คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ๑.หนาว...หัวใจ
-+
+ |
ณ สะพานข้ามแม่น้ำแห่งหนึ่งย่านกรุงเทพ ดวงอาทิตย์ค่อยๆคล้อยลับขอบฟ้าจนลับตา มีความมืดสนิทเข้ามาแทนที่และความเบาบางของหมอกน้ำค้างค่อยๆก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ เสียงรถจำนวนมากแล่นเต็มบนท้องถนนทำลายบรรยากาศความเงียบสงัดคืนราตรี หญิงสาวคนหนึ่งเดินเรื่อยมาตามทางเดินของสะพาน สายลมพัดแรงมาเป็นระยะๆ เธอคนนั้นกอดอกด้วยความเหน็บหนาว หากพินิจดูแล้วร่างบางของเธอสั่นเทาน้อยๆตามแรงสะอื้นไห้นัยน์ตาของเธอแดงก่ำ พวงแก้มทั้งสองเต็มไปด้วยคราบน้ำตา
“มินตรา” ดาราสาววัย 28 ปี ผมยาวสลวยสีน้ำตาลอ่อน เธอเดินลากขาไปเรื่อยตามทางดั่งคนไร้จุดหมาย แสงไฟสลัวสีส้มริมถนนสาดส่องลงมาเผยให้เห็นใบหน้าเนียนสวยแต่เปื้อนไปด้วยความโศกเศร้ายิ่งนัก ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนดูหวานราวกับตุ๊กตาแต่ในเวลานี้เต็มไปด้วยความเจ็บช้ำที่ซ่อนอยู่ในแววตาอย่างขมขื่น
เธอหยุดตรงกลางสะพานนั้น ทอดสายตามองแม่น้ำยามราตรีอย่างคนไร้สติและคำพูดใดจะเอื้อนเอ่ย
มือทั้งสองข้างกำราวสะพานแล้วร่ำไห้จนตัวสั่นเทาตามแรงสะอื้นอีกครั้ง เมื่อภาพความทรงจำระหว่างเธอกับชายคนรัก ทั้งสองคบหาดูใจมานานเกือบ 2 ปี แต่เขากลับทิ้งรอยแผลให้เธอเจ็บปวด...ยิ่งคิดก็ยิ่งบอบช้ำหัวใจเหลือเกิน...
เมื่อ 2 วันก่อน...มินตราเดินเข้าบ้านพร้อมกับมือทั้งสองข้าที่ถือของอย่างพะรุงพะรัง ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้มเมื่อมองของที่ซื้อติดไม้ติดมือมาจากอเมริกา หวังจะมาเซอร์ไพรส์ “พีรเพชร” แฟนหนุ่มรูปหล่อเขาเป็นดาราเช่นเดียวกับเธอเพียงแต่ทั้งสองคนไม่ได้เจอหน้ากันหลังจากที่มินตราตัดสินใจเรียนต่อปริญญาเอกที่อเมริกาทำให้ความใกล้ชิดกลายเป็นความห่างเหินยามที่ห่างไกลกัน...
เธอจำได้ว่าความรู้สึกอารมณ์ดีที่อยู่ในใจของเธอเพื่อหวังจะพบหน้าชายหนุ่มให้หายคิดถึงได้หายไปหมดสิ้นหลังจากเธอเปิดประตูห้องนอนของชายหนุ่มแล้วเห็นว่าเขานอนหัวเราะระริกบนที่นอนในสภาพที่เปลือยกายใต้ผ้าห่มกับผู้หญิงแปลกหน้าซึ่งกำลังนอนกอดเขาอย่างแนบแน่นเช่นกัน เวลานั้นเธอตกใจและไม่คาดคิดมาก่อนจึงวิ่งหนีออกมาเพราะทนดูกับสิ่งที่ตนเองเห็นไม่ได้
มินตรานึกถึงคำสัญญาต่างๆที่ชายหนุ่มมอบให้กับเธอครั้งหนึ่งว่าจะขอแต่งงาน
...นี่หรือคนที่เคยพร่ำบอกรักเธอทุกๆวัน...นี่หรือคนที่เธออยากฝากชีวิตไว้
มินตราถามย้ำกับตัวเองอย่างคนผิดหวังแต่ก็เหมือนเข็มเป็นพันๆเล่มตอกเข้าไปในหัวใจของเธอให้เจ็บปวดเหลือเกิน สายตาเธอพร่ามัวด้วยน้ำตาเอ่อขึ้นมาบดบังภาพมองเห็นของเธอชั่วขณะ แล้วไหลลงเป็นสายเปรอะแก้มเนียนใสครั้งแล้วครั้งเล่าจวนขาดใจ เปลือกตาบวมแดงก่ำจากการร้องไห้จัดของเธอ ทำให้เธอรู้สึกเหมือนหัวใจหมดแรงไม่อยากจะอยู่โลกนี้อีกต่อไปแล้ว...
ตรงข้ามกับสะพานข้ามแม่น้ำอีกฝั่งหนึ่งมีหญิงสาวคนหนึ่งผิวน้ำผึ้ง นัยน์ตาคมโต สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนยืนคุยโทรศัพท์ด้วยอารมณ์โมโหอย่างสุดขีด
“นี่พูดกันไม่รู้เรื่องเลยนะ ก็ฉันบอกแล้ว ว่าจะแก้แม่งก็แก้กันไปเลย ฉันนักเขียนไม่ใช่เป็นผู้กำกับ ฉันเป็นแค่ นัก-เขียน” หล่อนเค้นเสียงใส่อย่างโมโห
ณัฎฐ์ สาวผิวน้ำผึ้ง ตาคมสวย จมูกโด่ง ริมฝีปากหยักเข้ารูป หล่อนเดินเรื่อยตามสะพาน มีลมพัดแรงติดถี่กันจนชายเสื้อของหล่อนสะบัดปลิวไปด้านหลัง เผยให้เห็นเสื้อกล้ามสีเทาตัวเล็กๆและกล้ามเนื้อแข็งแรง
แสงไฟนีออนสาดส่องลงมากระทบผิวและร่างของหล่อนทำให้เห็น ความสง่าในท่ายืนยิ่งนัก...
