ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เพลิงสิตางศุ์[Yuri]

    ลำดับตอนที่ #4 : ๔.หมาคาบไป

    • อัปเดตล่าสุด 3 ต.ค. 53


    .หมาคาบไป...

                    ปัง!”  เสียงกระแทกประตูดังลั่นตามอารมณ์ของคนพาล สิตางศุ์ขยี้ศีรษะตนเองแรงๆด้วยความหงุดหงิด พร้อมกับเดินมาที่หน้ากระจก มองตัวเองนิ่ง หากแต่ดวงตาเรียวเต็มไปด้วยความโกรธแค้น

                    เธอมันบ้า! อนุช! ฉีกหัวใจฉันแหลกสลายแล้วยังไม่พอ ยังกลับมาเหยียบย่ำ หัวใจเธอทำด้วยอะไร!!!”

    เขาเหวี่ยงหมอน สมุด สิ่งของส่วนตัวหล่อนเกลื่อนกระจายบนพื้นห้อง แววตาแดงก่ำด้วยความโกรธจัด ก่อนจะรู้สึกว่ามีก้อนอะไรแข็งๆจุกบริเวณคอหอย ชวนให้เขาอยากจะร้องไห้...

                    เมื่อ 5 ปีก่อน...

    บรรยากาศในสวนดอกลีลาวดีสีขาว กำลังบานสะพรั่ง บ้างปลิวหล่นลงพื้นกับสายลมช้าๆ สิตางศุ์อยู่ในชุดนักศึกษาเสื้อเชิ้ตแขนยาว กับกางเกงยีนส์สีมอซอตัวหนึ่ง เขาค่อยๆเดินเข้ามาเผชิญหน้ากับหญิงสาวร่างเพรียว ดวงตาคมสวยที่ยืนอยู่ตรงหน้า

                    แม้วันนั้น อนุช สาวหน้าคม จะดูผ่ายผอม ใบหน้าสดใสน้อยลงไปบ้าง เธอก็ยังคงมอบรอยยิ้มให้กับการมาถึงของสิตางศุ์ด้วยความจริงใจ

                    มีอะไรหรือนุช สิตางศุ์ถามเสียงแผ่ว ยามเห็นอนุชให้ชายแปลกหน้าประคองมือเรียวสวยไว้อย่างใกล้ชิด ชายหนุ่มคนนั้นส่งสายตาเอื้ออาทรกับเธอโดยไม่เกรงใจสิตางศุ์เลยแม้แต่น้อย

                    นุชจะมาบอกเรื่องระหว่างเรา...เราห่างกันสักพักนะจันทร์

    สิตางศุ์อึ้งไปสนิทกับคำพูดของอนุชเหมือนกับเธอกำลังใช้มีดคมๆกรีดหัวใจให้ร้าวระบม ทั้งที่เขายืนอยู่ตรงหน้าเธอ ทั้งรักดูแลทะนุถนอมมาโดยตลอด...แต่วันนี้เขากลับเป็นคนที่กำลังอ่อนแอที่สุด แม้สิตางศุ์จะยืนเต็มร่างสูง หากแต่หัวใจกลับลอยไปไกล ทั้งที่เธอสรรหาคำพูดสารพัดมาเติมแต่งให้แลดูสวยงาม แต่หูกลับฟังไม่ได้ศัพท์ใดๆ มีเพียงหยาดน้ำตาใสๆไหลหลั่งนองหน้า ที่ไม่รู้เมื่อไหร่มันจะหยุดได้

                    ขอโทษนะจันทร์ แต่นุชจำเป็น... พูดจบสาวหน้าคมก็สะอื้นไห้ออกมาบ้าง หากแต่กลับทำให้อารมณ์โกรธเคืองของสิตางศุ์เพิ่มขึ้นเป็นทวี

                    ถ้านุชจะมาบอกว่าห่างกันสักพัก เราเลิกกันเลยดีกว่า

                    เฮือก!

    คราวนี้คำพูดที่ตอกกลับของสิตางศุ์กลับทำให้อนุชจุกขึ้นมาทันที เธอสะอื้นไห้หนักกว่าเก่า ดังหัวใจจะขาดวิ่นไม่เป็นชิ้นดี แต่เธอยังมีคนปลอบคือชายหนุ่มข้างกาย เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าสีเรียบสวยซับน้ำตาโอบกอดเป็นการใหญ่

    เป็นภาพบาดตาบาดใจจนทำให้สิตางศุ์กัดฟันกรอดด้วยความแค้น

                    ถ้านุชมีไอ่อานนท์ ห่าเหวอะไรนี่ นุชจะมาให้ความหวังจันทร์ทำไม! เข้ามาให้จันทร์รักทำไม!”

