ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    THE SOLE OF SECLAD ความลับของวิญญาณ

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 5 ผู้มาเยือนยามสนธยา (รีไรท์)

    • อัปเดตล่าสุด 23 ส.ค. 58


    THE SOLE OF SECLAD ความลับของจิตวิญญาณ

    ภาค เส้นทางแห่งราชัน

    บทที่ 5 ผู้มาเยือนยามสนธยา

     

    บันทึกเล่มที่ 7 : ครั้งที่ 2

    มันไม่สำคัญหรอกว่าตัวผมจะถูกมองอย่างไร แต่ผลลัพธ์จากสิ่งที่ตัวผมเองได้ทำลงไปต่างหากที่สำคัญกว่า

    ผมหวังว่าพวกเขาจะปลอดภัยจากสิ่งที่ตัวผมได้สร้างขึ้น

    ……………………………………………………………………………………………………..

    ผืนน้ำเบื้องล่างและท้องฟ้าถูกย้อมจนเป็นสีส้มราวกับเปลวเพลิงที่โหมไหม้อย่างบ้าคลั่ง ริ้วเมฆบางๆที่ประดับอยู่บนท้องฟ้าเป็นสีเทาเหมือนกับเป็นควันที่เกิดจากการเผาไหม้ครั้งใหญ่ ดูเวิ้งว้างไร้ที่สิ้นสุดแต่ก็นำพาความสงบมาสู่เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ได้อย่างประหลาด

     

    แสงสีส้มของดวงอาทิตย์ยามสนธยาย้อมเส้นผมสีอ่อนให้กลายเป็นสีแดงฉานราวเปลวเพลิงที่เต้นระบำไปตามบทเพลงที่สายลมบรรเลง ใบหน้าสวยหวานที่ครึ่งหนึ่งอยู่ใต้เงาดูลักลับเสียจนน่าพรั่นพรึงในสายตาของผู้พบเห็น ช่อดอกตะแบกสีม่วงพลิ้วไหวเอนลู่ไปตามสายลมอ่อนๆที่โบกสะบัด กลีบดอกไม้ร่วงหล่นลงตามแรงลมธรรมชาติพาให้สะท้อนใจ

     

    เมื่อวานเขาสามารถบอกได้เต็มปากว่ารู้จักพ่อดี แต่มาวันนี้มันกลับไม่ใช่เสียแล้ว บนชั้นดาดฟ้าของตัวบ้านยังทำหน้าที่ได้ดีเสมอยามที่เขาต้องการความสงบ ต้นตะแบกต้นใหญ่ที่แม่บอกว่ามันเกิดมาพร้อมเขายังตั้งเด่นอยู่ท่ามกลางสวนผักไฮโดรโปนิกส์ที่แม่ปลูกไว้กินเอง ภายในสวนมีเพียงต้นตะแบกต้นนี้เท่านั้นที่เขาไม่รู้ว่าทำไมมันถึงอยู่ตรงนี้ทั้งๆที่ระบบไฮโดรโปนิกส์นั้นไม่เหมาะกับการปลูกไม่ยืนต้นซักเท่าไหร่

     

    “แม่ทำไมถึงปลูกต้นตะแบกไว้ล่ะ ต้นไม้ใหญ่มันดูแลยากไม่ใช่หรือครับ” เสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยหยุดลงข้างหลังเขา โซลไม่ต้องมองด้วยซ้ำว่าเป็นใคร

     

    “มันเป็นตัวแทนแหวนแต่งงานของพ่อกับแม่” เธอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ความทรงจำตอนที่เดวิดของเธอแต่งงานยังคงชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง “ตอนที่พ่อลูกขอแม่แต่งงานเขาไม่ได้เอาแหวนมาให้แม่ด้วยซ้ำ เขาเอาต้นตะแบกต้นนี้มาให้แม่ เพราะแม่เคยบอกไว้ครั้งหนึ่งว่าชอบมาก แม่ไม่รู้หรอกว่าพ่อเขาสรรหามาจากที่ไหน แต่ตอนนั้นต่อให้พ่อขอแม่แต่งงานด้วยปากเปล่าแม่ก็ยินดีจะตอบตกลงแบบไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ”

     

    “...” ต้นตะแบกที่เขาเห็นมาแต่เด็ก และไม่เคยสงสัยในที่มาของมันซักนิดกลับซ่อนเรื่องราวและความรู้สึกดีๆเอาไว้มากมาย เด็กหนุ่มลูบลำต้นของมันอย่างทะนุถนอม ตอนนี้เขาไม่ลังเลซักนิดกับการออกตามหาพ่อ ขอแค่โอกาสเท่านั้นเขาพร้อมจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้ความปรารถนาเป็นจริง

