คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ๑.บ้านร้อนๆ
๑. บ้านร้อนๆ
“จะไปไหนน่ะสิตางศุ์” ตะวันขมวดคิ้วขุ่นถามน้องสาวที่แต่งตัวแมนเกินเหตุ เขาแต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีแดงสดกับกางเกงแสลคสีดำตัดกันดี บนบ่าเล็กมีเป้ดีไซด์เป็นรูปหนามทุเรียนใบเก๋อยู่
“สิตางศุ์” สาวร่างสูง ผิวขาวละเอียด ไว้ผมไฮไลท์บรอนด์ทอง ใบหน้าใสเกลี้ยงราวกับเด็กมัธยม ทั้งที่อายุปาเข้าไป 27 แล้ว แต่การดูแลตัวเองดีของสิตางศุ์ ทำให้ใบหน้าเขาแลดูผุดผ่องและเป็นที่สะดุดตากับบุคคลที่พบเห็น ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม
“อะไรของพี่ตะวันเนี่ยฮะ ถามทุกวันน่ะโอ๊ย!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์แล้วถอนหายใจฮึดฮัด
“จะอะไรบ้าอะไรบอล่ะ วันๆเอาแต่เที่ยว เคยบ้างมั้ยที่จะเข้าบริษัทไปดูงานดูงานกับพี่เนี่ยฮะ โตแม่งเป็นวัวเป็นควายอยู่แล้ว” ตะวันสวนกลับอย่างคนอารมณ์เสียไม่แพ้กัน เพราะตั้งแต่วันที่พ่อโบกมือลากับตำแหน่งประธานบริษัทขายรถยนต์ แล้วมานั่งอยู่บ้านเฉยๆตามประสาผู้ชายวัยทอง ตะวันซึ่งเป็นลูกคนแรก ก็เป็นคนรับการบริหารต่อมาจนถึงทุกวันนี้
“เอ้า เดี๋ยวนี่ด่าแม่งเลยหรอ วอนนะพี่ตะวัน” สิตางศุ์ไม่พูดเปล่า แต่กลับรีบกระชากคอเสื้อตะวันลงมา ใกล้ด้วยแววตาแข็งกร้าว มือข้างหนึ่งกำหมัดแน่นเตรียมพร้อมที่จะต่อยหน้าเขาเต็มที่ โดยไม่ได้คำนึงเลยว่าพี่ชายสูงกว่าตนเองเกือบฟุต
“ต่อยสิ ต่อยเล้ย! ถ้าคิดว่าต่อยได้” ตะวันยื่นหน้าแบบท้าทาย และนั่นก็ทำให้สิตางศุ์ซัดหมัดใส่หน้าของพี่ชายเข้าไปเปรี้ยงหนึ่ง จนเขาร้องเสียงหลง
ชายหนุ่มหรี่ตาลงด้วยความเจ็บ เขารู้สึกหน้าชาหูอื้อขึ้นมาชั่วขณะ ก่อนจะได้กลิ่นคาวเลือดที่ไหลออกมาจากริมฝีปากซิบๆ
สิตางศุ์ยังคงจ้องพี่ชายอย่างเคียดแค้น สบตากับคนเป็นพี่ชายอย่างไม่ยอมง่ายๆ
“ทำอะไรกัน!” เสียงทรงอำนาจตะเบ็งออกมาจากปากไกรสร ชายวัยกลางคนร่างท้วม ผู้มีศักดิ์เป็นพ่อและมีอำนาจใหญ่ที่สุดในบ้าน “สันติวงศ์” เขามองสิตางศุ์ด้วยสายตาตำหนิ เมื่อเห็นลูกชายคนเดียวของบ้านนั่งกุมปากที่มีเลือดไหลซิบอยู่
“ทำอะไรของแกจันทร์! วันๆหาเรื่องเที่ยวมั่วยังไม่พอ ยังมาทำตัวเลวๆเถื่อนแบบนี้อีกหรอ!” คำต่อว่าของไกรสรยิ่งทำให้สิตางศุ์ตาลุกโชนด้วยความโกรธจัด เขากำมือแน่นพยายามสงบสติอารมณ์ไว้อย่างยิ่งยวด
“ถ้าพ่อว่าสิตางศุ์เลว พ่อควรจะว่าพ่อเองดีกว่า!” หญิงสาวแผดเสียงใส่แข็งกร้าวพร้อมกับการจ้องตากับคนเป็นพ่ออย่างท้าทาย ทำให้หล่อนโดนตบไปฉาดใหญ่
“เพี้ยะ!”