    สิตางศุ์ไม่พูดเปล่า แต่รีบเดินเข้าไปเขย่าแขนของคนตัวเล็กกว่าเพื่อคาดคั้นคำตอบให้ได้ จนชายหนุ่มเหวี่ยงเขาออกมาสุดแรง สิตางศุ์จึงร่วงลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้า

                    รักกันดีนักใช่มั้ย!!” สิตางศุ์แผดเสียงออกมาอย่างแข็งกร้าว

                    จันทร์ นุชรักจันทร์นะ แต่นุชยังบอกเหตุผลอะไรไม่ได้จริงๆ ต่อให้จันทร์จะเกลียด นุชก็ยังรักจันทร์นะคะ

                    พูดจบ อนุชก็เดินจากไปพร้อมกับหนุ่มที่ชื่ออานนท์ แลดูใกล้ชิดเกินกว่าที่เธอเคยย้ำนักย้ำหนาว่าเป็นพี่น้องกัน ปล่อยให้สิตางศุ์นอนอยู่บนพื้นหญ้าอย่างหมดแรงกำลังจะสู้ต่อ ความเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยวที่เคยมีในหัวใจของสาวสปอร์ตคนนี้ มลายสิ้นตั้งแต่วันที่เธอเดินออกไปจากหัวใจ...

     

                    นังผู้หญิงร่าน ตอแหล โกหกหลวงลวง ทุเรศเว่ย!” สิตางศุ์ท่องพึมพำ แล้วเอื้อมมือไปเปิดผ้าม่านในห้องนอน แต่แล้วเขาก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นอนุชกับตะวันกำลังพูดคุยกันอย่างสนิทสนมที่สวนหน้าบ้าน

                    แมร่ง!!! นี่จะเอาให้หมดบ้านเลยใช่มั้ย พ่อก็เอา ลูกก็ไม่เว้น!”

     

                    สายลมเย็นๆโชยพัดมากระทบผิวกายของหญิงสาวยามเดินกับตะวัน ผมสลวยสะบัดปลิวไปด้านหลังพร้อมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ทำให้ชายหนุ่มหน้าคมเผลอสูดลมหายใจด้วยความเคลิบเคลิ้ม

                    คุณอนุชชอบดอกลีลาวดีหรือครับ ตะวันชวนพูดคุยพลางส่งยิ้มให้อย่างสดใส ทำให้หญิงสาวยิ้มแล้วพยักหน้าตอบ โดยที่ในใจรู้สึกอุ่นๆขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

                    ดอกลีลาวดี แม้มันจะมาจากดอกไม้ที่เศร้าแต่นุชก็รู้สึกอุ่นเสมอยามนึกถึงมันค่ะ

    พูดจบหญิงสาวก็เดินไปในสวนดอกลีลาวดีอย่างคนเหม่อลอย บ้านสันติวงศ์ ปลูกดอกลีลาวดีต้นสูงตระหง่าน เรียงรายกันทั่วสวน เพียงแค่ทรุดตัวนั่งที่พื้นหญ้า กลิ่นของดอกไม้ก็ส่งความหอมอบอวนไปทั่ว สามารถสร้างความสดชื่นต่อหัวใจอนุชได้ยิ่งนัก

                    คุณนุช ระวัง!” ตะวันร้องออกมาอย่างตกใจ เมื่อเห็นว่าอนุชกำลังเดินใจลอยไปสะดุดก้อนหินลูกโตที่วางประดับสวนอยู่

                    อ๊าย!!!”

                    คุณ!”

    ตะวันเข้าไปรับร่างบางของสาวสวยก่อนจะล้มกลิ้งหลุนๆไปด้วยกัน ตะวันกอดสาวร่างบางไว้แน่น ขณะที่อนุชข่มตาหลับปี๋ด้วยความกลัวจัด จนกระทั่งร่างของทั้งคู่หยุดอยู่ที่เนินราบของพื้นหญ้าอีกฝั่ง

                    ตะวันค่อยๆลืมตาขึ้นมาอนุชอย่างเป็นห่วง มือข้างหนึ่งบรรจงปัดเส้นผมที่ปิดใบหน้าออก เผยให้เห็นดวงหน้าของสาวหน้าคมสวยได้อย่างถนัดตา เธอยังคงหลับตาปี๋ด้วยความขลาดกลัว โดยหารู้ไม่ว่าคนที่ทำหน้าที่เป็นเบาะรองกันเจ็บให้ในเวลานี้ เกิดอาการใจเต้นตึกตักเหลือเกิน อนุช...

                    อยากกอดเธอไว้นานๆจัง...จู่ๆความคิดของตะวันก็โพล่งขึ้นมาดื้อๆ ทำให้ชายหนุ่มมีอาการหน้าแดงก่ำขึ้นมาจนไม่กล้าจะขยับตัวออกไปไหน เขาลักลอบสูดกลิ่นกายสาวแบบไม่ให้เห็นพิรุธ แม้ในใจจะรู้สึกพองโตด้วยความชื่นชมยินดี ยามที่ได้ใกล้ชิดกับเธอก็ตาม

                    คุณอนุชครับ...เป็นอะไรรึเปล่าเอ่ยตะวันเอ่ยถามออกมาเสียงนุ่มน่าฟัง หากแต่หญิงสาวยังคงซบกับไหล่กว้างของเขานิ่ง แม้ว่าจะลืมตาหลังจากหายกลัวขึ้นมาแล้วบ้าง แต่เธอกลับไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย ทำให้ตะวันอดสงสัยไม่ได้

                    คุณอนุช ไหวมั้ยครับนี่

    อนุชหรี่ตาลงด้วยความเจ็บ เธอรู้สึกร้าวระบมตรงหน้าแข็งขึ้นมาจนไม่มีแรงจะลุกไหว ทำให้หญิงสาวยังคงอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่มเนิ่นนานอยู่อย่างนั้น

                    หารู้ไม่ว่า บริเวณชั้นบนบ้าน สิตางศุ์กระแทกปิดม่านอย่างหงุดหงิด ใจร้อนรุ่มดั่งคนเอาน้ำมันมาสาดใจให้ร้อนรน...

