ได้มาย่อมมาจากการกระทำ ไม่มีทางที่มันจะผุดขึ้นมาทำร้ายเอง
แต่ความคิด ความมีเหตุผลต้องถูกพับเก็บลงไปกับหัวข้อนี้
เธอเริ่มเชื่อสนิทใจว่ามันต้องมีแน่ๆก็เมื่ออยู่ดีๆท้องน้อยก็ส่งเสียงร้องโครกครากทำลายสมาธิในการนอน
เธอตื่นขึ้นมาด้วยสภาพไม่สู้ดีนัก ท้องส่งเสียงโครมครามตลอดเวลาเหมือนมีคนรบสู้ฟันอยู่ภายใน วันนี้ไม่มีงาน คอนโด้ให้เธอพักหลังจากที่ช่วยทำเอกสารหลายกองคราวนั้นเสร็จ นัตสึมิหวังไว้สูงมากว่าวันนี้ต้องแฮปปี้ที่สุดแต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่หวัง
บางทีเจ้ากรรมนายเวรของเธออาจจะมาในรูปแบบความหิว
เด็กสาวเปลี่ยนชุด เลือกกิโมโนเรียบๆใส่แทนยูนิฟอร์มตำรวจ ยอมแพ้ที่จะต่อกรกับท้องที่เปล่งเสียงร้องเอาแต่ใจ มันกรีดร้องบอกให้เธอสมควรหาอะไรให้มันกิน
นัตสึมิตัดสินใจตั้งความหวังไว้กับตู้เย็นของชินเซ็นงุมิ เธอหวังเล็กน้อย(ถึงมากที่สุด)ว่าจะมีอะไรลงท้องสักอย่างสองอย่าง
ระเบียงทางเดินยังคงเงียบไร้ผู้คน ตรงนี้ค่อนข้างอับเพราะเป็นริมในสุด ห้องเธอติดกับโอคิตะก็จริงแต่อีกฝั่งก็มีห้องนึงอยู่ นัตสึมิไม่เคยเห็นเจ้าของห้อง รู้แค่ว่าเป็นหัวหน้าในหน่วยเท่านั้นและเธอก็ไม่ได้กระตือรืนร้นที่จะอยากรู้อยากเห็นถ้าคนจะโผล่เดี๋ยวก็คงโผล่มาเอง
ลมอ่อนพัดโชยมาพร้อมกับหูที่รับโสดประสาทได้ดีเยี่ยม อีกหน่อยจะถึงใจกลางทาง สมาชิกบางส่วนมักอยู่แถวนั้นไม่ก็โรงฝึกแต่ส่วนใหญ่ชอบเอ้อระเหยในสวนซะมากกว่า
ยกตัวอย่างเช่นยามาซากิที่ฝึกตีแบต
นัตสึมิก็ยังคงงงอยู่วันยังค่ำว่าการตีแบตมันเกี่ยวอะไรกับสนามรบ
?
เสียงฝีเท้าที่ดังเข้ามาใกล้ทำให้เธอละความสนใจจากยามาซากิแล้วหันไปมอง แม้การย่ำเท้าจะเบาจนไร้เสียงแต่คนหูดีก็ยังหูดีวันยังค่ำ คนที่เดินมาเป็นผู้ชายร่างสูงโปร่ง ใบหน้าถูกปิดไว้ตั้งแต่สันจมูกจนถึงลำคอ เด่นสุดคงเป็นทรงผมเอฟโฟ่สีส้ม เขาไม่ได้สนใจเธอเลยสักนิด ไม่มีแม้แต่การชายตามอง เพียงแค่เดินผ่านไปเท่านั้น เราไม่ได้ทักทายกันเพราะนัตสึมิเองก็ไม่รู้จักเขา
แต่การที่เขาเดินไปทางนั้นก็พอที่จะประติดประต่อเรื่องราวได้ ห้องริมในสุดมีแค่สามห้องและเจ้าของห้องปริศนาคงหนีไม่พ้นคนเมื่อกี้
ว่าแต่เขาชื่ออะไรนะ?
"เขาชื่อไซโต้ ชิมารุครับ"
อยู่ๆยามาซากิก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ พ่อสายลับเผยความรู้ใหม่ให้เหมือนอ่านใจกันออก"หัวหน้าหน่วยที่ 3"
เธอร้องโอ้ เพิ่งจะเคยเห็นหัวหน้าหน่วยอื่นเป็นครั้งแรก
"ฉันไม่เคยเห็นเขาเลย"มองตามหลังที่ห่างกันออกไปเรื่อยๆ"เขาทำหน้าที่อะไรอ่ะ"
"สืบสวนภายในครับ เขาเป็นคนเงียบๆขนาดที่ว่าคนในหน่วยยังไม่เคยได้ยินเสียงเขาเลยล่ะ"ยามาซากิป้องปากกระซิบ จากคำที่บอกเล่ามาเขาดูเป็นคนที่ลึกลับมากแต่เพราะเป็นแบบนั้นแหละ ก้อนเนื้อด้านซ้ายถึงได้สั่นไหว
ไซโต้น่าสนใจมาก! ยิ่งไม่มีใครเคยได้ยินเสียงเขานั่นก็ยิ่งอยากรู้ว่ามันเป็นยังไง นัตสึมิตัดสินใจแล้วว่าต่อจากนี้เธอจะตีสนิทเขา! ยึดมั่นคำประกาศิตที่ประกาศกร้าวในใจด้วยความมุ่งมั่น
หลังจากที่เธอประเคนหาอะไรให้ลูกรักกินแล้วเธอจะเริ่มภารกิจตีสนิททันที!