ณัฏฐ์รับงานนักเขียนอิสระ หล่อนมักจะใช้เวลาว่างเข้าฟิตเนสและว่ายน้ำอยู่เสมอจนร่างกายของแลดูโปร่งและมีผิวสุขภาพดี ปกติหล่อนเป็นคนอ่อนโยนและค่อนข้างจะมีเหตุผลแต่ตอนนี้ณัฏฐ์กลับอยู่ในอารมณ์ที่กำลังโกรธจัดจนเลือดขึ้นหน้า สาวตาคมเม้มปากสนิทจนแลเห็นลักยิ้มสวยที่แก้มข้างซ้ายขึ้นมาอย่างเด่นชัด ทั้งยังข่มอารมณ์โทสะสุดอย่างขีดเมื่อได้ยินทีมงานผู้กำกับกองละครหน้าใหม่พยายามต่อรองในโทรศัพท์ให้หล่อนเป็นคนแก้บทละครให้แน่นขึ้น แต่นั่นกลับทำให้ณัฎฐ์เกิดอารมณ์ปี๊ดแตกขึ้นมาอย่างเหลืออด
“นี่พวกคุณ อย่ามาปัญญาอ่อนกันหน่อยได้ไหม บทก็บทของฉัน แล้วใครคิด ฉันเป็นคนคิด มันคือบทของฉัน แล้วจะให้เจ้าของบทมาแก้ให้พวกคุณ ประสาทรึเปล่าวะ มันคนละด้านกัน คุณจะให้ใครพูดอะไรก็แทรกก็ทำเองสิ...เวลาอย่างจะแก้เนี่ย เคยถามกันสักคำไหมว่าคนที่เขียนอยากให้แก้รึเปล่า มาถึงก็สั่งๆๆ เป็นคนเขียนนะไม่ใช่ทาส”
หล่อนตัดสายทิ้งแล้วกัดฟันกรอดจนเส้นเลือดตรงขมับด้านขวาปูดนูนชัดขึ้น สายตาแข็งกร้าว สาวตาคม
ขยี้ศีรษะอย่างคนหัวเสียจนผมที่ซอยยาวปรกถึงไหล่แลดูยุ่งเหยิง
...ก็หล่อนอุตส่าห์คิด ทุกอย่าง ทุกตอน...แต่เหมือนงานที่ทำถูกโขลกสับในกองละครใหม่ราวกับไม่ใช่เจ้าของงานเสียอย่างนั้น...
“เซ็งเว่ย!” สาวตาคมทั้งตบและเตะราวสะพานอย่างหงุดหงิด หล่อนหันหน้ากลับมาที่สะพานอีกฝั่งหนึ่ง พลันสายตามองฝั่งตรงข้ามไปก็พบหญิงคนหนึ่ง หันหลังให้หล่อนและอยู่ในสภาพห้อยขาลงจากราวสะพานเตรียมพร้อมจะโดดลงจากที่สูง
“เฮ้ย!?” ณัฏฐ์ร้องอย่างตกใจ รีบวิ่งข้ามถนนจะเข้าไปช่วย
มินตราหลับตาปี๋กลั้นใจยันกายจากราวสะพานและค่อยๆปล่อยมือทั้งสองออก ร่างของเธอเป็นอิสระ
สู่เบื้องล่าง แต่มือข้อมือของเธอกลับถูกพันธนาการด้วยแรงของคนด้านบน สาวตาคมจ้องลงมาที่คนเบื้องล่างแล้วกัดฟันกรอดตามการออกแรงดึงสุดฤทธิ์ไม่ให้เธอร่วงลงไป
“ปล่อยฉัน!” มินตราตกใจ เมื่อเห็นว่าคนด้านบนยื้อแรงอยู่
ณัฏฐ์เริ่มหอบ หัวใจของหล่อนเต้นดังโครมครามจนเกือบจะหลุดออกมากองตรงหน้าเพราะนึกเสียวที่คนเบื้องล่างจะตกลงไป เหงื่อเริ่มผุดเม็ดตามใบหน้าแล้วไหลโทรมกายอย่างรวดเร็วด้วยความตื่นตระหนก
“ชะ...ช่วยด้วย! มีคนตกสะพาน!” ณัฏฐ์ตะโกนให้คนช่วยเหลือ
“คุณปล่อยฉัน!” มินตรายังคงดื้อดึงทั้งที่ร่างของตนเองแกว่งลอยไปมาในอากาศ มีเพียงมือข้างเดียวของสาวผิวน้ำผึ้งด้านบนที่ยื้อไว้เท่านั้น
ณัฏฐ์ขยับตัวเข้าไปใกล้ซี่ตารางของสะพานเพราะอยากมองใบหน้าผู้หญิงเสียงเล็กแหลมให้ชัดขึ้นในความมืด
“คุณมินตรา!”
ณัฏฐ์เอ่ยชื่อนักแสดงสาวออกมาอย่างตกใจ ส่วนมินตรากลับทำหน้าเก้อ
“คุณจับไว้แน่นๆเลยนะ ห้ามมากรีดร้องวี้ดว้าย เริ่มเหนื่อยแล้วนะคุณ คุณลองมองดูข้างล่างนั่นสิ
น่าโดดน้ำตายมากเลยรึไง” ณัฏฐ์ตะโกนขู่ลงไป
มินตราก้มลงมองตามอย่างหล่อนว่า แล้วก็รีบคว้าแขนของณัฏฐ์แน่น สีหน้าเริ่มหวาดวิตกขึ้นมาเสียดื้อๆ
“คะ...คุณ คุณอย่าปล่อยมือฉันนะ” มินตราพยายามดึงแขนของณัฏฐ์จนเป็นรอยแดงปื้นไปทั่ว เหงื่อบนฝ่ามือของเธอเริ่มชื้นขึ้นประกอบกับฝ่ามือของณัฏฐ์ก็เริ่มลื่นด้วยความชื้นของเหงื่อไม่แพ้กัน
“บ้าเอ้ย สติเพิ่งกลับรึไง ฉันก็จะไม่ไหวอยู่แล้ว” ณัฏฐ์เริ่มหายใจหอบเหนื่อยแต่ตนเองก็พยายามยื้อไว้สุดกำลัง
“ช่วยด้วยมีคนตกสะพาน!” ณัฏฐ์รวบรวมกำลังสุดท้ายตะโกนสุดเสียง แม้รู้ว่าหนทางจะริบหรี่เต็มที เพราะบนสะพานที่มองเห็นมีเพียงรถสัญจรผ่านไปมาเพียงเท่านั้น
“ชะ...ช่วยด้วย!!” หล่อนตะเบ็งเสียงสั่นจนเริ่มกลัวสลับกันหันมองคนที่อยู่เบื้องล่าง
“คุณมินตรา ฉันจะไม่ไหวแล้วนะ...” ณัฏฐ์พูดกับเธอเสียงเบาราวกระซิบ แต่มินตราไม่ได้ยินว่าณัฏฐ์
พูดอะไร เธอสังเกตเขาจากสีหน้า เมื่อแหงนมองเห็นว่าเขากำลังหลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน
“อย่า!!! อย่าหลับนะ!”
ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่งณัฏฐ์ค่อยๆลืมตาตื่นด้วยความมึนงง หล่อนหรี่ตาปรับรับกับแสงที่ส่องมาจากหน้าต่างเพียงครู่หนึ่ง ภาพที่เลือนลางจากการมองเห็นค่อยๆปรับเป็นภาพที่ชัดเจนขึ้น และทันทีที่เห็นพยาบาลสาวเต็มตาทั้งสองคู่ ณัฏฐ์ก็สะดุ้งดีดตัวขึ้นมานั่ง มืออีกข้างหนึ่งพยายามแกะสายน้ำเกลือที่ติดอยู่กับตัวเองออก
“อ๊ะ...ไม่ได้นะคะคุณ คุณต้องนอนพักก่อนนะคะ” พยาบาลสาวรีบปรี่เข้ามาและขึงตัวให้ณัฏฐ์นอนลง
“ปล่อย ฉันจะไปหามินตรา” ณัฏฐ์ยังคงดิ้น สะบัดตัวให้ออกจากแรงยื้อของพยาบาลสาว
“คุณ
สาวตาคมสงบลงทันที ตรงข้ามกับพยาบาลที่ทำท่าปาดเหงื่อเล็กน้อยเมื่อต้านแรงกับคนป่วยที่อยู่ตรงหน้าเมื่อครู่ซึ่งดูแรงเยอะเหลือเกิน
“แต่ฉันจะไปดูให้เห็นกับตา” ณัฏฐ์จะขยับตัวอีก แต่พยาบาลก็ห้ามด้วยสายตาบังคับให้นอนลง
พยาบาลสาวส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ เอื้อมมือเปิดม่านเตียงด้านข้างของณัฏฐ์ออก ทำให้สาวตาคมมองเห็นมินตรายังคงนอนหลับสนิทอยู่ที่เตียงข้างๆ
คนร่างโปร่งอมยิ้มด้วยความโล่งอกแต่ก็ไม่วายทำหน้าสงสัยกับพยาบาล
“คือมีคนช่วยพวกคุณสองคนไว้แล้วนำมาส่งโรงพยาบาลน่ะค่ะ” พยาบาลสาวบอก
“ใคร?” ณัฏฐ์ถามด้วยความแปลกใจ
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ เขาไม่ได้บอกชื่อไว้” พยาบาลพูดแล้วเดินออกไป ณัฏฐ์ลูบคางคิดสงสัยแต่สุดท้ายแล้วหล่อนก็ทิ้งตัวลงนอนหันหน้ามองไปทางมินตรา...
เวลาผ่านไป มินตราเริ่มรู้สึกตัว เธอไอเสียงดังจนณัฏฐ์ลืมตาตื่นขึ้น และค่อยๆยันตัวลุกขึ้นเดินประคองสายน้ำเกลือข้างตัวไปจับต้นแขนของนักแสดงหน้าหวานใกล้ๆ
“ตื่นแล้วหรือ? หิวน้ำไหม?” ณัฏฐ์เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
มินตราพยักหน้าซ่อนแววตาปวดร้าวจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา เธอดื่มน้ำไปจนหมดแก้ว
ณัฏฐ์ค่อยๆประคองตัวให้เธอนอนลงเช่นเดิม
“ฉันอยากกลับบ้าน...” มินตราพูดขึ้นมาเสียงเรียบ
ณัฏฐ์วางบนโต๊ะด้านข้าง หันมองกลับมาสีหน้าสงสัย
“บ้านอยู่ที่ไหนล่ะ”
มินตราส่ายหน้า น้ำตาเริ่มคลออีกครั้งเมื่อเธอรู้ดีว่าบ้านของเธอเป็นที่ที่พีรเพชรอาศัยกับหญิงสาวอื่นที่ไม่ใช่ตัวเธอเองเสียแล้ว
“บางทีฉันอาจต้องยอมรับความจริง ว่าบ้านหลังนั้น ฉันมันก็แค่ส่วนเกิน” มินตราปาดน้ำตาอย่างขมขื่น...บ้าน สิ่งที่เธอคิดว่าจะอยู่อย่างอบอุ่นกับคนที่เธอรัก แต่วันนี้กลับกลายเป็นสูญ...
ณัฏฐ์คว้าทิชชู่ส่งให้มินตราสีหน้าเศร้า เขาลากเก้าอี้มานั่งข้างๆอย่างเงียบๆ
“คุณจำฉันได้ด้วยหรือ?” มินตราถามณัฏฐ์อย่างแปลกใจ
มินตราเป็นนักแสดงสาวหน้าตาดี แต่เธอก็ถูกเลี้ยงมาแบบเด็กที่พ่อแม่ค่อนข้างประคบประหงม ทำให้บางบุคลิกสาวหน้าหวานคนนี้กลับไม่รู้จักโต และเซ็นซิทีฟต่อความรู้สึกตนเองเป็นอย่างมาก เธอเป็นคนผิวขาว ผมยาวสลวยถึงกลางหลังสีน้ำตาลอ่อน มีรอยยิ้มและดวงตาน่ารัก มีเสน่ห์ และเป็นธรรมชาติ ทำให้เธอถูกทาบทามให้เป็นนางเอกละครอยู่หลายเรื่อง แต่มินตราก็เลือกรับงาน ในระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมาเธอผ่านผลงานละครเพียงเรื่องสี่เท่านั้น ทั้งที่ความสามารถก็ไม่เป็นรองไปกว่านักแสดงคนอื่นๆ แต่เธอก็ให้เหตุผลว่าทำไปเพราะความสนุกและดูแลสุขภาพตนเองไปด้วย ทำให้มินตราเป็นดาราแบบอย่างที่ดีคนหนึ่งที่ไม่หักโหมต่องานและดำเนินชีวิตที่ดีจนกลายเป็นคนมีชื่อเสียง แต่หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ตัดสินใจไปเรียนต่อปริญญาเอกที่อเมริกา
ณัฏฐ์กอดอกยิ้มให้กับมินตราจนแลเห็นลักยิ้มแก้มบุ๋มด้านซ้าย มินตรามองใบหน้าเขาอย่างสะดุดตาชั่วขณะแล้วยิ้มตอบ เมื่อเธอรู้สึกว่ายิ้มของสาวตาคมดูอบอุ่นและเต็มไปด้วยความห่วงใย
