คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 6 การเดินทาง (รีไรท์)
THE SOLE OF SECLAD ความลับของจิตวิญญาณ
ภาค เส้นทางแห่งราชัน
บทที่ 6 การเดินทาง
บันทึกเล่มที่ 7 :ครั้งที่ 3
บางครั้งการสิ้นสุดของบางสิ่งก็อาจเป็นการเริ่มต้นของอีกสิ่งหนึ่ง
เหมือนกับความตายของฉันมันเป็นจุดสิ้นสุดก่อนที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่
……………………………………………………………………………………………………..
อุปกรณ์ที่ต้องการจะนำติดตัวไปถูกนำมาวางเรื่องรายอยู่บนโต๊ะที่ปกติถูกซ่อนไว้ในผนังห้อง ซึ่งแต่ละอย่างมันไม่ใช่สิ่งที่คนปกติคิดจะพกกันเลยแม้แต่อย่างเดียว
ถุงมือที่ถูกถักทอด้วยวิธีพิเศษ ที่มีลักษณะคล้ายเสื้อเกราะกันกระสุน แข็งแรง ทานทาน แต่มีน้ำหนักเบา ชนิดต่อให้นิวเคลียร์ลงจนร่างกายแตกสลายไม่เหลือซากถ้าหากใส่ถุงมือนี้อยู่ มือของคุณจะปลอดภัยไร้ซึ่งอันตรายใดๆ เสริมด้วยระบบการทำงานแบบพิเศษ ตัวถุงมือสามารถสร้างกระแสไฟฟ้าออกมาเป็นสนามแรงโน้มถ่วงเทียม ทำให้คุณสามารถยึดเกาะกับผนังทุกชนิดได้แน่นหนึบราวกับตุ๊กแก (คำบรรยายจากคู่มือฟังดูแปลกๆนะ)
ไรเฟิลรุ่นอะไรไม่รู้แต่น่าจะประดิษฐ์เอง ตัวปืนมีขนาดไม่ใหญ่นัก และน้ำหนักเบาอย่างเหลือเชื่อ สามารถบรรจุกระสุนได้ 6 นัด ระยะทำการ 2 กิโลเมตร เสริมด้วยกระบอกเก็บเสียง และเลเซอร์นำวิถี ตัวปืนสามารถถอดออกเพื่อสะดวกในการขนส่งได้ และส่วนเสริมมากมายที่ขี้เกียจจะอธิบายต่อ
มีดสั้นสงคราม ด้ามจับถนัดมือสามารถขว้างได้อย่างแม่นยำ พร้อมกับชุดมีดบินติดลวดคมกริบอีกจำนวนหนึ่ง
กระสุนปืนมากมายที่พ่อเก็บสะสมไว้เป็นคลัง เหมือนจะเตรียมตัวไปก่อสงครามกับใคร
แต่ที่น่ามหัศจรรย์กว่านั้นคือของทั้งหมดนี้มันสามารถเก็บใส่กระเป๋าที่มีขนาดใหญ่กว่ากระเป๋าโน๊ตบุ๊คเพียงเล็กน้อยได้หมด ในคู่มือการใช้บอกว่ากระเป๋าใบนี้สามารถกันคลื่นจากเครื่องแสกนโลหะได้ ทำให้มันไม่ต่างจากกระเป๋าธรรมดาใบหนึ่งเลย
โซลยกกระเป๋าใบนั้นขึ้นไปไว้บนห้องนอนรวมกับกระเป๋าใบอื่นๆที่แม่ช่วยเตรียมให้ก่อนแล้ว นาฬิกาบนผนังบอกเวลา 7.30 นาฬิกา เหลืออีก 30 นาทีกว่าจะถึงเวลาที่นัดกันไว้ โซลตรวจสอบของในกระเป๋าอีกครั้งเผื่อว่าเขาจะลืมอะไรบ้างไหม
