ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    THE SOLE OF SECLAD ความลับของวิญญาณ

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 4 หนังสือไร้อักษร (รีไรท์)

    • อัปเดตล่าสุด 15 ส.ค. 58


    THE SOLE OF SECLAD ความลับของจิตวิญญาณ

    ภาค เส้นทางแห่งราชัน

    บทที่ 4 หนังสือไร้อักษร

     

    อาการเคลื่อนไส้เข้าโจมตีโซลทันทีหลังจากที่พยายามลุกขึ้นจากเตียง ตอนนี้สายตาของโซลมองเห็นสิ่งรอบข้างคล้ายกับโลกมันหมุนไปหมดจนเขาพาลจะหัวทิ่มเอาเสียให้ได้

     

    “โซลไหวไหมลูก อย่าพึ่งลุกนอนลงไปก่อน” วารินที่เข้ามาดูลูกชายช่วยพยุงเขาไว้ทันก่อนที่จะหัวทิ่มพื้นเข้าจริงๆ ใบหน้าของโซลดูโทรมๆลงไปบ้างจากฤทธิ์ยาสลบ “หนูหลับไปหนึ่งคืนเลย แม่เป็นห่วงแทบแย่ อาจารย์ที่โรงเรียนมาเยี่ยมหนูด้วยนะ ตอนที่หนูหลับ” เธอรินน้ำใส่แก้วยื่นให้ลูกชาย

     

    “โซลเป็นอะไรไป” โซลถามแต่เสียงที่ออกมากลับแหบโหยจนน่าตระหนก เขาจึงรับแก้วน้ำที่ผู้เป็นแม่ยื่นให้ขึ้นมาจิบ

     

    “หนูเป็นลมตอนที่เล่นกีฬาล้มหัวฟาดพื้นสลบไป อาจารย์เลยพามาส่งที่บ้าน” โซลพยายามปะติดปะต่อความทรงจำของเหตุการณ์ตอนนั้นที่ขาดเป็นชิ้นๆ แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลซ้ำยังนำความปวดหัวมาให้จนเขาแทบทนไม่ไหว ดูจากอาการปวดหัวที่เหลืออยู่ที่เขาล้มหัวฟาดพื้นท่าจะจริง

     

    “แม่โซลหิวข้าว” เด็กหนุ่มครวญเบาๆอย่างน่าสงสาร

     

    “เดี๋ยวนะ หนูอยากกินอะไรไหม” วารินเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนเองมัวแต่ดูแลลูกชายจนลืมทำกับข้าวไว้ เธอจึงรีบร้อนออกจากห้องไปแต่ก็ไม่ลืมหันหลังกลับมาถามลูกว่าอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม

     

    “โซลอยากกินข้าวต้ม” โซลตอบเบาๆ อาการเวียนหัวที่ทุเลาลงแล้วทำให้เขาพอลุกขึ้นยืนไหว  

     

    เมื่อผู้เป็นแม่ออกจากห้องไปแล้วโซลก็ลุกขึ้นไปลงกลอนประตูห้องก่อนจะลงไปที่ห้องลับ หนังสือไร้อักษรมันมีอะไรบางอย่างที่เขาขัดใจ มันเหมือนจะไม่มีอะไรและไม่มีเหตุผลที่มันควรอยู่ในห้องลับที่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ค่อนข้างแน่นหนา ระบบที่เขาคิดว่าเร็วตอนนี้มันกลับช้าเสียจนเหมือนหยุดเวลาไว้ ตั้งแต่ที่ค้นพบห้องลับเขาก็สนใจถอดรหัสศาสตร์ต่างๆมากกว่าหนังสือเก่าๆที่ไม่มีตัวอักษรจนลืมคิดไปว่าหนังสือทั้ง 7 เล่มอาจซ่อนอะไรบางอย่างไว้ โซลแสงสีแดงของเครื่องสแกนมันช่างช้าเหลือเกินเมื่อเทียบกับหัวใจของเขาที่นำลิ่วไปที่หนังสือไร้อักษรนั่น

     

