คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter1:สับสน
Chapter1 : สับสน
Alone
ผมลืมตาขึ้นมาอย่างอ่อนล้า รู้สึกระบมไปทั้งตัว และปวดหัวอย่างรุนแรง ผมค่อยๆ ปรับโฟกัสสายตามองเพดานห้องตัวเอง แสงแดดยามเช้าที่ส่องเข้ามาเป็นสิ่งยืนยันว่าผมยังมีชีวิตอยู่
อ่า...ไม่มีแรงแม้แต่กระดิกนิ้วเลย..
แกร๊ก!
ประตูถูกเปิดออก ผมไม่ได้หันไปมองว่าใคร
“ขออนุญาตค่ะ” เธอพูดแล้วเดินเข้ามา เธอมองผมด้วยสายตาสงสารแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
“คุณท่านสั่งให้ดิฉันเอามาให้ค่ะ พร้อมกำชับว่าให้กินให้หมดด้วยค่ะ” เธอพูดพร้อมถือถาดวางไว้บนโต๊ะที่ผมไว้ทำงาน ผมไม่ได้ตอบอะไรเธอไป แต่สงสายตาบอกว่า ผมเข้าใจแล้ว
“คุณโลนต้องการสิ่งใดเพิ่มไหมคะ?” เธอเดินมาถามผมข้างเตียง ผมพยายามเค้นเสียงออกมา
“ผะ..ผมขอเหมือนเดิมครับ” ผมเอ่ยเสียงแหบ จนเธอคงทนไม่ไหวเดินไปหยิบแก้วน้ำใส่หลอดแล้วเอามาจ่อตรงปากผม
“ดื่มน้ำหน่อยเถอะค่ะ”
“ขอบคุณครับ” ผมเอ่ยแล้วจิบน้ำไปเล็กน้อย เสร็จแล้วเธอก็เอาไปวางไว้ที่เดิม
แล้วเธอก็เดินออกไป
..มันมักจะเป็นอย่างนี้ทุกๆครั้ง เมื่อผมทำอะไรให้คุณเกรนไม่พอใจ ผมมักถูกลงโทษ น้อยสุดก็แค่ขั้นไม่มีแรง หนักสุดก็หมดสติไปเลย อย่างครั้งนี้ และหลังจากนั้นผมก็จะตื่นขึ้นมาในห้องตัวเอง พร้อม แม่บ้านคนเดิมที่จะเอาข้าวเข้ามาในห้องผม และพูดประโยคเดิมซ้ำๆ ‘คุณท่านสั่งให้เอาข้าวมาให้ค่ะ และกำชับว่าให้กินให้หมด’ แล้วไอ้คนไม่ได้เรื่องอย่างผมจะทำอะไรได้ล่ะครับ ก็ต้องกินไปไง
ผมคิดว่าเขาเกลียดผม และคงเกลียดมากๆ นั่นแหละ คงเพราะ ผมไม่ใช่ลูกของเขาล่ะมั้ง..
แล้ว..ทำไมเขาไม่ปล่อยให้ผมไปล่ะ? ทำไมล่ะ?
ผมจมอยู่กับความคิดไม่นานเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมเธอคนเดิม เธอนำกะละมังเล็กๆ พร้อมผ้าสีขาว และกล่องยาสามัญประจำบ้านมาวางไว้บนโต๊ะหัวเตียง
“คุณอโลนลุกไหวมั้ยคะ?” เธอถามเสียงเบา ด้วยสายตาเป็นห่วง ตามปกติแล้วจะไม่มีใครกล้าช่วยผม เพราะเกรงว่าจะโดนด่าไปด้วย แต่เหมือนครั้งนี้มันจะหนักมากจนเธอต้องเอ่ยถาม ด้วยความ กล้าๆ กลัวๆ
“คิดว่าครับ..ไปเถอะ” ผมบอกแม้ในใจจะแย้งว่า ‘มึงลุกไม่ไหวแล้วเว่ย แค่ขยับแขนมึงยังไม่รอดเลย’ เธอมองผมอีกครั้งก่อนจะขอตัวออกไป ผมเหลือบไปมองนาฬิกาดิจิตอลบนโต๊ะทำงาน
7:28 ผมนี่ช่างตื่นเช้าจริงๆ
สุดท้ายด้วยความกลัวว่าจะสายเลย พยายามขยับแขนที่หนักอึ้งเพื่อยันจัวเองขึ้นนั่งด้วยความยากลำบาก
เจ็บ..
