คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 บ้านที่ไม่ธรรมดา(รีไรท์)
บทที่ 1 บ้านที่ไม่ธรรมดา
เธอมองบรรยากาศภายนอกผ่านหน้าต่างห้องครัวออกไป เมื่อมองจากมุมสูงแบบนี้ผืนน้ำเบื้องล่างดูราวกับกระจกเงาใบใหญ่ที่สะท้อนเงาของผืนฟ้าเบื้องบนกลมกลืนกันจนแทบเป็นหนึ่งเดียว แม้จะรู้ในใจว่านั่นไม้ใช่ฟ้าจริงแต่มันก็เหมืนกับลอยอยู่บนหมู่เมฆก็ไม่ปาน
ชุมชนลอยฟ้าในชนบทห่างไกลความเจริญมีผู้คนอาศัยอยู่บางตา แม้จะมีอากาศดีตลอดทั้งปีและสงบสุข แต่พื้นที่ในชุมชุนนี้มักจะถูกจับจองในฐานะบ้านตากอากาศเสียมากกว่า
ใบหน้าสวยหวานของเจ้าของบ้านปราศจากรอยยิ้ม เรียบเฉยแต่ทว่ามีริ้วความเครียดอ่อนจางปรากฏ ดวงตาสีนิลกลมโตงดงามว่างเปล่าแต่แฝงด้วยแววตาทรงปัญญาดังนักปราชญ์ เธอเป็นหญิงร่างเล็กออกไปทางแนวผอมบางตามแบบฉบับหญิงไทย เพียงแต่ว่าผิวค่อนข้างขาวเนื่องจากไม่ได้ออกแดดมานานปี
“แม่ทำอะไรครับ” แรงกอดจากด้านหลังกับน้ำหนักที่กดลงมาบนหัวทำให้เธอรู้ทันทีว่าเป็นฝีมือใคร
“ต้มยำกุ้งจ๊ะ แต่เดี๋ยวเถอะโซลโตเป็นหนุ่มแล้วนะ ยังจะมากอดแม่อีก” เธอเอ็ดลูกชายอย่างไม่จริงจังนัก เพราะรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ เขายังชอบกอดเธออยู่ดี และเขาก็ยังเป็นความสุขเดียวที่เธอมีในชีวิตหลังจากที่ผู้เป็นสามีหายสาปสูญไปในสงคราม ในการต่อสู้บนอากาศยานนั้นหากถูกยิงจนร่วงลงน้ำความหวังที่จะรอดมันช่างริบหรี่เหลือเกิน เพื่อชัยชนะกองทัพไม่มีแม้แต่เวลาจะกู้ร่างผู้เสียชีวิตขึ้นมา ในงานศพของเดวิดจึงมีเพียงโลงศพว่างเปล่า แต่มันก็ทำเอารินหัวใจสลายคำสัญญาที่โรเจอร์เคยให้ไว้คงไม่มีทางเป็นจริงแล้ว
“ก็ผมรักแม่รินนี่” เด็กหนุ่มฉวยโอกาสหอมแก้มนวลฟอดใหญ่ก่อนจะผละออกจากร่างของริน เพื่อหนีทัพพีที่เธอเหวี่ยงไปมาจะตีหัวของเขาเสียให้ได้
“พอๆไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว จะได้ลงมากินข้าว” เธอหอบเล็กน้อยจากการที่จะลงโทษลูกชายตัวดี จนแล้วจนรอดเธอก็ตีไม่โดนลูกชายซักครั้ง อย่าว่าแต่ตีเลยหากเขาไม่อยากให้เธอแตะตัวก็อย่างหวังเลยว่าจะแตะได้แม้แต่ปลายเล็บ
“คร๊าบบบ” โซลลากเสียงยาวพร้อมกับตะเบ๊ะท่าแบบทหารเวลาที่รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาเรียกรอยยิ้มจากใบหน้าผู้เป็นแม่ได้อย่างดี ใบหน้างามยามประดับด้วยรอยยิ้มดูอ่อนโยนลงถนัดตา