    ลางสังหรณ์บอกว่าหนังสือนั่นกำลังจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งลางสังหรณ์ของโซลมันแม่นยำจนน่าใจหายทีเดียว เด็กหนุ่มก้าวยาวๆลงบันไดด้วยความเร่งรีบ แต่อาการเวียนหัวทำให้เขาก้าวพลาดแล้วตกบันได ร่างโปร่งหล่นลงไปกองที่พื้นห้องศูนย์กลาง เขาไม่สนความเจ็บปวดจากการตกบันได โซลรีบเดินไปที่โต๊ะทันที

     

    หนังสือทั้งเจ็ดเล่มถูกวางเรียงอยู่บนโต๊ะตามความหนา โซลสังเกตหนังสืออย่างละเอียดอีกครั้ง หนังสือที่เขาคิดว่ามันมีรูปแบบเดียวกันหมด มันมีรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่แตกต่างกันอยู่ ลักษณะของปกหนังต่างกัน บางอันเป็นหนังสังเคราะห์ บางอันเป็นผ้าที่มีลักษณะคล้ายกันมากๆ แต่ที่เหมือนกันคือกันน้ำได้ทุกเล่ม โซลหยิบหนังสือเล่มที่หนาที่สุดขึ้นมาดูก่อนจะพลิกไปดูที่สัน ลายเส้นสีทองที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนสะท้อนกับแสงไฟในห้อง

     

    ดวงตาสีฟ้าส่องประกายพราวระยับเมื่อหนังสือทุกเล่มมีรูปภาพเล็กๆอยู่ที่สันหนังสือทั้งหมด หนังสือที่ถูกเปิด สายฟ้า หยดน้ำ ก้อนเมฆ นาฬิกา มังกร และนกอินทรี

     

    เด็กหนุ่มหาความเชื่อโยงของรูปภาพเหล่านี้ไม่ได้แม้จะพยายามคิดเท่าไหร่ก็คิดมีออก เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่ สมองของเขาทำงานได้เพียงครึ่งหนึ่งของเวลาปกติเท่านั้นเอง เขาไล้เบาๆตามสันหนังสือเล่มบางที่ประดับด้วย รูปนกอินทรีย์ที่กำลังกางปีกโผบิน ดูสง่างามและทรงพลัง ภาพหนึ่งพลันปรากฏขึ้นมาในหัว จี้ห้อยคอรูปแบบเดียวกันกับภาพบนสันหนังสือแต่มันเลือนลางจนคล้ายความฝันที่เคยฝันถึงในวัยเด็ก

     

    ปลายนิ้วของเขาสะดุดกับรอยนูนบางอย่างที่สันหนังสือ เพราะปกสีดำทำให้สังเกตยากมากหากไม่สัมผัสดู

     

    “เจสสัน” ตัวเขียนเล็กทำให้อ่านยากแต่มันก็เป็นชื่อนี้จริง โซลพยายามนึกถึงผู้ที่มีชื่อนี้ที่พอรู้จัก แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีเลย มันไม่ใช่ชื่อที่โหลบางทีเจสสันอาจจะรู้อะไรเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้บ้างก็ได้ คล้ายกับคำพูดนั้นเป็นกุญแจไขความลับ หนังสือเล่มที่เด็กหนุ่มถืออยู่เรืองแสงสีขาวสว่างจ้าขึ้นมาครู่หนึ่งก่อนที่จะดับวูบไป

     

    โซลเปิดดูภายในหนังสือ สิ่งที่ปรากฏออกมาทำเอาหัวใจของเขาแทบหยุดเต้น ตัวอักษรค่อยๆปรากฏออกมาทีละบรรทัด จากช้าๆแล้วค่อยๆเร็วขึ้น หนังสือคล้ายถูกมือที่มองไม่เห็นเปิดอย่างรวดเร็วจนไปถึงหน้าสุดท้าย รูปอินทรีทะยานฟ้ารูปเล็กๆที่เคยเห็นเป็นเพียงรูปย่อๆเท่านั้น หน้าสุดท้ายของหนังสือแสดงให้เขาเห็น ตราสัญลักษณ์ตรงกลางเป็นรูปนกอินทรีทะยานฟ้า ส่วนอื่นเป็นเส้นสายงดงามประกอบกันเป็นรูปภาพที่ทรงพลังแต่เรียบง่าย แม้จะไร้ตัวอักษรอธิบายแต่เขารู้ด้วยสัญชาติญาณว่าสิ่งนี้สำคัญกับพ่อมากแค่ไหน