ก่อนจะขนของทั้งหมดลงไปที่ชั้นล่างเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทาง แม่ของเขากำลังจัดโต๊ะอาหารด้วยอารมณ์ที่ดูเฉื่อยๆกว่าปกติ
“แม่ โซลไม่อยู่แม่ต้องดูแลตัวเองนะ” โซลกอดแม่จากทางด้านหลังเหมือนเช่นปกติ ใบหน้าหวานซบลงกับกลุ่มผมนุ่มอย่างออดอ้อน
“แม่ดูแลตัวเองได้ หนูห่วงตัวเองก่อนเถอะไปอยู่คนเดียวจะรอดไหม” วารินหยอกกลับอย่างอารมณ์ดี เธอต่างหากที่สมควรเอ่ยคำนั้น ในสายตาของเธอเขายังเหมือนเด็กตัวเล็กไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
“โธ่!แม่ โซลลูกแม่กับพ่อนะ ไม่มีใครรังแกได้ง่ายๆหรอก”
“เหรอ แล้วตอน 7 ขวบใครวิ่งแจ้นมาฟ้องพ่อกับแม่นะว่าโดนเด็กผู้หญิงรังแกมา” รินจี้จุดอ่อนของลูกชายอย่าจัง หากเธอเอ่ยถึงเรื่องนี้เมื่อไหร่โซลจะงอนตุบป่องเหมือนกบน้อยพองลมทุกที แล้วโซลก็ไม่ทำให้เธอผิดหวังเขาเป็นแบบนั้นจริงๆ
“ไม่เอาแล้ว ไม่พูดกับแม่แล้ว” โซลกอดอกแล้วหันหลังให้กับผู้เป็นแม่ทำแก้มพองๆ ท่าทางงอนแบบเด็กๆทำให้รินยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
“โอ๋ๆ คนดีเดี๋ยวแม่ให้เค้กช็อกโกแลต 2 ชิ้นเลยเอาไหม” รินเริมเอาของกินเข้าล่อเมื่อบุตรชายทำท่าว่าจะงอนเข้าจริงๆ
“เค้กที่แม่ทำเองใช่ไหม” โซลพูดแบบไม่หันหน้ามามองผู้เป็นแม่ ถึงอยากหันกลับมาขอใจแทบขาดแต่ต้องนิ่งไว้ เดี๋ยวอำนาจการต่อรองจะเสีย เค้กที่แม่ทำอร่อยที่สุดแต่แม่มักจะไม่ให้เขากินเกินสองชิ้นอย่างเด็ดขาด
“ใช่” รินแอบยิ้มในใจถ้าหากถามกลับมาแบบนี้ แสดงว่าสนใจมากกว่าครึ่งแล้ว
“ขอ 4 ชิ้น ไม่งั้นโซลไม่ยอมคืนดี” ดวงตาสีฟ้าพราวระยับอย่างน่าดู
“เอ้า 4 ชิ้นก็ 4 ชิ้น” วารินหยิบเค้กที่ตัดเป็นชิ้นแล้วเรียงใส่กล่องอย่างดีออกมาจากตู้เย็นตามคำสัญญา
“ต้องแบบสินี้ครับ” โซลหอมแก้มรินฟอดใหญ่ ก่อนจะกวาดเค้กลงกระเป๋าอย่างอารมณ์ดีผิดกับเมื่อครู่ลิบลับ รินมองลูกชายที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เธอถูกหลอกเข้าแล้ว
“ไปพัฒนาความเจ้าเล่ห์มาจากไหนกัน เจ้าตัวดี” วารินลูบผมนุ่มสีอ่อนอย่างอ่อนโยน
“ก็จากหลายๆที่ครับ อย่างที่แม่เคยสอนไง คนเราต้องรู้จักการพัฒนา” โซลยิ้มสดใส ดวงตาทอประกายวาววับอย่างน่าดู
“พัฒนาไปด้านนี้ แม่สมควรจะดีใจไหม” เธอเอามือจิ้มหน้าผากโซลเบาๆ