     

    ……………………………………………………………………………………………………

     

    เสียงกริ่งดังขึ้นปลุกวารินให้ตื่นจากโลกส่วนตัว เธอเดินลงไปที่ชั้นล่างเพื่อดูว่าใครกันที่มาหาในตอนเย็นๆแบบนี้ เมื่อเห็นว่าผู้ที่มาเยี่ยมเป็นใคร เธอก็ต้อนรับแขกอย่างมีไมตรี แต่ครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะมีใครอีกคนตามมาด้วย

     

    “สวัสดีค่ะอาจารย์ โซลฟื้นแล้วตอนนี้เขาอยู่ชั้นดาดฟ้า คุณอยากพบเขาไหมคะ”

     

    “ถ้าไม่เป็นการรบกวน ผมก็อยากพบเขาครับ แล้วก็มีเรื่องบางอย่างอยากจะพูดคุยกับคุณด้วย” หนุ่มผมดำพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ

     

    “ยินดีค่ะ” วารินนำทางแขกทั้งสองคนไปที่ชั้นดาดฟ้า “โซลอาจารย์ที่โรงเรียนมาเยี่ยมหนูล่ะ”

     

    “คุณเป็นอาจารย์คนใหม่หรือครับ ผมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย” คำถามของเด็กหนุ่มทำเอาผู้มาเยือนทั้งสองถึงกับลอบขำในใจ คนที่จับที่อยู่ของสกายได้แล้วเกือบทำเกาะลอยฟ้าขนาดใหญ่จมทะเลอะไรจะใสซื่อได้ขนาดนี้

     

    “ก่อนอื่นผมคงต้องชี้แจงก่อนล่ะมั้ง เราจะได้เข้าใจตรงกัน” ใบหน้าเรียบเฉยของสกายปรากฏรอยยิ้มเล็กๆที่หาดูได้ยากยิ่งสำหรับชายหนุ่มหน้าหน้านิ่งเช่นเขา

     

    “เชิญนั่นก่อนค่ะ เรื่องที่จะคุยกันคงอีกยาว” วารินเชิญแขกนั่งก่อนการสนทนาที่จริงจังจะเริ่มต้นขึ้น

     

    “ก่อนอื่นผมคงต้องขอโทษคุณวารินก่อนที่ผมบอกความจริงไม่หมด” เธอจำได้ว่าไม่เคยบอกชื่อกับอาจารย์คนนี้แม้แต่ครั้งเดียว เขารู้ได้อย่างไรกัน

     

    “เรื่องอะไรคะ” วารินซ่อนความตระหนกไว้ใต้สีหน้าเช่นปกติ

     

    “ผมชื่อสกาย ดีแลนด์เป็นเป็นอาจารย์ครับ เพียงแต่ไม่ใช่อาจารย์ที่สอนในโรงเรียนอารีย์สโมสร”

     

    “แต่คุณมาส่งโซล ถ้าไม่ใช่อาจารย์ในโรงเรียนจะเป็นใครได้อีกคะ”

     

    “เราเป็นไซคลิก ลูกชายของคุณก็ด้วย ต้องขอโทษอีกครั้งที่คำโกหกของผมทำให้คุณสับสน เมื่อวันก่อนลูกชายของคุณเกิดควบคุมพลังไม่ได้จนเกือบทำโรงเรียนจมทะเล ผมเลยทำให้เขาสลบก่อนจะมาส่งที่บ้าน จากนั้นก็เป็นไปอย่างที่คุณรับรู้” สกายกล่าวเสียงเรียบ เพียงแค่นั้นก็มากพอให้วารินตกใจจนพูดไม่ออก เธอหันไปมองบุตรชาย โซลยังคงรับฟังอย่างนิ่งเฉยเช่นเดิม

     

    “เขามีไซต์ที่มีพลังรุนแรง เราเลยอยากขอให้เขาย้ายไปเรียนที่โรงเรียนสำหรับไซคลิกทันที” ลีโอเปิดปากพูดบ้าง

     

    “เอ่อ หมายถึงพลังใช่ไหมคะ พลังอะไรกันที่รุนแรงขนาดที่จะจมเกาะทั้งเกาะได้” แม้จะตื่นตระหนกแต่วารินก็ยังคงซักถามต่อไป

     

    “ไซต์กราวิตี้ที่สามารถความคุมแรงโน้มถ่วงได้เป็นพลังหายากระดับ S ซึ่งความรุนแรงค่อนข้างมากเราเลยไม่อาจนิ่งเฉยได้ อานันท์เธอลองจินตนาการดูซิว่าให้โต๊ะพวกนี้ลอยขึ้น” มือหนาเคาะเบาๆที่โต๊ะ โซลไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไหร่จึงลองทำตามดู

