คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ๕.จีบแข่ง แรงหึง
๕.จีบแข่ง...แรงหึง
อนุชเพิ่งช่วยดูแลจัดการเรื่องอาหาร เสื้อผ้าของไกรสรจนเสร็จเรียบร้อย เธอถือแก้วเครื่องดื่มบำรุงกำลังมาให้ชายร่างท้วมพร้อมกับยิ้มให้บางๆ
“โสมค่ะ คุณไกรสร...ไว้บำรุงกำลัง”
ไกรสรรับแก้วมาแล้วยิ้มตอบ “ขอบใจมาก...”
“คุณต้องการอะไรอีกรึเปล่าคะ...ดิฉันจะได้เตรียมให้ อ้อ นี่น้ำเปล่าคะ” อนุชเดินไปหยิบน้ำเปล่าที่ใส่ขวดแช่เย็นเลื่อนมาให้ไกรสรเตรียมพร้อมจะดื่มหลังจากซดโสมหมดแก้ว ชายกลางคนคลี่ยิ้มให้ด้วยความเอ็นดูในความใส่ใจของหญิงสาวก่อนจะปฏิเสธ
“ไม่เอาอะไรแล้วล่ะ คุณจะไปทำงาน หรือไปพักก็ได้ เดี๋ยวผมดูทีวี รดน้ำต้นไม้ตามประสาคนแก่ดีกว่า”
ว่าแล้วไกรสรก็หัวเราะเบาๆกับสังขารตนเอง ทำให้อนุชหลุดยิ้มตามออกมา
“ถ้าอย่างนั้น ดิฉันขอตัวนะคะ” หญิงสาวค้อมตัวให้เล็กน้อย ดูกริยามารยาทเรียบร้อยนิ่มนวลแล้วเดินออกไปจากห้อง ปล่อยให้ไกรสรยิ้มกริ่มอย่างมีความสุข
...หากเธอยังอยู่ใกล้ฉัน...นาริน ฉันคงจะมีความสุขมากกกว่านี้...
ไกรสรถอนหายใจแล้วนึกถึงภรรยาที่ห่างหายไปเกือบ 20 ปี เหตุเป็นเพราะเขาที่ใช้ชีวิตวัยหนุ่ม เจ้าชู้หว่านเสน่ห์จนภรรยาทนไม่ได้ แม้จะมีลูกด้วยกันสามคนแล้วก็ตาม...
แต่ถึงอย่างไร จวบจนที่เขามีลมหายใจ ชีวิตเปรียบเสมือนไม้ใกล้ฝั่ง ไกรสรก็ยังลืมเธอไม่ได้ ยิ่งเห็นอนุช...เขาก็ยิ่งนึกถึง...และเพิ่งรู้เมื่อสายว่า การพยายามหาใครมาปรนเปรอตลอดชีวิตที่เหลือ ก็ไม่อาจมีใครมาแทนที่หญิงที่ตนเองรักเพียงคนเดียวได้เลย...
อนุชเดินฮัมเพลงอารมณ์ดีมานั่งที่ชิงช้าไม้ ใต้ต้นมะม่วงต้นใหญ่ของบ้าน หญิงสาวสูดลมหายใจรับอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดช้าๆแล้วผ่อนลมออกอย่างสบาย เช้านี้ท้องฟ้าโปร่ง มีนกกางเขนเกาะบนยอดไม้ส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว สาวร่างเพรียวแหงอคอมองอย่างอุ่นใจ...
บ้านหลังใหญ่...แม้อาจจะดูเหงาไปบ้าง...แต่ก็ร่มรื่นดีจัง... หญิงสาวคลี่ยิ้มบางๆด้วยความชอบใจ แล้วนั่งไกวชิงช้าเบาๆกับสายลมเย็นๆอย่างเป็นสุข
“โอ้ยอดใจ หน้าหวาน ประทับรัก
ให้พี่ปัก ใจจอง มิไปไหน
ตกหลุมพราง ยอดฟ้า ในหัวใจ
เจ้าจะรู้บ้างไหม หนอคนดี...”
ตะวันท่องเป็นบทกลอน หวานจนอนุชหันไปมองด้วยความทึ่ง ชายหนุ่มยิ้มกว้างให้อย่างเปิดเผย พร้อมกับส่งดอกกุหลาบสีชมพูสดใสให้ตรงหน้า “สำหรับคนสวยครับ”
อนุชถึงกับแก้มแดงปลั่งขึ้นมาด้วยความเขิน ก่อนจะตอบเขาด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม “ขอบคุณค่ะ กลอนหวานจังเลยนะคะคุณตะวัน...”
ตะวันหัวเราะออกมาเบาๆแล้วเกาศีรษะด้วยความเขินเล็กน้อย “เวลาผมทุ่มเท จริงจัง ผมก็จะเป็นคนแบบนี้ล่ะครับ...แต่เอ ไม่รู้เหมือนกันนะว่าผมจะเก้อรึเปล่า”
ชายหนุ่มไม่พูดเปล่า หากแต่ส่งสายตาวิ้งๆเป็นประกายตรงหน้าหญิงสาวอย่างเปิดเผย ทำให้อนุชถึงกับเบือนหน้าหลบเพราะทนรับสายตาหวานหยดของเขาไม่ไหว
“ปากหวานจริงนะคะคุณตะวัน ท่าทางคงมีสาวๆมาติดมากพอตัวเลยใช่มั้ยคะ” อนุชดักคอชายหนุ่มพลางซ่อนยิ้มในใจไว้อย่างเต็มที่ แม้จะรู้สึกพอใจในสิ่งที่เขาทำให้ แต่อนุชก็ยังไม่คิดอะไรเกินเลยไปมากกว่านั้น เพราะเธอถือว่าช่วงเวลานี้ เป็นการเปิดโอกาสให้ลูกชายของตระกูลวงศ์พิทักษ์ เข้ามาพิสูจน์หัวใจเธอ ให้เธอและเขาได้มีโอกาสเริ่มต้น ไม่จมปลักกับสถานการณ์เลวร้ายกับใครบางคน...