     

    โซลเปิดดูหน้าแรกของสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นหนังสือมาโดยตลอด มันคือบันทึกที่ถูกเขียนเป็นภาษาไทยด้วยลายมือของพ่อ รูปภาพในหน้าแรกเป็นรูปของครอบครัวที่ถ่ายไว้ตอนที่โซลอายุได้ 8 ขวบ ตอนนั้นใบหน้าของทุกคนยังมีรอยยิ้มที่เป็นสุข ใต้ภาพมีข้อความเขียนกำกับไว้ว่าความฝันที่เป็นจริง

     

    …………………………………………………………………………………………………

     

    ถึงลูกชายของฉัน

    ถ้าหากลูกเปิดบันทึกเล่มนี้ได้แล้ว แสดงว่าลูกคงได้พบกับผู้ถือกุญแจคนที่ 7 แล้ว ถ้าหากไม่พร้อมที่จะเป็นราชาก็จงอย่าตามหาผู้ถือกุญแจอีก 6 คนที่เหลือเป็นอันขาด รูปภาพที่อยู่บนสันหนังสือนั้นจะเป็นเครื่องนำทางไปสู่สิ่งที่ลูกอยากรู้

     

    ตอบรับหรือปฏิเสธจงเลือกให้ดี เพราะมันจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของลูกไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ

    หากปฏิเสธ ชีวิตลูกจะดำเนินไปตามปกติจนกว่าโลกทั้งสองจะล่มสลาย

    หากตอบรับ จงเตรียมใจที่จะเป็นผู้ตัดสินชะตาของมนุษย์ มันไม่ใช่เรื่องตลกลูกจะรู้เมื่อไขปริศนาของบันทึกทั้ง 7 หมด เส้นทางนี้ไม่ง่ายและเสี่ยงอันตราย พ่อไม่อยากบังคับแต่อยากให้ลูกเป็นผู้เลือกเอง ผลที่ตามมาภายหลังจะเป็นอย่างไรก็ตาม พ่อจะรอลูกอยู่ที่ปลายทางนั้น

    เดวิด โซล เดอร์ว่า

    …………………………………………………………………………………………………………………

    บันทึกเล่มที่ 7 : ครั้งที่ 1

    คนของโลกฝั่งนั้นถึงได้ตามมาเร็วกว่าที่ฉันคิดไว้ พวกเขาค้นพบวิธีข้ามมิติโดยใช้อาร์ตแล้ว อีกไม่นานคงตามหาฉันกับครอบครัวพบแน่นอน อาร์ตของฉันเสียหายหนักเกินไปจากเหตุการณ์คราวนั้น ฉันไม่รู้ว่าเวลาที่ฉันเหลืออยู่มีมากเท่าไหร่

     

    ฉันไม่รู้ว่าจะปกป้องลูกกับภรรยาไหม ผู้ใช้อาร์ตทรงพลังกว่าไซคลิกอย่าเทียบกันไม่ติดแม้พวกเขาจะมีจำนวนน้อยกว่า คนเจ็บอย่างฉันไม่มีทางสู้ได้แน่นอน บางทีการที่ฉันออกห่างจากวารินกับลูกอาจจะเป็นการดีกว่าก็ได้ ฉันหวังว่าปัญญาที่ฉันมอบให้จะทำให้เขาเป็นผู้นำทางอันถูกต้องมาสู่มนุษย์ ถึงแม้นักวิทยาศาสตร์อย่างฉันจะไม่เชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้า แต่ได้โปรดเถิด พระองค์โปรดคุ้มครองลูกและภรรยาของผมด้วยเถิด

     