นัตสึมิฮึดฮัดในใจ ขอบคุณยามาซากิที่ยังทำหน้าตางงๆกับปฎิกิริยาของเธอเอง ก้าวเดินไปหาเป้าหมายแรกที่ยังไม่ลืมมันลง แหม จะลืมลงได้ไง ขืนมันดังขึ้นมาพร้อมกัดกินกระเพาะเธอแทนจะเป็นเรื่องเอา
"อะไรวะเนี่ย"
เด็กหญิงสบถ ตู้เย็นของหน่วยไม่มีอะไรน่าอภิรมย์อย่างเช่นของหวานอะไรแบบนี้ ไม่มีเลยสักอย่างนอกจากมายองเนสของฮิจิคาตะที่ทำเธอจำรสชาตได้ขึ้นใจ
ก็อย่างว่า คิดจะคาดหวังก็เตรียมใจที่จะต้องผิดหวัง
เธอปิดตู้เย็นอย่างเซ็งๆ หน้ามู่ทู่เพราะท้องเริ่มประท้วงอีกครั้ง วิธีสุดท้ายที่ทำได้คือการตัดสินใจออกนอกหน่วยไปหาอะไรกินจริงจังแม้ว่าจะเริ่มโซชัดโซเชก็ตาม
ความหิวไม่เข้าใครออกใคร เข้านัตสึมิแล้วไม่ออกอีกเลย
พร้อมกับหายใจปลงๆกับความคิดตัวเองไป 1 ที
"จะไปไหน"
และเริ่มปลงไปอีกตอนที่มีคนทัก เสียงแบบนี้มีคนเดียว ไม่หันไปก็รู้ว่าเป็นโอคิตะ ทักเธอมันได้ทุกที่เลยให้ตาย นัตสึมิโบกมือ ไม่หันไปมองคนถามแต่เริ่มเดินออกจากชินเซ็นงุมิแทน
"ไปซื้อคัพเค้ก หิวมากๆ"เธอว่า ตอนนี้แค่เดินยังขี้เกียจและเธอก็ขี้เกียจที่จะทำสงครามกับโอคิตะด้วย
เด็กหญิงเดินไปเรื่อย เส้นทางคาบูกิโจเธอจำได้ขึ้นใจแล้ว สองสามวันมานี้ตอนได้ลาดตระเวนเธอสำรวจเส้นทางทุกอย่าง ไปมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นซอยเล็ก ซอยย่อยหรือซอยเปลี่ยวมากขนาดไหนนัตสึมิก็อ้างว่ามันเป็นหน้าที่ของตำรวจที่จะดูแลความปลอดภัยของประชาชน
เป็นคนดีจริงๆเลยน้าตัวเรา
เธอฮัมเพลงในลำคอ วันหยุดงานแสนแฮปปี้ที่คิดว่าตัวเองจะหมกตัวอยู่แต่กับหมอนไม่ใช่อีกต่อไป เธอขี้เซ้าก็จริงแต่นัตสึมิคิดว่าความหิวสำคัญกว่าการนอน เธอพูดได้เพราะมันส่งผลโดยตรงกับกระเพาะตัวเองแต่การออกมาเดินหาอะไรกินก็ไม่ได้แย่ ยิ่งไม่มีใครตามมาด้วยแล้วยิ่งดีเข้าไปใหญ่
อิสระที่แท้จริงกำลังจะเริ่มขึ้น!
นัตสึมิหยุดชะงักข้างซูปเปอร์มาร์เก็ต ดวงตาสีโกเมนมองเข้าไปด้านใน กระจกสีใสสะท้อนตัวเด็กสาวกลับมา ดวงตาสีแดงขลับ ผมสีดำสยายกลางแผ่นหลัง นัตสึมิไม่เคยวิจารณ์หน้าตัวเองและไม่สนใจว่าใครจะวิจารณ์มัน เธอไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยขนาดนั้นแต่บางครั้งก็มีบ้างที่เสียเฟลเพราะได้ยินคำติ
อย่างกับตุ๊กตาผี
ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้ากัน เสียงทุ้มดังกังวานในโสตประสาท เรื่องมันผ่านมานานแล้วก็จริงแต่การนึกถึงก็ไม่ใช่เรื่องดี นัตสึมิหันไปยืนมองเงาสะท้อนตัวเองตรงๆ มือเล็กปัดปอยผมบางส่วนที่ปรกหน้าออก เป็นจังหวะเดียวกับที่มีคนผุดยืนขึ้นตรงหน้าชั้นวางหนังสือ
เราสบตากันอัตโนมัติ
มือเล็กค้างไว้กับท่าปัดปอยผมขณะที่อีกฝากมองมาที่เธอด้วยหน้าปลาตาย
เขาเป็นคนเดียวกับเจ้าของเสียงทุ้มในหัว
'รออยู่ตรงนั้นเดี๋ยวไปหา'
นัตสึมิอ่านปากได้อย่างนั้น เด็กหญิงรีบดึงสติกลับมาเป็นปกติ รอเพียงไม่นานกินโทกิก็เดินออกมาพร้อมหนังสือซิคิสในถุงพลาสติก
"เดี๋ยวนี้หัดห่วงสวยรึไงห้ะ"แล้วท่อนแขนหนักๆก็โถมใส่หัว ส่งเสียงจิ๊จ๊ะไปก็เท่านั้นในเมื่อตัวเองไม่ได้สะบัดตัวหนีกินโทกิ ปล่อยให้เขาใช้หัวตัวเองเป็นที่วางแขนชั่วคราว
กินโทกิตัวสูง เป็นส่วนสูงสมส่วนดีกับผู้ชายอายุอานามยี่สิบกว่าในขณะที่นัตสึมิตัวเท่าศอกกินโทกิ จะบอกว่าตัวสูงกว่าคางุระนิดนึงก็ไม่ผิดนัก
ใครๆก็บอกว่าเธอตัวเล็กเกินไป
"เปล่า ผมมันแค่บังหน้าเลยปัดออก"
"อ้อ"กินโทกิทำปากเป็นรูปตัวโอ ไม่ได้เชื่อเธออย่างที่พูดจริงจัง แขนหนักๆนั่นเลื่อนลงไปอยู่ข้างตัวเจ้าของเอง
"ไม่ต้องห่วงมากนักหรอก ปกติมันก็ดีอยู่แล้ว"
"ฮึ?"