     

    “ไม่จริงน่า!!!” ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้างกับสิ่งที่ได้เห็น ตอนนี้ไม่ใช่แค่โต๊ะตัวเดียวเท่านั้นเก้าอี้ที่พวกเขานั่งทุกตัวต่างก็ลอยเคว้งคว้างกลางอากาศได้ราวกับไร้แรงโน้มถ่วง ลีโอโบกมือเบาๆทุกอย่างก็เข้าสู่สภาวะปกติ ลีโอยิ้มบางๆพลังของเด็กคนนี้มากกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก

     

    “คุณวารินเชื่อหรือยัง ถ้าหากเขาควบคุมพลังไม่ได้ชุมชนแห่งนี้จมทะเลแน่นอน” ลีโอพูดสิ่งที่น่ากลัวแบบนั้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

     

    “ความเสียหายที่เกิดกับโรงเรียนอารีย์สโมสร อาคารเรียนร้าวไปหนึ่งหลัง ครูและนักเรียนบาดเจ็บกันถ้วนหน้า เครื่องกำเนิดแรงโน้มถ่วงเสียหายอย่างหนัก ยังไม่รวมที่ทางเราต้องลบความทรงจำของผู้ที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์คราวนั้นอีกนะครับ”

     

    “โซล หนูทำจริงหรือลูก” สิ่งที่ได้ยินทำเอาวารินหายใจติดขัด เธอไม่มีทางจ่ายค่าเสียหายมากขนาดนั้นได้หรอก

     

    “แม่ผมจำไม่ได้” ฟังดูสมเหตุสมผลแต่เหมือนมีอะไรที่ขัดแย้งกันอยู่ในหัวของเด็กหนุ่ม เขาพยามหาความผิดปกติในคำพูดของชายทั้งสองคน แล้วก็หาเจอซะด้วย “ผมจำได้แล้วว่าพวกคุณเป็นใคร คุณสกายเป็นคนที่แอบซุ่มอยู่ที่โรงพยาบาลใช่ไหมครับ ส่วนคุณก็ลีโอเนลใช่ไหมครับ ถึงแม้ว่ารูปร่างกับน้ำเสียงจะเปลี่ยนไป แต่วิธีการพูดของคุณยังเหมือนเดิม” วิธีการพูดนั้นจะแตกต่างไปตามเอกลักษณ์ของบุคคลนั้นๆ และยากที่จะเปลี่ยนแปลง ถ้าหากสังเกตดีๆจะรู้ได้ทันที

     

    “...” ความเงียบที่ได้มาเป็นคำตอบได้อย่างดี ที่จริงลีโอสามารถเปลี่ยนรูปแบบการพูดจนเหมือนกลายเป็นอีกคนได้ แต่เขาเลือกไม่ทำเพราะไม่คิดว่าโซลจะจำได้ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นความผิดพลาดจากความประมาทแต่คนที่ทำให้ลีโอนาโดทำผิดพลาดได้ก็มีน้อยเสียจนสามารถนับได้ด้วยมือข้างเดียว

     

    “พวกคุณบอกความจริงไม่หมด มันไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทั้งหมดหรอกแค่เปลี่ยนความทรงจำของผู้ที่ดูแลเครื่องกำเนิดแรงโน้มถ่วงไม่กี่คนแล้วบอกว่าเครื่องกำเนิดแรงโน้มถ่วง เครื่องทำงานผิดพลาดทำให้แรงโน้มถ่วงผิดปกติ มันจะเป็นเหตุผลต่อไปอีกว่าทำไมอาคารถึงร้าว ทำไมโรงเรียนจึงเกือบจมทะเล ทำไมทุกคนถึงบาดเจ็บ ถ้าพลังของผมคือการควบคุมแรงโน้มถ่วงจริง การที่อ้างว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นผลมาจากเครื่องกำเนิดแรงโน้มถ่วงทำงานผิดปกติก็ฟังดูสมเหตุสมผลดีนะครับ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าเสียหายด้วย” โซลร่ายยาวเหยียดพร้อมกับมีรอยยิ้มบางๆที่เคลือบอยู่บนใบหน้าทำให้ผู้มาเยือนทั้งสองอดชื่นชมไม่ได้

     

    “เธอฉลาด” ลีโอมองเด็กหนุ่มอย่างชื่นชม แม้ว่าจะดูใสซื่อและบริสุทธิ์เหมือนเด็กแค่ไหนแต่โซลก็ไม่ได้โง่ “เราใช้วิธีที่เธอว่าจริงๆ”