วารินมองตามแผ่นหลังบุตรชายที่กำลังเดินขึ้นไปชั้นสองขณะที่เริ่มจัดโต๊ะอาหาร เขายังคงสดใสและเข้มแข็งเสมอ เข้มแข็งจนบางครั้งเธอกลัวว่าเขาจะพังทลายลงเมื่อไม่อาจรับสิ่งใดได้อีก
เธอยังจำได้ดี วันที่ได้รับข่าวว่าพ่อจากไปในสงคราม เขาไม่มีน้ำตาแม้แต่หยอดเดียว ซ้ำยังช่วยดูแลเธอที่ช็อกจนหมดสติไปหลายชั่วโมงด้วยวัยเพียง 9 ขวบ ไม่ใช่ว่าเขาเป็นเด็กที่ไร้หัวใจที่เมื่อพ่อตายก็ไม่รู้สึกอะไร ในใจลึกๆด้วยสันชาติญาณความเป็นแม่เธอรู้ดีว่าเขาทำจิตใจตัวเองให้เข้มแข็งเพื่อค้ำจุนตัวของเธอไม่ให้พังทลายลงไปเพราะความเศร้าโศก
ด้วยตำแหน่งที่สูงลิบในกองทัพของเดวิด โซล เดอร์ว่า ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวทำให้เงินชดเชยที่ได้มานั้นมีมหาศาลเมื่อรวมกับทรัพย์สินที่มีอยู่ทำให้วารินไม่ลำบากในเรื่องการเงินเลย แม้ว่าเธอจะไม่ได้ทำงาน
……………………………………………………………………………………………..
ห้องนอนของโซลนั้นเรียกได้ว่าธรรมดามาก มุมหนึ่งของห้องเป็นเตียงนอนซึ่งมีชุดเครื่องนอนสีขาวดูสะอาดสะอ้าน อีกด้านคือเครื่องคอนเน็คเตอร์ซึ่งเป็นเก้าอี้ตัวใหญ่ที่สามารถนั่งหรือเอนนอนได้ตามที่ผู้เป็นเจ้าของต้องการ มันเป็นเทียบได้กับคอมพิวเตอร์ในอดีต เพียงแต่มันสามารถเชื่อมต่อกับสมองโดยตรงได้เลยผ่านคลื่นสมองเหมือนกับเราเข้าไปทำกิจกรรมต่างๆในโลกเสมือนจริงได้ทั้งตัว สำหรับโซลระบบนี้เล่นเกมออนไลน์ได้สนุกที่เดียวล่ะ โต๊ะเขียนหนังสือหรือพวกอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคต่างๆจึงไม่จำเป็น เพราะแค่เครื่องคอนเน็คเตอร์เครื่องเดียวก็เกินใช้แล้ว
ตู้เสื้อผ้าเรียบๆสีเทาดูกลมกลืนกับห้องโทนสีขาว มันเป็นหนึ่งในเครื่องเรือนไม่กี่ชิ้นที่มีสิทธิตั้งอยู่ในห้องนี้ โซลมองออกไปที่ระเบียงแสงแดดอ่อนๆส่องกระทบราวระเบียงที่ทำจากโลหะมันวาวจนทอแสงเป็นประกายตัดกับความเวิ้งว้างไร้ที่สิ้นสุดของขอบฟ้าและผืนน้ำ
เด็กหนุ่มชอบท้องฟ้า ชอบผืนน้ำ และหลงใหลในผืนดิน ทุกอย่างเหมือนมันเป็นส่วนหนึ่งของตัวเขา สงบ ไร้ที่สิ้นสุด และทรงพลังเป็นนิยามของตัวเขาเอง อาจจะฟังดูบ้าแต่เขารู้จักตัวเองดี รู้ว่าตัวเองเป็นอย่างไร และไม่โกหกตัวเอง
