ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เดอะ เกรฟ ∮♂

    ลำดับตอนที่ #3 : นางเงือก

    • อัปเดตล่าสุด 21 มี.ค. 58


    .::MERMAID::.

     

     

     

     

          เงือก หรือ นางเงือก (Mermaid) เป็นอมนุษย์ชนิดหนึ่งตามความเชื่อนิยายปรัมปราเกี่ยวกับน้ำ โดยเป็นจินตนาการเกี่ยวกับสัตว์น้ำ โดยมากจะเล่ากันว่าเงือกนั้นเป็นสัตว์ครึ่งมนุษย์ มี ส่วนครึ่งท่อนบนเป็นคน ส่วนครึ่งท่อนล่างเป็นปลา

     

         นางเงือก (mermaid) เป็นสัตว์โลกอยู่ในทะเลในจินตนาการ มีศรีษะและลำตัวท่อนบนเป็นผู้หญิงสวย ท่อนล่างเป็นปลา ภาษาเยอรมันเรียกนางเงือกว่า meerfrau และเดนมาร์กคือ maremind

     

           โจนส์ระบุว่า นางเงือกคือเทพธิดาแห่งทะเล มักปรากฏตัวขึ้นเหนือผิวน้ำ มือหนึ่งถือหวีสางผม มือหนึ่งถือกระจก มีลักษณะคล้าย ไซเรน (siren - ปีศาจทะเล ครึ่งมนุษย์ผู้หญิง ครึ่งนก มีเสียงไพเราะมาก ล่อลวงคนไปสู่ความตาย ในนิทานปรัมปราของกรีก)ใน หลายประเทศทั่วโลก มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับตำนานเงือกมากมาย

     

         ความ เชื่อในเรื่องดังกล่าว บางคนเสนอว่า บางทีอาจเป็นเพราะผู้คนในสมัยโบราณเข้าใจผิด คิดว่า พะยูน คือเงือกก็เป็นได้

     

     

     

     

     

         แต่เดิมนางเงือกอาจจะเป็นธิดาของพวกเคลต์ (ชาวไอริชโบราณ) นอกจากนี้ตำนานเกี่ยวกับนางเงือกมาจากเรื่องเล่าของพวกกะลาสีด้วย ซึ่งเกี่ยวข้องกับความหายนะของมนุษย์ (Jobes 1961: 1093) แต่โรสกล่าวว่า บางครั้งนางเงือกก็ให้คุณต่อมนุษย์ มนุษย์ ที่ช่วยเหลือนางเงือกมักได้รับความรู้เรื่องสมุนไพรรักษาโรคซึ่งเยียวยาไม่ ได้แล้ว ได้ของกำนัล หรือนางเงือกช่วยเตือนให้ระวังพายุ (Rose 1998: 218)

     

        บางครั้งนางเงือกก็ได้รับสมญานามว่าพรหมจารีแห่งทะเล มีลักษณะสวยงาม กระจกของนางเงือกคือสิ่งที่แทนวงพระจันทร์ และผมที่สยายยาวคือสาหร่ายทะเล หรือรังสีบนผิวน้ำ (Jobes 1961: 1093) แต่บางครั้งก็กล่าวว่ากะลาสีเรือเดินทางไปในเรือนานๆเข้า ไม่ได้เห็นผู้หญิงเลยก็เกิดภาพหลอนขึ้นมา นั่นคือนางเงือกไร้ตัวตนอย่างสิ้นเชิง แต่พวกเดินทางทางเรือเกิดจินตนาการเพราะว้าเหว่คิดถึงครอบครัว

     

         ในอดีตการเล่าขานตำนานของเงือกส่วนมากจะคล้ายๆกัน คือสาวน้อยที่โผล่พ้นน้ำด้วยท่อนบนเปลือยเปล่าแต่ท่อนล่างที่อยู่ใต้น้ำนั้น เป็นปลา ในวรรณคดีไทยก็กล่าวถึงเงือกไว้ว่าเป็นสาวงามที่สวยสะอาด ท่อนบนเป็นมนุษย์ท่อนร่างเป็นปลามีประทุมถันอวบและที่สำคัญเป็นเอกของเรื่อง พระอภัยมณีเป็นต้นเหตุของเหตุการณ์ทั้งหมดและกำเนิดสุดสาครตัวเอกของ เรื่อง(ตกลงจะเล่าเรื่องอะไรกันแน่ )