“เรียกณัฏฐ์ก็ได้ ไม่ต้องเรียกคุณหรอก” ณัฏฐ์เกาหัวอย่างเก้อเขินรู้สึกไม่ชินในสรรพนามที่เธอเรียก
“โอเค ณัฏฐ์ จำมินได้ด้วยหรอ?” มินตราเรียกชื่อเขาแล้วเรียกชื่อตัวเองอย่างน่ารักจนณัฏฐ์ฉีกยิ้มกว้าง
“เราเคยร่วมงานละครเรื่องแรกด้วยกัน ณัฏฐ์เป็นนักเขียนแล้วมีผู้กำกับเอาเรื่องของณัฏฐ์ไม่ลง
เรื่อง “รักลับสลับร่าง” แต่มินคงไม่รู้”
มินตรายิ้มเก้อๆแววตาจำละครแฟนตาซีเรื่องแรกอย่างชัดเจน แต่แววตาที่ทอดมองณัฏฐ์เป็นท่าทางสื่อให้รู้ว่าเธอจำไม่ได้จริงๆ
ณัฏฐ์หัวเราะกับท่าทางที่ดูเด็กๆเป็นธรรมชาติของเธอแล้วมองเธออีกครั้งด้วยความชื่นชม ไม่ได้ถือโกรธน้อยใจอะไรกับมินตรา
“ก็ทำงานเบื้องหลัง ไม่ได้อยู่หน้ากล้อง... มินคงไม่ได้สังเกต”
“แล้วณัฏฐ์สังเกตหรือ?” มินตราดันตัวขึ้นนั่งหันมามองณัฏฐ์นัยน์ตาแป๋วด้วยความอยากรู้
ณัฏฐ์ชะงักไปนิด ก่อนที่จะพยักหน้ารับยิ้มบางๆแล้วลอบมองสายตาของมินตราชั่วครู่
“ไม่รู้หรอกนะว่าเจออะไรมาบ้าง...แต่ถ้าไม่ไหว ก็ไปพักบ้านณัฏฐ์ก็ได้นะ อยู่คนเดียว...” สาวผิวน้ำผึ้งเงยหน้าสบตามินตราแล้วยิ้มให้
มินตรามองใบหน้าคมสวยของเขาแล้วถามย้ำไม่แน่ใจ “ได้หรือ?”
“หลังเล็กๆ คุณหนูอย่างมินตราจะอยู่ได้หรือเปล่าล่ะ” ณัฏฐ์พูดแล้วทำท่าประกอบขนาดของบ้านชวนให้มินตรายิ้มลบเลือนเรื่องเศร้าๆ
มินตราพยักหน้าตกลงแล้วยิ้มอย่างไม่รังเกียจและยื่นมือไปจับกับณัฏฐ์แสดงความเป็นมิตรภาพ ทำให้สาวห้ามตาคมเกิดอาการเก้อเขินเล็กน้อยแล้วส่งยิ้มให้เธออย่างอบอุ่น
หลายวันผ่านไป มินตราเข้ามาอยู่ในบ้านหลังเล็กกับณัฏฐ์เงียบๆ สายตาของเธอกวาดไปรอบห้องในบ้านที่แม้จะมีพื้นที่น้อย แต่การตกแต่งที่ดูเป็นธรรมชาติและมีลวดลายกราฟฟิค วอลเปเปอร์โทนสีอ่อนแลดูสบายตาทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นจนริมฝีบางบางคลี่ยิ้มออกมา
“นั่งพักก่อนก็ได้ เดี๋ยวณัฏฐ์ไปทำอะไรให้ทาน...” สาวร่างสูงบอกเธอยิ้มๆแล้วเดินผละไป ปล่อยให้มินตรานั่งอยู่บนโซฟาสีน้ำตาลอ่อนนุ่มสบาย เธอมองดูโซฟาโดยรอบ...แม้จะดูเก่าไปบ้างแต่ก็มีความสะอาดตาดี
มินตราหันไปเห็นหนังสือทำมือเล่มหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเล็ก เธอยิ้มขึ้นมามองอย่างสนใจใครรู่
....Cause of cupid.... เธอพึมพำชื่อหนังสือออกมาอย่างแผ่วเบา พลางกรีดหน้าหนังสือตามนิ้วมือไปเรื่อยๆจนถึงครึ่งเล่ม เธอกวาดสายตาอ่านอยู่ชั่วครู่
โบนิซ่าวิ่งพยายามหาคนที่เธอรักเท่าที่กำลังที่มี...
ชายร่างสูงกำลังถือมีดเตรียมจะปักเข้าไปในอก...โดยไม่ได้ยินเสียงเร่งฝีเท้าของการตามหาของโบนิซ่า มือแข็งแรงของเขากำลังง้างปลายมีดแหลมออกจากตัวแล้วเตรียมพร้อมที่จะแทงอก
“อย่า คีย์...อย่าทิ้งฉันไป!..” เสียงร้องของโบนิซ่าที่ตะโกนออกมาทำให้ชายร่างสูงชะงักมือข้างไว้ เฉียดที่หัวใจของเขาอยู่มะรอมมะร่อ...
“กับข้าวเสร็จแล้วจ้ะ!” เสียงณัฏฐ์ตะโกนออกมาจากในครัวพร้อมกับกินผัดผักบุ้งที่ลอยมาแตะจมูกของเธอโดยพลัน มินตราละสายตาออกจากหนังสือทันทีแล้วหันไปทางเสียงคนเรียก ก่อนที่จะย่ำเท้าเดินไปทางห้องครัว
บรรยากาศในห้องครัวมีโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กวางอยู่ เธอมองผัดผักบุ้งกับไข่เจียวและข้าวสวยร้อนๆที่ตักไว้พร้อมกันสองจานบนโต๊ะขนาดย่อม แล้วเงยหน้ามองณัฏฐ์ที่เหงื่อผุดเม็ด พวงแก้มที่เป็นผิวสีน้ำผึ้งมีสีชมพูน้อยๆแทรกขึ้นมาด้วยความร้อน
สาวร่างสูงทรุดตัวลงนั่งกับพื้นที่จานของตนเองตามความเคยชิน แล้วมองมินตราที่ยืนอยู่เผยให้เห็นร่างสูงเพียวอรชน แววตาของเธอมองมาประหนึ่งคนกำลังสงสัยและทำตัวไม่ถูก
“นั่งๆ...”