คนเป็นลูกสาวชะงักค้างท่าเดิม ก่อนจะค่อยๆหันมามองคนเป็นพ่อด้วยสายตาปวดร้าว สลับกับมองพี่ชายที่ยืนนิ่งอย่างคนแค้นจัด ก่อนเดินฉับๆออกไปจากบ้าน
รถสปอร์ตสีขาวเปิดหลังคาราคาประมาณ 3 ล้านเศษ ถูกเหยียบคันเร่งจนมิด ความเร็วพุ่งพรวดแบบทะยานสู่ฟ้าราวกับจรวด สาวร่างสูงปล่อยน้ำตาอาบแก้มอย่างคนน้อยใจโชคชะตา มือข้างหนึ่งปาดน้ำตาซ้ำแล้วซ้ำเล่า พยายามปลอบใจตนเองให้เป็นคนเข้มแข็งให้ได้
สิตางศุ์มีพี่น้อง 3 คน หล่อนเป็นคนกลาง อายุห่างจากพี่ชาย 3 ปีและมีน้องสาวอีกหนึ่งคนชื่อนภางค์อายุห่างจากหล่อนประมาณ 4 ปี...
ตลอดระยะเวลา 27 ปีที่ผ่านมาหล่อนต้องเจอกับความเจ็บปวด ไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย เพราะสิตางศุ์เป็นคนเกิดมาแล้วคนส่วนใหญ่มักจะมองว่าเป็นตัวซวยของบ้าน
จากเสียงลือของญาติพี่น้อง ได้พูดกันมาอย่างหนาหูว่าเมื่อหล่อนอายุได้ 5 ปีเศษ ก็ทำให้ที่บ้านมียอดขายรถยนต์ที่ตกฮวบจนแทบจะกัดก้อนเกลือกิน พ่อกับแม่เริ่มทะเลาะกันบ่อยครั้ง จนท้ายที่สุดแม่ของหล่อนก็ทิ้งน้องสาวคนเล็กวัยเพียงขวบเศษให้กับไกรสรแล้วไม่กลับมาอีก ทิ้งให้หนุ่มหน้าคม บ้าอำนาจ ที่มีศักดิ์เป็นพ่อ ควบคุมดูแลลูกสามคนเพียงผู้เดียว
พอโตขึ้นมาหน่อย สิตางศุ์มักเป็นเด็กหัวช้า ผลการเรียนไม่ดีเหมือนพี่ชายและน้องสาว เขาจึงถูกบังคับเคี่ยวเข็ญมากกว่าใคร ทั้งยังโดนหวดไม้เรียวสารพัด ยามเขามีพ่อสอนทำการบ้านแล้วตอบผิด
สาวผิวขาวจึงเติมโตมาโดยไม่มั่นใจที่จะทำงานเกี่ยวกับหลักฐานการเงิน หรืออะไรที่เกี่ยวข้องกับพ่อเลยสักครั้ง ในทางกลับกัน การที่หล่อนสนใจร้องเพลง เล่นดนตรี กลายเป็นว่าสิตางศุ์ยิ่งถูกมองว่าเป็นลูกนอกคอกมากยิ่งขึ้น
หล่อนนิ่งงันไปเหมือนคนไม่ต้องการรับรู้ความเคลื่อนไหวใดในบ้าน เมื่อรู้สึกตัวอีกที่สาวร่างสูงก็ขับรถมาจอดที่โรงเรียนเด็กประถมแห่งหนึ่งเสียแล้ว...
“พี่จันทร์!” สาวน้อยหน้าหวานที่ชื่อนภางค์เดินมาตะโกนเรียกพลางเขย่าตัวพี่สาวให้ได้สติ ทำให้คนที่เหม่อเมื่อครู่สะดุ้งเฮือกอย่างตกใจ แล้วปรับสีหน้ายิ้มบางๆให้
“เป็นอะไร เหม่ออีกแล้วนะพี่จันทร์” นภางค์เอ่ยถามน้ำเสียงเรียบ พลางส่งน้ำแดงเย็นๆให้พี่สาว
“เฮ้อ! วันนี้เลิกสอนเด็กๆแล้วหรอฟ้า” สิตางศุ์ถามพลางดูดน้ำในแก้วไปสองอึกใหญ่ๆ
“วันนี้เลิกเร็ว พวก ผอ.โรงเรียนอื่นเขาจะมาประชุมกันน่ะ” สาวหน้าหวานตอบพลางส่งยิ้มกว้างอย่างสดใส
สิตางศุ์มองน้องสาวยิ้มๆ “ที่จริงบ้านเราก็มีเงินตั้งเยอะ ไม่เห็นจะต้องมาเป็นครูเลย เหนื่อยเปล่าๆ”
สาวร่างสูงมองร่างเล็กของนภางค์ แล้วพินิจยิ้มๆอย่างเอ็นดู...เธอเหมือนแม่...ทั้งใบหน้าเค้าโครง...เหมือนจนเขาคิดถึงเหลือเกิน...