     

     

     

         หลักฐานที่พบจากหนังสือพิมพ์เซ้าแอฟริกัน ฟรีเทอร์เรียนิวส์ ฉบับวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 1977 รายงานว่ามีคนพบเงือกตนหนึ่งขึ้นมาเหนือน้ำขณะที่ทะเลคลั่งและท้องฟ้ามีแต่ ดาวมีร่างท่อนบนเป็นหญิงสาวแสนสวยลอยเหนือผิวน้ำสักพักก็จมหายไปแต่เห็นมี ส่วนที่คล้ายหางของปลาชูขึ้นแล้วจมหายลงไปในทะเล

     

         ตามตำนานเกี่ยวกับเงือกนั้นกล่าวไว้ว่าเทพโอนเน่ส์ เทพเจ้าแห่งท้องน้ำเทพเจ้าแห่งแสงสว่างและสติปัญญามีบุตรสาว และบุตรชาย ที่มีรูปร่างคล้ายปลา ให้ดูแลท้องน้ำในมหาสมุทรและปกครองทะเลทั้งหมด เรื่องนึงที่น่าประหลาดเกิดขึ้นในปี ค.ศ.1608 มีคนพบคนครึ่งปลากลุ่มใหญ่ออกมาปิดปากถ้ำที่เซ็นไอเว่ส์แถบชายฝั่ง เบ็นโอเวอร์เนื่องจากเรือหลายลำได้รับคำสั่งให้ไปจับคนนอกศาสนาหรือเหล่าเพ แกนมาทำโทษและจัดการฆ่าทิ้งศพลงทะเล เหตุการณ์นี้ยังเป็นที่งุนงงมาถึงปัจจุบันว่าจริงหรือไม่

     

        เงือกเป็นเผ่าพันธุ์ของอมนุษย์สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกอีกชนิด หนึ่ง ว่ากันว่าเงือกพวกนี้อาจมีถิ่นกำเนิดบนฝั่ง บริตานี และว่ายข้ามช่องแคบอังกฤษไปยังคอร์วอลล์ จึงทำให้ผู้คนที่นั่นขนานนามว่า เมอร์เมด-เมอร์ แมน(เงือกตัวเมีย-ตัวผู้) อันเป็นคำผสมของแองโกล-ฝรั่งเศส และจากคอร์นวอลล์นี่เอง เงือกก็แพร่พันธุ์ไปจนถึงฝั่งตะวันตกของเกาะอังกฤษ ไปถึงรอบๆสกอตแลนด์ตอนเหนือสู่สแกนดิเนเวีย มีบางครั้งที่เราอาจเห็นเงือกในจุดต่างๆตลอดแนวฝั่งยุโรปด้วย อาจเป็นเพราะเงือกชอบอากาศเย็นและแนวฝั่งแอตแลนติกของอังกฤษกับไอร์แลนด์ (อันหลังนี่เรียกเงือกว่าเมอร์โรว์และเมอรูชา)

     

         ในต่างถิ่นมีตำนานเล่าถึงกำเนิดของเงือกต่างๆกัน นิทานพื้นบ้านของโรมันบอกว่า ในสงครามกรุงทรอย เศษไม้จากซากเรือรบที่ถูกเผาวอดกลายสภาพเป็นเลือดเนื้อและเกิดเป็นสิ่งมี ชีวิตคือ เงือก ชาวไอริชเล่าว่านางเงือกคือผู้หญิงนอกศาสนาที่ถูกเนรเทศออกไปจากแผ่นดิน บางท้องถิ่นมีเรื่องเล่าว่า ชาวเงือกคือ ลูกๆของฟาโรห์ที่จมน้ำในทะเลแดง