“โธ่ อย่างน้อยก็ดีกว่าพัฒนาลงนะแม่ ใช้ประโยชน์ได้หลายด้าน” โซลลูบหน้าผากตรงที่โดนจิ้ม ความอุ่นวาบแผ่ซ่านเข้ามาถึงหัวใจ นี่อาจเป็นครั้งแรกที่เขาต้องอยู่ห่างจากแม่ อย่างน้อยก็หวังให้แม่เข้มแข็งขึ้นสักนิดก็ดี ตอนนี้เขายังไม่อยากบอกแม่ว่าพ่ออาจจะยังมีชีวิตอยู่ ถ้าหากพาพ่อกลับมาไม่สำเร็จหัวใจของแม่คงไม่เหลือแม้แต่ซาก
“กินข้าวได้แล้ว เดี๋ยวจะสายเอานะ” วารินดุเล็กน้อยเมื่อโซลเอาแต่พูดเล่น เธอเลื่อนชามข้าวต้มไปตรงหน้าโซล เมนูที่ทานง่ายเช่นนี้ทำให้เขาทานหมดอย่างรวดเร็วก่อนถึงเวลานัดเพียงเล็กน้อย
………………………………………………………………………………………………..
“ของหมดเท่านี้ใช่ไหมครับ” สกายถามอย่างแปลกใจเมื่อสัมภาระของโซลมีเพียงกระเป๋าขนาดไม่ใหญ่นัก 3 ใบเท่านั้น เด็กหนุ่มพยักหน้าแทนคำตอบ
“เดี๋ยวจ้ะ นี่กล่องปฐมพยาบาลเผื่อว่าได้ใช้” วารินให้กล่องเล็กๆสีขาวกับโซล เขารับกล่องนั้นมาก่อนจะใส่ในกระเป๋ากางเกง
“ขอบคุณครับแม่ ลาก่อนครับ” โซลยกมือไหว้แม่ตามมารยาทไทยที่ถูกสั่งสอนมาตั้งแต่เด็ก สกายแอบยิ้มเล็กๆ นานแล้วที่เขาไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้
“คุณวารินไม่ต้องห่วงนะครับถึงจะเป็นโรงเรียนประจำแต่เราก็มีเวลาให้นักเรียนกลับมาเยี่ยมบ้านตามความเหมาะสม”
“ค่ะ ฉันเข้าใจ” วารินยิ้มอำลา เธอมองตามโฮเวอร์บอร์ดขนาดกลางที่ทะยานออกไป โซลยังหันหลังกลับมามองเธอ เขาโบกมือเบาๆให้กับเธอ
………………………………………………………………………………………………….
“คุณลีโอเนลล่ะครับ”
“งานของเขาค่อนข้างยุ่ง” สกายบอกเพียงแค่นั้น จริงๆแล้วคือ เขาบังคับให้ลีโอกลับไปทำงานที่ค้างไว้ให้เสร็จ โดยมีฮาร์ลี่เป็นแนวร่วมในการกระทำครั้งนี้ ป่านนี้คงกำลังทำเอกสารจนหัวปั่นเลยล่ะมั้ง แต่ก็กรรมตามสนองแล้วล่ะนะแอบขี้เกียจเองนี่
“คุณสกายชอบของหวานไหมครับ” โซลถามยิ้มๆสาเหตุที่เขาทำเป็นงอนแม่ก็เพราะอยากได้ขนมมาฝากลีโอนาโดกับสกายนั่นเอง แต่ว่าได้มา 4 กล่องนี่ถือว่าเกินคาดไม่น้อย
“ปกติครูไม่ค่อยมีเวลากินหรอก แต่ถ้ามีให้กินก็ไม่ปฏิเสธนะ”
“นี่ครับ ขนมเค้กที่แม่ผมทำเอง กล่องนี้ของคุณสกาย ส่วนอีกกล่องฝากให้คุณลีโอนาโดทีนะครับ” โซลวางขนมเค้กลงข้างๆที่นั่งคนขับ