คิ้วเลิกขึ้นงุนงงกับคำพูดของคนด้านหลัง ได้ยินไม่ค่อยชัดกับคำพูดงึมงำ
"ฉันหมายถึงมันดีแล้ว เธอสวยแล้ว.."
ท่าทางเกาแก้มแก้เก้อกับดวงตาที่เหล่ไปทางอื่นไม่ยอมสบตากันทำให้นัตสึมิยิ่งงงใจเข้าไปใหญ่ เธอไม่ใช่ดูไม่ออกว่ากินโทกิเขินแต่ไม่เข้าใจว่าเขินทำไมมากกว่า เราโตมาด้วยกันไม่เห็นจะต้องมาอายอะไรเลยด้วยซ้ำแล้วนี่ดูเหมือนเขาจะชมตามมารยาทซะอีก
เธอโคลงหัว แก้หยอกให้หมั่นไส้เล่น"ก็พอรู้อยู่"
เป็นไปตามคาด กินโทกิเบะปากแล้วดันหัวเธอออก นัตสึมิขำออกมาน้อยๆ เด็กหญิงจับเส้นไหมสีดำทำหน้าตาบ็องแบ๊ว
"หนูน่ารักไหมคะพี่กิน"
"แหวะ จะอ้วก"
นัตสึมิเบะปาก เมื่อกี้ยังชมว่าเธอสวยอยู่หยกๆ
"แล้วนี่ไม่ทำงาน?"กินโทกิเป็นฝ่ายเปิดหัวข้อบทสนทนา เด็กสาวส่ายหัวจนผมพริ้วไหว
"วันนี้ลุงให้ฟรีวันนึงเลยออกมาเดินเล่น"
"แล้วจะไปไหนต่อ"
เธอฉุดคิดถึงเป้าหมายของตัวเอง"จะไปร้านเค้ก"
เท่านั้นแหละนัตสึมิเหมือนเห็นหูกับหางโผล่ออกมาจากกินโทกิ เขากระวี้ดกระว้ายเหมือนสาวแรกแย้ม
"ไปด้วย!"
เธอเองก็ไม่ได้อะไรมากที่จะมีคนติดห้อยสอยตามไปด้วยท่าทางเหมือนหมาเจอของกิน นัตสึมิกับกินโทกิเหมือนกัน พวกเราชอบกินของหวานแต่ต่างกันตรงที่กินโทกิชอบสตอเบอร์รี่ส่วนเธอชอบช็อคโกแลต เธอชอบความหวานปนขมน้อยๆแต่กินโทกิชอบหวานถึงขั้นหวานมาก
คิดสภาพไม่ออกเลย ถ้าเธอกับเขาอยู่ด้วยกันน้ำตาลในเลือดอาจจะสูงเกินกว่ามาตรฐานเพราะในตู้เย็นมีแต่ของหวานพอลองมาคิดๆดูแล้วเธอก็กินหวานเยอะมาเหมือนกันแฮะ อาจจะต้องลดลงมาหน่อยป้องกันตัวเองเผื่อจะเป็นเบาหวาน
แต่โทษทีเหอะ เธอคงทำได้ตายล่ะ ถ้าการแค่มองคัพเค้กหลายชิ้นอยู่ในตู้โชว์ทำให้น้ำลายไหลได้ขนาดนี้ นัตสึมิกลืนน้ำลายดังอึก มันน่ากินไปหมด กลิ่นหอมเย้ายวนชวนน่าซื้อไปลองแทบทุกชิ้น
"นัตสึจังคุณกินอยากกินชิ้นนั้น"
กินโทกิชี้ไปชิ้นด้านในสุด สตอเบอร์รี่ชีสเค้ก หน้าเค้กถูกแต่งแต้มด้วยสตอเบอร์รี่ลูกใหญ่ ตัวเค้กถูกโบกด้วยวิปคลีมหนาแสนหวาน
เป็นอีกครั้งที่นัตสึมิกลืนน้ำลายดังอึก
และนี่เป็นครั้งแรกที่นัตสึมิอยากลองกินสตอเบอรี่ลูกนั้น
เราสบตากัน ประกายในแววตาทั้งคู่บ่งบอกชัดว่าคิดอะไร
"มีเงินไหม"
"ซื้อซีคิสหมดแล้ว"
...
"แล้วจะเดินมานี่ทำห่าพระแสงอะไรเนี่ย!"
"เอ้า ก็ตอนแรกจะเดินมาเป็นเพื่อนแต่ไม่คิดว่าตัวเองจะอยากกินด้วยนี่"ประโยคสุดท้ายสุดแผ่วเบา ผู้ชายที่ทำตัวเด็กไม่สนขนาดตัวจิ้มนิ้วเข้ากัน ช้อนตามองเด็กหญิงตรงหน้า
"ไม่ต้องมาอ้อน!"