ตู้สีเทามีเหตุผลในการตั้งอยู่ของมันซึ่งก็คือเป็น ‘ประตูเข้าห้องลับของพ่อ’ เขาเริ่มสงสัยจากการสำรวจพื้นที่ภายในบ้านแล้วพบว่าพื้นที่บางส่วนหายไป มันแนบเนียนมาจนแทบไม่รู้สึกตัว จากสาเหตุนี้เองทำให้เขาต้องไปเรื้อดูแบบแปลนบ้านของตัวเองแล้วนำมาเปรียบกับบ้านสำเร็จรูปแบบเดียวกันดูปรากฏว่าบ้านหลังนี้ถูกออกแบบมาเป็น ‘พิเศษ’ นำไปสู่ความอยากรู้อยากเห็นต่อไป พื้นที่ที่หายไปถูกเอาไปใช้ทำอะไรล่ะ โซลเลยทำการสำรวจดูอย่างละเอียดอีกครั้งแล้วก็พบว่าภายในตัวบ้านที่ไม่ได้ใหญ่โตนักซ่อนห้องลับขนาดใหญ่เอาไว้หลายห้องได้ราวกับมายากล มีทางเข้าหลายทางในบ้านแต่วิธีที่จะเข้าไปนั้นไม่ได้ง่ายเลย บางประตูมีการวางกลไกลเอาไว้อย่าซับซ้อน บางที่มีเครื่องสแกนม่านตา หรือไม่ก็ต้องกดรหัสผ่านหกตัว
ทางเข้าในห้องของโซลนั้นเป็นการใช้ลายนิ้วมือเพื่อเปิดประตู เด็กหนุ่มตั้งสมมุติฐานขึ้นมาถ้าหากว่าพ่อใช้ประตูลับนี้จริงมันก็น่าจะมีลายมีของพ่อติดอยู่บางทีเขาอาจจะลอกลายนิ้วมือที่ตดอยู่แล้วกดซ้ำลงไปมันก็น่าจะเปิดได้ วันนั้นที่เขาพบมันอากาศค่อนข้างเย็นโซลเลยเป่าลมหายใจไปที่แผ่นสแกนอย่าน้อยมันก็น่าจะมีลายมือของพ่อติดอยู่บ้าง แต่พ่อของเขาก็รอบตอบเกินคาด ตรงจุดนั้นถูกเคลือบด้วยสารอะไรบางอย่างที่ทำให้ไม่เกิดรอยนิ้วมือ วิธีนี้เลยเป็นอันตกไป
ต่อมาโซลเลยแอบเข้าไปในห้องทำงานของพ่อ ซึ่งตอนนั้นพ่อยังอยู่ในสนามรบอยู่ เขาสวมถุงมือพลาสติกที่หยิบมาจากครัว แล้วเริ่มทำการค้นหาสิ่งของที่มีลายนิ้วมือของพ่อหลงเหลืออยู่ โดยทั่วไปแล้วด้วยความเคยชินคนเราจะทำสิ่งที่ตัวเองถนัดออกมาโดยไม่รู้ตัว ถ้าหากพ่อจะบันทึกลายนิ้วมือก็น่าจะใช้มือข้างที่ถนัดและนิ้วที่ถนัดที่สุด พอคิดมาถึงจุดนี้แล้วสิ่งของที่คิดถึงเป็นอย่างแรกเลยคือปากกาที่พ่อใช้เป็นประจำเพราะมันต้องใช้มือข้างที่ถนัดในการเขียนหนังสือ นับว่าเป็นโชคดีของเขาไม่น้อยที่พ่อห้ามแม่เข้ามาทำความสะอาดในห้องทำงานของทุกอย่างจึงอยู่ในสภาพเดิมเหมือนวันที่พ่อออกไป โซลหยิบตลับแป้งฝุ่นที่แอบขโมยแม่มาจากนั้นก็ใช้แปรงบรัชออนลูบแป้งแล้วทาบนปากกาด้ามนั้น