มินตราทรุดตัวนั่งกับพื้นที่โต๊ะญี่ปุ่นอย่างเก้ๆกังๆเล็กน้อย เพราะปกติเธอจะชินกับการนั่งกับโต๊ะและมีเก้าอี้พร้อมเสียมากกว่า
“เป็นอะไร ไม่ชินหรือ?” ณัฏฐ์ดูอากัปกริยาของเธอแล้วเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
สาวหน้าหวานพยักหน้าช้าๆ ทำให้ณัฏฐ์หน้าเจื่อนไป
“นี่ณัฏฐ์ทำให้มินลำบากรึเปล่าเนี่ย...”
“ไม่ๆ อย่าคิดมากสิ...” มินตรารีบปฏิเสธเมื่อเห็นว่าณัฏฐ์ทำหน้าเศร้า
“ทุกอย่างมันต้องมีการปรับตัวไม่ใช่หรือ เดี๋ยวมินก็ชิน ดีกว่าอยู่คนเดียว ถ้าเผลอคิดทำอะไรบ้าๆคงยุ่ง” มินตราเปรยออกมาแล้วส่งยิ้มให้ทำให้สาวตาคมคลายกังวลไป
หลายวันผ่านไป การใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังเล็กๆของณัฏฐ์กับมินตราเริ่มก่อตัวสนิทสนมเป็นมิตรภาพ วันหนึ่ง สาวตาคมจึงชวนมินตราไปตลาดสด คนร่างสูงไม่ลืมหยิบแว่นกันแดด กับหมวกของตนเองที่ดูแสนจะทะมัดทะแมงให้กับมินตราใส่เผื่อพรางสายตาผู้คน ทำให้ทั้งสองเดินตลาดด้วยกันโดยไม่มีโดนเป็นเป้าสายตาต่อผู้อื่นรอบนอก
“วันนี้จะกินอะไร?” ณัฏฐ์ถามยิ้มๆ เมื่อเห็นมินตราเดินหันซ้ายแลขวา ไม่ชินกับบรรยากาศตลาดสด แล้วเธอก็หันมาทำแก้มป่องๆ ส่ายหัวดิกดูน่ารักเพราะไม่รู้จะกินอะไรดี
“ปกติซื้อของกินแต่ในห้าง...เลยไม่รู้จะเอาอะไร”
ณัฏฐ์อมยิ้มขำ “เอาอย่างนี้ดีกว่า ไม่กินอะไรบ้าง”
“ไม่กินเนื้อ และก็ไม่กินอะไรที่มันไม่สุก”
“อาฮะ” ณัฏฐ์พยักหน้ารับ เดินนำมินตราไปตรงล็อคขายผักแทน
“ถ้าอย่างนั้น วันนี้ณัฏฐ์จะทำต้มจืด กับผัดเผ็ดหมูป่าแล้วกัน...” สาวหน้าคมหันมาขยิบตาให้จนมินตราฉีกยิ้มด้วยความชอบใจ
“แล้วผักนี่ จะแน่ใจได้ไงว่ามันสะอาด... ถ้าซื้อในโลตัสนะ มันจะมีมาตรฐานบอกเลยว่า มาตรฐานปลอดสารพิษ” มินตราแย้งสาวร่างสูงเมื่อเห็นว่าหล่อนกำลังเลือกผักที่วางอยู่บนชั้นขาย มีแม่ค้าคอยใช้ไม้ปักแมลงวันอยู่ไม่ห่าง
“นี่ไง ดูอย่างนี้ เวลาเราเลือกผักมีสองวิธีคือ พวกผักที่เป็นก้านยาวๆ เช่นผกกระเฉด ผักบุ้ง ให้ลองดมดู” ณัฏฐ์เลือกผักขึ้นมาดมแล้วหน้าแหย ขณะที่มินตราจ้องหล่อนเขม็งด้วยความฉงนและสนใจ
“เนี่ยอย่างผักนี้ ฉีดยาฆ่าแมลง...ผักมันจะมีกลิ่นตุ่ยๆ”
ณัฏฐ์ยื่นให้มินตราลองดมแต่เธอกลับทำสีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่ได้กลิ่นอะไร ทำให้ณัฏฐ์ละสายตาหันไปมองผักกระเฉดอีกกำที่อยู่ใกล้กันแล้วส่งให้มินตราดม
“ต่างกันไหม?”
มินตรานิ่งตะลึงไปกับความสามารถของณัฏฐ์ก่อนที่จะพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยว่ามันต่างกัน
“แล้วถ้าอย่างอื่นล่ะ...” เธอยังไม่วายถาม
“อย่างอื่นก็ดูว่ามีหนอนไชรึเปล่าไง...” สาวตาคมอมยิ้มตอบ
“แล้วมันเป็นรูเหมือนธูปจี้เลย จะดูออกหรือเผื่อแม่ค้าโกง...” เธอยังคงเอียงคอถามราวกับเด็กตัวเล็กๆ
ณัฏฐ์หัวเราะออกมาอย่างชอบใจในความคิดของสาวหน้าหวาน “ถ้าแม่ค้าเขาทำได้ คงหมดเวลาขาดผักแล้วล่ะมิน...”
คำตอบของณัฏฐ์ทำให้ทั้งคู่หัวเราะออกมาอีกครั้งอย่างขบขัน
กลับมาบ้านมินตราเดินมาที่โซฟาแล้วก็ล้มตัวนอนอย่างเหนื่อยอ่อน แก้มของเธอแดงชมพูระเรื่อเพราะโดนแดดซึ่งเธอยังไม่ชินกับอากาศที่เมืองไทยเท่าไรนัก ณัฏฐ์อมยิ้มแล้วเดินหอบของเข้าไปทางห้องครัวคนเดียว ปล่อยให้มินตราเหยียดตัวนอนสบายบนโซฟา
มินตราเท้าคางอยู่เซ็งๆ สักพักมีโทรศัพท์ดังขึ้น มินตราหยิบออกมาจากกางเกงขึ้นมาดูเห็นว่าเป็นเบอร์ของพีรเพชร จึงกดสายทิ้ง แต่เขาก็โทรมาใหม่อีกรอบคราวนี้มินตราจึงกดรับเพื่อตัดรำคาญ
“น้องมินคะ ทำไมไม่รับสายพี่ล่ะ นี่อยู่ไหนเอ่ย?” พีรเพชรหยอดคำหวานพูดกับมินตราโดยที่ตัวเองยังไม่รู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ข้างกายของเขามีหญิงสาวอื่นที่นอนเบียดกันอยู่อย่างแนบชิด
“แล้วพี่เพชรอยู่ไหนล่ะคะ” มินตราพูดเสียงเรียบ พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ไว้
“พี่ก็ ...เอ่อ อยู่ที่ทำงานไงคะ เดี๋ยวพี่ก็จะกลับแล้วล่ะ จะให้พี่ไปรับเลยไหม” พีรเพชรแสร้งโกหกหน้าตาย
มินตรารู้สึกเจ็บปวดอีกครั้งเพราะเธอรู้อยู่เต็มอกว่าแฟนหนุ่มของเธอกำลังหลับนอนกับผู้หญิงอื่นและโกหกเธอจนหัวใจขอเธอตอนนี้พังยับเยินไม่เป็นชิ้นดี
“ถ้ามินจะบอกว่าอยู่หน้าประตูบ้านล่ะคะ?”