“ขอบใจแต่คงไม่ต้องฝากหรอก เธอจะได้เจอลีโอแน่นอนตอนที่เดินทางถึงโรงเรียน อ้อ ถึงผมจะเป็นเลขาของลีโอ แต่ผมก็ยังได้สอนนะเรียกว่าครูหรืออาจารย์เถอะ” โซลพยักหน้ารับ การขับโฮเวอร์บอร์ดนั้นต้องใช้สมาธิค่อนข้างสูง โซลจึงไม่รบกวนสกายอีก ความเงียบจึงโรยตัวอยู่ในบรรยากาศ มันไม่ใช่ความเงียบที่น่าอึดอัดแม้แต่น้อย ตรงข้ามกันมันกลับเป็นความสงบที่สกายไม่ได้พบมาหลายปีนับตั้งแต่รับหน้าที่เป็นเลขานุการของลีโอ เขาเหลือบมองเด็กหนุ่มข้างตัวเล็กน้อย โซลคงไม่รู้ตัวว่าตัวเองนำความสุขมาให้แก่คนรอบข้างได้เสมอ สกายรู้ตั้งแต่เขาได้พบกับวาริน เธอดูมีความสุขมากแม้แววตาลึกๆจะฉายถึงความเศร้าที่ซ่อนอยู่ในจิตใจ เด็กคนนี้เองคือสาเหตุแห่งความสุข แล้วโซลก็นำความสุขเล็กๆมาให้แก่เขาด้วย
ทิวทัศน์ข้างนอกเริ่มแปลกตาเมื่อเข้าสู่ตัวเมืองใหญ่ โฮเวอร์บอร์ดหลากหลายขนาดบินว่อนบนผืนฟ้า ดูแตกต่างจากที่บ้านเกิดของโซลโดยสิ้นเชิง โซลอดนึกถึงภาพท้องฟ้าโล่งๆที่มีปุยเมฆสีขาวแต่งแต้มบนผ้าใบสีฟ้าครามไม่ได้ ดูสงบกว่านี้เป็นไหนๆ
“อานันท์ไม่ได้เคยเข้ามาในเมืองหรือ” สกายถามเมื่อสังเกตเห็นท่าทีของเด็กหนุ่มดูแปลกตากับทุกสิ่งที่เห็นไปเสียหมด
“ครับ ผมไม่ได้เข้ามาในเมืองนานแล้ว ทุกอย่างเปลี่ยนไปเยอะเลย ครูเรียกผมว่าโซลก็ได้ครับ ปกติคนไทยมักมีชื่อเล่นไว้เรียกแทนชื่อจริงที่ยาวกว่า คุณแม่ก็เรียกผมว่าโซล ครูจะเรียกบ้างผมก็ไม่หวงนะ” โซลหันมาพูดกับสกายหลังจากที่ดูนู่นนั่นนี่จนตาลายไปหมด
“โซล เป็นชื่อที่ไม่ค่อยนิยมเท่าไหร่นะ”
“โซลเป็นชื่อกลางของพ่อครับ ชื่อของผมจะได้ไม่โหล ว่าแต่ครูจะพาผมไปที่ไหนเหรอครับ” โซลถามเมื่อสกายเลี้ยวเข้าห้างสรรพสิ้นค้าชื่อดังแห่งหนึ่ง เขาหาที่จอดโฮเวอร์บอร์ดเจออย่างรวดเร็วเพราะมีโฮเวอร์บอร์ดอยู่บางตา
“ครูจะพาเธอมาซื้ออุปกรณ์ที่จำเป็น”
“มาตั้งศูนย์การค้าในห้าง คนจะไม่รู้ว่ามีไซคลิกอยู่เหรอครับ” โซลถามอย่างสงสัย ใครคิดเรื่องบ้าบิ่นขนาดนี้กัน คล้ายกับสกายอ่านความคิดของโซลออกเขาจึงตอบออกมา
“ศาสตราจารย์ลีโอเป็นคนคิดน่ะ เขาบอกว่าที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด ปกติส่วนแสดงสินค้าสำหรับไซคลิกจะมีเครื่องสร้างภาพลวงตาสร้างภาพลวงตาปิดบังไว้ แล้วก็จะมีทางเข้าพิเศษไว้เฉพาะไซคลิกเท่านั้น อันไซต์เข้าไม่ได้หรอก นั่นไงลิฟต์ตัวนั้นล่ะ” โซลหันไปมองตามทิศทางที่สกายชี้ให้ดู มันคือลิฟต์รุ่นเก่ากึกที่จะพังแหล่ไม่พังแหล่แถมยังปิดป้ายสีแดงตัวใหญ่ไว้ว่า ‘ชำรุด งดการใช้บริการ’