"แง่งง นัตจัง เค้าอยากกินอ่ะตะเองงง"
"ขนลุกโว้ย ออกไปเลย! อย่ามากอด!"
เรายื้อแย่งกันอยู่แบบนั้น นัตสึมิพยายามแงะมือที่โอบตัวเองออก กินโทกิดื้อดึงที่จะอยากกินเค้กชิ้นนั้นท่าเดียว เจ้าของร้านมองมาทางพวกเราที่ทะเลาะกันเหมือนเด็กด้วยรอยยิ้มแห้งๆ
"ถือว่าเป็นค่าที่ฉันจ่ายค่าเสียหายตอนนั้นให้ไง นะๆ"
เขาคงจะหมายถึงตอนที่เราเจอกันครั้งแรก
แต่นั่นเป็นเพราะเขาบอกจะจ่ายเองนี่!
"ตอนนั้นนายบอกจะเลี้ยง!"เลี้ยงทั้งที่เธอยังไม่ทันจะได้กินสักคำด้วย!
"เพราะเลี้ยงนั้นแหละฉันถึงหมดตัวนี่ไง!"
"แล้วจะเสนอหน้ามาเลี้ยงทำไมเล่า"
"ก็--เอ้อ! ช่างมันเถอะน้าแต่คุณกินขอแค่ชิ้นเดียว น้าา"
โครกกกก
คราวนี้ไม่ใช่เสียงท้องร้องของนัตสึมิเหมือนทุกที แต่เป็นของคนหัวขาว กินโทกินิ่งค้างไปก่อนจะแย้มยิ้มแหยมาแทน
สุดท้ายเรื่องทั้งหมดก็จบลงที่เธอยอมเจียดเงินเลี้ยงคัพเค้กคนเป็นพี่ชายตัวดีไปชิ้นนึงและของตัวเองอีกหกชิ้น(เน้นย้ำว่าของเธอคนเดียว!)
นัตสึมิใช้กินโทกิให้เป็นประโยชน์ด้วยการถือกล่องเค้กแสนรัก เจ้าตัวทำตามอย่างโดยดีแม้จะเหงื่อตกตอนเธอขู่ว่าถ้าหน้าเค้กเละเธอจะเชือดไอ้นั้นเขาทิ้งก็ตาม
เราสองคนเดินออกมาจากร้านเค้ก กินโทกิเอาแต่บ่นงุบงิบว่าเค้กชิ้นเดียวอาจจะไม่พอยาไส้ นัตสึมิแสร้งแคะขี้หูไม่อยากรับรู้เสียงอวดครวญ
ซื้อให้แล้วยังจะบ่นอีก
"หุบปากเถอะน่า ก็เป็นขอเองว่าแค่ชิ้นเดียว"เธอกอดอก"ไม่พอใจหรือยังไง"
"ฉันแค่ลืมคิดว่าควรจะให้คางุระ ชินปาจิ ซาดาฮารุด้วย"
กินโทกิหน้าหมอง เธอกรอกตา รู้จักกันมากี่ปีหมอนี่ไม่มีทางทำแบบนั้นแน่ แสร้งทำตัวพูดถึงเจ้าพวกนั้นแต่ลอบไปกินคนเดียวล่ะสิไม่ว่า
"โกหกไม่เนียนค่อยไปเรียนมาใหม่"
ถ้าพูดถึงเรื่องขนมหวาน กินโทกิคือคนที่สมควรเป็นเบาหวานตายที่สุด
นัตสึมิเลือกที่จะไม่สนใจเสียงโวยวายสลับกับคำบ่นกระปอดกระแปดของคนอายุมากกว่า ร่างเล็กกระชับผ้าที่สวมใส่เข้าหาตัวให้แน่นยิ่งขึ้น ช่วงนี้ก้าวเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว อากาศเย็นลงเห็นได้ชัด เธอไม่ชอบอากาศเย็นเท่าไรเพราะมันทำให้ขี้เกียจ
เสียงกินโทกิเงียบลงพร้อมกับขาที่ก้าวตามหยุดลงข้างกัน ถนนตรงหน้าถูกปกครองไปด้วยผู้คนมากมายที่มุงดูอะไรกันสักอย่าง นัตสึมิสังเกตเห็นคนที่อยู่กลางวง สวมใส่เครื่องแบบที่คุ้นเคย ความอยากรู้อยากเห็นทำให้ก้าวขาเข้าไปในวงแบบไม่ต้องคิด
"เกิดอะไรขึ้นเหรอโทชิจัง"
เป็นอย่างที่คิด คนที่อยู่ตรงกลางคือฮิจิคาตะ
เขาหันมามองเพียงแวบเดียว สบถไม่สบอารมณ์
"ตัวปัญหาโผล่มาทำไม"
"ว่าไงนะแก!!"
นัตสึมิหัวเราะแหะๆ ฮิจิคาตะไม่ได้หมายถึงเธอแต่หมายถึงคนที่อยู่ข้างกัน กินโทกิก็ไม่สบอารมณ์ โผล่หน้าไปทะเลาะกับตำรวจถึงที่ เจอกันทีไรทะเลาะกันทุกทีเลยสิเนี่ย
"อย่าทะเลาะกันน่า"เธอเอ่ยปรามทั้งคู่
"ไอ้มายองเนสเน่าอย่างแกจะมีปัญญาปกป้องอะไรประชาชนได้ แกเอาแต่นั่งนอนกินภาษีของประชาชนล่ะเส่"
"ว่าไงนะไอ้หัวหยิก! แกมีสิทธิอะไรมาพูดแบบนี้คนที่ไม่ทำอะไรเลยอย่างแกมีสิทธิออกความเห็นด้วยเหรอ กระดิกตีนนั่งกินนอนกินไปวันๆแล้วมีเงินจ่ายค่าเช้าบ้านรึยังเห๊อะ"
...