สิ่งแรงที่ผมรู้สึก ตามมาด้วย ปวด... ผมนิ่วหน้า เพราะความเจ็บจี๊ดๆ ที่กลางตัว มันแล่นขึ้นหัวอย่างไวเมื่อผมพยายามนั่ง
ผมนั่งพิงพนักพิงเตียงอยู่สักพัก แค่นั่งแบบนี้ก็ปาไปสิบนาทีแล้ว.. ผมถอนหายใจแล้วหันไปมองกะละมังข้างๆ ดีที่เธอไม่ได้เอาไปวางไกล ผมพยายามเอื้อมมือไปคว้ามาสีขาวมา
..แค่ผ้าก็หนักแล้ว คิดถูกที่ไม่หยิบมาทั้งกะละมัง
สถานการณ์ตอนนี้ไม่มีคำว่าบิดผ้าครับ จับได้ก็ปาดๆ ที่แขนอีกข้าง
เปียก เป็นความรู้สึกที่สี่ ผมมองเสื้อผ้าที่เปียกแฉะเนื่องจากไม่ได้บิดผ้าให้หมาด ก่อนมาเช็ด แล้วก็ปลง ช่างเถอะ อย่างน้อยให้รู้สึกเหมือนอาบน้ำบ้างเหอะ
ผมพยายามคิดบวก..
กว่าจะเช็ดตัวบนเตียงเสร็จก็ปาไปจะแปดโมงครึ่ง นอกจากช้าแล้วยังแฉะ แฉะไปทั้งเตียง ก็คนมันไม่มีแรงแล้ว
ผมหันไปมองอีกหนึ่งภารกิจคือจัดการทำแผล ผมค่อยๆ หยิบกล่องยามา หนักเอาเรื่องเลย เกือบทำหล่นพื้น
ผมเอามันมาวางไว้บนตักแล้วหยิบพลาสเตอร์มาหนึ่งห่อ หนึ่งห่อนี่คือ ห่อรวมๆ นะครับ ไม่ใช่ หนึ่งอัน ผมไล่แปะมันตั้งแต่ แผลที่นิ้วก้อย นาง กลาง ชี้ โป้ง ของทั้งสองข้างต่อมาด้วย ข้อมือ และท่าที่ยากที่สุดคือก้มลงไปติดที่ หัวเข่า และขา พอติดเสร็จทั้งตัวก็เอา เคาท์เตอร์เพน มาทาที่กลางตัว อยากจะทาแม่งทั้งตัวด้วยซ้ำ กลัวเปลือง จริงๆ ก็ไม่รู้มันช่วยให้หายปวดระบมหรือเปล่า แต่อย่างน้อยๆ มันก็ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมานิดนึง
ภารกิจเกือบสุดท้าย คือการเปลี่ยนชุด ผม ตวัดสายตาไปที่ตู้เสื้อผ้า ดีที่ว่ามีคนเอาชุดนักศึกษามาแขวนข้างหน้าตู้ให้แล้ว ดูจากระยะทางแล้ว... ไกลชิบหาย..
ผมหายใจเข้าลึกๆ เรียกพลังตัวเองออกมา แล้วค่อยๆ ขยับตัวเปลี่ยนท่า ค่อยๆ เอาขาหย่อนที่ละข้าง ผมวางมือบนโต๊ะหัวเตียงที่ดูสูงกว่าเตียงนิดหน่อยไว้เพื่อยันตัวเองให้ลุกขึ้นช้าๆ ระบมสุดๆ
กว่าจะทรงตัวได้ เกือบล้มลงไปนอนกับพื้น ผมค่อยๆ ก้าวขาไปข้างหน้า แต่แค่เพียงถ่ายน้ำหนักไปที่ขาข้างเดียวก็ล้มลงไป
“แม่ง!” ผมสบถออกมา เจ็บก็เจ็บอยู่แล้ว ปวดก็ปวดอยู่แล้ว ยังจะล้มให้เจ็บหนักไปกว่าเดิมอีก โว๊ะ ผมแม่งโคตรอ่อนแอ เหมือนร่างกายไปตามสั่ง ภาพข้างหน้าเริ่มพร่ามัว แม่ง อย่าร้องไห้นะเว้ย แค่ล้มเอง ไอ้อโลน อย่าร้องนะ!