     

     

     

     

          เงือก อาศัยอยู่ตามแหล่งน้ำขนาดใหญ่ เช่น แม่น้ำ หนองน้ำ หรือบึงนั้น บางแห่งมีบริเวณนิ่งสงบและเย็นผิดปกติเรียกว่า วัง ที่เป็นเช่นอาจเป็นเพราะน้ำบริเวณนั้นลึกกว่าบริเวณอื่นจนแสงแดดส่องลงไปไม่ ถึงพื้น ซึ่งชาวบ้านมักเชื่อกันว่ามีสัตว์ร้าย หรือพวกเงือกอาศัยอยู่

     

          เล่ากันว่าเงือกนั้นมีหน้าเล็กกลมเท่างบน้ำอ้อย(ประมาณหน้าชะนี)ผมยาว วันดีคืนดีกลางคืนเดือนหงายจะขึ้นบกมาหวีผมด้วยหวีทอง บางทีก็ใช้กระจกทองส่องหน้าด้วย ถ้ารู้สึกว่ามีใครเข้ามาใกล้ตัว จะโจนลงน้ำดำหนีไป ทิ้งหวีและกระจกทองไว้ ถ้ามีผู้พบเห็นกระจกทองแต่เก็บไว้ไม่ทิ้งลงน้ำคืนเงือก เงือกจะมาเข้าฝันทวงของคืน ถ้าไม่ให้ก็จะถูกปลิดดวงวิญญาณไปหรืออาจถูกฉุดตัวจมน้ำไปขณะที่ลงไปอาบน้ำใน ที่แห่งนั้น ความเชื่อเรื่องเงือกนี้มิได้มีแต่เฉพาะไทย แต่ยังมีกล่าวถึงในนิทานท้องถิ่นหลายประเทศ เช่น เขมร ลาว ญี่ปุ่น และทางยุโรป

     

     

     

    เงือกเขมร

     

          ในนิทานเขมรเล่าถึงเงือกไว้ว่า ตากับยายให้หลานสาวแต่งงานกับงูโดยเชื่อตามที่ฝันว่าถ้าหลานสาวมีสามีเป็นงู จะร่ำรวยเป็นเศรษฐี เมื่อส่งตัวหลานสาวเข้าห้องหอให้งูแล้วได้ยินหลานสาวร้องให้ช่วยว่าถูกงูรัด ก็ตะโกนตอบไปว่า ผัวเขากอดรัดนิดหน่อยก็ต้องร้องด้วย หลานสาวก็ร้องอีกว่างูกินเข้ามาครึ่งตัวแล้ว แต่ตากับบายก็เฉยเสียเพราะคิดว่าหลานสาวร้องไปตามมารยาหญิง รุ่งเช้าตายายไม่เห็นหลานสาวออกมาจากห้องนานผิดสังเกตจึงเข้าไปดู พบแต่งูชดตัวพองอยู่ จึงรู้ว่างูกินหลานเสียแล้ว จึงช่วยกันฆ่างูผ่าเอาตัวหลานสาวออกมา หลานยังไม่ตายแต่มีกลิ่นงูติดกายอยู่ ชำระล้างอย่างไรก็ไม่หมดกลิ่น จึงไปล้างด้วยน้ำทะเละ แต่ปรากฏว่าหลานสาวกระโจนลงน้ำกลายเป็นร่างนางเงือกดำหายไป

     

     

     

     

    เงือกญี่ปุ่น

     

          นิทานญี่ปุ่นมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับนางเงือกหลายเรื่อง มีเรื่องหนึ่งเล่าว่า มีหญิงสาวคนหนึ่งได้ช่วยนางเงือกไว้ที่ชายหาดนางเงือกซาบซึ้งในบุญคุณจึงมอบ เนื้อเงือกให้หญิงสาวและบอกว่าเป็นของวิเศษใครได้กินจะไม่แก่เฒ่า เมื่อหญิงสาวกินเข้าไปก็เป็นไปตามที่นางเงือกบอกคือมีชีวิตอยู่อย่างไม่มี วันแก่แต่คนรอบข้างนางทุกคนต่างตายไปตามอายุขัย เหลือแต่นางเพียงคนเดียวจนทนไม่ได้จึงไปบวชเป็นชีมีชื่อว่า เบคุนิ