“ช่างปะไรพี่ ฟ้าชอบเด็กๆ สงสารแก แล้วฟ้าก็รักงานนี้ด้วย” หญิงสาวระบายยิ้ม
“ทำได้ก็ทำไป พี่ดีใจแทนฟ้าด้วย ที่ทำอะไรแล้วคนยอมรับ...ไม่เหมือนพี่” สิตางศุ์พูดในขณะที่เริ่มเคลื่อนรถออก ใบหน้าของเขาปรากฏความเศร้าขึ้นมาโดยฉับพลัน
“ไม่เอาน่าพี่สิตางศุ์ ฟ้าหวังว่าวันนึง พ่อคงเข้าใจแหละ พี่ต้องเป็นนักดนตรีให้ได้ สู้ๆ!” นภางค์บีบมือพี่สาวเบาๆอย่างให้กำลังใจ
“ไม่มีทางหรอกฟ้า ทุกวันนี้เขายังเกลียดพี่เข้าไส้เลย”
ว่าแล้วสิตางคุ์ก็ถอนหายใจยาวออกมาอีกครั้ง เหมือนกับต้องการระบายความทุกข์ ความขมขื่นที่อัดแน่นอยู่ในเบื้องลึกของหัวใจออกมาให้หมด จนคนเป็นน้องสาวอดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองอยู่ห่างๆ
“ว่าแต่เราเถอะ ไม่เกลียดพี่รึไง ที่พี่เป็นแบบนี้” สิตางค์หันมาถามน้องสาวอย่างไม่เต็มตาเท่าไหร่ เพราะใจหนึ่งก็หวั่นว่าน้องสาวที่เขารักมากที่สุดภายในบ้าน จะรู้สึกแย่และไม่ลงรอยเหมือนพี่ชายและคนเป็นพ่อ
“โอ๊ย สมัยนี้มันเปิดกว้างแล้วพี่จันทร์ อีกอย่างนะ เวลาพี่มารับฟ้า เพื่อนๆพี่ๆก็กรี๊ดกันเป็นแถวบอกพี่สาวเท่อย่างนั้นอย่างนี้ น่าดีใจออก” นภางค์พูดแล้วหัวเราะร่วนอย่างชอบใจ ทำให้สิตางศุ์ยิ้มออกมาตามน้องสาว
“อย่าทำเป็นพูดเล่นไป หลอกให้ดีใจเล่นไม่ดีนะเรา”
“ไม่ได้พูดเล่น ฟ้าไม่เคยโกหกพี่นะ โดยเฉพาะพี่สาวเท่ๆแบบเนี้ย” นภางค์ยิ้มให้อย่างสดใส ทำให้คนเป็นพี่สาวรู้สึกใจพองๆขึ้นมาอย่างภูมิใจ
“ขอบใจนะ มีแต่ฟ้าคนเดียวแหละที่ยังอยู่เป็นน้องสาวที่น่ารักข้างพี่เสมอ” สิตางศุ์หันมามองน้องสาวด้วยสายตาชื่นชม ริมฝีปากบางของเขาแย้มนิดๆชวนให้นภางค์โล่งใจไปด้วย
“ก็ฟ้าเป็นน้องนี่คะ พี่ก็ต้องรักน้อง น้องก็รักพี่ อบอุ่นดีออก”
“จ้าๆๆ แม่ตัวดี แต่พี่คนนี้หวงน้องสาวน่ารักแบบนี้ที่สุดเชียวล่ะ อย่าไปยิ้มให้ใครบ่อยๆล่ะ” สิตางศุ์เอื้อมมือไปโยกศีรษะน้องสาวด้วยความเอ็นดู แล้วทั้งสองก็หัวเราะร่วนออกมาอย่างมีความสุข
ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เต็มไปด้วยแสงสีบรรยากาศไฟสลัวๆสาดลงมาน้อยๆ ท่ามกลางเสียงเพลงของนักร้องสาวที่กำลังร้องเพลงคลาสสิคยุค 60 คลอเบาๆ ทำให้ไกรสรชายร่างท้วม ผู้ซึ่งมีฐานะดีเยี่ยมจนสามารถใส่สร้อยทองสามบาทดูอร่ามแวววาวอยู่บนคอได้อย่างไม่อายใคร เขากระดิกนิ้วฮัมเพลงตามอย่างอารมณ์ดี
“คุณไกรสรคะ ดิฉันพาหนูอนุชมาให้รู้จักค่ะ” หญิงสาวคนหนึ่งที่เป็นผู้จัดการร้านอาหาร พาเด็กสาวอายุไม่น่าจะเกิน 30 เข้ามาไหว้ทักทายหนุ่มวัยทอง