รอยยิ้มดีใจพลันปรากฏบนในหน้าเมื่อสมมุตติฐานที่ตนตั้งไว้ถูกต้อง รอยนิ้วมือของพ่อยังเหลืออยู่ โซลใช้เทปใสลอกลายนิ้วมือออกมาก่อนจะตรงดิ่งไปที่ห้องของตัวเองทันที หัวใจของเขาเต้นระรัวอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อแตะลายนิ้วมือของพ่อลงไปที่เครื่องสแกน ตัวเครื่องประเมินผลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ประตูจะปลดล็อคเปิดโอกาสให้เด็กชายอายุเก้าขวบเข้าไปในเขตหวงห้ามที่เขายังไม่สมควรได้เห็น
นั่นเป็นครั้งแรกที่โซลได้เข้าไปในห้องลับของเดวิด
เด็กหนุ่มสแกนลายนิ้วมือเพื่อเปิดทางเข้าสู่ห้องลับ แสงสีแดงอ่านค่าลายนิ้วมือเพียงชั่งครู่ก่อนจะกลายเป็นสีเขียวเมื่อรหัสที่ตั้งไว้ถูกต้อง ตรงทางเข้านี้โซลแบบแฮกเข้ามาเปลี่ยนรหัสผ่านมานานแล้ว ดังนั้นห้องลับภายในบ้านหลังนี้ มันจึงตกเป็นของเขาอย่างสมบูรณ์
บันไดแคบที่ถูกออกแบบมาอย่างดีเพื่อให้ประยัดพื้นที่ที่สุดแต่ในขณะเดียวกันมันก็ถูกใช้อย่างมีประโยชน์ที่สุด เขาไม่รู้ว่าห้องลับพวกนี้พ่อเป็นคนสร้างเองไหมแต่ว่ามันสุดยอดอัฉริยะเลยล่ะ บันไดเล็กนำทางเขาสู่ห้องลับขนาดใหญ่ที่สุด ซึ่งเขาคาดเดาว่าคงเป็นห้องทำงานอีกห้องหนึ่งของพ่อเพราะตู้หนังสือขนาดใหญ่ที่มีหนังสือเรียงเต็มเอียดทุกชั้น โต๊ะทำงานทำจากไม้ซึ่งตอนนี้มันราคาแพงระยับจนคนทั่วไปแทบไม่อยากใช้ ตอนที่เขาเข้ามาครั้งแรกยังมีเอกสารที่พ่อทำค้าไว้เหลืออยู่เลย คอมพิวเตอร์เก่าๆที่ใช้การไม่ได้เครื่องหนึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะคอมพิวเตอร์แต่นั่นไม่น่าสนใจเท่ากับหนังสือที่มีแต่ตัวเลขบรรจุอัดแน่นไว้จนน่าเวียนหัว
ครั้งแรกที่เขาเห็นมันก็เกิดความรู้สึกตื่นเต้นอย่างห้ามไม่อยู่ ตัวเลขพวกนั้นแม้จะดูกระจัดกระจายแต่มันก็มีรูปแบบในตัวของมันเอง เขามั่นใจว่ามันเป็นรหัสลับที่พ่อจงใจทำขึ้นแน่ นับจากวันนั้นโซลก็เริ่มถอดรหัสหนังสือเหล่านั้นซึ่งมันไม่ง่ายเลย
เขาเดินมาที่โต๊ะทำงานหนังสือเล่มหนาที่เขาถอดรหัสไม่เสร็จยังเปิดค้างอยู่แบบนั้นข้างๆกันมีกระดาษกองใหญ่อยู่ด้วยทุกหน้าถูกเขียนจนเต็มแทบไม่มีสีของกระดาษปรากฏออกมาให้เห็น