“นั่นก็ม่านลวงตาใช่ไหม” โซลมองลิฟต์ตัวนั้นอย่างไม่ไว้วางใจ ถ้าหากมันเป็นสภาพอย่างที่เห็นจริงเขาจะไม่ยอมขึ้นเด็ดขาดเลย
“แน่นอน” สกายและโซลก้าวเข้ามาในเขตม่านลวงตาลิฟต์เก่าๆที่เห็นจากภายนอก มันคือลิฟต์ธรรมดาๆตัวหนึ่งนี่เอง ตัวลิฟต์ยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์โดยการพาผู้โดยสารไปส่งยังชั้นพิเศษอย่างปลอดภัย
“เออ คือว่าผมไม่เข้าใจระบบของเซมโพรเนอุสเลยครับ” โซลพูดอย่างซื่อๆ ระบบของโรงเรียนเซมโพรเนอุสนั้นแตกต่างจากการเรียนในอื่นๆอย่างเห็นได้ชัด เขาเดาไม่ได้ว่ามันจะเป็นอย่างไร
“ได้เดี๋ยวครูจะอธิบายให้ฟังตั้งแต่ต้นเลยแล้วกัน ในโรงเรียนจะมีทั้งหมด 6 ชั้นปี คือ ปี 1ถึง ปี 6 ถ้าจะให้เทียบกับการศึกษาปกติก็คือ ปี 1 เทียบเท่ากับ ม. 4 ของโรงเรียนปกติ แต่เนื้อหาที่พวกเธอจะได้เรียนนั้นพอๆกับ นิสิตชั้นปี 1 ของระดับอุดมศึกษานั่นล่ะ”
“อ้อ ก็คือผมจะได้เรียนมหาลัยตั้งแต่อายุ 16 ปี แต่ว่าก็เรียนจบตอนอายุ 22 ปีเท่ากับเรียนในระดับอุดมศึกษาตามปกติไม่ใช่หรือครับ”
“ใช่ แต่ว่าไซคลิกต้องมีการฝึกการใช่พลังด้วย แต่ในบางสายอย่างสายการแพทย์ก็ถือว่าได้เปรียบการศึกษาในระดับปกติ เพราะ เรียนจบเร็วกว่าถึงสองปี”
“มีสายการเรียนอะไรบ้างครับ”
“สายการเรียนมีทั้งหมด 7 สาย คือ สายสามัญ สายต่อสู้ สายการแพทย์ สายวิทยาศาสตร์ สายเครื่องกล สายสังคม และสายคำนวณ ครูอธิบายแค่นี้ก่อนเดี๋ยวพอเดินทางถึงโรงเรียนเธอจะต้องเลือกสายการเรียน” ทางเดินสะดวกสบาย ผู้คนค่อนข้างบางตาเนื่องจากเป็นวันทำงานและยังไม่ถึงช่วงเวลาพัก “นั่นไงถึงร้านขายอุปกรณ์แล้ว”
“เชิญครับ เรามีเครื่องคอนเซอร์ที่มีหลายรูปแบบไว้บริการ คุณลูกค้าต้องการแบบไหนครับ” พนักงานขายตรงรี่มาหาพวกเขาทั้งสองคนทันที
“เธอจำเป็นต้องใช้ที่โรงเรียนไม่อนุญาตให้นำโทรศัพท์เข้าไป จะต้องใช้คอนเซอร์ในการติดต่อสารทั้งหมด ในด้านการเรียนก็ใช้เครื่องนี้ทั้งหมดด้วย คอร์เซอร์เหมือนกับการย่อเครื่องคอนเน็คเตอร์ให้เล็กลงมากๆจนมีขนาดเท่าเครื่องประดับ มีหลายแบบให้เลือกอย่างเช่นของครูเป็นกำไล” สกายเลิกแขนเสื้อขึ้น กำไลสีดำดีไซด์เรียบหรูประดับอยู่บนข้อมือของเขา