ไกรสรหันไปรับไว้อนุชแล้วยิ้มกริ่มอย่างเอ็นดู พลางพินิจสาวหน้าหวานที่รูปร่างสูงเพรียว เอวบางอรชร ใบหน้าดูจิ้มลิ้มเหมือนตุ๊กตาแย้มได้ แม้เธอจะแต่งหน้าจัด หากแต่แสงไฟสลัวที่ส่องกระทบลงบนผิวหน้าก็ทำให้เขาเห็นใบหน้าเนียนสะอาดภายใต้เครื่องสำอางนั้นได้อย่างชัดเจน
“หนูร้องเพลง Love me Tender เพราะมากเลยรู้มั้ย ฉันยังไม่เคยเห็นใครที่ร้องเสียงกังวานได้เพราะแบบนี้ แถมเป็นผู้หญิงอีกต่างหาก” ไกรสรเอ่ยชมนัยน์ตาพราวระยับ
“ขอบพระคุณมากค่ะที่ชม...” อนุชไหว้ไกรสรอย่างนอบน้อมอีกครั้งจน ไกรสรถึงกับรีบคว้ามือเรียวของเธอไว้แล้วแย้มยิ้มให้อย่างกะลิ้มกะเหลี่ย
“ไม่ต้องไหว้หรอกจ้ะ ฉันอยากให้หนูไป...ทำงานที่บ้านฉัน ดูแลจัดการอะไรภายในบ้าน ฉัน...ห่างจากภรรยามาเป็น 10 ปี อยากให้คนที่ดูอ่อนหวาน นิ่มนวลอย่างหนูอนุช มาช่วยแบ่งเบาภาระ....จะสนใจมั้ย ถ้าฉันมีเงินจ้างเธอให้มากกว่าที่นี่” ไกรสรพูดพลางส่งสายตาเจ้าชู้ให้สาวสวยอย่างอนุชเริ่มมีอาการกระอักกระอ่วนขึ้นมา เพราะยังมีผู้จัดการเป็นสาวใหญ่อีกคนที่ยืนอยู่ข้างกาย
“ไม่ดีมั้งคะ เอ่อนุช...” อนุชปลดมือออกจากไกรสรอย่างสุภาพ แล้วก้มหน้างุดด้วยความกระดาก
“โธ่หนู เฮ้อคุณผู้จัดการช่วยผมหน่อยสิครับ” ไกรสรหันไปหาตัวช่วยพลางส่งสายตาเรียกความเห็นใจ
สาวใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างอนุชถึงกับหน้าเสียไปนิด ก่อนที่จะขยับมากระซิบใกล้ใบหูของเธอ
“นุช รับปากเขาเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่มีใครมากล้าปฏิเสธคนอย่าง ไกรสร สันติวงศ์ คนนี้ได้ เขารวยยิ่งกว่าอะไรดี อย่าทำให้ฉันต้องขายหน้าได้มั้ย” ผู้จัดการตะเบ็งเสียงหลบอย่างตำหนิ แต่นั่นกลับทำให้อนุชเกิดอาการหูผึ่ง ช็อคไปกับนามสกุลแสนคุ้นเคยทันที
....ไกรสร สันติวงศ์....!!!!
ภาพของสาวร่างสูง ผิวขาว ผมเซตตั้ง แลดูมีเสน่ห์ลอยเข้ามาสมองอย่างแจ่มชัดทันที ก่อนเธอจะครางออกมาอย่างไม่น่าเชื่อ...
แล้วถ้าอย่างนั้น ......สิตางศุ์ ก็....!!!
หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอเมื่อพอจับทางได้ถึงอะไรบางอย่าง แล้วแสร้งปั้นหน้ายิ้มสวยให้ไกรสรทันที
“แหม เอ่อดิฉันไม่ทราบว่าคุณคือ คุณไกรสร สันติวงศ์น่ะค่ะ กราบขอโทษด้วยนะคะ” อนุชไม่พูดเปล่า แต่รีบโผเข้าไปกราบซบแผ่นอกของชายร่างท้วมอย่างออดอ้อน เพียงแค่นี้ก็ทำให้ไกรสรใจอ่อนยวบ และลูบหัวกลมของหญิงสาวปลอบอย่างเอ็นดู
“ไม่เป็นไรหรอกหนู แล้วตกลงว่าสนใจไปอยู่บ้านฉันมั้ยล่ะ?”