“โอ๊ะ มิน! ทำไมไปถึงเร็วจังล่ะจ๊ะ ร้อนแย่นะผิวเสียหมด” พีรเพชรผุดลุกพรวดขึ้นมาหน้าตาเลิ่กลั่กราวกับกระตายตื่นตูม เขาควาญหาเสื้อผ้า เข็มขัด กางเกงให้วุ่น
มินตรารู้สึกด้านชาในคำพูดของแฟนหนุ่มขึ้นมาทันที แต่ตนเองไม่รู้จะว่าอย่างไร เธอรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีพูดออกไปน้ำเสียงนิ่ง “เราเลิกกันเถอะพี่เพชร”
พีรเพชรอึ้งไปเหมือนถูกฟ้าฟาดเข้ากลางอก “มิน! อย่ามาเจ้าอารมณ์แบบนี้สิครับ ก็มินไม่บอกพี่ แล้วพี่จะรู้ได้ไงว่าจะไปรับมินกี่โมง” พีรเพชรยังคงหาข้อแก้ตัว สาวที่นอนแนบข้างกายเขายังคงลูบโลมพีรเพชรยิ้มยั่ว จนเขารู้สึกรำคาญและสลัดตัวออกห่างก่อนที่จะรีบคว้าเสื้อเชิ้ตมาสวมใส่
“พี่เพชรก็รู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ พี่นอนกับใคร พี่คิดว่ามินไม่เสียใจหรือคะ” มินตราพูดเสียงสั่น
พีรเพชรสะอึกไป
“พี่นอกใจมิน แล้วจะให้มินเป็นคนโง่โดยที่พี่โกหกมินไปเรื่อยๆอย่างนี้หรือ” มินตราน้ำตาไหลอาบแก้ม เธอพยายามป้ายน้ำตากลั้นไม่ให้มันออกมามากกว่านี้
“คือพี่...” พีรเพชรเกาหัวยุ่ง ตบหน้าผากตัวเองอย่างเครียดๆ
“พี่เพชรไม่ต้องพูดอะไรแล้วล่ะค่ะ พี่ไปตามทางของพี่เถอะ มินไม่รั้งพี่แล้ว” มินตรากดตัดสายทิ้ง ฟุบหน้าลงกับหมอนสะอื้นไห้
ณัฏฐ์ซึ่งกำลังตักต้มจืดจากหม้อให้มินตรากินตอนเย็นนี้ ผัดเผ็ดหมูป่าที่ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว หล่อนหน้านิ่งไปเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นของมินตราดังมาจากอีกห้อง ณัฏฐ์ถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้วเดินไปหามินตราที่ยังคงสะอื้นฟุบหน้ากับหมอนจนร่างกายสั่นเทา
“หมอนเปื้อนหมดแล้ว...” ณัฏฐ์พูดยิ้มๆแล้วทรุดตัวนั่งลงข้างๆ
มินตราเงยหน้ามองณัฏฐ์ จมูกและตาแดงก่ำ เธอโผเข้ากอดณัฏฐ์เหมือนคนขาดที่พึ่งแล้วร้องไห้จนเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวสวยด้านไหล่เต็มไปด้วยน้ำตา สาวหน้าคมลูบหลังปลอบโยนเธอนิ่ง
“พี่เพชรเขามีผู้หญิงอื่นแล้ว เขาไม่ต้องการมินแล้ว...ฮือ” มินตรายังคงร่ำไห้สะอื้นหนักจนหายใจไม่ออกร่างบางสั่นไปตามอารมณ์อ่อนไหว คนร่างโปร่งกอดเธอกระชับแน่นขึ้นเพื่อบรรเทาทุกข์ที่แผดเผาหัวใจจนยากที่จะลบเลือนออก
...พีรเพชร...ผู้ชาย Play boy ลูกชายประธานบริษัทเครื่องประดับส่งออกที่หล่อนเกลียดเขาที่สุดไม่ต่างกับมินตราเช่นกันเพราะเขามีข่าวดังว่อนอินเตอร์เน็ตและหนังสือพิมพ์สารพัดในช่วงที่มินตราไปเรียนต่อถึงพฤติกรรมขลุกกกมั่วสาวน้อย ใหญ่ มากจนนับไม่ถ้วน
มินตราร้องไห้จนแทบจะหมดแรง เธอยังคงซบตรงไหล่กว้างที่แข็งแรงของณัฏฐ์อยู่เช่นเดิม สาวผิวน้ำผึ้งโยกตัวไปมาปลอบเธอให้นิ่งขึ้น มือเรียวยาวของหล่อนค่อยๆผลักมินตราออกจากตัวช้าๆแล้วบรรจงเช็ดน้ำตาให้
“แค่ผู้ชายห่วยๆ มินยังมีเพื่อนร่วมงาน มีณัฏฐ์ มีใครอีกหลายคนที่อาจจะเข้ามาในชีวิตให้เรารู้จัก ค้นหากันต่อไป อย่าเสียเวลาจดจำกับสิ่งไม่ดีอีกเลยมิน” ณัฏฐ์สบตามินตราอย่างจริงจัง
“แต่เขาก็ทำให้มินเจ็บ...” มินตรายังคงปาดน้ำตาอยู่อย่างนั้น
“เวลาจะช่วยทุกอย่างเองจ้ะ” ณัฏฐ์ยิ้มให้แล้วจับแก้มของมินตราเบาๆ เธอช้อนสายตามองณัฏฐ์อย่างหาที่พึ่งให้เธอยึดเหนี่ยวจิตใจ จนสาวตาคมก็รู้สึกหวั่นไหวกับมินตราอย่างบอกไม่ถูก
“เอ่อ...กินข้าวกันดีกว่า” ณัฏฐ์ตัดบทยิ้มๆ แล้วลุกนำมินตราไปที่โต๊ะอาหารเล็กๆที่ตั้งกับข้าวไว้พร้อมอยู่แล้ว
มินตราเดินตามหลังณัฏฐ์มาแล้วนั่งลงที่โต๊ะอาหารญี่ปุ่นอีกตามเคย เธอตักข้าวเคี้ยวอย่างเอื้องๆ ณัฏฐ์เงยหน้ามองสีหน้าลุ้น