แล้วการเวลาจะตัดสินเองว่าใช่หรือไม่...ก็เท่านั้น...
“ก็สาวๆมาติดผม แต่ผมกลับติดคนแถวนี้นี่ครับ” ตะวันยังคงแจกรอยยิ้มอย่างอบอุ่นไปเรื่อยๆ ทำให้อนุชเริ่มมีอาการหวั่นไหวไปกับคำพูดนั้น เจ้าหล่อนก้มหน้างุด รู้สึกประดักประเดิดขึ้นมาทันที
เฮ้อ! คารมหนอ...หากสิตางศุ์พูดให้เธอฟังชุ่มชื่นหัวใจแบบเขาบ้างก็คงจะดี... อนุชเผลอสบตาเขานิ่ง หากแต่เห็นใบหน้าชายหนุ่มเป็นเงาของใครอีกคน โดยหารู้ไม่ว่าตัวตนที่แท้จริงกำลังแอบมองมาจากมุมบ้านด้วยสายตาโกรธแค้น
ฮึ่ม...อนุช เป็นแค่คนอาศัย ไม่ยอมเจียมตัว...ริจะก้าวข้ามขั้น
ความคิดน่ากลัวสารพัด ผุดขึ้นมาในหัวสมองของสาวร่างโปร่ง ภาพการพูดคุยดูสนิทสนมเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ช่างบาดตาบาดใจกับสิตางศุ์เหลือเกิน สาวร่างโปร่งเห็นไส้เดือนเดินตัวโตตัวหนึ่งเดินผ่าน มันดูชูตัว ยั้วเยี้ยแลดูขัดหูขัดจา สิตางศุ์จึงกระทึบมันสุดแรงจนแหลกคาพื้น แล้วจ้องไปที่อนุชดั่งเพลิงลุกโชนหัวใจ
อนุชเดินขึ้นมาชั้นบนบ้านด้วยความอิ่มเอม วันนี้แม้ตะวันจะพูดจาหวานหูจนบางทีเธอมีอาการลำบากใจไปบ้าง หากแต่กลับเป็นวันสดใสที่สุดนับตั้งแต่เธอก้าวเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้...อาจจะเป็นเพราะวันนี้เธอไม่ได้เอาใจไปผูกกับคนอารมณ์ร้ายอย่างใครบางคนให้ปวดใจ วันนี้จึงกลายเป็นวันเริ่มต้นใหม่ให้เธอสดชื่น มีกำลังใจจะสู้ต่อ
เธอสูดดมช่อดอกกุหลาบอย่างสดชื่น แล้วกำลังเดินผ่านห้องสิตางศุ์ไป หากแต่สาวร่างโปร่งกลับเปิดประตูผ่างออกมาจนเธอสะดุ้งเฮือก
“อารมณ์ดีเนอะ” สิตางศุ์ยิ้มให้อย่างเย้ยหยัน พลางมองอนุชที่เอาดอกไม้หลบไว้ด้านหลังเป็นพัลวัน
“ซ่อนอะไร?” สาวร่างโปร่งถามขึ้นมากเสียงเรียบ ชวนให้อนุชขนลุกเกรียวไปทั้งตัวกับรังสีอำมหิตที่เฉยชัดออกมาทางแววตา ซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่าสิตางศุ์จะมาไม้ไหน
“ดิฉันจะมีอะไร มันก็เป็นสิทธ์ของดิฉันไม่ใช่หรือคะ คุณสิตางศุ์” อนุชเชิดหน้าตอบอย่างมาดมั่น คนฟังถึงกับสะอึกไปนิด แล้วทำท่าว่าจะแย่งของจากมืออนุชมาให้ได้
“ปล่อยนะคุณ!” อนุชเริ่มร้องโวยวายเมื่อเห็นสิตางศุ์กำลังหาเรื่อง หญิงสาวพยายามสะบัดตัวพลิ้วให้หลุดจากแรงกระชากของสิตางศุ์ หากแต่แรงของเขากลับมีมากกว่า ทำให้แย่งช่อดอกไม้สีหวานออกมาจากมือเรียวสวยได้
“เอามานี่นะคุณ!” อนุชพยายามจะยื้อแย่งจากมือของสิตางศุ์ หากแต่เขากลับยืดแขนสูง จนเธอเอื้อมมันไม่ถึง สุดท้ายสิตางศุ์ก็หัวเราะหึๆในลำคออย่างสะใจ
“ดอกไม้สีหวาน ถ้ามันแหลกคามือฉัน มันจะยังหวานตราตรึงใจใครอยู่รึเปล่านะ” ขาดคำ สาวร่างโปร่งก็ทิ้งลงบนพื้นแล้วกระทืบจนดอกไม้ช้ำดำ กระจุยกระจายออกจากช่อสวยไม่เป็นชิ้นดี ทำให้อนุชถึงกับอ้าปากหวอด้วยความตกใจเพราะคาดไม่ถึง