    ฉันรู้ดีไม่ว่าฝ่ายไหนจะจับตัวฉันได้ก่อน พวกเขาจะบังคับให้ฉันคายวิธีควบคุมสิ่งนั้น ความโลภของมนุษย์ช่างน่ากลัวมันแฝงอยู่กับทุกคนเป็นแรงผลักดันให้ไขว่คว้าสิ่งที่ตนเองต้องการมาอย่างไร้ที่สิ้นสุด เป็นสาเหตุของสงครามนับครั้งไม่ถ้วนที่มนุษย์ก่อ คล้ายเหตุการณ์ที่ซ้ำรอยไปมาอย่างไร้ที่สิ้นสุด ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว สงครามการแย่งชิงที่จะเกิดขึ้นจากนี้อีกไม่นานก็เป็นเหตุผลเดียวกัน ความกระหายในพลังที่มากกว่าเดิมนี้จะก่อโศกนาฏกรรมใหญ่ขึ้นอีกครั้ง

     

    ความปรารถนาของฉันคงมีเพียงให้เหตุการณ์นั้นไม่ต้องเกิดขึ้น แต่คงเป็นแค่ความหวังลมๆแล้งๆที่ไม่มีวันเป็นจริง ฉันไม่มีพลังพอจะหยุดเหตุการณ์นั้นไว้ได้

     

    ถึงจะเตรียมใจไว้แล้วแต่ตอนที่คิดถึงเวลาที่จะหายไปจากโลกนี้ฉันก็อดใจหายไม่ได้เลยจริงๆตอนนี้ลูกชายของฉันกำลังน่ารัก เหมือนกับความฝันที่ฉันฝันมาตลอดเป็นจริง คนอย่างฉันมีครอบครัวแล้ว แต่ทำไมเวลาที่มีความสุขถึงได้ผ่านไปเร็วนักนะ

     

    ได้โปรดเถิด

    โชคชะตาอย่าพรากความสุขของฉันไปกว่าจะถึงเวลาอันสมควรเลย

     

    ……………………………………………………………………………………………

     

    ตอนนี้ความขัดแย้งเกิดขึ้นในหัวของโซลเต็มไปหมด อาร์ตคืออะไร ผู้ใช้อาร์ตคือใครแล้วมีเหตุผลอะไรที่ต้องตามล่าพ่อ อีกด้านหนึ่งของพ่อที่เขาไม่รู้จัก นำความอยากรู้อยากเห็นมาให้แต่ในขณะเดียวกันก็เหมือนกันถูกทรยศจากคนที่ไว้ใจที่สุด

     

    เด็กหนุ่มเอนตัวพิงพนักพิงของเก้าอี้อย่างอ่อนแรง สิ่งที่ได้รู้ไม่อาจสู้ความรู้สึกเหมือนถูกทรยศจากคนที่เขาไว้ใจที่สุด พ่อโกหกเขามาตลอด น้ำตาใสไหลเป็นทางเมื่อไม่อาจทนต่อความรู้สึกมากมายที่รุมโจมตีหัวใจดวงน้อยๆไหว ทั้งรัก เสียใจ โกรธ เศร้า ถูกทรยศมันตีกันไปหมดจนเป็นความรู้สึกปวดหนึบที่หัวใจ แต่ความรู้สึกที่เด่นชัดขึ้นมาเหนือความรู้สึกอื่น คือ ความหวังที่พ่ออาจจะยังมีชีวิตอยู่

     

    ความรู้สึกทั้งด้านบวกและด้านลบที่สมดุลพยุงหัวใจของโซลให้ยังคนอยู่ บันไดเล็กๆที่เขาใช้เป็นทางขึ้นลงมานับครั้งไม่ถ้วนครั้งนี้ดูเหมือนระยะทางมันช่างห่างไกลเหลือเกิน กำลังอันน้อยนิดที่มีถูกความรู้สึกด้านลบสูบออกไปจนหมดสิ้น สิ่งที่ผลักดันให้โซลยังคงก้าวเดินต่อไปคือความหวังที่อาจได้พบพ่ออีกครั้ง ถ้าได้เจอผมจะถามให้หมดทุกอย่างที่สงสัยเลยคอยตอบดีๆล่ะพ่อ

     

    ทางเลือกที่พ่อบอกเขาไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นโซลก็เลือกที่จะตอบรับเขาไม่ได้อยากเป็นราชา ไม่ใช่อยากเป็นผู้ตัดสินชะตาของมนุษย์ เหตุผลเดียวที่เลือกตอบรับคืออยากเจอพ่ออีกครั้ง แค่อยากอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเหมือนเดิมอีกครั้ง

    ……………………………………………………………………………………………………..