“กินได้ไหม?” เขาถาม
มินตราพยักหน้าหงึกหงักแต่ยังคงนั่งเคี้ยวข้าวด้วยอาการห่อเหี่ยว
“ไม่อร่อยหรือ?” ณัฏฐ์ถามหน้าเสีย
“อร่อย...” มินตราตอบสีหน้าเรียบเฉยจนณัฏฐ์แห้วหนักลงไปกว่าเดิม
“อร่อยจริงๆ มินพูดจริงแต่ตอนนี้มินรู้สึกแย่อยู่” มินตราย้ำ
ณัฏฐ์นั่งนิ่ง ไม่รบกวนการรับประทานอาหารของมินตราจนเธอจับสังเกตได้ว่าณัฏฐ์มีท่าทางหงอยไป สาวหน้าหวานจึงกินข้าวที่หล่อนตักให้จนหมดชามทำให้คนร่างสูงแอบอมยิ้มออกมาอย่างพอใจ
รุ่งเช้าณัฏฐ์แต่งตัวออกไปทำงานแต่เช้า หล่อนทำกับข้าวเก็บไว้ในตู้แล้วเดินไปเปิดประตูห้องนอนก็เห็นว่ามินตรายังคงหลับสนิท จึงเขียนโน้ตสั้นๆแปะไว้ที่หน้ากระจกเครื่องแป้ง
ตะวันเริ่มส่องแสงสาดแรงจากหน้าต่างเข้ามาที่ห้องนอนของมินตรา เธอหยีตาด้วยความงัวเงีย แล้วปิดปากหาว สาวหน้าหวานนั่งนิ่งบนที่นอนสักพักแล้วบิดเอี้ยวตัวไปมายิ้มให้กับตัวเองในเช้าวันใหม่
...วันนี้วันใหม่ต้องเข้มแข็ง... เริ่มต้นใหม่กับแสงแดดกรุ่นยามเช้า...
มินตราอมยิ้มแล้วเดินมาตรงหน้าต่างซึ่งเปิดรับสายลมอ่อนๆพัดเข้ามาในห้อง เธอเห็นนกกางเขนคู่หนึ่งเกาะอยู่ที่ต้นมะม่วงต้นใหญ่ในบ้านของณัฏฐ์ มินตรามอบยิ้มสวยๆให้มันก่อนที่จะสูดอากาศสดชื่นเข้าไปเต็มปอด
สาวร่างบางระหงทำกิจธุระจนเสร็จเรียบร้อยและมานั่งแต่งตัวบนโต๊ะเครื่องแป้ง หวีผมด้วยแปรงผมยาวช้าๆไปจนถึงกลางหลัง สาวหน้าหวานเหลือบมองหาเครื่องแต่งหน้าอื่นๆบนโต๊ะกระจกแต่ก็ต้องมีสีหน้าแปลกใจเพราะบนโต๊ะเครื่องแป้งของณัฏฐ์มีเพียง ลิปมันกับแป้งฝุ่นเท่านั้น มินตราส่ายหน้าอย่างผิดหวังแล้วเดินไปเปิดเอาเครื่องสำอางของตนเองมานั่งแต่งหน้าโทนอ่อนอย่างสบายอารมณ์
“กับข้าววางอยู่ในตู้นะจ๊ะ ณัฏฐ์ต้องไปเข้ากองละครก่อน”มินตราอ่านโน้ตที่ติดอยู่บนกระจกแล้วยิ้มๆ เธอเดินออกมาข้างนอกห้องแล้วผละไปที่ห้องครัวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ที่กองถ่ายละครณัฏฐ์เดินเข้ามาประชุมด้วยอารมณ์หงุดหงิดต่อทีมงานละครและนักแสดงที่ยังคงเซ้าซี้เรื่องบทและอยากให้ณัฏฐ์แทรกบทเลิฟซีนเข้าไปให้แน่นขึ้น
“ก็คุณเป็นคนเขียนบท เวลาเปลี่ยนก็ต้องเป็นคุณ
“โฮะ! มันไม่เกี่ยวเลยนะคุณผู้กำกับหน้าใหม่ มันเกี่ยวที่ตัวคุณว่าจะทำรูปแบบไหน งานเขียนกับการแสดงละครไม่เหมือนกันสักนิด” ณัฏฐ์ลุกขึ้นยืนพูดน้ำเสียงแข็งๆ
“ถ้าอย่างนั้น คุณก็เซ็นโอนลิขสิทธ์ให้ผมสิ ผมจะได้ปรับให้เป็นสำนวนผม” ผู้กำกับกองละครยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์แล้วยื่นสัญญามาให้ณัฏฐ์
ณัฏฐ์กำมือแน่นแล้วทุบโต๊ะข้างตัวเสียงดังอย่างเหลืออด
“ปัง!”
“ทุเรศ! นี่ฉันออกมาเป็นนักเขียนอิสระแล้ว ก็ยังหนีไม่พ้นเงื้อมมือหวังผลประโยชน์อย่างคุณใช่ไหม?” ณัฏฐ์ดึงสัญญามาขยำมันทิ้งลงกับพื้นแล้วกระทืบซ้ำ
ผู้กำกับหน้าเหวอ ส่วนนักแสดงหลายคนที่ล้อมวงอยู่สีหน้าเจื่อนไป ปั้นหน้าไม่ถูก
“คุณผู้กำกับ ฉันให้คุณทำสัญญาละคร โดยเอาบทของฉันไป ไม่ใช่เอาบทของฉันไปปั้นใหม่ให้มันเป็นของตัวเอง อย่าคิดว่าเล่นไม้นี้แล้วฉันไม่ทันคุณ ทุเรศว่ะ เป็นถึงผู้กำกับฝีมือแม่งมีฝีมือแค่นี้” ณัฏฐ์มองชายหนุ่มคนนั้นด้วยสายตาดูถูกและหมดความศรัทธา
สาวผิวเข้มหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นผู้กำกับนั่งก้มหน้านิ่งเถียงอะไรไม่ออก ณัฏฐ์จึงหันหน้าไปทางนักแสดง“พวกคุณก็เหมือนกัน พวกนักแสดงหน้าใหม่ ตอนนี้ก็โอ๋ดีอยู่หรอก ไปๆมาๆระวังจะโดนโกง หวังแต่ผลประโยชน์ มิตรภาพไม่มี!”