ด้วยความโกรธจัดที่เขารังแกทำลายข้าวของๆเธอจนไม่เป็นชิ้นดี สาวตาคมจึงปรี่เข้าไปทุบตีสิตางศุ์เป็นการใหญ่จนเขาต้องปัดป้องแล้วเหวี่ยงสาวเอวบางกระเด็นไปอีกทาง
“ตุบ!” เสียงร่างอนุชกระแทกกับผนังกำแพงอย่างแรงจนเธอจุก น้ำตาเธอเอ่อขึ้นมาคลอเบ้าอย่างห้ามไว้ไม่อยู่ จากที่ยืนเต็มร่างสูงอย่างมั่นใจ บัดนี้อนุชนั่งตัวคู้ทรุดกับพื้นอย่างเจ็บปวด
“เป็นแค่คนอาศัย อย่าริอาจข้ามขั้นเข้าใจมั้ย!” สิตางศุ์เข้าไปบีบหน้าอนุชให้หันมาสบตากับตนเองอย่างเดือดดาล แววตาเขาจ้องอนุชแข็งกร้าวราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“ทำไมจะไม่ได้ อย่างน้อย คุณตะวันก็ดีกว่าคุณเป็นร้อยเท่าพันเท่า ไม่ป่าเถื่อน ทำตัวทุเรศแบบนี้!” อนุชตวาดกลับเสียงแข็ง แม้ว่าตนเองจะเจ็บจากการกระทำรุนแรงของสิตางศุ์ แต่เธอก็ไม่อยากให้เขามารังแกให้ใจตนเองต้องเจ็บปวดอีกต่อไป
“ทุเรศหรอ ถามตัวเองบ้างรึเปล่าว่าใครทุเรศกันแน่ มั่วกับพ่อแล้วยังไม่พอ ใจก็คงระริกอยากเหยียบหน้าเป็นแม่ใหม่ฉัน พอพ่อไม่เอา ก็จะมาสานต่อกับพี่ตะวัน เธอเป็นคนสาธารณะรึไง อนุช!!”
คำพูดร้ายกาจของสิตางศุ์ทำให้อนุชกลืนน้ำลายเอื้อกลงคออย่างยากลำบาก ความเจ็บปวดแผ่ซ่านหัวใจเป็นริ้วๆ ก่อนที่น้ำตาจะไหลพรากแก้ม
“หึ ทำมารยาสาไถ สงสัยมุขนี้มันใช้ไม่ได้กับไอ้อานนท์ เขาเลยเขี่ยเธอทิ้ง แล้วมาใช้กับคนบ้านนี้ล่ะสิ”
สิตางศุ์ยังคงปรามาสเธอต่อโดยไม่มีที่สิ้นสุด
“คนที่คุณกล่าวถึง เขาเป็นพี่ชายของดิฉันค่ะ กรุณาช่วยให้ความเคารพยำเกรงด้วย” อนุชสวนกลับอย่างไม่พอใจ พยายามป้ายน้ำตาออกจากใบหน้าไปให้หมด หากแต่คำพูดของสิตางศุ์ที่สวนกลับมาทำให้อนุชสะอึกอีกครั้ง
“ตอแหล เธอคิดว่าเธอสวยเลือกได้ แล้วใครจะมาฟังเธอ จะให้ฉันโง่เป็นควาย เชื่อเธอตลอดใช่มั้ย สำหรับคนอื่นอาจใช่ แต่ไม่ใช่ฉัน!!!”
“ก็คุณไม่เคยฟัง คุณไม่เคยเชื่อใจ แล้วคุณจะมาทำร้ายดิฉันทำไมคะ” อนุชเงยหน้าถามเสียงเครือ ความรู้สึกน้อยใจปรี่ขึ้นมาจุกอก ท่าทางของสิตางศุ์เปลี่ยนไปราวกับคนละคนที่เธอรู้จัก และในวันนี้เธอก็ไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไร วันที่เธอง้อเขา เขากลับไม่รับฟัง หากเธอเลือกจะมีชีวิตใหม่ เขาก็มาทำรุนแรงอย่างไม่พอใจราวกับเธอเป็นสิ่งของ...ที่ไม่มีค่าเลยแม้แต่น้อย
“ปากดีนะ โดนสักเปรี้ยงเลยดีมั้ย!” สิตางศุ์กระชากร่างบางให้ลุกขึ้น ง้างมือทำท่าจะตบคนใบหน้าสวยอย่างคนโกรธจัด หากแต่อนุชยังคงจ้องแววตาเขม็งกลับอย่างท้าทาย
“เอาเลยสิคะ ยังไงดิฉันมันก็ชั่ว ก็เลว ทำให้คุณฝังใจ ไม่พอใจ ถ้ามันสามารถลบล้างความผิดได้ คุณก็ตบเลยเซ่!!”
“ท้าฉัน!?”
“ดิฉันไม่ได้ท้า แต่...”