นอกจากหนังสือเล่มนั้นยังไม่กองหนังปกสีดำอยู่อีก 7 เล่ม รูปแบบหน้าปกเป็นแบบเดียวกับทั้งหมด เพียงแต่ว่าความหนาบางของแต่ละเล่มไม่เท่ากัน ภายในหนังสือเหล่านั้นเป็นเพียงกระดาษเปล่า ในตอนแรกเขาไม่ได้สนใจอะไรคิดเพียงแค่ว่ามันอาจจะเป็นหนังสือสำรองที่พ่อไว้ใช้เขียนก็ได้ คราวนี้พอเขาจะเอามาเขียนก็ปรากฏว่ามันเขียนไม่ได้ หมึกที่น่าจะซึมลงไปในกระดาษก็ค้างอยู่แบบนั้น สิ่งที่คิดว่าเป็นแค่กระดาษมันกลับแข็งแรงเกินคาด ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ไม่สามารถทำอะไรมันได้เลย พอสำรวจชั้นหนังสือจนทั่วโซลก็พบเพิ่มอีก 6 เล่มรวมกับเล่มแรกที่เจอเป็น 7 เล่ม ซึ่งก็คือหนังสือปกดำที่วางอยู่บนโต๊ะตัวนี้นี่เอง
ภายในห้องที่เป็นดั่งศูนย์กลางของห้องลับมีทางเชื่อมเข้าสู่ห้องอื่นๆอีก ถัดจากชั้นหนังสือไปเป็นห้องน้ำเล็กๆที่เขามักใช้ประจำเวลาที่อยู่ในห้องนี้ เด็กหนุ่มก้าวไปที่ประตูสีเงินที่ทำจากโลหะดูแข็งแรง มือเรียวเปิดประตูอย่างแผ่วเบาก่อนที่จะเดินไปตามทางเดินสั้นๆที่มีแสงสว่างจากหลอดไฟบนเพดาน สิ้นสุดทางเดินมันคือห้องเก็บอาวุธที่เล็กกว่าห้องศูนย์กลางไม่มาก เรียกได้ว่าเป็นคลังแสงขนาดย่อมๆได้เลยทีเดียว เขาหยิบสายรัดข้อมือสีขาวที่วางอยู่บนแท่นโลหะกลางห้องขึ้นมาก่อนที่จะสวมมันไว้ข้างละสองเส้นน้ำหนักของสายรัดข้อมือคือ เส้นละ 10 กิโลกรัม อย่างน้อยมันก็ช่วยเพื่อแรงให้เขาได้มากทีเดียว
ปกติเขาไม่ค่อยสนใจอาวุธพวกนี้เท่าไร แต่พอแปลศาสตร์การใช้อาวุธเสร็จ โซลก็สนใจอาวุธพวกนี้ขึ้นมาทันที แต่ว่าสถานที่ฝึกซ้อมนั้นมีน้อยมาก เกมออนไลน์จึงถูกใช้ในการฝึกเวลาในเกมเร็วกว่าเวลาปกติ 3 เท่าถึงแม้ว่าจะไม่ได้ฝึกร่างกายแต่เรื่องกระบวนท่าและวิธีการใช้อาวุธ โซลนั้นพัฒนาอย่างก้าวกระโดดเชียวล่ะ แม้ไม่ได้เก่งระดับปรมาจารย์แต่เขามั่นใจว่าอย่างน้อยก็เอาตัวเองรอดได้หากมีการต่อสู้
เด็กหนุ่มเดินกลับขึ้นไปบนห้องนอนจัดการอาบน้ำแต่งตัวแล้วจึงเดินลงมาหาผู้เป็นแม่ที่ชั้นล่าง
…………………………………………………………………………………………………
“แม่คิดถึงพ่ออีกแล้ว” โซลเดินลงมาจากชั้นสอง เขาเห็นแม่นั่งเหม่ออยู่บนเก้าอี้ตัวที่นั่งประจำ น้ำตาใสร่วงเผาะลงจากดวงตาแต่ว่าไร้เสียงสะอื้น เธอเป็นแบบนี้เสมอตอนที่คิดถึงเดวิดสามี เด็กหนุ่มเช็ดน้ำตาของเธอแผ่วเบาราวกับว่าหากรุนแรงกว่านี้เพียงนิดร่างตรงหน้าจะแตกสลายไป “ผมยังอยู่กับแม่นะ แม่ยังเหลือผม” เสียงอ่อนโยนของโซลเรียกสติของวารินที่โบยบินไปไกลแสนไกลให้กลับมา