     

    “ทำไมต้องทำแม่ผมตกใจด้วย” โซลถึงกับหน้ามุ่ยเมื่อสิ่งที่ตนคาดไว้ถูกต้อง เขารู้ดีว่าแม่ตกใจแค่ไหนเมื่อกล่าวถึงเรื่องค่าเสียหาย

     

    “เราเอาไว้เป็นข้อต่อรองถ้าหากว่าแม่เธอไม่ยอมให้เธอไปกับเรา” คำพูดของลีโอทำเอาโซลถึงกับชะงัก “คุณวารินว่าอย่างไรครับ คุณอนุญาตให้เขาไปกับเราไหม”

     

    “แต่เขาจะต้องย้ายโรงเรียนกลางภาคเรียนจะไม่เป็นปัญหาหรือคะ ทั้งจากโรงเรียนเก่าแล้วก็โรงเรียนใหม่” เธออยากให้ลูกไปอยู่ในที่ๆสมควรอยู่แต่ยังห่วงความปลอดภัยของเขา

     

    “นี่ครับ” ลีโอยื่นนามบัตรให้กับหญิงสาว เมื่อมองแค่ชื่อเธอถึงกับตะลึงลีโอนาโด โฟสเตอร์ ผู้อำนวยการโรงเรียนเซมโพรนิอุส โรงเรียนเพียงแห่งเดียวบนโลกที่ตั้งอยู่บนผืนดิน

     

    “ค่าเรียนแพงมากไม่ใช่หรือค่ะ” คล้ายแรงที่มีอยู่ในร่างถูกสูบออกไปนี่เธอกำลังคุยกับลีโอนาโด     บุคลสำคัญของโลกเชียวนะ

     

    “เราจะไม่เก็บค่าเล่าเรียนจากคุณ เพราะลูกชายของคุณจะได้เข้าโรงเรียนเป็นกรณีพิเศษ เขาจะได้เป็นนักเรียนในโครงการพิเศษ” ลีโอหยุดพักก่อนจะพูดต่อ “โรงเรียนตั้งอยู่บนพื้นดิน เธอไม่สนใจหรืออานันท์” ประโยคนี้ลีโอหันมาพูดกับโซล

     

    “...'หากตอบรับ จงเตรียมใจที่จะเป็นผู้ตัดสินชะตาของมนุษย์ มันไม่ใช่เรื่องตลกลูกจะรู้เมื่อไขปริศนาของบันทึกทั้ง 7 หมด เส้นทางนี้ไม่ง่ายและเสี่ยงอันตราย พ่อไม่อยากบังคับแต่อยากให้ลูกเป็นผู้เลือกเอง ผลที่ตามมาภายหลังจะเป็นอย่างไรก็ตาม พ่อจะรอลูกอยู่ที่ปลายทางนั้น'  ถ้อยคำในบันทึกดังก้องในหัวโซลอย่างไม่ทราบที่มา 

    ตอบรับ หรือ ปฏิเสธ ไม่จำเป็นต้องคิดให้มาก 'พ่อสอนผมเองนี่การเลี่ยงที่จะลงมือทำเป็นการกระทำของคนขี้ขลาด' "ผมจะไปครับ" เมื่อได้รับคำตอบสกายก็ยื่นเอกสารให้เเก่วารินทันที เธออ่านเอกสารอย่างละเอียดก่อนจะเซ็นลงไป

     

    “การเดินทางคือพรุ่งนี้เวลา 8 นาฬิกาแล้วผมจะมารับนะครับ ขอให้เตรียมเสื้อผ้ากับของใช้ส่วนตัวให้เรียบร้อยด้วย ผมขอตัวนะครับ”

     

    วารินมาส่งแขกที่หน้าบ้าน ส่วนโซลก็ยิ้มอย่างเป็นสุข โอกาสที่ว่ามาส่งให้กับเขาถึงที่เขาอาจจะทำภารกิจสำเร็จเร็วกว่าที่คิดก็ได้

     

    ………………………………………………………………………………………………………..

     

    จบแล้วตอนหน้าหนูโซลจะเริ่มออกเดินทางแล้วนะ โซลจะดูซื่อๆน่ารักๆ ตามประสาเด็กบ้านนอกนะคะ แต่ถ้าดูถูกระวังเจ็บนะ เดี๋ยวจะมีไก่มาเชือดให้ดูเป็นตัวอย่าง อัพล่วงหน้านะคะ คาดว่าพรุ่งนี้ไรต์เตอร์จะไม่ว่างมาอัพ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×