คำห้ามปรามดูไม่มีความหมายเลยเวลาทั้งคู่เจอกันแต่ละครั้ง เธอแค่นหัวเราะในลำคอในขณะที่มอลงคนที่เริ่มแยกเขี้ยวใส่กันไม่ต่างจากหมา นัตสึมิขี้เกียจที่จะห้ามปรามเลยปล่อยเลยตามเลย เธอมองหาสาเหตุที่คนมุงดูก่อนที่จะเงยหน้าไปข้างบนตามสายตาของคนที่อยู่ด้านล่าง
บนตึกสูงเกือบสิบกว่าชั้น ดาดฟ้าที่เปิดโล่งตรงนั้นมีหญิงสาวยืนอยู่เพียงคนเดียว
เฮ้ย..
นั่นมันคนคิดสั้นชัดๆ
แล้วไอ้ตำรวจตรงนี้ก็เอาแต่แว้งกัดกันซะงั้น ไม่ได้สนใจประชาชนที่ยืนอยู่บนเส้นด้ายระหว่างความเป็นความตายเล้ย
"ไม่มีใครสนใจฉันสักคน! ชีวิตเน่าเฟะของคนไร้ค่าอย่างฉันอยู่ไปก็ไร้ประโยชน์! รกบ้านรกเมือง..ฉันน่าจะตายๆไปเสียเลยดีกว่า!"
นัตสึมิอ้าปากพะงาบ ผู้หญิงคนนั้นตะโกนลงมาอย่างเหลืออด น้ำเสียงสั่นเครือและการตะโกนนั่นดึงดูดความสนใจของคนที่ทะเลาะกันได้ดี
"เฮ่ยๆ ฮิจิคาตะคุงแค่ผู้หญิงคิดสั้นคนเดียวแกยังทำไม่ได้เลยเหรอเนี่ย"
"หุบปากไปสารพัดรับจ้าง ฉันกำลังไกล่เกลี่ยอยู่ต่างหาก"
ฮิจิคาตะขบเคี้ยวฟัน คุณรองหัวหน้าถอนหายใจเหนื่อยหน่าย"ฉันสมควรได้กลับไปนอนสักพักแล้วทำงานเล็กๆต่อให้เสร็จ ทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยนะ"
ท่าทางเหนื่อยหน่ายใจของฮิจิคาตะเป็นการบอกปลงๆว่าเขาขี้เกียจไกล่เกลี่ยแล้ว นัตสึมิเห็นแบบนั้นก็เห็นใจ เธออยากจะช่วยแบ่งเบางานภาระนี้บ้าง(?)
"เอ้า อยากตายมากนักก็กระโดดลงมาเลยจ้า"นัตสึมิประกาศใส่โทรโข่ง เสียงใสดังก้องกังวาน
"เฮ้ยย!! เธอทำบ้าอะไรเนี่ย!"
ฮิจิคาตะโวยวายในขณะที่กินโทกิช็อคไปแล้วกับความบ้าบิ่น นัตสึมิกะพริบตาปริบ ไม่เข้าใจว่าทำไมฮิจิคาตะต้องโวยวายอะไรขนาดนั้นทั้งที่เธอพยายามช่วยงานให้เสร็จไวๆแทน
"ก็เขาอยากตายก็ให้เขาตายซะสิ นายจะได้พักผ่อนด้วยไงโทชิคุง"ฮิจิคาตะยังไม่ทันได้อ้าปากเถียง นัตสึมิก็กรอกเสียงลงไปอีกครั้ง"ชีวิตไร้ค่ามากใช่ปะ มันไร้ค่ามากล่ะสิถึงได้อยากตายขนาดนั้นถ้าเธออยากตายนักล่ะก็กระโดดลงมาเลย เสียเวลาตำรวจทำมาหากินต้องมาไกล่เกลี่ยเธอเนี่ย"
"ฉะ ฉันไม่ได้ขอให้เขามาไกล่เกลี่ยสักหน่อย ตำรวจนั่นก็มาเองด้วยซ้ำ ฉันแค่อยากตาย!"
"เอ้าไอ้นี่ พูดมาหลายครั้งว่าอยากตายแล้วทำไมไม่ตายสักทีล่ะ ตำรวจมีหน้าที่ปกป้องชีวิตประชาชนการที่เธอมายืนโหวกเหวกโวยวายบอกเจตจำนงของตัวเองต่อหน้าประชาชนพวกนี้เขาก็ต้องออกมาปกป้องเธอปะวะ ถ้าอยากตายจริงๆทำไมไม่หาเชือกผูกคอตายที่บ้านเองอ่ะมายืนกลางเมืองแบบนี้คิดดีล่ะอ่อ ตายมาศพไม่สวยนะจะบอกให้"
ผู้หญิงคนนั้นเงียบไปอึดใจ นัตสึมิมองขึ้นไปบนนั้น
"คิดจะเรียกร้องความสนใจสร้างความเวทนาให้กับตัวเองรึไง อยากให้คนอื่นรู้นักเหรอว่าชีวิตตัวเองไร้ค่า ไม่มีอะไรดี? เขาได้อยากรู้ปะถามจริง? ก็ไม่ปะ?"