ไม่ต้องรอให้อนุชพูดจบ สิตางศุ์ก็ลากสาวร่างบางเข้าห้อง ผลักเธอลงกับเตียงนอนอย่างรุนแรง ก่อนที่ตนเองจะโถมตัวทับตามไปทีหลัง ริมฝีปากหยักเข้ารูปฉวยโอกาสประทับริมฝีปากอิ่มของเธออย่างดุเดือด
อารามตกใจของหญิงสาว อนุชมีอาการปฏิเสธต้านทานอารมณ์ของสิตางศุ์อย่างหวาดผวา แต่นั่นไม่ทำให้สิตางศุ์เบรกอารมณ์ได้อีกต่อไป เขายังคงระดมจูบริมฝีบางของเธออย่างหนักหน่วงทำให้อนุชแทบขาดอากาศหายใจ ครั้นที่เขาถอนจูบ สิตางศุ์ก็เหยียดยิ้มดั่งได้รับชัยชนะ เมื่อเห็นอนุชหายใจหอบแรงเหมือนคนควบคุมตนเองไม่อยู่
ไฟท่วมใจ..ไม่เคยได้มอดดับ เธอยังเฝ้ารอ.. รอรักเดิม
กลับมาเริ่มต้นใหม่..แค่เธอผันใจ กับฉัน..ยามอ่อนแอ
ไม่เคยจะแคร์ใครที่กล้ำกลืน เธอรอเวลาที่เค้าจะย้อนคืน
รอคอยบางคนทนกันไป แค่ฝืนรอคนที่เธอรัก
ทำดีเท่าไรแลกกับหัวใจ เธอยังอาลัยคนที่ทิ้งเธอ
ไม่มีอารมณ์ให้กับใครหนึ่งคนที่รักเธอ...
สิตางศุ์มุดใบหน้าลงไปในซอกคอขาวของเธออย่างเร่าร้อน เขาโลมเลียจนสามารถจุดไฟพิศวาสของหญิงสาวให้ร้องครางครวญฟังไม่ได้ศัพท์ขึ้นมาเป็นระยะ ก่อนที่เสื้อผ้าจะถูกดึงทึ้งขาดวิ่น ด้วยแรงโทสะของเขาและตามจังหวะอารมณ์ แม้อนุชจะต้านทานกำลังของเขา ที่มีมากมายมหาศาลเฉกเช่นชาย แต่ก็ไม่อาจต้านความรู้สึกในใจของตนเองที่ยังคงรัก...สาวเท่ที่ชื่อสิตางศุ์ได้
เพียงไม่นาน เสื้อผ้าของเขาและเธอก็ถูกกระชากออกจากพันธนาการ แน่นอนว่าเป็นเศษผ้าที่ไม่สามารถสวมใส่ได้อีกต่อไป บัดนี้การดำเนินรักของสิตางศุ์ที่มีต่ออนุชเต็มไปด้วยไฟรัก ความรุ่มร้อน ประหนึ่งเทียนหลอมละลายเป็นหนึ่ง ร่างกายขาวโพลนของสาวกล้ามเนื้อแข็งแรงยังคงเบียดเสียดกับร่างคมสวยจนเธอกระเส่า ปลายลิ้นยังทำหน้าที่ต่อไปอย่างไม่ลดละ ทุกสัดส่วนของเธอที่เขาไม่ได้สัมผัสมานานแสนนาน บัดนี้แลดูเป็นสาวสมบูรณ์ชวนให้ค้นหาลิ้มลองจนทำให้อนุชส่งเสียงครางอื้ออึงใจแทบขาด...
มือซนยังคงลูบไล้ไปยังร่างอรชรอย่างหลงใหล สลับกับการกระตุ้นจุดอ่อนไหวจนเธอกระตุกถี่หลายครั้งอย่างทรมาน เพียงไม่นานร่างทั้งสองก็กอดรัดกลม ไปพร้อมเม็ดเหงื่อ กลิ่นกายที่หอมหวาน ก่อนที่อนุชจะผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน...
สิตางศุ์ยังคงจ้องวงหน้าสวยของอนุชด้วยความชื่นชม ยามที่อยู่ใกล้ชิดกับเธอเช่นนี้ นานเท่าไหร่แล้วหนอที่เขาไม่ได้มองยามเธอหลับ ขนตางอนสวยยังคงสะดุดตาพิมพ์ใจเขาเหมือนเดิม จมูกโด่งแสนรั้น กับริมฝีปากอิ่มที่เต็มไปด้วยรสหวานฉ่ำปานน้ำผึ้ง ...อนุช...ฉันคิดถึงเธอเหลือเกิน...ทำไมเธอต้องเจ้าชู้ไหลไปเรื่อยด้วยนะ... สิตางศุ์ยังคงจ้องร่างเปลือยเปล่าที่หลับสนิท ก่อนจะประทับริมฝีปากที่ซอกคอขาวและเนินอกด้านซ้ายของอนุชอย่างสนิทแน่น จนแลเห็นเป็นรอยแดงช้ำขึ้นมาจางๆแล้วผล็อยหลับไปด้วยกัน...