                    อ่อยอยู่ได้ ยัยบ้าเอ้ย!!”

     

                    ห้องรับแขกเต็มไปด้วยความอลม่านวุ่นวายของป้าพิศ ที่ช่วยถือกล่องปฐมพยาบาลมาเช็ดแผลให้วุ่น หลังจากตะวันอุ้มสาวร่างบางมาวางไว้บนโซฟา อนุชก็นอนคู้ตัวด้วยความเจ็บปวดจนไม่สามารถร้องโอดโอยได้

                    เลือดโชกแบบนี้ขาหักมั้ยคะคุณ ป้าพิศเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก

                    ไม่ไหวมั้งป้าพิศ นภางศ์พูดด้วยน้ำเสียงตกใจพลางทำสีหน้าขยาดกลัวขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าของลูกสาวคนเล็กของไกรสรซีดเผือดเป็นไก่ต้ม เมื่อเห็นเลือดไหลออกมาจากแผลทางยาวบริเวณหน้าแข้ง

                    อะไรกันวุ่นจริง!” สิตางศุ์เพิ่งลงมาจากบันไดตะโกนด้วยอารมณ์หงุดหงิด เมื่อเห็นผู้คนห้อมล้อมอะไรกันยกใหญ่ แม้ว่าเขาจะไม่เห็นว่ามุงอะไร แต่ก็พอทราบว่าเป็นหญิงสาวที่ชื่ออนุชอย่างแน่นอน...ก็เขาเห็นว่าเธอล้มโดยที่มีตะวันกอดอยู่อย่างนั้น และนี่ก็คงเรียกร้องความสนใจโดยไม่เลิกล่ะสิ

                    ไหนดูสิ สำออยจริงเลยเว่ย เมียของ...

    สิตางศุ์พูดไม่ทันขาดคำ เมื่อตนเองมุดฝ่าเข้าไปก็ต้องชะงักหน้าเสียทันที และเหมือนกับสาวร่างโปร่งมีอาการตกใจในอาการบาดเจ็บของหญิงสาวขึ้นมา เขาจึงรีบเข้าไปแตะหน้าแข้งของหญิงสาวอย่างเป็นห่วง หากแต่อนุชร้องออกมาเสียงหลงด้วยความเจ็บปวด

                    ออกไปนู่นไป! ทำบ้าอะไรของแก ตะวันเบียดสิตางศุ์เข้ามาอย่างรวดเร็วจนสาวร่างโปร่งเซไปอีกทางอย่างงงๆ ก่อนจะมีความรู้สึกน้อยใจเข้ามาแทนที่

                    ...เธอคงมีใครดูแลแล้วสินะ อนุช... ฉันจะไม่อยู่ให้เกะกะหรอก... ว่าแล้วสิตางศุ์ก็เดินออกไปอย่างหงอยๆ ปล่อยให้คนในบ้าน รวมทั้งไกรสรและตะวันวุ่นทำแผลปฐมพยาบาลให้เป็นการใหญ่

     

                    สาวร่างโปร่งหลบไปนั่งที่ชิงช้าคนเดียวเงียบๆ ปล่อยให้เสียงใบไม้ทำหน้าที่เสียดสีกันเบาๆ ทำลายความเงียบสงัด หากแต่ไม่ทำให้ใจของสิตางศุ์สงบลงเลยแม้แต่น้อย

                    เมื่อนึกถึงภาพที่เขาถูกเหวี่ยงออกมาด้านนอก ทำเหมือนคนไม่มีตัวตน ทั้งพ่อและพี่ชายของเขาต่างเป็นห่วงผู้หญิงที่ชื่ออนุช...ทั้งที่เขาอยากจะไปช่วยดู หากแต่กลายเป็นสร้างความรำคาญให้คนในบ้านไปเสียนี่

                    ...สิตางศุ์...นี่เราไม่มีค่าพอสำหรับใครสักคนเลยหรอกหรือ??...