     

     

    เงือกไทย

     

          ในวรรณคดีไทยมีกล่าวถึงเงือกไว้หลายเรื่อง แต่เรื่องที่รู้จักกันแพร่หลายคือเงือกในเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่ได้ กล่าวถึงลักษณะของเงือกว่ามีท่อนบนเป็นคน ท่อนล่างเป็นปลา เป็นผู้พาพระอภัยมณีหนีจากนางผีเสื้อสมุทรมาที่เกาะแก้วพิสดาร เรื่องอุณรุท พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ก็กล่างถึงเงือกไว้ตอนหนึ่งว่า

     

     

      "เสด็จนั่งยังท้ายเภตรา

    ชมหมู่มัจฉาน้อยใหญ่

    ว่ายคล่ำดำดั้นอยู่ไวไว

    ที่ใน มหาชลธาร

    เงือกงามหน้ากายคล้ายมนุษย์

    เคล้าคู่พู่ผุดในชลฉาน"

     

          ในเรื่องรามเกียรติ์ก็มีนางสุพรรณมัจฉาธิดาของทศกัณฐ์กับนางปลา มีรูปร่างท่อนบนเป็นหญิง แต่มีท่อนล่างเป็นปลา นางได้นำสัตว์น้ำบริวารไปขนย้ายหินที่กองทัพพระรามถมลงทะเลเพื่อทำถนนไปทิ้ง ตามคำสั่งของทศกัณฐ์ แต่ถูกหนุมานจับได้และตกเป็นภริยาของหนุมาน มีบุตรด้วยกันคือ มัจฉานุเป็นลิงเผือกแบบหนุมานแต่มีหางเป็นปลาแบบมารดา

     

     

     

     

    เงือกฝรั่ง

     

          ความคิดเรื่องเงือกหรือสัตว์ครึ่งคนครึ่งปลานี้ ฝรั่งก็มีเหมือนกัน แลมีทั้งเพศหญิงและชาย ที่เป็นเพศหญิงเรียกว่า Mermaid เพศชายเรียก Mermen เป็นพวกเงือกน้ำเค็มอาศัยอยู่ในทะเลหรือตามเกาะแก่งต่างๆ Merหมายถึงทะเลส่วน Maid หมายถึงหญิงสาว ทางฝั่งทะเลตะวันตกของอังกฤษเรียกว่า Merry maidหมายถึงสาวรื่นเริงที่จินตนาการกันว่าชอบว่ายน้ำเล่นคลื่น ยามเดือนหงาย ก็จะขึ้นมานั่งบนก้อนหินตามเกาะแก่งต่างๆหวีผมและร้องเพลงด้วยเสียงอัน ไพเราะ

     

     

     

     

     

     

     

    เงือกกรีก

     

         ในตำนานเทพของกรีก ต้นตระกูลเงือกคือ ไตรตอน ซึ่งเป็นลูกของ โพเซดอน เทพเจ้าแห่งท้องทะเล กับพรายน้ำสาวตนหนึ่ง ผู้คนมักจินตนาการว่าไตรตอนมีหางเป็นปลา ไว้หนวดเครายาว ทรงอำนาจในท้องทะเลเหมือนพ่อ ไตรตอนอาศัยอยู่ในปราสาททองคำที่ซ่อนตัวอยู่ก้นทะเล มีตรีศูล(ฉมวกสามง่าม)เป็นอาวุธ คอยเป่าแตรหอยสังข์เพื่อควบคุมทะเลให้สงบหรือบ้าคลั่ง ไตรตอนจึงมีสมญาว่า นักเป่าแตรแห่งท้องทะเล

     