ตกบ่ายอนุชลืมตาตื่นขึ้นมาช้าๆอย่างคนเพลียจัด เธอลูบลำคอช้าๆแล้วกลืนน้ำลายฝืดๆ รู้สึกหิวน้ำขึ้นมาดื้อๆ หลังจากโดนพิษจูบที่สนิทแน่นของสิตางศุ์จนคอแหบแห้ง สาวร่างบางลุกขึ้นพร้อมกับดึงผ้าห่มปิดร่างกายเปลือยเปล่าของตนเองอย่างงงๆ เมื่อเห็นว่าตนเองอยู่ในห้องนอนของตนเองเมื่อไหร่ไม่รู้ ที่ขอบเตียงมีชุดเสื้อผ้าเหมือนเพิ่งซื้อใหม่วางไว้เสร็จสรรพ พร้อมกับน้ำเย็นกระติดเล็กๆใกล้กัน
อนุชคลี่ยิ้มบางๆ กับท่าทางเอาใจใส่ของสิตางศุ์ เธอเผลอยิ้มเขินยามคิดถึงว่า ที่มานอนในห้องได้เพราะเขาคงอุ้มเข้ามา แต่เมื่อก้มมองเห็นรอยที่เนินอกแล้วนั้น สาวร่างบางยิ่งมีอาการหน้าแดงก่ำเป็นทวี เพราะมันชัดจนเกือบจะเป็นรูปริมฝีปาก
หญิงสาวแต่งตัวอย่างรีบๆ หากแต่เหลือบไปเห็น note pad ที่ติดไว้ที่ตู้เสื้อผ้าเสียก่อน
“เป็นสาวสาธารณะอย่างเธอ สมควรมีตำหนิบ้าง จะได้รู้ว่ามันไม่ใหม่ ผ่านการใช้มาแล้ว”
“อ๊าย!!!”อนุชแทบจะเต้นผางๆไปรอบห้องด้วยความโกรธจัด
“ก๊อกๆๆ” เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้อนุชตวัดหันไปมองทันที
“ใคร” เธอถามเสียงแข็ง จนคนที่อยู่ข้างนอกถึงกับสะดุ้ง
“เอ่อ คุณนุชคับ ผมตะวันเอง คุณพ่อเรียกให้ไปทานข้าวกลางวันน่ะฮะ”
อ้าว ซวยแล้วอนุช... เธอแทบจะหยุดหายใจทันทีกับหายนะที่กำลังมาถึง หญิงสาวรับคำไปอย่างสั่นๆ เดินไปเดินมาในห้องด้วยความกระวนกระวายใจ แล้วมาหยุดตรงที่หน้าโต๊ะกระจก คลำดูคอที่เป็นรอยช้ำอย่างวิตก
“โอ๋ย อะไรเนี่ย สูงซะขนาดนั้นไม่เอาตรงกลางเลยล่ะ” อนุชบ่นอุบอิบอย่างหงุดหงิด พยายามหาสารพัดวิธีที่จะทำให้ลอยจางลงไปบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเอาแป้งโปะ มือถูๆ หรือแม้แต่ประคบช้ำ เธอวิ่งวุ่นจนสุดท้ายก็นั่งทรุดบนที่นอนตามเดิม ถอนหายใจยาวอย่างอ่อนใจ
บนโต๊ะรับประทานอาหาร ไกรสรเป็นคนนั่งหัวโต๊ะ ขวามือเป็นตะวันกำลังก้มหน้านิ่ง ซ้ายมือเป็นสิตางศุ์และฟ้านั่งเรียงกันตามลำดับ ป้าพิศเป็นคนเดินมาตักข้าวให้ทุกคนเรียบร้อย กับข้าวบนโต๊ะอาหารจัดวางหลายอย่างชวนให้นภางค์เริ่มได้ยินเสียงท้องตัวเองร้องดังโครกคราก จนสิตางศุ์หันไปแอบยิ้มขำแล้วก็หันมาปั้นหน้านิ่งใส่ไกรสรและตะวันอย่างเฉยชา
“คนเรานี่ก็แปลก คนอาศัยเบียดเบียน ช้าป่านนี้ ยังต้องให้เจ้าของบ้านนั่งรอ” คำพูดแลดูกัดฟันของลูกสาวคนโตทำให้ไกรสรเริ่มมีอาการนั่งไม่ติด รีบหันมาถามตะวันทันที
“ไงตะวัน ไปตามแล้วอนุชทำไมยังไม่ลงมา”
“ผมตามแล้วครับพ่อ แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน...” ตะวันตอบอ้อมแอ้มจนสิตางศุ์แอบยิ้มกริ่ม นึกสะใจที่อนุชโดนตนเองสลักรอยจูบซะขนาดนั้น จะทำอย่างไร...