"นะ นัตสึมิ..พอเถอะ"
"หุบปากไปไอ้หัวหงอก"
เธอหันไปแว้งใส่ กินโทกิประกบมือเข้าด้วยกันทำตัวเจียมเนื้อเจียมตัว
"ก็ไม่รู้หรอกนะว่าเธอไปเจออะไรมาถึงได้คิดแบบนั้น เราเลือกเกิดไม่ได้แต่เราเลือกที่สู้และเผชิญหน้ากับปัญหาพวกนั้นได้ คนเราเกิดมาย่อมแตกต่างกัน คนอื่นไม่เห็นค่าแล้วยังไงอ่ะ ชีวิตเธอมันขึ้นอยู่กับคนพวกนั้นอ่อ"
"..."
"ถ้าเขาไม่เห็นค่ามากนักก็ช่างหัวมันสิ เธอทำให้ตัวเองมีค่าได้ คนทุกคนสิ่งของทุกอย่างมันมีค่าของมัน ใช้สมองเค้นสักนิดว่าอะไรควรไม่ควร การดับชีวิตมันง่ายนิดเดียวแต่การที่เธอยืนอยู่ตรงนี้ถามจริงเหอะ อยากตายจริงๆรึเปล่า?"
"ฉ..ฉันอยากตายจริงๆนะ! การตายคงมีความสุขกว่าชีวิตที่แสนจะโสมมนี้"
นัตสึมิเงียบไปอึดใจแล้วกรอกเสียงลงไปใหม่
"กระโดดลงมา"
"เอ้ะ?"
"ฉันบอกให้กระโดดลงมา!!"เธอตะคอกลงไป กิริยาของผู้หญิงบนดาดฟ้าดูลังเลไม่น้อย นัตสึมิเหยียดยิ้ม
"ฉะ..ฉัน"
"อยากตายไม่ใช่เหรอ กระโดดลงมาสิ"
"นัตสึ--"ฮิจิคาตะเงียบลงทันทีเมื่อเห็นสายตาเฉือดเฉือนที่ถูกส่งมา เด็กหญิงไม่รู้สึกอะไรกับการที่พูดออกไปเมื่อกี้ เธอพูดถูกทุกอย่าง การดับชีวิตมันง่ายนิดเดียวแต่มันไม่ใช่เรื่องที่ควรมาล้อเล่น
"กระโดดลงมา!!!"
เธอตระคอกลงไปอีกครั้งและเพียงเสี้ยววิเธอเห็นการตัดสินใจที่เต็มไปด้วยการลังเลของหญิงสาว สายลมพัดโบกให้กิโมโนของผู้หญิงคนนั้นพริ้วไหวท่ามกลางเสียงกรีดร้องของคนมากมาย
"นัตสึมิ!"กินโทกิหันมามอง ไม่คิดว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้แต่ยังไม่ได้จะได้เอ่ยปากอะไรก็ถูกเท้าเล่มงามเตะเข้าไปกลางวง กว่าจะตั้งตัวได้ทันก็มีคนหัวดำถูกโยนมาทับอีกที
"อะไรเนี่ย! ทำไมเธอ--อ่อก!"
ฮิจิคาตะยังต่อประโยคไม่จบก็อันเป็นต้องเงียบเสียงลงเพราะมีอะไรมาหล่นทับ ข้อศอกของผู้หญิงคนนั้นกระแทกเข้าที่ปลายคางอย่างจัง
ทั้งเจ็บทั้งจุกแต่ก็บ่นไม่ได้ ผู้หญิงที่ทับเขาอยู่หลับตาปี๋แต่กลับไม่พบเจอกับความเจ็บปวดใดๆนอกจากสัมผัสนุ่ม
ตอนนั้นเองที่ฮิจิคาตะรู้ถึงความต้องการของเด็กสาวพลังช้างที่เหวี่ยงเขามาทับกับเจ้ากินโทกิ เธอมองตรงมาทางนี้ ย่างก้าวสามขุมด้วยใบหน้านิ่งเรียบ
ฮิจิคาตะเหงื่อตกกลัวว่าน้ตสึมิจะด่าทออะไรหญิงสาวที่คิดสั้นเหมือนกับก่อนหน้านี้แต่ผิดคาด มือเล็กๆถูกยื่นมาตรงหน้าแทนคำพูดทั้งหมด
"ลุกขึ้นสิ คงไม่อยากนั่งทับตำรวจนานๆใช่ไหม"เอ่ยเสียงเรียบ ผู้หญิงตรงหน้าลังเลเล็กน้อยแต่ก็ยอมส่งมือมา นัตสึมิจับข้อมือขาวแล้วดึงให้ยืนขึ้น
ใบหน้าคนตรงหน้าธรรมดาทั่วไป ใต้ตาคล้ำและร่างกายซูบผอม เธอพอเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงได้คิดเช่นนั้น คงเจอมาหนักน่าดู