         แต่ตำนานที่เก่าแก่กว่าเล่าว่า ชาวเงือกยุคบุกเบิกคือ โอนเนส (Oannes) เทพแห่งทะเลของชาวบาบิโลน (อาณาจักรโบราณในแถบเอเชียตะวันตกเฉียงใต้) ซึ่งมีพลังอำนาจต่อดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ โอนเนสเป็นตัวแทนของดวงอาทิตย์ มีร่างกายเป็นมนุษย์และมีศีรษะเป็นปลา (บ้างก็ว่าสวมเสื้อคลุมปลา) โอนเนสจะปรากฏกายขึ้นมาจากทะเลในยามเช้าและกลับลงไปในทะเลตอนพลบค่ำทุกวัน ต่อมา เทพอียา(Ea) ซึ่งมีลักษณะครึ่งคนครึ่งปลาเช่นกันก็ได้ค่อยๆเข้ามามีบทบาทแทนที่โอนเนส ซึ่งถือกันว่า เทพเจ้าอียา เป็นบรรพบุรุษของเงือก ส่วนเทพเจ้า อาทาร์การ์ติส (Atargartis) เป็นตัวแทนของดวงจันทร์ มีลักษณะครึ่งคนครึ่งปลาเช่นเดียวกัน สาเหตุที่เทพเจ้าต่างๆของชาวบาบิโลนมีลักษณะดังกล่าวนี้ เพราะพวกเขาเชื่อว่า เมื่อพวกเขาเสร็จสิ้นภารกิจในแต่ละวัน ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ก็จะจมหายลงไปในทะเล ดังนั้นเทพเจ้าของเขาจึงควรมีรูปร่างลักษณะที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ทั้งในน้ำและบนบก

     

     

     

     

    พะยูน ที่มาของนางเงือก

     

          นอกจากจินตนาการแล้วมีผู้กล่าวว่าเงือกจริงในธรรมชาติก็มี เป็นสัตว์น้ำประเภทสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง ชื่อภาษาอังกฤษว่าSea Cow ในภาษาไทยมีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น พะยูน วัวทะเละ หมูน้ำหรือหมูทะเล ส่วนภาษามลายูเรียกว่า Duyong และภาษาชวา Duyung

     

          กล่าวกันว่าเดิมพะยูนนี้เป็นสัตว์บกมาก่อนชอบหากินในน้ำ ขาและหางจึงกลายภาพเป็นครีบเพื่อให้ว่ายน้ำสะดวก แต่ต้องขึ้นมาหายใจบนน้ำทุกๆ5-8นาที รูปร่างคล้ายโลมาแต่หัวและคอใหญ่แบบหมู มีหนวดสั้นและมีชนตามตัว เมื่อจะให้นมลูกต้องยกตัวขึ้นให้ พ้นน้ำ ดูไกลๆคล้ายกับผู้หญิงอุ้มลูก ลักษณะเช่นนี้เองอาจทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นเงือก ซึ่งเป็นสัตว์ครึ่งคนครี่งปลาตามที่ได้เล่ามาแต่ต้น

     

         เนื้อเงือกเค้าว่ากันว่า บางคนกินไปก็จะเป็นพิษทำให้ร่างกายพิการ อาจกลายเป็นปีศาจหรือบางรายก็ตายไปเลย ส่วนบางคนกินไปก็เป็นอมตะ อยู่ยงคงกระพันหรือมีฤทธิ์มาก และหวีของเงือกถ้าเก็บไปก็จะเจอกับโชคร้ายที่อาจถึงชีวิต

     

     

     

     

     

     

     

          เรื่องราว เหล่านี้ล้วนเป็นปริศนาลี้ลับที่ไม่สามารถอธิบายได้ ความลึกลับนี้ สืบทอดต่อเนื่องกันมาโดยผ่านทางเรื่องเล่าเกี่ยวกับเงือก กระจกที่นางเงือกใช้ส่องนั้นเป็นตัวแทนของดวงจันทร์ ซึ่งการโคจรของดวงจันทร์นั้นมีอิทธิพลต่อการเกิดน้ำขึ้นน้ำลง และความเชื่อมโยงกันระหว่างดวงจันทร์และนางเงือกนี้ได้ช่วยให้ตำนานของนาง เงือกมีความแปลกประหลาดพิศดารมากยิ่งขึ้น