สิตางศุ์หยิบแก้วน้ำมายกดื่มแล้วอมน้ำแข็งก้อนใหญ่ในปากเล่น เขากระหยิ่มยิ้มอย่างคนเจ้าเล่ห์
“พ่อคะ ฟ้าหิวแล้วนะ คุณอนุชช้าจังพ่อ...” นภางค์เริ่มออกปากประท้วงกับท้องที่ร้องดังหนักขึ้น เพราะประสาทสัมผัสในในสมองเริ่มกระตุ้นกระเพาะเรียกน้ำย่อยออกมาจนน้ำลายสอ กลิ่นอาหารทั้งผัดผัก ต้มซุปยังคงโชยแตะจมูกของลูกสาวคนสุดท้องของบ้านจนต้องกลืนน้ำลายเอื้อกหลายรอบ
“ขอโทษที่ทำให้รอค่ะ” อนุชเอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบพร้อมกับเลื่อนเก้าอี้นั่งด้านข้างตะวัน เธอใช้ผ้าพันคอปกปิดรอยจูบของสิตางศุ์ชนิดที่ว่าพันหนาหลายจนสิตางศุ์หลุดขำ แล้วแสร้งกระแอมไอสำลักกับก้อนน้ำแข็งที่กินเข้าไป
“ร้อนตับแล่บออกอย่างนี้ คุณพันผ้าพันคอได้...สุดยอดจริงนะคุณ”
สิตางศุ์พูดพลางปิดปากขำ พยายามกลั้นอารมณ์ที่อยากจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมาให้ดังกว่านี้ด้วยซ้ำ ถ้าไม่เกรงใจคนอื่น เขาก็คงหลุดก๊ากลั่นบ้าน
หากแต่คนที่โดนทักกลับทำตาถลึงใส่อย่างไม่พอใจ จนตะวันกับไกรสรเริ่มมองอนุชด้วยสายตาแปลกไปด้วย
“หนูนุช เป็นอะไรรึเปล่าเนี่ย”
“ใช่ครับ คุณเป็นอะไรรึเปล่า บ้านเราออกจะร้อนนะครับ” ตะวันเริ่มโพล่งถามด้วยความสงสัย
“คือนุชไม่สบายนิดหน่อยน่ะค่ะ ร้อนๆหนาวๆเหมือนจะเป็นไข้เลยหาอะไรอุ่นๆไว้” อนุชแสร้งยิ้มจืดๆเหมือนคนไม่มีแรงจริงๆทำให้ตะวันอดเป็นห่วงไม่ได้ ทุกคนที่นั่งโต๊ะอาหารเริ่มตักกับข้าวทานกันอย่างเงียบๆแล้ว โดยเฉพาะนภางค์ รีบจ้วงกับข้าวเข้าปากเหมือนคนไม่ได้กินข้าวมาสามวันเจ็ดวัน
“งั้นเอาข้าวต้มดีกว่ามั้ยครับ คุณไม่สบาย ที่จริงไม่น่าลงมาเลย เดี๋ยวผมถือกับข้าวขึ้นไปบนห้องก็ได้”
คำพูดของตะวันที่เป็นห่วงอนุชเกินเหตุ ทำให้สิตางศุ์คิ้วขมวดด้วยความไม่พอใจทันที ไม่เพียงเท่านั้นเขายังทำท่าอาเจียนลงบนจานข้าวที่กินเกือบหมดแล้วให้ทุกคนที่ร่วมรับประทานอาหารหน้าเสียอีกด้วย
“โว่ย เหม็นน้ำเน่า กินข้าวไม่ลง!” สิตางศุ์เดินกระแทกโต๊ะออกไปทันที ขณะที่นภางค์ถึงชะงัก เคี้ยวข้าวเอื้องไปฉับพลัน เหลียวตามองพี่สาวด้วยความงุนงง เพราะตนเองสูดอากาศทำจมูกฟุตฟิต ก็ยังไม่ได้กลิ่นอะไรนอกจากกับข้าวที่หอมตลบอบอวลบนโต๊ะ
มีเพียงอนุช ที่กระหยิ่มยิ้มออกมาเพราะเข้าใจภาษากายของสิตางศุ์เพียงคนเดียว เธอนั่งกินข้าวต่อไปหน้าตาเฉย เพราะเริ่มรู้จุดอาการความหึงหวงของเขาเข้าแล้ว...
ที่ริมคลองหลังบ้าน สิตางศุ์เดินมาหยุดนั่งบนพื้นหญ้าด้วยความหงุดหงิด คิ้วหนาขมวดชนอย่างคนเครียดจัด ภาพความห่วงใยของตะวันที่มีต่ออนุชยังคงติดตา สาวร่างโปร่งเม้มปากสนิท หันมองลูกหินที่วางระเกะระกะบนพื้นหญ้าใกล้ๆ เขาหยิบมันเหวี่ยงลงน้ำหลายๆรอบอย่างแรง
“แม่งเอ้ย เสน่ห์แรงคนมาดูแลเยอะนักนะ!”
“หมั่นไส้เว่ย!!!” สิตางศุ์ขยี้ศีรษะตนเองอย่างหงุดหงิด แล้วทอดกายนอนมองฟ้าคนเดียวเงียบๆ สักพักนภางค์ก็เดินมาใกล้สิตางศุ์ที่นอนอยู่ เธอทรุดตัวนั่งข้างๆแล้วมองพี่สาวด้วยรอยยิ้ม
“เป็นอะไรพี่จันทร์ พิษรักกำเริบเหรอ”
“อะไรฟ้า อย่ามามั่ว” สิตางศุ์ตอบเสียงขุ่น ยังคงนอนเหยียดกายมองฟ้าท่าเดิม
“หรอ แล้วทำไมพี่ต้องมีอาการตอนพี่ตะวันเขาเป็นห่วงคุณอนุชด้วยล่ะ” นภางค์ถามยิ้มๆ พยายามจะต้อนพี่สาวให้เข้ามุม คลายอาการปากแข็งเสียที
“วุ้ย มีอาการบ้าอะไร พี่เห็นแล้วหมั่นไส้ก็เลยอิ่ม” สิตางศุ์ยังคงเฉไฉไป ทำให้นภางค์หัวเราะร่วน
“ปากล่ะน้า เมื่อไหร่จะตรงใจสักที”
“โอ๊ย ฟ้าอย่ามาอะไรกับพี่เลย พี่อยู่อย่างนี้มาตั้งนานแล้ว...” สิตางศุ์โบกไม้โบกมือบ่ายเบี่ยง
นภางค์พยักหน้าหงึกหงักแล้วถอนหายใจออกมาเล็กน้อย “ว่างมั้ยพี่...” สาวน้อยชวนเปลี่ยนเรื่องทันที
“ทำไมล่ะ?”