“ปรับกันไม่ได้ แสดงกันไม่ได้ใช่ไหม? ก็เอามาไม่ต้องเปิดกล้องไปหาของคนอื่นก็แล้วกัน” ณัฏฐ์เดินไปหยิบต้นฉบับที่วางข้างๆกระเป๋าของเธอแล้วเดินออกจากไป
มินตรานั่งเคี้ยวข้าวอยู่คนเดียวเงียบๆ แล้วมองกับข้าวบ้านๆที่ณัฏฐ์ใส่ใจตนเองด้วยความชื่นชม กับข้าวทุกอย่างที่เธอกินจวนจะครบสัปดาห์แล้ว แต่ความคุ้นเคยและความใส่ใจของสาวผิวน้ำผึ้งที่ห่วงใยเธอไม่ขาดทำให้มินตรารู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาดเวลาอยู่ใกล้คนชื่อ ณัฏฐ์คนนี้...
สาวผิวน้ำผึ้ง ร่างสูงโปร่ง ชอบแต่งตัวเสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนดูทะมัดทะแมงเหมือนสาวสปอร์ตคนหนึ่ง เมื่อพิจดูร่างกายของเขาแล้วนับว่าบุคลิกดูดีมีเสน่ห์มากทีเดียว ผิดก็ตรงสิ่งที่ณัฏฐ์แสดงออกมาให้เธอเห็นมักจะดูไม่เหมือนผู้หญิงทั่วไป...
สาวหน้าหวานอมยิ้มน้อยๆ อยากจะนึกขอบคุณคนที่เธอนึกถึงอยู่เหลือเกิน...เพราะหากไม่ได้หล่อนช่วยวันนั้น เธอก็คงไม่รู้ว่าชีวิตหลังที่เธอเคยคิดว่าจะฆ่าตัวตาย ยังมีมุมอื่นๆ อะไรอื่นๆให้เธอลิ้มลองไปตามกาลเวลา ที่สำคัญหลังจากได้เจอหล่อน และพูดคุยก็รู้สึกมีกำลังใจพยายามผลักรอยยิ้มของตนเองให้มีอยู่เช่นเดิม
...แค่ผู้ชายห่วยๆ มินยังมีเพื่อนร่วมงาน มีณัฏฐ์ มีใครอีกหลายคนที่อาจจะเข้ามาในชีวิตให้เรารู้จัก ค้นหากันต่อไป อย่าเสียเวลาจดจำกับสิ่งไม่ดีอีกเลยมิน.... คำพูดของสาวตาคม ผิวน้ำผึ้งดังก้องเข้ามาในหัวสมองทำให้มินตราอมยิ้มอีกครั้ง
“แค่ผู้ชายห่วยๆ ลืมมันไปซักที...” มินตราย้ำกับตนเองพยายามเรียกแรงใจและความสดใสของตนเองขึ้นมาใหม่พลางเหลือบมองนาฬิกาบนฝาฝนังเมื่อเห็นว่าบ่ายสองโมงกว่าแล้ว
...ทำอะไรอยู่หนอ ผู้หญิงคนนั้น... มินตรานึกถึงหล่อนอยากเงียบๆ พลันสีหน้าแววตาที่เคยส่งให้เธออย่างเป็นมิตรและคอยอยู่ข้างเธออย่างไม่รังเกียจ ไม่ได้แสดงออกความถือตัวและเป็นตัวของตัวเองที่สอนความแตกต่างของชีวิตให้เธอได้เห็นในมุมที่เปลี่ยนไป ทำให้ธอรู้สึกว่าอยากรู้อะไรอีกหลายๆอย่างผ่านผู้หญิงคนนี้เหลือเกิน...
“ครืด...” เสียงประตูถูกเปิดออก ทำให้มินตรากึ่งเดินกึ่งวิ่งไปทางเสียง ขณะที่ณัฏฐ์กลับบ้านมาในสภาพหัวเสียกับเรื่องที่ตนเองประสบอยู่ คิ้วหนาของหล่อนขมวดชนอยู่อย่างนั้น ประกอบกับอากาศตอนบ่ายที่ร้อนระอุจนทำให้เหงื่อซึมทะลุออกจากเสื้อเชิ้ตของเขาตามแผ่นหลังและแถวปกคอ ยิ่งทำให้สาวผิวน้ำผึ้งหงุดหงิดขึ้นไปอีก
“กลับมาแล้วหรือคะ” มินตราส่งยิ้มหวานทักทายจนณัฏฐ์สะดุดตามองเพลินแล้วยิ้มตอบให้เธอโดยอัตโนมัติ ลืมความหงุดหงิดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไปจนหมดสิ้น
“กับข้าวอร่อยดี มินชอบฝีมือณัฏฐ์จัง...” สาวหน้าหวานเอ่ยชมพลางช่วยถือประเป๋าสะพายข้างให้ คนฟังถึงกับยิ้มหน้าบานอย่างพึงใจ
ณัฏฐ์พินิจวงหน้าเนียนของคนพูด กับเสียงใสๆที่ชวนคุยเรื่องเปื่อยทำให้สาวผิวน้ำผึ้งรู้สึกเย็นใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก หล่อนลอบมองใบหน้าสวยของมินตราที่ฉีกยิ้มกว้างและหัวเราะเสียงใสยามที่พูดคุยกันวันนี้ทำให้หล่อนหายเหนื่อยจากปัญหางานที่ประสบมาโดยปริยาย
....บทจะยิ้ม....ก็ยิ้มเสียน่ารักเชียวมินตรา.... หล่อนมองมินตรานัยน์ตาพราวระยับอย่างชื่นชม ทำให้คนถูกมองมีอาการเก้อเขินกับสายตานิ่งของสาวผิวน้ำผึ้งไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเบือนหน้าหลบไปอีกทางอย่างไม่คิดอะไรทำให้ณัฏฐ์หัวเราะออกมาเบาๆอย่างมีความสุข เมื่อได้เห็นใครอีกคนเข้ามาใช้ชีวิตเป็นเพื่อนให้คลายเหงาและได้เห็นนิสัยของมินตราเล็กๆอย่างใกล้ชิดเช่นนี้...
ความคิดเห็น