"ค คือ"
"รู้แล้วใช่ไหมว่ามันรู้สึกยังไง"เธอชิงพูดขึ้นมาก่อน"ความรู้สึกที่จะเข้าใกล้ความตายทุกทีมันเป็นยังไงเธอคงรู้ดีแล้ว แบบนี้ยังจะอยากตายอยู่อีกรึเปล่า"
นัตสึมิมองสบเข้าไปในดวงตาผู้หญิงตรงหน้า ความลังเลฉายชัดเจน หญิงสาวค่อยๆส่ายหัวไปอย่างช้าๆ เธอแย้มยิ้มบางเบา
"งั้นก็ดี อย่าได้คิดแบบนั้นเป็นครั้งที่สองเชียว ปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางแก้ไม่ช้าก็เร็ว"เธอลูบหลังมือผอมแห้ง"แต่การที่อยู่กับอะไรแล้วมันแย่ต่อตัวสมควรที่จะถอยออกห่าง เธอสร้างชีวิตใหม่ได้ตัวเอง ต่อจากนี้ฉันอยากให้เธอเข้มแข็ง อย่าได้หนีปัญหาและคิดสั้นบ้าๆแบบนี้อีก"
หล่อนพยักหน้าช้าๆ น้ำตารื้นไหลล้อมรอบดวงตาสีน้ำตาลขุ่น
"ไหนลองบอกฉันว่าเธอควรทำยังไง"
"ฉะ ฉันจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดีกว่า จะไม่คิดย่างกายเข้าหาความตายอีก ฉันรู้แล้วว่ามันสิ้นหวังขนาดไหน"
หล่อนแทบปล่อยโฮออกมาระลอกใหญ่ท่ามกลางฝูงชนที่หายใจโล่งอก ทุกอย่างกลับกลายเป็นปกติ คนมุงดูรอบข้างเบาบางลง นัตสึมิยังคงแย้มยิ้ม ลูบมือหญิงสาวเป็นการปลอบประโลม
"งั้นก็ดีแล้วแต่ก่อนอื่นเธอต้องสร้างชีวิตใหม่"
แกร๊ก
เสียงแม่เหล็กล็อคเข้าหากันทำให้หญิงสาวก้มมองดู กุญแจมือถูกล็อคไว้ทั้งสองข้าง เธอร้องเอ้ะเบาๆแต่นัตสึมิกลับโบกไม้โบกมือแล้วยัดเธอใส่รถตำรวจแทน
"เธอถูกจับข้อหาสร้างความวุ่นวายและชลมุน เชิญสร้างชีวิตใหม่ในคุกนะจ้ะ"
"เหหหห๊!??"
ไม่ใช่แค่หญิงสาวร่างกายซูมผอม ตำรวจหนึ่งนายและผู้ชายอู้งานก็ร้องไปตามกับเขาด้วย นัตสึมิบอกให้ลูกน้องขับออกไปได้เลย ไม่ต้องสนใจเสียงร้องทักท้วงของนักโทษและผู้ชายสองคนที่เหลือ
"ทำไมทำแบบนั้นล่ะนัตสึ ยัยนั่นแค่คิดสั้นถึงขนาดต้องเข้าคุกเลยเหรอ"เจ้าของชื่อสะบัดผมที่พันกันออก หันหน้าไปหากินโทกิ
"ก็ก่อความวุ่นวายยังไงก็โดนจับอยู่ดี ถ้ามีคนมาประกันก็รอดไปถ้าไม่มีก็นอนคุกเล่นเอา"
กินโทกิอ้าปากค้าง เขายังไม่ได้คิดบัญชีกับเธอเรื่องเตะตูดเขามาเลยแต่พอรู้เหตุผลที่ทำก็เอาผิดไม่ถูก
ควันบุหรี่ลอยฟุ้งอากาศที่เราสามคนยืนอยู่ ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้ม แสงย้อมเงาถูกฉายชัดเข้าที่ครึ่งหน้าของรองหัวหน้าปีศาจ
"จบด้วยดีก็ดีแล้ว"ฮิจิคาตะว่า อัดบุหรี่เขาปอดอีกระลอก"ที่เธอจับยัยนั่นไปเพราะรู้อยู่แล้วว่าไม่มีใครประกันตัวใช่ไหม"
นัตสึมิไม่ตอบ แสงสีส้มสาดส่อง ขับให้ผิวพรรณของเด็กสาวเปล่งปรั่ง ฮิจิคาตะสบเข้ากับดวงตาสีแดงทอประกายเพราะแสงอาทิตย์
มุมปากยกยิ้ม ปล่อยควันพิษลอยฟุ้งในอากาศอีกครั้ง
"เพราะถ้าผู้หญิงคนนั้นอยู่ในคุกที่มีข้าวครบสามมื้อคงดีกว่า ใช่ไหม?"