คืนราตรีมืดสนิท สิตางศุ์ยืนทอดมองแสงนีออนกระทบผิวน้ำอย่างเงียบๆที่สะพานแห่งหนึ่ง พร้อมกับสายลมพัดผ่านลำตัวของเขาเบาๆ ขณะที่อีกฝั่งของถนนยังคงมีรถสัญจรผ่านไปมาอย่างไม่ขาดสาย
สาวผิวขาวหลับตาลงเบาๆ ด้วยหัวใจที่รู้สึกสั่นอย่างประหลาด ยามนึกถึงอดีตคนรักเช่นอนุชโผล่เข้ามาในสมอง ใจของเขาก็เต้นโครมครามราวกับหญิงสาวคนนั้นกำลังยืนอยู่ใกล้ๆ...
ดั่งสะพานเป็นความทรงจำแห่งรักระหว่างเขากับเธอ...ที่ไม่เคยเลือนหาย
เมื่อ 5 ปีก่อน...ขณะที่ทั้งเขาและเธอเป็นนักศึกษาปีสาม เรียนในมหาวิทยาลัยด้านการดนตรีและขับร้องมาด้วยกัน วันนั้นเป็นวันวาเลนไทน์ และเขาก็ตั้งใจพาเธอซึ่งเป็นเด็กต่างจังหวัด ตะลอนทั่วใจกลางกรุงเทพ ทั้งวัดวาอาราม พิพิธภัณฑ์ต่างๆ จนมาหยุดที่สะพานข้ามแม่น้ำในกรุงเทพแห่งนี้...
“สิตางศุ์ สะพานในกรุงเทพนี่กลางคืนสวยเนอะ...”
สาวใบหน้าเรียวรูปไข่ กล่าวพลางมองด้วยสายตาพราวระยับเมื่อยืนเกาะสะพาน ริมฝีปากอิ่มของเธอคลี่แย้มจนเห็นฟันขาวเรียงสวยอย่างเป็นระเบียบ
มีเพียงเขาที่ทอดสายตามองใบหน้าสวยของอนุชอย่างเพลินตา สายตาอ่อนโยนปรากฏในหัวใจเปี่ยมไปด้วยรัก ยามที่เขาเห็นเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่ง มีรอยยิ้มอย่างเป็นสุขเมื่อมาเปิดหูเปิดตาในกรุงเทพ...
...ไปนึกถึงทำไมวะ ผู้หญิงสองใจแบบนั้น แถมยังหายไปซะเฉยๆ....โว่ย!!!...สิตางศุ์สลัดความคิดออกจากหัวทันทีเมื่อรู้สึกตัวจากรอยปวดร้าวที่ฝังลึกจบยากจะลบเลือน แววตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธขึ้ง เมื่อนึกถึงเวลาเรียนปี 4 แล้วเธอก็หายไปพร้อมกับชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่ง
เวลานั้นสร้างความรู้สึกสับสนให้กับสิตางศุ์เป็นอย่างมาก เพราะเขาเริ่มเห็นอนุชตีตัวออกห่างไปเรื่อยๆ หนำซ้ำยังแอบพบปะพูดคุยกับชายที่ชื่ออานนท์อย่างผิดสังเกต ทั้งที่เขาพยายามเรียกร้องให้เธอกลับมา แต่อนุชกลับเริ่มเฉยชาหลังจากที่อานนท์เข้ามาทำความรู้จักเธอ
“นังผู้หญิงร่าน มั่วไปทั่ว! ฉันจะมาคิดถึงเธอทำไมให้เสียเวลา!!!” สิตางศุ์กัดฟันกรอดอย่างเคียดแค้น
รุ่งสาง สิตางศุ์เดินลงมาจากบันไดบ้านด้วยความสดชื่น เขาสวมเสื้อยืดแขนสั้นตัวโคร่งกับกางเกงพอดีเข่า เขาฮัมเพลงเบาๆมาหยิบนมจืดขวดลิตรในตู้เย็นแล้วกระดกขึ้นดื่มไปจนมีคราบขาวขึ้นที่ริมฝีปาก สิตางศุ์ยิ้มนิดๆพลางคว้าขนมปังฟาร์มเฮาส์สองแผ่นมาจิ้มนมข้นเคี้ยวตุ้ยๆอย่างอารมณ์ดี
...วันนี้แสนสุข ไม่มีพ่ออยู่ให้หัวเสีย...ไม่มีพี่บ่นให้รกหู...เฮ้อ!! สบายเสียจริงเลยสิตางศุ์...สาวร่างโปร่งเดินไปนั่งลงบนโซฟานุ่มพลางกดเปิดทีวีดูคอนเสิร์ตเพลินๆ
“พี่สิตางศุ์ อารมณ์ดีเนอะวันนี้” นภางค์เดินเข้ามาทรุดนั่งข้างๆพี่สาวแล้วคว้าขนมปังในจานแย่งไปชิ้นหนึ่ง เคี้ยวตุ้ยๆอย่างเอร็ดอร่อย
“เอ้า วันนี้ฟ้าไม่ไปสอนหรอ” สิตางศุ์ถามหน้ามึน ทำให้คนฟังหัวเราะพรืดออกมาทันที
“วันนี้มันเป็นวันเสาร์พี่สิตางศุ์ เด็กมาเรียนกันที่ไหนเล่า”
“เออว่ะจริง” สิตางศุ์พูดพลางหัวเราะร่วนออกมาบ้าง
“พี่สิตางศุ์ ฟ้าได้ข่าวว่าพ่อจะหาคนเข้ามาดูแลบ้าน พี่รู้ข่าวรึยัง?” นภางค์ทำหน้าเครียดขึ้นมาทันที หากแต่คนฟังกลับยักไหล่เหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายนัก
“เห็นเปลี่ยนเวียนคนใช้ รดน้ำต้นไม้ แม่บ้านไปทั่ว ทำอะไรก็ตามใจเถอะ” สิตางศุ์พูดพลางยกแก้วน้ำเปล่าดื่มล้างปากหลังจากดื่มนมไปแล้วขวดใหญ่
“แต่คราวนี้ ผู้หญิงเขาจะเป็นแม่ใหม่ของเรานะพี่สิตางศุ์”
พรวด!!