“แม่ไม่เป็นอะไรแล้ว กินข้าวเถอะลูกเดี๋ยวจะไปเรียนสายนะ” เธอจับมือลูกชายที่กำลังเช็ดน้ำตาของเธอไว้ ผ่านมา 6 ปีแล้วถึงเวลาที่นางต้องเข้มแข็งเสียที
“ยิ้มนะครับ” เขาพูดพร้อมกับยิ้มสดใส ใบหน้าหวานละมุนที่ได้รับมาจากเธอทำให้เขาดูอ่อนหวานราวกับเด็กสาว ดวงตาสีฟ้าคมสวยกับเส้นผมสีอ่อนที่ได้รับมาจากพ่อส่งให้เด็กหนุ่มดูบริสุทธิ์และไร้เดียงสาราวกับเทวดาตัวน้อยๆ ผิวขาวตามแบบเชื้อสายคอเคซอยด์ที่สืบทอดมาจากพ่อ รวมกับรูปร่างสูงโปร่งติดจะบางไปหน่อยทำให้เขาดูห่างไกลคำว่าเด็กหนุ่มมากโขในเรื่องรูปร่างหน้าตา
“จ๊ะ” วารินยิ้มตามที่บุตรชายขอ
“ต้องแบบนี้สิแม่” เขานั่งเก้าอี้ตัวที่อยู่ตรงข้ามกับแม่แล้วลงมือทานข้าวอย่างไม่เร่งรีบนัก เพราะเวลายังเหลืออีกมาก เด็กหนุ่มตักข้าวถึงสองครั้งเพราะมีของโปรดอย่างต้มยำกุ้งอยู่ในมื้อนี้ด้วย
……………………………………………………………………………………………………..
“ผมไปแล้วนะแม่ สวัสดีครับ” โซลยกมือไหว้วารินที่ออกมาส่งเขาเช่นทุกวัน ก่อนจะขึ้นขับโฮเวอร์บอร์ดแล้วขับออกไป ในชุมชนลอยฟ้าแบบนี้พาหนะที่ลอยได้สะดวกในการเดินทางมากที่สุดหากจะให้เทียบกับพาหนะในสมัยก่อนก็คงเป็นจักรยานยนต์แตกต่างเพียงแต่ว่าโฮเวอร์บอร์ดบินได้และมีฟังก์ชั่นการใช้งานมากกว่า
เมื่อลับสายตาของแม่แล้วโซลก็โฮเวอร์บอร์ดควบคุมให้มันเคลื่อนไปในทิศทางที่เขาต้องการ โซลเร่งเครื่องถึงขีดสุดโฮเวอร์บอร์ดก็พุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วจนเห็นเป็นเพียงเส้นอ่อนจาง จากนั้นก็ถ่วงน้ำหนักไปทางด้านหลังโฮเวอร์บอร์ดทำให้มันพุ่งขึ้นฟ้าแล้วไต่ระดับขึ้นอย่างรวดเร็วจนเมื่อสูงพอแล้ว เขาก็ย่อตัวลงใช้มือข้างหนึ่งจับโฮเวอร์บอร์ดไว้แล้วก็ทิ้งดิ่งลงมาซึ่งมันเร็วกว่าตอนที่ขึ้นไปเสียอีก
โฮเวอร์บอร์ดอันงามพาร่างผู้เป็นเจ้าของทิ้งดิ่งลงจนเกือบแตะผืนน้ำ โซลจัดการเร่งเครื่องขึ้นอีกครั้งภายในเสี้ยววินาที โฮเวอร์บอร์ดก็หยุดการทิ้งดิ่งที่แสนน่ากลัวลงเหนือผืนน้ำด้านล่างเพียงไม่มากได้อย่างน่าอัศจรรย์