“ท่านดีแลนด์เล่นเอาซะผมตกงานเลย” พนักงานขายหยอกอย่างอารมณ์ดี “ก็เป็นอย่างที่ท่านพูดไปทั้งหมด คุณหนูจะเลือกแบบไหนดีครับ คุณสมบัติต่างกันไม่มากเพราะทำไว้สำหรับนักศึกษา มีสิ่งที่จำเป็นครบ ที่สำคัญราคาพอดีด้วยนะครับ” โซลไล่มองเครื่องคอร์เซอร์แต่ละชิ้นซึ่งคุณสมบัติไม่ต่างกันมากแต่จะดีไซด์ออกมาหลายๆแบบเพื่อเอาใจลูกค้า
“ชิ้นนั้นครับ” ชิ้นที่โซลเลือกคือสร้อยคอที่จี้ของมันเป็นรูปปีกสีขาวและสีดำเรียงซ้อนกันอย่างสวยงาม ประดับด้วยอัญมณีสีขาวและสีดำที่ดูกลมกลืนกันอย่างลงตัว มันทำให้เขานึกถึงใครบางคนในความทรงจำ
“จะใช้เลยไหมครับ” โซลพยักหน้าก่อนจะรับคอร์เซอร์มาสวม ปีกสีขาวดำมันสวยมากเลยล่ะ
“ครูลืมบอกเธอ โฮเวอร์บอร์ดของเธอพังตอนเกิดเรื่อง ครูส่งซ่อมให้แล้ว แต่ว่าช่างบอกมันพังเกินที่จะซ่อมได้ เดี๋ยวครูจะให้ยืมโฮเวอร์บอร์ดอันเก่าของครูไปก่อน ถ้าหากเธอสะดวกค่อยซื้อเครื่องใหม่นะ” คำพูดของสกายทำเอาโซลหน้าซีด โฮเวอร์บอร์ดเครื่องหนึ่งราคาไม่ใช่ถูกๆเลย “ไปกันได้แล้ว ถ้าขึ้นกอนโดลไม่ทันเธอจะลำบาก”
“ครับ” โซลตอบเสียงอ่อย
“บางทีครูอาจจะยกโฮเวอร์บอร์ดอันเก่าให้เธอก็ได้นะ ถ้าเธอชอบมัน” สกายพูดขณะที่กำลังขึ้นลิฟต์
“ครูทำไมต้องใส่ถุงมือครับ ทั้งๆที่อากาศประเทศไทยร้อนจะตาย ถ้ามันไม่ใช่ความลับอะไรบอกผมได้ไหม” โซลถามสิ่งที่เขาสงสัยมาโดยตลอดตั้งแต่เห็นสกายครั้งแรก ครูสวมถุงมือตลอดเวลา
“ก็ไม่ใช่ความลับอะไรหรอก ครูมีไซต์เทเลพาทีที่สามารถแทรกแซงความคิดของคนอื่นได้ มันทำได้หลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือการอ่านความคิดของคนอื่นโดยการสัมผัสตัว ครูควบคุมไม่ค่อยได้เลยต้องสวมถุงมือกันไว้ก่อน มันไม่สนุกเท่าไรนะการอ่านความคิดของคนอื่นได้” แววตาของสกายขมขื่นเมื่อนึกถึงความทรงจำอันเลวร้ายในวัยเด็ก ก่อนจะสลัดความคิดนั้นทิ้งไป การจมปลักอยู่กับอดีตไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น
โซลและสกายขึ้นโฮเวอร์บอร์ดก่อนจะเดินทางไปที่ท่าอากาศยานสุริยา เพื่อขึ้นโฮเวอร์บอร์ดขนาดใหญ่ที่ชื่อว่ากอนโดล พาหนะเดียวที่ใช้เดินทางไปที่โรงเรียนเซมโพรเนอุสได้
…………………………………………………………………………………….