“ไปส่งฟ้าสอนพิเศษเด็กหน่อยสิพี่จันทร์...” นภางค์พูดแล้วยิ้มกว้างจนตาหยี ทำให้คนเป็นพี่สาวอดที่จะโยกศีรษะให้โคลงเคลงไม่ได้
“จริงๆเลยเรา ไหนว่าเป็นครูประถมกินเงินเดือนข้าราชการไม่เอี่ยวกับงานพิเศษไง”
“แหม ฟ้าก็อยากมีเงินเก็บไว้ เอ่ออยากได้อะไร เป็นของตัวเองบ้างนี่คะ” นภางค์อมยิ้มเขินๆ
“บ้านเราก็มี อยากได้อะไรก็บอกพ่อนู่น” สิตางศุ์พูดพลางหัวเราะออกมากับความฝันเด็กๆของน้องสาว
“ไม่อ่ะพี่จันทร์ สำหรับฟ้า ถ้าซื้ออะไรเองด้วยตัวเอง มันดูภูมิใจมากกว่านะ” หญิงสาวพูดพลางเงยหน้ามองท้องฟ้าสายตาเป็นประกาย จนสิตางศุ์ขยี้ศีรษะกลมด้วยความหมั่นไส้
“เพ้อใหญ่แล้ว ไปๆ นัดสอนเด็กกี่โมง เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
ที่บ้านสองชั้นหลังเล็กๆขนาดประมาณ 80 ตารางวา สภาพบริเวณรอบนอกถูกประดับด้วยต้นไม้สูงใหญ่หลากสายพันธุ์ให้ความสดชื่นร่มเย็น ในบ้านมีเด็กหญิงตัวเล็กอายุประมาณ 5 ขวบ ผมยาวสีน้ำตาลเข้ม ผิวขาวเนียนละเอียด นัยน์ตากลมโต กำลังวาดภาพระบายสีอย่างเพลิดเพลิน เธอระบายสีไปได้ไม่นาน สีที่เจ้าหนูตัวเล็กใช้กลับหักไปเสียอย่างนั้น เด็กหญิงทำหน้ามุ่ยรีบร้องเรียกบิดาเป็นการใหญ่
“คุณพ่อขา สีของใบเตยหัก คุณพ่อมาช่วยเหลาให้หน่อยสิคะ”
“จ๋าลูก..เดี๋ยวๆๆ พ่อล้างถ้วยก่อนนะคะใบสุดท้ายแล้ว!” เสียงชายหนุ่มตะโกนกลับมาอย่างใจเย็น แล้วรีบเดินฉับๆตรงมาที่ลูกสาวตัวน้อย
“ไหนคะ ดินสอสีหักแค่นี้เอง หนูก็เหลาที่กบฮิปโปที่พ่อซื้อให้ไงคะ นี่ไง” ชายหนุ่มที่เป็นพ่อไม่พูดเปล่าหากแต่รีบหมุนดินสอสีในกบเหลาให้ลูกสาวดูจนแหลมคมเช่นเดิม เพียงเท่านั้นหนูใบเตยก็ยิ้มกว้างอย่างสดใส เข้าไปกอด หอมคนเป็นพ่อฟอดใหญ่
“พ่อนนท์เก่งที่สุดเลยค่ะ...”
“จ้า ไหนใบเตยว่าวันนี้เรียนคณิตศาสตร์กับครูสอนพิเศษไงคะ ทำไมไม่เตรียมตัวล่ะลูก เดี๋ยวคุณครูจะมาแล้วไม่ใช่หรอ”ชายหนุ่มพูดพลางพลิกนาฬิกาข้อมือมอง เห็นว่าบ่ายโมงกว่าแล้ว เขาคิ้วขมวดคิดสงสัย เพราะใบเตยเป็นเด็กอ่อนคณิตศาสตร์ เขาพยายามจะหาครูสอนพิเศษมาให้ลูกสาว แต่เจ้าหนูกลับไม่ยอมเรียนกับใครนอกจากครูที่ชื่อ “ฟ้า” คนเดียวเท่านั้น...