“ดีๆ ฝีมือยังไม่ตก” ในดวงตาของเด็กหนุ่มฉายแววสะใจอย่าเห็นได้ชัด สิ่งที่เขาพอจะทำได้บนโลกจริงก็คงจะเป็นการฝึกขับโฮเวอร์บอร์ดนี้ล่ะ โซลขับโฮเวอร์บอร์ดต่อด้วยความเร็วที่คนทั่วไปเรียกว่าความเร็วปกติราวก็เหตุการณ์ที่เสี่ยงตายเมื่อครู่ไม่ได้เกิดขึ้น สายลมที่ปนกับหมอกขาวอ่อนจางปะทะใบหน้า เด็กหนุ่มชะลอความเร็วของโฮเวอร์บอร์ดลงก่อนจะเปลี่ยนการทำงานเป็นระบบอัตโนมัติ เมื่อถึงคฤหาสต์ทรงยุโรปหลังหนึ่ง ตัวคฤหาสต์หรูหรางดงามตั้งอยู่บนผืนดินขนาดไม่ใหญ่โตนักล้อมรอบด้วยสวนที่ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี
ในปัจจุบันที่แผ่นดินส่วนใหญ่จมบาดาลทำให้แผ่นดินที่เหลืออยู่มีราคาแพงหูฉีก หากไม่ใช่เศรษฐีแล้วล่ะก็อย่าหวังเลยที่จะได้ครอบครอง เขาหลงใหลในผืนดินไม่แพ้การอ่านหนังสือ ความทรงพลังของมันทำให้เขารู้สึกราวกับได้รับการเติมเต็มเศษเสี้ยวของวิญาณที่ขาดหายไปแม้ว่าจะเป็นแค่การมอง
เขาเหม่อมองผืนดินที่เหลืออยู่เพียงแห่งเดียวของโซนนี้จนกระทั่งโฮเวอร์บอร์ดที่เขาตั้งเป็นระบบอัตโนมัติพาร่างของเขาเลยคฤหาสต์หลังนั้นมาไกล เด็กหนุ่มดึงจิตใจตัวเองที่กลับมาหลังจากปล่อยให้ล่องลอยไปกลับสู่โลกแห่งความจริง โลกที่ไม่ได้สวยงามอะไร
โซลกลับมาขับโฮเวอร์บอร์ดดังเดิมแล้วเขาก็เร่งความเร็วขึ้นอีกเล็กน้อย เขาต้องไปซื้ออุปกรณ์สำหรับการเรียนในวันนี้ในเขตชุมชนใหญ่ก่อนที่จะไปโรงเรียนที่อยู่ห่างจากที่นั่นไม่มากนักต่อ
เมื่อเข้าเขตชุมชนใหญ่ผู้คนก็เริ่มพลุกพล่าน เด็กหนุ่มขับโฮเวอร์บอร์ดไปตามทางที่จัดไว้เฉพาะ เพื่อความสะดวก แต่ว่าจู่ๆก็มีอะไรบางอย่างหล่นลงมาจากท้องฟ้าชนเข้าอย่างจังกับร่างของโซลทำให้โฮเวอร์บอร์ดเสียการควบคุม ก่อนจะเซลงข้างทางแล้วชนเข้าโครมใหญ่กับกองลังกระดาษที่กองอยู่แถวๆนั้น
“โอ๊ย!!! เจ็บอะไรตกลงมาว่ะ” เพราะว่าเขาขับมาไม่เร็วนักทำให้โซลไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร เพียงแต่เจ็บเพราะตกกระแทกพื้นอย่างแรงเท่านั้น ร่างโปร่งยันตัวขึ้นพลางปัดฝุ่นออกจากเครื่องแบบนักเรียนก่อนจะเดินไปเก็บโฮเวอร์บอร์ดที่ถูกภูเขาลังกระดาษถมอยู่
“รับได้สวย แต่ว่าช่วยฉันออกมาก่อนได้ไหม” เสียงแหบๆชวนขนลุกดังมาจากกองลังกระดาษ ก่อนที่เจ้าของเสียงจะคลานออกมาจากจุดนั้นไม่ต่างจากผีดิบที่พึ่งออกจากหลุม สิ่งหล่นใส่หัวเขาคือตาลุงแก่ๆคนหนึ่งที่สภาพเละเหมือนพึ่งไปฟัดกับหมามา ลุงคนนั้นพยายามลุกขึ้นแต่ก็ถูกก้อนอิฐที่กองรวมอยู่กับกองลังกระดาษหล่นใส่หัวสลบไป