น้ำที่อมอยู่ในปากของสิตางศุ์เมื่อครู่ หกเลอะเต็มเสื้อจนคนเป็นน้องต้องรีบหากระดาษทิชชู่มาซับให้วุ่น
แต่สิตางค์ขบกรามแน่นทันทีเมื่อนึกถึงคนเป็นพ่อ สีหน้าอารมณ์ดีเบิกบานในยามเช้าเปลี่ยนเป็นหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างไม่ชอบใจ
“พ่อคิดอะไรของเขา ปกติไม่เห็นจะมีเรื่องผู้หญิงมาเกี่ยวนี่ คว้าใครมาแทนที่แม่วะเนี่ย!” สิตางศุ์เกาศีรษะตนเองอย่างไม่สบอารมณ์ ความรู้สึกอยากพูดคุยกับไกรสรเริ่มปรี่ขึ้นมาจุกอก
อายุก็ปาไป 60 กว่าอยู่แล้ว หาเรื่อง... สิตางศุ์บ่นพึมพำแล้วจ้องหน้านภางค์อย่างหาคำตอบ
หากแต่น้องสาวกลับจ้องกลับมาด้วยแววตาใสซื่อเท่านั้น
“พี่สิตางศุ์ ถ้าเรามีแม่ใหม่เข้ามาจริงๆ เขาจะเป็นคนดีมั้ยอ่ะพี่” นภางค์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงวิตกขึ้นมา ทำให้สิตางศุ์ทำได้เพียงส่ายหน้าช้าๆ เพราะเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้หญิงที่พ่อคว้ามา...เป็นใคร?
อานนท์ ชายหนุ่มผิวขาว ร่างสูงหุ่นดี ทำอาชีพเป็นนายแบบแฟชั่น กำลังผิวปากดูหนังสือพิมพ์ในบ้านอย่างสบายอารมณ์ ทันใดนั้นสาวร่างสูง ผิวสีน้ำผึ้งก็เดินฉับๆตรงมาที่หน้าของชายหนุ่ม
“พี่นนท์ นุชจะไม่อยู่บ้านหลังนี้แล้วนะ”
อานนท์ถึงกับลดหนังสือพิมพ์ลงทันที พร้อมกับใบหน้าที่ขมวดคิ้วขุ่น
“เอ้า ทำไมล่ะ อยู่บ้านดีๆ มีอะไรพี่ก็ซื้อให้ ก็โอแคแล้วนี่นุช จะไปไหนน่ะ” เขาลุกขึ้นเต็มร่างสูง ถามคนที่มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องอย่างสงสัย
ในเมื่อเขายังรับงานถ่ายแบบในวงการบันเทิงบ้าง...แม้มันจะไม่มาก แต่ก็ได้เงินมากพอที่จะมาแบ่งเป็นค่าขนม หรือค่าใช้จ่ายอื่นๆได้ทั้งอนุช และลูกสาวตัวเล็กอย่างสบายๆ...