     

          เมื่อศาสนาคริสต์เริ่มก่อตั้งขึ้น ตำนานนางเงือกได้เปลี่ยนแง่มุมไปจากเดิม ตามความเชื่อของศาสนาคริสต์นั้น นางเงือกสามารถที่จะมีชีวิตจิตใจ และวิญญาณได้ แต่จะต้องสัญญาว่าจะอาศัยอยู่บนบกตลอดไป ไม่คิดจะกลับคืนสู่ท้องทะเลอีก ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ จึงถือเป็นการสร้างความทุกข์ทรมานใจให้แก่ตัวเธอเป็นอย่างยิ่ง

     

          มีเรื่องราวอันน่าเศร้าใจเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับนางเงือก ซึ่งไปเยี่ยมเยียนนักบวชรูปหนึ่งอยู่เป็นประจำ ณ สถานที่อันเป็นที่เคารพสักการะในเกาะไอโอนา (Iona) เกาะเล็กๆแห่งหนึ่งห่างออกไปจากประเทศสกอตแลนด์ เธอได้ขอชีวิต จิตใจ และวิญญาณจากนักบวชรูปนั้น และนักบวชก็สวดมนต์ขอพรให้แก่เธอ แต่เธอจะต้องละทิ้งท้องทะเลของเธอตลอดไป แม้ว่าเธอจะปรารถนาชีวิตและจิตใจมากเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถละทิ้งทะเลไปได้ ตอนจบค่อนข้างเศร้าเล็กน้อย เธอได้ไปจากเกาะนั้น และน้ำตาของเธอได้กลายมาเป็นก้อนกรวดสีเขียวเทา หากมีใครพบก้อนกรวดดังกล่าวบนเกาะไอโอนา ก็จะเป็นที่ทราบกันดีว่า คือน้ำตาของนางเงือก

     

          หลัก ฐานอีกอย่างที่สนับสนุนเรื่องเงือกมีจริงเมื่อปี1685ได้มีชาวประมงพบ ซาก สัตว์ที่ดูคล้ายคนครึ่งปลานอนตายเกยชายฝั่งของฟิลิปปินไปทางตะวันตก และ ปี 1741ได้มีคนพบซากของปลามีหัวเป็นคนที่ฝั่งทางตอนใต้ของออสเตเรีย แต่ที่สำคัญเมื่อ ปี 1985 ได้มีคนค้นพบปลาชนิดหนึ่งมีหัวคล้ายๆหน้าของมนุษย์ตัวเป็นปลาต่อมาได้ให้ ชื่อปลาชนิดนี้ว่า HUMANFISH

     

     

     

     

     

     

    คุณสมบัติของนางเงือก

     

    -->บาง ตำนานกล่าวถึงนางเงือกว่าเสียงของนางเงือกจะใสกังวาลและชักนำพากลาสีเรือแตก ลงสู่ห่วงน้ำวงใต้ทะเล

     

    -->บางตำนา นกว่าวว่า เสียงของนางเงือกไพเราะและขับร้องพาเรือลงสู่วังน้ำวน

     

    -->บางตำนานกล่าวว่า นางเงือกเป็นแค่ปล่าพยูน

     

    -->บางตำนานกล่าวว่า น้ำตาของนางเงือกจะเป็นไข่มุกแห่งพลังในการคุ้มครองจากปีศาจร้าย

     

    -->บางตำนานกล่าวว่า มงกุฏของนางเงือกทำมาจากใบไม้ใต้ท้องทะเลมีพลังในการฟื้นนพลังและรักษา

     

    -->นางเงือกสามารถว่ายรวมกันเพื่อสร้างน้ำวนได้ และยังสามารถทำให้เรือจมลงได้

     

    -->บาง ตำนานยังกล่าวว่านางเงือกเป็นธิดาของโพเซดอนอีกด้วย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×