    อาจเป็นความบังเอิญทันทีที่โซลก้าวพ้นตู้เสื้อผ้าวารินก็มาเคาะประตูห้องทันที

     

    “โซลกับข้าวเสร็จแล้ว หนูจะกินบนห้องหรือลงไปกินข้างล่างจ๊ะ” เสียงของรินดังลอดเข้ามาในห้อง ทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้งไม่น้อย ถ้าหากเขาขึ้นมาช้ากว่านี้สักหน่อยแม่ของเขาอาจเข้ามาในห้อง ความลับอาจจะแตกก็ได้

     

    “โซลจะกินข้าวกับแม่ข้างล่าง เดี๋ยวรอโซลอาบน้ำก่อนนะครับ” เขาคว้าผ้าเช็ดตัวแล้วก็ตรงเข้าห้องน้ำทันที เขาไม่มีเวลาให้กับความรู้สึกด้านลบอีกแล้วเพราะมันไร้ประโยชน์สิ้นดี เจ้าพ่อบ้า ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนฉันจะลากคอกลับมาให้ได้เลยคอยดู บังอาจทิ้งฉันกับแม่ไป ให้อภัยไม่ได้เราจะต้องกลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้ง คราวนี้ใครขวางผมเชือดไม่ยั้งแน่ดวงตาสีฟ้าทอประกายอย่างแน่วแน่ ไม่เหลือความลังเลอีกแล้วทุกสิ่งที่อยากรู้เขาจะถามให้หมดเปลือกเลย

     

    ………………………………………………………………………………………………………

     

    “แม่ถ้าพ่อกลับมาแม่จะดีใจไหม” โซลถามขณะที่กำลังช่วยแม่ล้างจาน เธอนิ่งไปพักหนึ่ง

     

    “แน่นอนจ๊ะ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม” เธอยิ้มอ่อนโยนให้กับบุตรชาย แม้ไม่เขาใจคำถามแต่เธอกลับรู้สึกว่าเหมือนบุตรชายต้องการกำลังใจจากเธอ

     

    “โซลจะพาพ่อกลับมานะ” เสียงที่ลอดออกมาจากปากโซลไม่ได้ดังไปกว่าเสียงกระซิบ สายลมที่พัดแรงขึ้นมาอย่างฉับพลันพัดพาเสียงนั้นไปยังที่ที่ไกลแสนไกลไปยังอีกคนที่ไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว

     

    “หนูพูดว่าอะไรนะ” คล้ายเธอได้ยินเสียงเบาๆของโซลแต่ไม่รู้เรื่องว่าเขาพูดว่าอะไร

     

    “เปล่าครับ โซลรักแม่ที่สุดเลยนะ”

     

    “ช่วงนี้ลูกบอกรักแม่บ่อยจังนะ”

     

    เวลาที่บอกได้ผมก็อยากจะบอก เพราะนับจากวินาทีที่บันทึกเล่มนั้นถูกเปิดออกทุกอย่างมันก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว จะผู้ใช้อาร์ตหรือไซคลิกก็ช่าง ถ้ามาขวางทางผมล่ะก็ ผมไม่เอาไว้แน่นอน

     

    …………………………………………………………………………………………………

     

    จบอีกตอนแล้วค่ะ สนุกกันหรือเปล่า ตอนต่อจากนี้จะเริ่มเข้าเรื่องอย่างจริงจังแล้วหลังจากที่ปูเรื่องมา 4 ตอนโซลเปิดบันทึกได้ 1 เล่มแล้วตอนต่อจากนี้การเปิดเรื่องจะเป็นข้อความสั้นๆที่มิ้นเอามาจาบันทึกนะคะ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×