อนุชนิ่งไปหลายนาที จริงอยู่ที่อานนท์เป็นพี่ชายแสนดี คอยปกป้องเธอหลังจากพ่อกับแม่ที่อาศัยอยู่ต่างจังหวัดเสียไปตั้งแต่เธอเรียนอยู่ ม.6 อานนท์เป็นลูกชายป้าถนอม พี่สาวพ่อของเธอ ผิวพรรณชายหนุ่มที่แลดูขาวเกลี้ยงสะอาดตาซึ่งได้เชื้อจีนจากแม่นั้น ทำให้ความคล้ายคลึงระหว่างเธอกับเขาห่างกันลิบลับ เพราะอนุชจะมีหน้าตาสวยคมแบบไทยเสียมากกว่า อีกทั้งเป็นลูกโทนที่คลานตามกันมาด้วยกัน ทำให้มีความสนิทสนมมากเป็นพิเศษ จนหลายๆคนที่เห็นเข้าใจผิดว่าเขากับเธอเป็นแฟนกันเสียด้วยซ้ำ
“นุชจะไปเคลียร์เรื่องจันทร์”
คำตอบของเธอทำให้อานนท์หัวเราะในลำคอเบาๆ “เมื่อ 2 ปีที่แล้วไปหาแล้ว ถูกด่าว่าเป็นเปรตอยู่ในสนามให้อับอายขนาดนั้น ยังจะกล้าโผล่ไปอีกหรือนุช”
“ก็เขายังเข้าใจผิดอยู่นี่นา แต่คราวนี้นุชจะพยายามบอกเหตุผลที่หายไป...จะใจเย็นพูดคุยกับจันทร์ดีๆแล้วล่ะ” อนุชพูดออกมาเสียงอ่อน เพราะยังจำเหตุการณ์เมื่อสองปีที่แล้วได้ดี เมื่อตนเองเจอสิตางศุ์โดยบังเอิญที่สวนสาธารณะ เธอกำลังจะเข้าไปกอดเขาด้วยความคิดถึงอยู่แท้ๆ แต่เขากลับแขวะจนเรื่องใหญ่เป็นฟืนเป็นไฟไปเสียได้
“คนอย่างมัน เคยฟังอะไรซะที่ไหน ตอนที่นุชโดนผลักล้ม พี่แทบอยากจะต่อยหน้ามันจริงๆ ถ้าไม่ติดว่าจริงๆมันเป็นผู้หญิง คงโดนสักเปรี้ยงไปแล้ว” อานนท์กำหมัดแน่นด้วยแววตาแข็งกร้าวขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่เอาน่าพี่นนท์ เรื่องมันผ่านไปแล้ว พี่นั่นแหละทำให้เขาเข้าใจผิดว่าเราเป็นแฟนกัน”
“เอ้า ก็ตอนนั้นเราไม่สบายจะให้พี่นิ่งนอนใจได้ยังไง แต่ไอ้บ้านั่นมันเข้าใจผิดไปเองต่างหาก...” เขาแย้ง
“พี่นนท์นี่น้า แสนดีแต่กับนุช แต่สาวๆนี่ไม่เห็นจริงจังสักคน” อนุชพูดพลางเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าลากจนเต็มก่อนจะรูดซิปปิดแล้วยิ้มให้พี่ชาย
“พี่ยังไม่เจอคนที่โอเคๆนี่นา...” ชายหนุ่มพูดแล้วยิ้มแต้จนตาหยี
“ไม่หยุดมากกว่าล่ะสิ ระวังตัวนะพี่นนท์สักวันพี่จะปวดหัว”
ขาดคำ อนุชก็หิ้วกระเป๋าทำท่าจะเดินออกไปจากบ้าน ทำให้อานนท์ถึงกับรีบลุกพรวดมาดึงแขนไว้ก่อน
“จะไปจริงๆหรอ ให้พี่ไปส่งมั้ย?”
“ไม่ต้องหรอกพี่นนท์ เดี๋ยวคุณไกรสรจะมารับตรงปากทางน่ะ” อนุชปฏิเสธแล้วยิ้มตอบ
“มารับเลยเหรอ ไปอยู่บ้านเขา เราเป็นผู้หญิง ก็ระวังเนื้อระวังตัวไว้บ้างนะ มีอะไรก็ติดต่อพี่แล้วกัน” อานนท์พูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงแล้วเข้ากอดน้องสาวอย่างให้กำลังใจ
“ไปแล้วพี่นนท์ บายค่ะ” อนุชโบกมือลาเพียงเล็กน้อยแล้วเดินจากไป
บรรยากาศบนโต๊ะกินข้าวเต็มไปด้วยอาหารหลายอย่างเรียงไว้เกลื่อนตา ชวนน่ารับประทาน สิตางศุ์เดินมาหยุดที่โต๊ะทานข้าว พลางเดินไปจิ้มฝอยทองที่เป็นขนมหวานตักเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยอย่างอารมณ์ดี
“หืม ป้าพิศ อร่อยอ่ะ!!” สาวร่างสูงพูดเสียงใส แววตาส่งมาเป็นประกายบ่งบอกให้รู้ว่าอร่อยจริงๆ จนหญิงวัยกลางคนที่เป็นแม่บ้านรีบดึงส้อมจิ้มขนมออกจากมือของสิตางศุ์แล้วตีไปทีหนึ่ง
“โอ๊ย! ตีทำไมเนี่ยป้า” เขาบ่นอุบอิบราวกับเด็กตัวเล็กๆ แล้วถูมือไปมาอย่างเจ็บๆ
“ก็กับข้าวพวกเนี้ย คุณท่านสั่งให้เตรียมรับคนสำคัญที่จะมาอยู่บ้านเราไงคะ กินก่อนได้ยังไง” ป้าพิศชี้หน้ากล่าวโทษสิตางศุ์อย่างดุๆ ทำให้สาวร่างสูงคิ้วขมวดทันที
“ใครกันป้า ทำไมดูจัดอลังการอย่างกับจะมีใครเสด็จมาที่บ้าน”
ป้าพิศหัวเราะในลำคอเบาๆ พลางขยับแว่นสายตาที่ร่วงลงมาถึงปลายจมูกขึ้นไปเล็กน้อย
“เดี๋ยวคุณหนูก็รู้เองล่ะค่ะ”
ป้าพิศหันหลังไปง่วนจัดของอื่นๆต่อทำให้สิตางศุ์เริ่มมีอารมณ์เดือดขึ้นมาทันที
“ป้า ที่ป้าพูดอยู่คือคนที่พ่อจะเอามาทำเมียใช่ปะ?”