“เฮ้ย!!! ลุงอย่าพึ่งตายนะ โธ่ หล่นมาโดนใครไม่โดนดันมาโดนผม ผมจะโดนจับข้อหาฆ่าคนตายไหมล่ะเนี่ย” เด็กหนุ่มถึงกับกุมขมับกับความซวยในวันนี้ของตัวเอง ก่อนจะตัดสินใจลากศพลุงคนนั้นขึ้นโฮเวอร์บอร์ดดพื่อหาทางทำลายศพต่อไป เฮ้ย!!! ไม่ใช่แล้วโซลลากร่างของชายตนนั้นขึ้นโฮเวอร์บอร์ดก่อนจะขับตรงไปที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที ‘จะเข้าเรียนสายก็ช่าง แต่ผมจะไม่ยอมถูกจับข้อหาฆ่าคนตายเด็ดขาด’
…………………………………………………………………………………………………
“อาสาพยาบาล นายอานันท์ แสงปัญญาพาผู้บาดเจ็บมาส่งครับ” เด็กหนุ่มแสดงบัตรเจ้าหน้าที่อาสาให้กับพยาบาลเวรดู เธอกรอกอะไรบางอย่างลงคอมพิวเตอร์ เพียงไม่กี่นาทีก็มีบุรุษพยาบาลรูปร่างกำยำสองคนก็มาพาร่างผู้บาดเจ็บไปที่ห้องฉุกเฉินทันทีด้วยรถเข็น
เด็กหนุ่มถึงกับหอบเล็กน้อยเพราะเขาต้องแบกร่างของลุงคนนั้นหนักใช่ย่อย แถมความสูงก็ไม่ใช่น้อยๆเล่นเอาเขาหลังแอ่นเลยทีเดียว
“คุณอานันท์ ผู้บาดเจ็บเมื่อครู่ชื่ออะไรค่ะ” พยาบาลสาวถามด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรตามที่ถูกฝึกมา
“อ่า ผมไม่รู้ครับ เขาตกลงมาจากฟ้าแล้วก็ถูกก้อนอิฐตกลงกระแทกหัวสลบไป ผมเลยมาส่งเขาที่นี่น่ะครับ” โซลพูดไปตามความจริงแต่ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยเชื่อนัก
“ถ้าเป็นแบบนั้นคุณคงต้องอยู่รอคนไข้ฟื้นแล้วทำการยืนยันสิทธิอีกที่นะคะ ตอนนี้ทางเราจะทำการรักษาคนไข้ไปก่อน”
“ผมต้องไปโรงเรียนนะครับ” โซลยิ้มแหยๆ เขาลืมคิดถึงระเบียบปฏิบัติไปเสียสนิท ว่าเจ้าหน้าที่ต้องทำการยืนยันสิทธิให้ผู้บาดเจ็บด้วย
“ต้องขออภัยด้วยนะคะ ระเบียบปฏิบัติเป็นแบบนี้ดิฉันเองก็ขัดไม่ได้” เธอยิ้มแห้งๆให้เด็กหนุ่มก่อนจะเชิญเขาให้เข้าไปรอในห้องพักที่ผู้บาดเจ็บจะต้องเข้ามาพักหลังจากรักษาเสร็จ ก่อนที่เธอจะออกไปทำหน้าที่ต่อทิ้งให้โซลต้องอยู่คนเดียวภายในห้องพักคนไข้ ความน่าเบื่อของมันทำให้เขาเผลอหลับไปบนโซฟาอย่างห้ามไม่อยู่
…………………………………………………………………………………………………
เย้! ประเดิมการรีไรท์ใหม่ด้วยตอนที่หนึ่ง เปลี่ยนไปค่อนข้างเยอะแต่มิ้นหวังว่าผู้อ่านทุกท่านจะชอบกันนะคะ จะพยายามอัพให้ได้สัปดาห์ละสองวัน คือ วันอังคารกับวันเสาร์ จะไม่ดองอีกแล้ว TT^TT
ความคิดเห็น