ผมพยายามกลั้นไว้ แค่นี้ร่างกายก็ไม่หลงเหลือน้ำไว้หล่อเลี้ยงแล้วนะ!!!
ผมค่อยๆ ยันตัวขึ้นอีกครั้ง โดยใช้เตียงเป็นตัวช่วย โอ๊ยยยย ระบมโว้ยยย
กว่าจะเดินไปถึงตู้เสื้อผ้าก็แทบตายแล้ว ยังต้องเสี่ยงตายด้วยการทำท่ายากๆ อย่างการใส่กางเกงทั้งในและนอก
เหนื่อย! เจ็บ! ปวดเมื่อย! ระบม! กว่าผมจะมานั่งกินข้าวบนโต๊ะได้แทบตาย ตอนนี้ เก้าโมงครึ่งแล้วครับ.. อย่าสายนะเว้ย...
กว่าจะฝืนกินข้าวให้หมดก็ปาไปสิบโมง.. ผมหยิบกระเป๋า ที่เก็บของไว้เรียบร้อยหมดแล้ว แม่ง หนัก! เอาจริงๆ แค่ตอนนี้ตัวเองยังไปไม่รอดเลยต้องแบกกระเป๋าไปอีก
ผมค่อยๆ เดิน อย่างช้าๆ ช้ามากด้วยไปที่ประตู แล้วออกไปข้างนอก บ้านหลังใหญ่ แต่ไร้ความอบอุ่นหังเดิม เพิ่มเติมคือผมที่เดินช้ามากกกกกกกกกกกกกกก ผมค่อยๆ เอาตัวเองและกระเป๋าไปที่บันได และไม่ลืมจับราวบันไดไว้ด้วย แต่เอาจริงๆ ถ้าผมล้มลงไป ก็ไม่มีแรงที่จะยื้อตัวเองไว้หรอก เหอะๆ
อีกนิดเดียวเท่านั้นจะได้ออกจากบ้านแล้ว อีกนิดเดียว แม่งไม่มีที่เกาะเลยวุ้ย
“จะไปไหนห๊ะ!!!” เสียงทุ้มดังขึ้น จนผมตกใจ ล้มลงกับพื้น ผมค่อยๆ หันไปทางต้นเสียงจากข้างหลัง
“ไปมหา’ลัย...ครับ” เสียงผมมีแค่นี้จริงๆ อย่าด่านะ.. คุณเกรน หรือคุณท่านที่คนอื่นเรียกๆ กัน เดินมาที่ผมแล้วคว้าแขนผมให้ลุกขึ้นอย่างเร็ว
ซีดดดดส์
ช้าๆ ยังเจ็บ นับประสาอะไรกับความไวเมื่อกี้ แต่คุณเกรนไม่สนใจผมที่งอตัวลดความปวดของกล้ามเนื้อหน้าท้องอยู่เขา ดึงผมได้ก็ลากเอา ลากเอา ผมก็พยายามก้าวไวๆ ให้ทัน แต่มันก็ไม่ไหว
“เดินชักช้าอยู่นั้นแหละ!!” คุณเกรนกระชากเสียงแล้วช้อนตัวผมขึ้น !!!!!!