คำถามของสิตางศุ์ที่ดูตรงๆแรงๆ ทำให้สาวแก่อย่างป้าพิศถึงกับสะดุ้งเฮือก “คุณหนูอย่าพูดไปแบบนั้นสิคะ”
มือสากเรียวรีบทำท่าจะปิดปากสวยของสิตางศุ์ทันที หากแต่เขากลับเบี่ยงตัวหลบแล้วจ้องใบหน้าป้าพิศเขม็งเสียก่อน
“ใช่มั้ยล่ะป้า ตอบสิ!” สิตางศุ์เริ่มเสียงดังใส่ป้าพิศ ให้คนที่อยู่ตรงหน้ารีบลดสายตาลงต่ำมองพื้นด้วยความขลาดกลัวทันที
“ใช่! พ่อจะมีเมียแล้วทำไม?” ไกรสรก้าวเท้าเข้ามาในบ้านอย่างมั่นคง ทำให้ป้าพิศ สาวสูงวัยร่างท้วมถึงกับกลัวหัวหด รีบขอตัวออกไปข้างนอก ปล่อยให้สิตางศุ์เผชิญหน้ากับไกรสรเพียงลำพัง
“พ่อ....” สิตางศุ์ครางออกมาอย่างตกใจ และยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเขามองเลยบ่าของไกรสรก็เห็นผู้หญิงร่างสูงใบหน้าคุ้นเคยยืนอยู่ด้านหลัง
....อนุช!!...
เขาตาเบิกโพลงด้วยความตกใจทันทีเมื่อเห็นอนุชก้าวเข้ามาในบ้านให้เห็นเต็มตา เธอยิ้มหวานให้กับสิตางศุ์อย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ทว่าคนที่ได้รับรอยยิ้มกลับนิ่งไปชั่วขณะ ใบหน้าซีดเผือดราวกับคนเห็นผี
แต่คนที่ยังไม่รู้เรื่องราวใดเช่นไกรสร ยังคงพูดกับอนุชด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“นี่ลูกสาวของฉัน...ถึงมันจะไม่ค่อยจะสาวเท่าไหร่ก็เถอะ ...สิตางศุ์ ไหว้คุณอนุชซะ” ไกรสรหันมาสั่งลูกสาวให้ทำความเคารพเธอในฐานะที่จะเป็นแม่ใหม่ในบ้านหลังนี้....
สิตางศุ์ยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน แล้วสาวเท้ามาใกล้อนุช พร้อมกับแก้วน้ำที่ถือไว้ด้านหลังตั้งแต่แรก พออนุชหันมามองเขา มือที่ถือน้ำก็สาดเข้าใบหน้าสวยอย่างจัง
ทั้งเธอและไกรสรตกใจอึ้งไปชั่วขณะ โดยที่สิตางศุ์ยังคงยิ้มอย่างผู้มีชัย เมื่อเห็นสภาพของหญิงสาวเปียกไปด้วยน้ำสาดจนชุ่มฉ่ำ เขาค่อยๆก้มลงกระซิบข้างหูของเธอเบาๆอย่างดูถูก
“อย่าร่านให้มันมากนักนะ”
คำพูดนิ่งๆ แฝงเจือด้วยน้ำเสียงเย็นชา ทำให้คนฟังถึงกับปวดแปลบในใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก อนุชหันมาสบตากับสิตางศุ์ด้วยแววตาผิดหวัง หลังจากนั้นสาวเท่ก็เดินจากไป...
+ -
-+
+
+ |
-
ความคิดเห็น