ตกเย็นเราแยกย้ายกันกลับบ้าน กินโทกิน้ำตาซึมกับเค้กที่เละจนดูไม่ออกของตัวเองทั้งที่มีเพียงแค่ชิ้นเดียวและคนที่เป็นคนซื้อให้คือเธอ! นัตสึมิสมควรที่จะเป็นคนร้องไห้อวดครวญมากกว่าซะอีกในเมื่อเค้กที่ซื้อมาเละไม่เป็นท่า สาเหตุหลักก็ผิดที่เธอเองนั่นแหละ เพราะเธอถีบรุ่นพี่หัวหงอกนั้นไปเป็นฐาน กล่องเค้กที่อยู่ในมือหนาก็พาลละเนละนาดไปด้วย
อาการท้องร้องก็บรรเทาลงเพราะฮิจิคาตะพาไปเลี้ยงข้าว เขากล่าวขอบคุณการช่วยเหลือแสนจะยั่วยุให้ตายจริงๆของนัตสึมิแต่แฝงไปด้วยอะไรหลายอย่าง เธอไม่รับคำขอบคุณแค่บอกไปว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องทำ เธอรู้ดีว่าความตายเป็นเช่นไร หากเขาเรียกร้องอยากจะตายจริงๆคงไม่ยืนนานสองนานให้คนมาแห่มุงเยอะแยะ
และหากมีครั้งที่สองที่หล่อนเรียกร้องหาความตายอีก นัตสึมิก็ไม่ลังเลที่จะปลิดชีพผู้หญิงคนนั้นเองกับมือ
ในเวลานี้หน่วยชินเซ็นงุมิเงียบสงัน มีเพียงเปลวไฟเล็กๆที่ถูกจุดไว้ตามทางให้มองเห็น กับแสงไฟสลัวที่ออกมาจากตัวเรือน เธอกลับมาพร้อมกับฮิจิคาตะ ตอนนี้ฝ่ายชายคงเอารถไปเก็บในโรง นัตสึมิทอดน่อง มุ่งหมายปลายทางคือห้องพักตัวเอง
แต่แสงไฟสลัวที่ออกมาจากห้องตรงข้ามกลับดึงความสนใจไปหมด
ห้องของหัวหน้าหน่วย 3
แผนภารกิจตีสนิทลอยกระเด็นขึ้นมาในหัว
แต่ดึกขนาดนี้และเขาก็กำลังทำงาน การตีสนิทเลยถูกเก็บพับไว้ก่อน เธอค่อยๆมองลอดเข้าไปในช่องประตูที่ถูกแง้มไว้อยู่อย่างระมัดระวังว่าจะเกิดเสียงแล้วจะถูกจับได้ ภายในเหมือนกับทุกห้องแต่การจัดเรียงแตกต่าง ตรงกลางมีชายหนุ่มนั่งอยู่ นัตสึมิสังเกตเห็นการขยับไหวของข้อมือ ดูได้ชัดว่าอาจกำลังเขียนรายงานบันทึก
"มองอะไรอยู่เหรอ"
ร่างบางสะดุ้งโหยง รีบออกห่างจากประตูกลัวว่าเจ้าของห้องจะรู้ว่าแอบมอง นัตสึมิถอนหายใจ มองหน้าเจ้าของเสียงเมื่อครู่ โอคิคะอยู่ในชุดลำลอง หน้าตาตายด้านเหมือนเช่นเคย
"นึกว่าใคร นายนี่เอง"เธอทำท่าโล่งอก
"แล้วจะให้เป็นใคร แล้วมองอะไร? รุ่นพี่ไซโต้เหรอ"
"เปล่า!"เธอตอบเสียงดังฟังชัด ตกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน"ฉันแค่มองเฉยๆว่าเป็นใคร ไม่เคยเห็นหน้า"
"แล้วเมื่อกี้บอกว่าเปล่า"
นัตสึมิหลบสายตาที่เหมือนจะคุกคามอยากรู้ความจริง เธอเบี่ยงตัวเองจะไปอีกทางแต่โอคิตะกลับมายืนขวางหน้า พอหลบไปอีกทางก็เป็นอีกเช่นเดิม
หมอนี่กำลังกวนเธออยู่รึไง
"หาว~ ง่วงจังแหะ"
และเหมือนโอคิตะจะรู้ถึงได้แสร้งอ้าปากหาวออกมา เขาเลิกกวนประสาทแล้วเดินเข้าห้องไป นัตสึมิมองตาม มองให้แน่ชัดว่าประตูปิดสนิทแล้วถึงได้เปิดเข้าประตูห้องตัวเองตาม
"เน้"เธอสะดุ้งโหยง หันไปมองโอคิตะที่แง้มประตูมาอีกครั้ง หน้าตากวนเบื้องล่างถูกส่งมา"เปล่า ไม่มีไร"
"ไอ้นี่!"
เธอได้แต่กัดฟันเข่นเขี้ยวแล้วรีบเปิดประตูเข้าไปทันที แว่วได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอตามสายลม
มันน่าขำตรงไหนกัน เธอไม่เห็นจะเข้าใจเลยสักนิด
เมื่อสายตาเริ่มชินกับความมืด มือน้อยๆควาญหาปุ่มสวิตแล้วจัดการเปิดไฟ คิ้วเรียวเลิกขึ้นสงสัย ตรงโต๊ะเตี้ยที่ใช้ทำงานประจำถูกจับจองด้วยกล่องสีขาว
เธอจำลักษณะกล่องแบบนี้ได้ดี มันเป็นกล่องเดียวกันกับที่ให้กินโทกิเป็นคนถือ พอเปิดกล่องออกมาก็พบกับคัพเค้กมากมาย หน้าของมันถูกแต่งแต้มอย่างสวยงาม
ดวงตาสีแดงก่ำมองโพสอิทสีเหลืองเขียวที่เขียนเด่นชัดว่า'ของเหลือ'นิ่งเรียบ
ของที่มีเต็มกล่องแบบนี้เรียกของเหลือได้งั้นเหรอ?
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนให้แต่ขอบคุณสำหรับขนมหวานแสนน่ารักนี่ เธอดึงโพสอิทออกแล้วเก็บเอาไว้ ลิ้มลองความสุขที่เปี่ยมล้นด้วยของหวานแสนรักแทน
__________________________
เม้นกันโหน่ยยย♡♡♡♡
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

70 ความคิดเห็น
-
#9 Jennie-42022 (จากตอนที่ 5)วันที่ 21 เมษายน 2562 / 02:00แหมๆ โอคิตะคุงเป็นพวกซึนสินะคะ ฮุๆ#90
-
#8 AREA CHAN (จากตอนที่ 5)วันที่ 20 เมษายน 2562 / 21:43อ่าา ในที่สุดก็เจอความละมุ่นหลังจากความฮาร์ดคอร์ที่ผ่านมา#81
-
#8-1 เอเอ็น(จากตอนที่ 5)20 เมษายน 2562 / 21:45เดี๋ยวมีละมุนกว่านี้แน่นอนนน#8-1
-