คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : [os] I do love you -- chanbaek
I do love you
CHANBAEK
การแอบรักนั้นยากแค่ไหน…
ต้องใช้เวลานานรึเปล่า…
แบคฮยอนรักลมร้อนของวันนี้ เพราอย่างน้อยมันก็ไม่ได้ทำให้เขาหดหู่เหมือนฝนที่ตกมาตลอดสามอาทิตย์ที่ผ่านมา ร่างเล็กจ้องมองรองเท้าผ้าใบสีน้ำเงินของตนตรงหน้า ก่อนจะเงยหน้ามายิ้มให้กับเด็กน้อยที่วิ่งเล่นรอบๆชิงช้าที่อยู่ไม่ห่างจากเขา
คนตัวเล็กล้วงเอาอมยิ้มออกมาแล้วแกะลูกน้ำตาลกลมเขาปากเหมือนอย่างเคย ก่อนจะกวาดสายตามองไปยังม้านั่งยาวอีกตัวที่อยู่อีกฟากของสวนสาธารณะ
เวลาแห่งการรอคอยไม่ได้นานเกินไป เมื่อร่างสูงของใครบางคนเดินมาทรุดตัวลงนั่งที่ม้านั่งตรงนั้น พร้อมกับกระดานวาดภาพในมือ
ชานยอลโบกมือทักทายให้เด็กกลุ่มเดียวกันที่เล่นอยู่ตรงชิงช้านั้น ก่อนจะส่งยิ้มกว้างมาให้แบคฮยอนที่ยกหนังสือการ์ตูนมาบังหน้าตนไว้เสียครึ่ง คนตัวเล็กลดระดับหนังสือของตนลงก่อนจะส่งยิ้มบางกลับไปแล้วก้มหน้างุดลงไปเหมือนเดิม
หนึ่งปีแล้ว เป็นเวลาหนึ่งปีเต็มๆที่แบคฮยอนแอบรักชานยอลเพื่อนห้องเรียนข้างๆของตน
ตอนแรกเป็นแค่การแอบมอง หลังๆเริ่มมาเป็นการแอบชอบ จนตอนนี้แบคฮยอนก็ตกหลุมรักชานยอลไปแบบถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว
แบคฮยอนแทบจะไม่เคยคุยกับชานยอล ไม่ว่าที่โรงเรียนหรือเวลาเจอกันที่ไหน การสนทนาที่ยาวที่สุดของเขาทั้งสองคนเท่าที่แบคฮยอนจำได้คือเมื่อตอนที่เขาทั้งสองคนบังเอิญเจอกันระหว่างทางกลับบ้านและชานยอลอวดว่าผลงานศิลปะของตนถูกคัดให้ไปจัดในงานนิทรรศการของหอศิลป์ ซึ่งแน่นอนวันต่อมาแบคฮยอนก็รีบไปซื้อตั๋วเข้าไปดูนิทรรศการตั้งแต่หอศิลป์เปิดทำการ
ส่วนมากที่แบคฮยอนรู้จักชานยอลก็คือการสอบถามผ่านลูกพี่ลูกน้องของตนอย่างเด็กโอเซฮุนนั่นตลอดมา รายนั้นเป็นน้องรหัสของชานยอลที่โรงเรียนเลยมักจะมีเรื่องคนตัวสูงมาให้แบคฮยอนแกล้งถามอยู่เสมอ แต่พอตอนครึ่งปีแห่งการแอบชอบของเขา แบคฮยอนดันมีเรื่องให้จำเป็นต้องสารภาพว่าเขากำลังแอบชอบพี่รหัสของเซฮุนเสียจนได้
แบคฮยอนกำลังบ่นว่าเมื่อยอยู่ในใจเพราะตนนั้นต้องก้มๆเงยๆเพื่อมองคนตัวสูงและมองหน้าหนังสือการ์ตูนไปในเวลาเดียวกัน พอดีกับที่ชานยอลยืดตัวลุกขึ้นแล้วโบกมือลาก่อนที่แบคฮยอนจะก้มลงอ่านการ์ตูนได้ทัน
เห็นแบบนั้นจึงโบกมือกลับไปเบาๆพลางส่งยิ้มให้แล้วเฝ้ามองแผ่นหลังกว้างนั้นห่างออกไปเรื่อยๆ
แบคฮยอนนึกว่ามันจะหาย นึกว่าเขาจะเลิกชอบชานยอลไปเองหลังจากเวลาผ่านไป
จริงๆแล้วมันไม่เคยเป็นไปแบบที่เขาคิดเลย ความรู้สึกที่มันควรจะหายไปกลับมีมากขึ้นทุกวัน
และการตัดใจของเขาล้มเหลวทุกครั้ง…
…เพียงแค่เห็นรอยยิ้มของชานยอล
มันไม่เห็นจะดีต่อคนแอบชอบซักนิด
การต้องรู้สึกอยู่แค่ฝ่ายเดียวหน่ะ…ไม่เห็นจะดีซักนิดเลย
แบคฮยอนนั่งอยู่ตรงโต๊ะติดหน้าต่างของห้องสมุด คนตัวเล็กเฝ้ามองลงไปยังกลุ่มคนตรงม้านั่งที่กำลังนั่งมองหนุ่มป๊อปของโรงเรียนเล่นกีตาร์ให้กับสมาชิกชมรมของตนอยู่
ชานยอลในชุดพละกำลังลงนิ้วบนสายกีตาร์เป็นเพลงเพราะๆร่วมกับเพื่อนในวงดนตรีของชมรมเพื่อเป็นทำนองให้กับนักร้องหน้าตาน่ารักแบบฮานิอยู่
เสียงกรี๊ดดังขึ้นแบบที่แบคฮยอนไม่แปลกใจเมื่อท่อนร้องของเด็กสาวถูกสลับเป็นท่อนแร็ปของชานยอล
ให้ตายเถอะ…
แค่ชานยอลอยู่เฉยๆนั่นก็ทำให้ใจแบคฮยอนเต้นผิดจังหวะได้ง่ายๆอยู่แล้ว แล้วยิ่งมาทำแบบนี้….