หนูใบเตยมักชอบเล่าให้พ่อฟังเสมอว่า ครูฟ้าเป็นคนใจดี จะเรียนกับครูฟ้าคนเดียว เขาจึงอยากรู้จักเหลือเกินว่าเป็นครูใจดีสักแค่ไหน จึงทำให้ลูกสาวของเขาติดแจเสียขนาดหนัก
มือเรียวขาวกดออดหน้าบ้านหลายครั้งติดกัน หากแต่ยังไม่มีคนมาเปิดประตูรั้วให้ นภางค์เริ่มใบหน้าแดงก่ำด้วยความร้อนระอุเพราะไอแดดเผา เหงื่อผุดเม็ดขึ้นมาตามใบหน้า ทำให้คนเป็นพี่สาวที่นั่งอยู่ในรถถึงกับมีสีหน้างงงวย ชะโงกหน้าออกไปนอกหน้าต่าง
“ฟ้า ไม่มีคนอยู่มั้ง กลับบ้านเถอะ” สิตางศุ์พูดอย่างเป็นห่วง พลางก้าวลงจากรถไปยืนชะเง้อเป็นเพื่อนน้องสาว และอากาศตอนกลางวันช่างร้อนอบอ้าวจนเขาก็ตัวเริ่มแดงเพราะไอแดดไม่ต่างจากนภางศุ์
“ไม่มีความรับผิดชอบเลยว่ะ จ้างมาสอนถึงบ้านประตูก็ไม่มาเปิด” สิตางศุ์ยังคงบ่นอุบอิบอย่างหงุดหงิด หากแต่นภางค์เอื้อมมือมาลูบหลังปลอบเป็นการใหญ่ให้พี่สาวใจเย็นๆ
เพียงชั่วครู่ก็มีเด็กตัวน้อยๆ หน้าตาจิ้มลิ้ม ผิวขาวหมดจดมาไขกุญแจเปิดประตูให้ เจ้าหนูย่อเข่าไหว้
นภางค์อย่างน่ารัก ก่อนจะหันมามองสิตางศุ์ด้วยแววตาสงสัย
“คุณน้าคนนี้เป็นใครหรือคะ ผู้หญิงหรือผู้ชายคะครูฟ้า” สาวน้อยแก้มยุ้ยเอ่ยถามออกมาแล้วทำหน้างงเป็นเจ้าหนูจำไม มือน้อยๆที่พนมอยู่เกิดอาการลังเลว่าจะไหว้ดีหรือไม่ไหว้ดี ทำให้นภางค์หัวเราะออกมาอย่างขบขัน
“ผู้หญิงค่ะ พี่สาวครูฟ้าเอง ใบเตยไหว้น้าจันทร์ด้วยค่ะ” นภางค์พูดเสียงใสพลางหันไปยิ้มให้กับสิตางศุ์ที่หน้ามุ่ยไปตั้งแต่เจอคำถามตรงๆของเด็กสาวตัวเล็กเสียแล้ว
“พี่จันทร์อย่าหน้ามุ่ยสิคะ เดี๋ยวตอน สี่ห้าโมงพี่ค่อยมารับฟ้าก็ได้ จะได้ไม่ต้องรอนาน” นภางค์พูดพลางดันหลังพี่สาวให้ไปที่รถ ก่อนจะโบกมือลาด้วยหน้าตาสดใส พร้อมกับเจ้าหนูที่กำนิ้วชี้ของนภางค์ไว้แน่น โบกมือลาด้วยรอยยิ้มไม่แพ้กัน
“ไปค่ะ ไหนพาครูไปไหว้พ่อใบเตยหน่อยสิคะ” นภางค์เอ่ยถามอย่างใจดี ทำให้ใบเตยยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มบุ๋มทั้งสองข้างอย่างน่าเอ็นดู
นภางค์เดินตามแรงจูงของเด็กหญิงไปเรื่อยๆ จนไปเจอกับชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาว หน้าตาดี หุ่นเฟิร์ม ที่เธอแอบชะงักไปเล็กน้อย เพราะนภางค์ไม่คิดว่าเขาจะมีลูกสาวตัวเล็กแล้ว เพราะดูจากภายนอกเขาเป็นคนยังหนุ่มยังแน่นยิ่งนัก จะผิดก็ตรงเขาแต่งตัวเป็นพ่อบ้านจ๋า ดูแลลูกสาวอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
ขณะที่ชายหนุ่มก็มีอาการไม่ต่างกัน เพียงได้เห็นใบหน้าหวาน ตากลมโตดั่งตุ๊กตา ผิวขาวเนียนละเอียด ยามแรกแย้มที่ส่งให้อย่างเป็นมิตร ทำให้ชายหนุ่มหลุดคิดไปไกลเหมือนคนเจอนางฟ้าในฝัน ไม่ได้ยินลูกสาวตนเองพูดจาเจื้อยแจ้วแนะนำให้ครูสาวให้รู้จักเลยแม้แต่น้อย
“พ่อคะ นี่ครูฟ้าค่ะพ่อ...พ่อคะ” หนูใบเตยดึงชายเสื้อของบิดาเป็นการสะกิด และนั่นก็ทำให้เขาสะดุ้งหันมามองลูกสาวทันที
“เอ่อ ครับ...ว่าไงนะลูก”
“นี่ครูฟ้าค่ะ ที่จะมาสอนใบเตยไง”
“อ้อ...ยินดีที่ได้รู้จัก ผมอานนท์ครับ” อานนท์แนะนำตัวแล้วค้อมหัวให้นิดหนึ่งอย่างสุภาพ
“ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก ชื่อนภางค์ค่ะ เรียกฟ้าก็ได้” หญิงสาวยิ้มตอบด้วยความเป็นมิตรเช่นกัน รอยยิ้มใสๆของเธอช่างดูมีเสน่ห์กับอานนท์เหลือเกินจนเขาแทบอยากจะหยุดเวลาไว้
“ครับ...คุณนางฟ้า” เขาพึมพำออกมาดั่งคนเพ้อ หากแต่นภางค์กลับไม่ได้ยินอะไร เพราะโดนใบเตยลากให้ไปสอนการบ้านให้เสียแล้ว
ความคิดเห็น