    คำถามโพล่งขึ้นมาในความคิดของเขา ทำให้คนหน้าใสถอนหายใจอย่างปวดร้าว เงยหน้าเฝ้ามองพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าไปอย่างเดียวดาย ทิ้งบรรยากาศเหงาๆกับลมพัดเย็นๆกระทบผิวกายให้ใจหนาวเหน็บ

                    เพียงชั่วครู่ เสียงโทรศัพท์ของสิตางศุ์ก็ดังขึ้นมา   

    ฮัลโหล... สาวหน้าใสพูดด้วยน้ำเสียงหมดอาลัยตายอยาก จนทำให้เพื่อนซี้ดูโอ้ ชาติชายเต็มขั้นอย่าง  เจษฏา ถึงกับคิ้วขมวดยุ่งทันที

                    ไอ่จันทร์หนวดเขี้ยว เป็นไรของแกวะเฮ้ย

                    เปล่า ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย สิตางศุ์แสร้งทำน้ำเสียงสดใส แต่ไม่สามารถปิดบังเพื่อนสนิทอย่างเจษฏาไปได้เหมือนเคย

                    ก็พวกเขาเป็นเพื่อนคูหูดูโอ้สมัครประกวดร้องเพลงบนเวทีเดียวกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม แล้วพอเข้ามาในรั้วมหาวิทยาลัย ก็ได้รู้จักตั้งวงร้องเพลงร่วมกันอีก จะเปลี่ยนไปก็ตรงที่ว่า เจษฏาเป็นมือกีตาร์ เหลือเพียงสิตางศุ์ที่ร้องนำ โชว์ใบหน้าใสๆเท่ๆเรียกเสียงกรี๊ดจากสาวๆไม่แพ้ผู้ชายเลยทีเดียว

                    ให้มันจริง...

                    ที่จริงก็นิดหน่อยว่ะ คือนุชมาอยู่ที่นี่ แล้วฉันก็ไม่รู้จะทำยังไง วันที่เขาจากไป มันก็ทำให้ฉันเจ็บมาก แม้ใจฉันเสี้ยวนึงยังรักอยู่ก็เหอะ แต่วันนี้เค้ากลับมา ไอ่เจษ จะทำยังไงดีวะสิตางศุ์โพล่งถามออกไปเป็นชุด ทำให้คนฟังสะอึกนิ่งไปหลายนาที

                    อะไรของแกนะไอ่จันทร์

                    โธ่เว้ย แกจะให้ฉันพูดกี่รอบวะ ก็บอกว่านุชมาที่นี่ แล้วฉันก็เจ็บเพราะคิดเรื่องราวที่เขาทิ้งฉันไป เข้าใจยัง สิตางศุ์ขยี้ศีรษะแรงๆอย่างกลัดกลุ้ม  

                    เฮ้ย แกใจเย็นๆก่อนนะ พักเรื่องตรงนั้นก่อน ที่ฉันโทรมาอ่ะ ฉันจะบอกว่าเดือนหน้า มันจะมีโครงการแข่งประกวดวงดนตรีแล้ว แล้ววงฟีลลิ่งบลูเนี่ยของพวกเราเนี่ยจะลง แต่เพลงแกยังไม่เอามาให้พวกฉันไปออดิชั่นเลยนะ แล้วจะเอาที่ไหนไปแข่งวะจันทร์ อย่าให้เรื่องนี้ทำลายความฝันของพวกเราสิวะ 

                    สิตางศุ์นิ่งไปทันที เมื่อนึกขึ้นได้ว่าโครงการนี้ เขาเป็นคนชวนเพื่อนๆเสียด้วยซ้ำว่าให้ลงประกวด แต่มัวแต่วุ่นวายเรื่องหัวใจจนลืมไปสนิท...สิ่งที่ต้องทำกลับไม่ได้ทำ...ไอ่สิ่งที่ไม่จำเป็นต้องทำ...กลับมาทำซะอย่างนั้น

                    เออ เดี๋ยวฉันจะช่วยดูให้นะ โทษทีว่ะเพื่อน จะรีบๆแต่งให้มันโอเคที่สุด แล้วเดี๋ยวซ้อมให้เต็มที่

                    เออ ยังไงก็อย่าคิดมากล่ะ มีอะไรก็ปรับความเข้าใจกันเว่ย จะได้ไม่มานั่งเสียใจเมื่อสาย เจษฏาทิ้งคำพูดเตือนใจเพื่อนสนิทเล็กน้อย ก่อนจะกดวางสายไป ทิ้งให้สิตางศุ์ขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิดคนเดียวอีกครั้ง

                    เอาวะ งาน ฉันต้องทำเพื่อเพื่อน เพื่อความฝันก่อน สิตางศุ์บอกตัวเองคนเดียวเบาๆ แล้วลุกขึ้นพรวดจากขอนไม้ที่นั่งอยู่ แต่เมื่อเขาหันมาสาวร่างโปร่งก็ต้องชะงักเมื่อเห็นนภางค์ยืนกอดอกอยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

                    ฟ้า... สิตางศุ์ครางออกมาเบาๆ พร้อมกับสีหน้าซีดเผือด ตาโต มีอาการอึกอักทันที แต่แล้วเขาก็ทำเนียนปั้นหน้าตายดุนภางค์

                    มายืนบ้าสังเกตการณ์อะไรแถวนี้ นิสัยไม่ดีนะฟ้า

    นภางค์ยังคงกอดอกนิ่ง มองใบหน้าพี่สาวแบบเด็กคนหนึ่งที่กำลังทำความผิด วิญญาณของความเป็นครูสาวจอมโหดส่งมาจากแววตาอย่างแรงกล้า จนสิตางศุ์กลายเป็นฝ่ายไม่กล้าสู้หน้าน้องสาวไปซะเฉยๆ

                    น้ำค้างมันลง พี่เข้าบ้านดีกว่า

                    เดี๋ยวพี่จันทร์นภางค์ไม่พูดเปล่า หากแต่รีบคว้าข้อมือของสิตางศุ์ไว้แน่น

                    คนที่ชื่อนุชที่พูดถึงใช่คุณอนุชรึเปล่า?