“คุณเกรนทำอะไรครับ!”ผมร้อง
“หุบปากไป! แล้วมึงอะนะ แดกข้าวบ้าง ตัวผอมฉิบหาย กูเลี้ยงไม่ดีขนาดนั้นเลยหรอวะ!!!?” คุณเกรนพูดอย่างโมโห แล้วเดินไวๆ ไปที่รถ โอยย มันสะเทือน ผมพยายามกลั้นเสียงไว้ไม่ให้ร้องออกไป แต่ในใจนี่จะร้องไห้แล้วครับ
คุณเกรนยัดผมเข้าที่นั่งข้างคนขับ แล้วอ้อมเดินไปอีกฝั่ง แล้วสตาร์ทรถ ขับออกไปอย่างรวดเร็ว
“เรียนกี่โมง” คำสั้นๆ ห้วนๆ หันมาถาม ผมที่เกร็งทั้งตัวเพื่อลดความระบมจากการที่ถูกยัดมาเมื่อกี้อยู่รีบหันไปตอบ
“บ่ายครับ” คุณเกรนไม่ตอบอะไร พยักหน้ารับรู้แล้ว เหยีบสุดตีนออกจากบ้านไป
คือไม่ต้องรีบก็ได้มั้งครับ.. อีกสองชั่วโมงครึ่ง..
ไม่นานเกินรอ คุณเกรนก็ถอยเข้าซองรถจอดอยู่ข้างคณะผม ผมหันไปขอบคุณเขา แล้วเปิดประตูออก โอเค อโลน ช้าๆ ผมค่อยๆ หย่อนขาลงแล้วค่อยๆ ดันตัวขึ้น สเต็ปเดิมเลยครับ
คุณเกรนถอนหายใจเสียงดังจนผมรู้สึกได้ว่าเขาคงรีบ และรำคาญที่ผม ชักช้าอยู่ได้ กว่าจะลงจากรถกว่าจะก้าวออกเพื่อปิดประตู คุณเกรนลงจากรถแล้วปิดประตูดัง ปัง! แล้วก้าวขาฉับๆ มาที่ผม แล้วช้อนตัวผมเหมือนเดิม .!!!!!!!
แต่!!นี่มันที่สาธารณะ นะครับ!!!
“คุณ-”
“หุบปาก!” ยังไม่ทันพูดจบก็โดนตัดคำทิ้ง ผมได้แต่เม้มปากแน่น และปล่อยให้คุณเกรนอุ้มไป เขาเดินไปยังหน้าคณะ ผมสังเกต เห็นคนมองกันให้ควับ บ้างก็ซุบซิบนินทา ประมาณ ‘หน้าตาก็ดีไม่หน้าเป็นเกย์” การที่เขาอุ้มผมขนาดนี้ทำให้เขาต้องตกเป็นขี้ปากคนขนาดนี้เลยหรอ.. ผมพยายามเก็บคองอเข่า ทำตัวเล็กๆ ไม่ให้คนอื่นเห็น
“เป็นไร! หนาวหรอ?!” เปล่า ผมกำลังฝึกพรางตัว ผมส่ายหน้าช้า
“ปล่อยผมลงตรงนี้เถอะครับ” ผมบอกเมื่อเดินผ่านโต๊ะประจำมาแล้ว คุณเกรนชะงักแล้ว เดินไปที่โต๊ะ แต่ไม่ใช่โต๊ะประจำผมนะครับ แล้วเขาก็ค่อยๆ ปล่อยผมลงตรงหน้าเก้าอี้
“ขอบคุณครับ” ผมก้มหน้างุด พลางขอบคุณเขาไป
ฟุ่บ! เสื้อสูทที่เขาใส่อยู่เมื่อกี้ ถูกโยนใส่หัวผม แล้วเขาก็หันหลังเดินออกไป
ผมมองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินออกไป พร้อมกับความสงสัยในใจเหมือนเคยๆ ว่า
ตกลงเขาเกลียดผมใช่ไหม?
....
---------------------------------------------
อันนี้รีไรท์ นะคะ ไม่ค่อยต่างจากอันแรกเท่าไหร่ แต่มีบางอย่างที่เปลี่ยนไปตามความเหมาะสม ที่ไรท์คิดเอาเอง55555555555
คอมเม้นท์คือกำลังใจที่ดีที่สุดนะคะ
ความคิดเห็น