“ตอนนี้มีแค่นักเรียนสายต่อสู้ชั้นปี 4และปี 5 ประมาณ 300 คนที่กลับจากทัศนะศึกษาอยู่บนเรือ คนอาจจะดูน้อยๆเพราะเราเปิดเรียนไปได้ประมาณ 1 เดือนแล้ว ครูว่าเธอน่าจะหาถุงมือกับเสื้อกันหนาวมาสวมนะ อากาศระหว่างการเดินทางค่อนข้างหนาวสำหรับคนที่เกิดในประเทศที่มีอากาศอบอุ่นแบบเธอ” เพราะว่าโซลมากับสกายที่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเซมโพรเนอุสทำให้ขั้นตอนการตรวจสอบยิบย่อยหมดไป และแถมยังได้ห้องพักส่วนตัวสุดหรูอีกสองห้อง “ครูคงต้องพักผ่อนสักหน่อย เธอจะเดินชมก็ได้นะกว่าจะถึงโรงเรียนก็ประมาณพรุ่งนี้เช้า ร้านค้ากับร้านอาหารอยู่ที่ชั้นดาดฟ้า แล้วก็มีลานสำหรับฝึกขับโฮเวอร์บอร์ดด้วย ถ้าเธออยากขับเล่นแก้เบื่อ” การอดหลับอดนอนนานนับสัปดาห์เริ่มแสดงผลแล้ว หลังจากนี้สกายคงได้หลับเป็นตายบนเตียงนุ่มๆในห้องสุดหรู
โซลพยักหน้ารับก่อนยกสัมภาระทั้งหมดแล้วเดินเข้าห้องที่อยู่ตรงข้ามกับห้องของสกาย เขานำเสื้อกันหนาวสีเทาออกมาสวม “โอ๊ย! ลืมเอาถุงมือที่ใส่ปกติมา จริงสิสวมถุงมือที่เอามาจากคลังก็ได้ อุ่นเหมือนกันล่ะน่า” โซลหยิบเอาโฮเวอร์บอร์ดที่สกายให้ยืม ก่อนจะตรงดิ่งไปที่ชั้นดาดฟ้าเขาอยากลองฝึกขับดู โฮเวอร์บอร์ดของสกายนั้นค่อนข้างเป็นเครื่องรุ่นเก่าและมีร่องรอยการใช้งานมาไม่น้อย แต่ว่าก็ยังคงมีสภาพดีบ่งบอกว่าเจ้าของคอยดูแลรักษาเป็นอย่างดี
ด้านสกายที่อยู่ในห้อง ‘หวังว่าเขาคงควบคุมมันได้นะ โฮเวอร์บอร์ดอันนั้นมันอันตรายด้วยสิ เขาคงไม่เป็นอะไรหรอก มั้ง’
…………………………………………………………………………………………………..
จบค่ะ ตอนนี้ยาวจริง ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
ความคิดเห็น