                    เรื่องของพี่น่า จะใช่ไม่ใช่มันก็ผ่านไปแล้ว สิตางศุ์สะบัดข้อมือออกจากน้องสาวแล้วสบตานิ่ง

                    แสดงว่าใช่ พี่มานั่งงึมงำ บ่นไปบ่นมากับท้องฟ้า สายลม แล้วมันได้อะไรพี่จันทร์ ทำไมไม่เคียร์ให้มันรู้เรื่องเล่าคนเป็นน้องสาวถามขึ้นมาอย่างสงสัย

                    ฟ้าไม่ได้เป็นพี่ ฟ้าไม่เข้าใจหรอก สิตางศุ์พูดพลางจะเดินหนีไปอีกทาง

                    ก็เพราะพี่มัวแต่หนีไง ทำไมไม่หันหน้ากล้าเผชิญกับความจริงบ้างล่ะ เอาแต่ปิดกั้นตัวเอง แล้วเมื่อไหร่จะดีขึ้น!!” นภางค์ตะโกนไล่หลังพี่สาวมาทำให้เขาสะอึกไปทันที

                    เราไม่เคยเจอในสถานการณ์แบบพี่นี่! คนถูกทิ้งมันเสียความรู้สึกแค่ไหน ฟ้าไม่มีวันรู้หรอก!”

                    ใช่ฟ้าไม่รู้ แต่ถ้าพี่มัวแต่อยู่แบบนี้ จมกับตัวเองแบบนี้ ระวังหมามันจะคาบไปนะพี่ ฟ้าเตือนแค่นี้ นภางค์พูดพลางกลับหลังเดินจากไป ทิ้งให้สิตางศุ์ยืนอยู่ลำพังคนเดียวเงียบๆ

                    โว้ย อะไรวะเนี่ย!!!!” สิตางศุ์พูดขึ้นมาเสียงดังอย่างหงุดหงิดแล้วพาลเตะก้อนหินที่อยู่บนพื้นหญ้าจนกระเด็นไปอีกทาง

                   

                    สาวร่างโปร่งเดินเข้าไปในบ้านด้วยอารมณ์หงอยเหงา เขาไปหยุดที่เปียโนหลังหนึ่ง พยายามจะหาคำตอบว่าจะเอาอย่างไรต่อไปกับชีวิตดี สุดท้ายสิตางศุ์ก็เดินมาทรุดตัวลงนั่งหน้าเปียโน เพราะคิดถึงเวทีการประกวด เรื่องความฝันที่ตนเองอยากจะเป็นนักร้องขึ้นมา

                    มือเรียวยาวค่อยๆบรรจงวางไว้บนตัวโน้ตอย่างใจเย็น เขาหายใจเข้าออกช้าๆ ก่อนจะบรรเลงเพลงเบาๆ อย่างค้นหาทำนองเพื่อที่จะแต่งประกวด...

                    ...แต่ในใจจริงมันเหงา...

    ต้องซ่อนเงาของความปวดร้าว...

    เมื่อรู้ข่าว ว่ายอดดาว...สุกสกาวเป็นของใคร...

    สิตางศุ์จดบนกระดาษอย่างตั้งใจ ทั้งที่ในใจรู้สึกเจ็บแปลบ เมื่อนึกถึงภาพความสนิทสนมระหว่างอนุชกับพี่ชายตนเอง และเขาก็ไม่สามารถแทรกแซงใดๆได้อีก...

                    โอ๊ย แมร่ง ไม่มีแรงทำโว่ย!!!” เขากระแทกมือลงไปที่เปียโนเสียงดังจนแสบแก้วหู ก่อนจะถลาลงมานั่งกับพื้น พิงกับขอบเตียงประหนึ่งคนหมดอาลัยตายอยาก

                    ภาพความทรงจำเดิมระหว่างเขากับอนุช ผุดขึ้นมาในหัวสมองทันทีเมื่อหลับตา...

    เวลานั้น ทั้งเขาและเธอต่างเป็นเฟรชชี่ในมหาวิทยาลัยด้วยกัน อนุชเรียนเอกขับร้อง สิตางศุ์เรียนเอกดนตรีและการแสดง ด้วยความที่อยู่คณะเดียวกันทำให้ทั้งคู่สนิทกัน เพราะอนุชก็ฉายแววตั้งแต่ปีหนึ่ง สิตางศุ์ก็ฉายแววว่าเล่นดนตรีเป็นที่หนึ่งตั้งแต่ปีหนึ่งเช่นกัน

                    เขาและเธอได้พูดคุยรู้จักกันจริงๆจังๆ ในการประกวดเวทีแรก ตอนนั้นอนุชมีอาการประหม่าจึงเข้าไปปรึกษาสิตางศุ์ เขาจึงชวนให้อนุชเล่นเปียโนด้วยกันจนเธอหายอาการตื่นเต้นเพราะเพลิดเพลินไปกับเสียงดนตรี

    อนุชเป็นคนเรียนรู้ไว จำเก่ง ไม่นานเธอก็เล่นร่วมเปียโนกับสิตางศุ์ได้...และนั่นก็ทำให้สิตางศุ์เริ่มรู้สึกหัวใจอ่อนไหวยามอยู่ใกล้ชิดเธอ...ทุกๆวัน...

     

                    ...เหม่อมองบน ฟ้า ไกล...

    จ้องมองด้วยความสงสัย...ว่าใครกัน นะ...ใคร

    ที่พาเธอเดินหลงทางมาเจอกับฉัน...

    มีคนเป็นล้านคน...ช่างไร้เหตุผลจริงๆที่เราเจอกัน

    จากเป็นคนไม่เชื่ออะไร สุดท้ายก็ได้...ถามตัวเองซ้ำๆ...

     

                    ไม่ ฉันไม่อยากฟัง!!!” สิตางศุ์กัดฟันกรอด เมื่อภาพวันวานยามหวานระหว่างเขากับอนุชยังคอยย้ำเตือนใจให้คิดถึง เสียงเพลงเดิมที่เคยหวานฉ่ำบีบรัดหัวใจจนทรมาน ทำให้สาวร่างโปร่งนั่งนิ่งปล่อยน้ำตาอาบแก้มอย่างคนอ่อนแอ...

                    เขาต้องเจ็บไปอีกนานแค่ไหนนะ...ต้องอยู่กับวังวนของรักที่ฝากแผลลึกอีกนานแค่ไหน!?....

                    ฉันต้องไม่อ่อนแอ! เธอจะใหญ่เหยียบหน้าฉันไม่ได้!” สิตางศุ์บอกตัวเองเสียงกร้าว พร้อมกับมือข้างหนึ่งที่จับที่หัวใจของตนเองเหมือนต้องการบอกว่า เขาจะไม่อ่อนแออีกต่อไปแล้ว...

     

                    ก๊อกๆๆ!”

    เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้สิตางศุ์รีบปั้นหน้าเรียบเฉย ดูตัวเองในกระจกตรวจสอบความพร้อมไม่ให้มีอาการพิรุธใดๆ เขาเดินไปทางประตูห้องอย่างมั่นใจแล้วเปิดมันออก

    อ่อ ฟ้าเองหรอ สิตางศุ์เห็นใบหน้าน้องสาวแล้วยิ้มเจื่อนๆให้ ทำให้นภางค์อมยิ้มกริ่มอย่างรู้ทัน

    แหม นึกว่าเป็นคุณอนุชล่ะสิ

    อย่ามาเพ้อเจ้อน่า สิตางศุ์หยักไหล่ แล้วหันหน้าหนีเหมือนคนไม่ค่อยใส่ใจอะไรเท่าไรนัก

    ให้มันจริง ที่ฟ้าขึ้นมาเนี่ย ก็เพราะจะมาบอกว่าคุณอนุชกลับมาแล้ว

    หรอ...แล้วเกี่ยวอะไรกับพี่ล่ะเขาถามเสียงเรียบ แลดูเก็บอารมณ์ไว้ลึกถึงก้นบึ้งหัวใจทำให้นภางค์ถอนลมหายใจออกมายาวเหยียด

                    ตามใจพี่แล้วกันนะ ฟ้าเหนื่อยแล้ว ถ้าวันนึงอยากจะได้อะไรขึ้นมาแล้วฟ้าไม่ช่วยเนี่ย อย่าหาว่าไม่เตือนแล้วกัน ว่าแล้วน้องสาวก็เดินสะบัดก้นหนีไปอีกทางอย่างเง้างอน ปล่อยให้สิตางศุ์อยู่ลำพังอย่างกลัดกลุ้ม

                    ทั้งที่ใจหนึ่งอยากจะลงไปดูอาการบาดเจ็บ...แต่อีกใจหนึ่งก็ย้ำเตือนว่าอนุชกำลังมีพี่ชายดูแลอยู่...ฉะนั้น เขาก็ควรอยู่เงียบๆ ไม่ต้องไปใส่ใจน่าจะดีกว่าเป็นไหนๆ...

     

                    ก๊อกๆๆ

    เสียงประตูดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้สิตางศุ์ถอนหายใจยาวอยู่บนเตียง ไม่ลุกไปเปิดประตูเหมือนเดิม

                    อย่ามาเซ้าซี้พี่น่ายัยฟ้า คุณอนุชเขาก็ต้องอยู่ส่วนเขาสิ

                    ก๊อกๆๆๆๆๆๆ เสียงเคาะประตูดังถี่ขึ้น จนเจ้าของห้องเริ่มมีอาการหงุดหงิดหัวเสีย เขาปรี่ไปที่ประตูแล้วเปิดผางทันที หากคนที่อยู่หน้าประตูใช้นภางค์ไม่ เจ้าหล่อนเซถลาเข้ามาในอ้อมกอดของสิตางศุ์ตามแรงเหวี่ยงที่เขาเปิดประตูออกจนสาวร่างโปร่งครางออกมาด้วยความตกใจ

                    นุช...

                    อุ๊บ... ตึง!”

    สิตางศุ์ร่วงไปนอนกับพื้นด้วยใบหน้าเหยเก เบื้องบนมีหญิงสาวทับอยู่หลับตาปี๋ กอดสิตางศุ์แน่นด้วยความตกใจหวาดกลัว หากแต่สิตางศุ์กลับมีความรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาเฉยๆ เขารีบเหวี่ยงคนล่างเล็กพลิกไปอีกด้านอย่างแรง จนเธอร้องโอดโอยด้วยความเจ็บ ไม่ใช่เจ็บแค่แรกกระแทก หากแต่บาดแผลของเธอระบมขึ้นมารึเปล่านั่นก็ไม่แน่เหมือนกัน...

                    สำออยว่ะ ไปไกลๆ ฉันไม่ชอบคนเกาะแกะ

                    คุณท่านตามลงไปข้างล่างค่ะ ดิฉันมาเรียนให้คุณสิตางศุ์ทราบ อนุชลุกขึ้นจากพื้นอย่างทุลักทุเล เธอพยายามส่งสายตาขอความช่วยเหลือ หากแต่สิตางศุ์กลับมองกลับด้วยสายตาเหยียดยาม

                    ขาแม่งก็จะเดี้ยงอยู่และ ทำไมไม่ให้พี่ตะวันมาประคองล่ะ หรือว่าเบื่อ เลยตั้งใจจะเวียนเทียนไปเรื่อยๆ

                    คุณสิตางศุ์ ไม่มีสิทธิ์ดูถูกดิฉันแบบนี้นะคะ!!!” อนุชแผดเสียงดังอย่างเหลืออด แม้ขาที่เธอเจ็บจะเพียงแค่อักเสบจนต้องพันแผลด้วยผ้าก็อตเสียแน่น แต่เธอก็ยังแอบน้อยใจที่สิตางศุ์ไม่เหลียวแลเธอเลยแม้แต่หางตา

                    มาตามก็หมดหน้าที่แล้ว เดี๋ยวฉันจะลงไปเอง ขอบใจ

    สิตางคุ์พูดเสียงห้วนแล้วเดินชนไหล่สะบัดออกไปอย่างไม่แคร์ ทิ้งให้อนุชมีน้ำตาเอ่อขึ้นมาคลอนัยน์ตาคู่สวย

                    จันทร์...นับจากวันนี้ นุชจะปล่อยมือจันทร์แล้วนะ

     

                    อนุชเผลอคิดไปถึงตะวัน ชายหนุ่มใบหน้าคมเข้ม คนที่แสนดีอ่อนโยน อยู่เคียงข้างยามเธอบาดเจ็บ สายตาที่มองมาที่เธอเต็มไปด้วยความห่วงใย แลดูอบอุ่นจนหัวใจของเธอโผบิน...

                    ความละม้ายคล้ายคลึงราวกับแกะ ระหว่างพี่ชายกับน้องสาว ทำให้เมื่อเขาปรนนิบัติดีต่อเธออย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง อนุชกลับเห็นเงาของสิตางศุ์ซ่อนทับกับตะวันอยู่เสมอ...

                    หาก คุณไม่ได้อยู่กับคุณพ่อเชิงชู้สาว มาแค่ดูแลท่าน...ถ้าผมจะขอคบกับคุณ ผมขอเลือกให้คุณเป็นคนที่ดีที่สุดสำหรับผม...ได้มั้ยครับ

                    คำพูดของตะวันยามอยู่กับเธอสองคนเพียงลำพังในโรงพยาบาล ทำให้อนุชอึ้งไปกับความรู้สึกที่เปิดเผยถึงความต้องการปรารถนาของตะวันเป็นอย่างยิ่ง

                    คุณแน่ใจได้ยังไงคะว่ามันคือความรัก เราเพิ่งพบกัน... อนุชแย้งเขาออกมาด้วยความสับสน หลังจากบอกความจริงทั้งหมดให้เขารู้ ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาแม้ไกรสรจะมีท่าทีกะลิ้มกะเหลี่ยบ้าง แต่ไม่เคยล่วงเกินหรือทำรุ่มร่ามเกินเลยกับเธอเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่เธอไม่รู้ว่า ไกรสรถูกชะตาเรื่องอะไรก็เท่านั้น

                    ให้เวลาผมพิสูจน์ได้มั้ยครับ ผมขอเพียงเวลาพิสูจน์ตัวผม ผมกล้ายืดอกรับเลยจริงๆ ว่าผมพอใจคุณตั้งแต่แรกเห็น... ตะวันค่อยๆพูดด้วยน้ำเสียงเนิบๆแต่แลดูมีความจริงใจน่าฟัง จนสาวร่างเพรียวอดคิดไม่ได้ว่า หากสิตางศุ์พูดอะไรออกมาตรงหัวใจให้เธอรับรู้ได้บ้างก็คงดี...

                    บางที ถ้าคุณเห็นมุมแย่ๆของนุช อาจจะไม่ชอบก็ได้นะคะ

                    ผมจะถือว่าเวลาจะเป็นเครื่องตัดสินที่ดี ว่าเราเข้ากันได้หรือไม่...มันอยู่ที่คุณว่าจะเปิดใจให้ผมเข้าไปเรียนรู้รึเปล่า...คุณอนุช...

                    อนุชค่อยๆลืมตาช้าๆด้วยแววตามั่นคงจริงจัง แม้ขนตายาวเรียงแพจะชุ่มไปด้วยน้ำตาจากการร้องไห้ให้พอกับคนที่ตนเองรักมาเสมอเฉกเช่นสิตางศุ์...แต่อีกใจหนึ่งก็พยายามปลอบตนเองให้เริ่มต้นใหม่ เพื่อหลุดออกจากความเจ็บช้ำนั้นๆ...

    นุช...เราจะไม่มีวันอ่อนแอต่อไปอีก นับจากวันนี้ เราจะกลายเป็นคนใหม่

     

                    ฮะ พ่อว่าอะไรนะคะ!!!” สิตางศุ์ถามไกรสรเสียงดัง เมื่อได้ยินคนเป็นพ่อของเขาพูดว่าจะยกหญิงสาวหน้าหวาน ทั้งที่เดิมทีบอกว่ามีฐานะเป็นแม่ใหม่ของตนเอง แต่มีการโยกย้ายว่าจะให้พี่ชายไปเสียอย่างนั้น

                    ก็ตามนั้น แกได้ยินไม่ผิดหรอก... ถ้าพี่แกมีข่าวดี อย่าลืมติดต่อพวกสถานที่ หมั้น แต่งงานอะไรแทนพ่อด้วยล่ะ ไกรสรพูดออกมาเสียงเนิบ หากแต่บนใบหน้ายังปรากฏรอยยิ้มประปรายจนสิตางศุ์ขมวดคิ้วขุ่น

                    พ่อยกแบบนี้ง่ายๆได้ยังไง หรือว่าคุณผู้หญิงใหม่ของพ่อง่ายใช่มั้ย สิตางศุ์ลุกพรวดจากเก้าอี้ พูดจีบปากจีบคออย่างดูถูกทันที

                    จะบ้าหรือจันทร์ นุชเป็นคนดีมากนะ ที่พ่อเอาเข้าบ้านมา เพราะฟังเสียงแล้วนึกถึงแม่แก การวางตัว บุคลิก ใช่ทุกอย่าง...

                    โอ้!! อะไรกันเนี่ย มันเกิดอะไรขึ้น...พี่ตะวัน พี่กำลังจะได้อนุช...พี่กำลังคบอนุช...แล้ว...แล้วเขาล่ะ...

    สิตางศุ์ขบกรามแน่น หลับตาลงนิ่งอย่างปวดร้าว ดังฟ้าฟาดลงมากลางอก ชวนให้ใจรู้สึกเจ็บแปลบๆจี๊ดๆลงมาเหมือนครั้งที่เธอเดินจากไป...หากแต่ตอนนี้เขาเจอเธอแล้ว แต่สามารถจับต้องได้เลย...

                    พ่อก็อย่างนี้แหล่ะ ทำเหมือนคนเป็นสิ่งของ คิดจะให้ใครก็ให้

    สิตางศุ์พาลต่อว่าคนเป็นพ่อด้วยน้ำเสียงขุ่น ซ่อนความผิดหวังเสียใจมิดชิดจนไกรสรไม่เอะใจเลยแม้แต่น้อย หากแต่ชายวัยกลางคนส่งสายตากลับมาตำหนิลูกสาวอย่างไม่พอใจ

                    ก็ฉันมาคิดดู ปูนนี้แล้ว ไปคิดกับเด็กอย่างหนูอนุช คงไม่ใช่เรื่อง ที่จริงแกควรดีใจที่ฉันยังไม่ลืมแม่แกนะสิตางศุ์

                    โว่ย!! อะไรกันวะเนี่ย โลกแม่งเล่นตลกห่าอะไร สิตางศุ์เตะเก้าอี้กระเด็นกระดอนไปอย่างพาลๆ

                    บางทีพ่อก็ควรถามใจคนอื่นเขาบ้างนะ อย่าคิดเองอะไรฝ่ายเดียว!”

                    วะ ไอ่นี่วอน บังอาจมาสั่งสอนพ่อ เป็นใครฮะ! ฉันอาจจะบังคับแกสารพัด แต่เรื่องหัวใจฉันเปล่าเว่ย ก็ลองดูแล้วกันว่าพี่แกกับหนูอนุชจะลงรอยกันดีๆ หรือว่าฝืน

                    โว่ย!!!!!!!!!!!” สิตางศุ์ยกขาถีบเก้าอี้กระเด็นไปสุดแรงอีกครั้งแล้วเดินจากไปอย่างเดือดดาล

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×