นี่มันมากไปแล้ว เขาจะชอบชานยอลมากเกินไปแล้ว
“โดดลงไปเลยไหมหื้ม” น้ำเสียงกวนๆของคิมจงอินเพื่อนสนิทดังขึ้นพร้อมกับเจ้าตัวที่ทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามกับเขา พลางมองลงไปที่ชานยอลข้างล่าง
แบคฮยอนถอนหายใจก่อนจะละสายตาออกมาแล้วมองหน้าเพื่อนสนิทที่อยู่ตรงข้ามตนที่กำลังเอียงคอยิ้มกวนๆให้อยู่
“โดดลงไปคงตายแน่”
“ตายเพราะหัวแตกหรือตายเพราะชานยอลหล่ะ ฮ่ะๆๆ…โอ้ย เอะอะก็ตีเอาตีเอา”
“ก็จงอินกวน” พูดพลางหันกลับไปยังข้างล่างอีกครั้งเพื่อมองชานยอลต่อไปเรื่อยๆ จงอินที่เห็นดังนั้นจึงเอ่ยถามเพื่อนสนิทตรงหน้าเขาที่กำลังซ่อนยิ้มโง่ๆของตนอยู่
มันเป็นคำถามแบบเดิมทุกครั้ง…
…และคำตอบที่แบคฮยอนตอบก็ไม่เคยเปลี่ยนเลย
“ไม่คิดจะบอกออกไปหน่อยหรอ”
“ไม่”
“นี่แบคฮยอน…
…ไม่คิดว่านี่มันไม่ยุติธรรมบ้างหรอ” เสียงทุ้มของจงอินเอ่ยคำถามที่ทำให้แบคฮยอนขมวดคิ้วแล้วหันมาสบตากับเพื่อนสนิทที่อยู่ตรงข้ามอีกครั้ง
“อะไรไม่ยุติธรรม?”
“ความรู้สึกไง…”
“…”
“ไม่รู้สึกว่ามันแย่บ้างหรอที่มีแต่เราเป็นคนรู้สึกอยู่แค่คนเดียว…
…ไม่คิดจะแบ่งความรู้สึกไปให้ใครอีกคนบ้างหรอ? ทำไมไม่คิดว่าเขาต้องรับผิดชอบบ้างหล่ะ?”
ความเงียบของห้องสมุดเป็นสิ่งเดียวที่เสียงดังที่สุดในตอนนี้ แบคฮยอนไม่ได้ตอบอะไรออกไป ส่วนจงอินนั้นแค่ตั้งใจจะโยนคำถามมาให้อีกคนได้คิดเท่านั้น เพื่อนสนิทตัวสูงยังคงนั่งมองเขานิ่งๆด้วยท่าทีสบายๆไม่ได้ทำเหมือนกดดันเร่งรัดเอาคำตอบแต่อย่างใด
ที่จงอินถาม ไม่ใช่ว่าแบคฮยอนไม่เคยคิด
เขาไม่ปฏิเสธว่าส่วนลึกๆในหัวใจจะไม่รู้สึกเหนื่อยกับการที่เขาทำตัวเองเป็นคนแอบชอบอยู่
ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีใครไปสารภาพรักกับชานยอล ตรงกันข้ามเสียอีก คนแทบจะครึ่งโรงเรียนทั้งชายหญิง รุ่นพี่ รุ่นน้อง หรือแม้แต่เพื่อนในชมรมบางคนก็ทำใจกล้าไปบอกชอบชานยอลแล้วทั้งนั้น
บางคนโชคดีก็อาจจะได้ควงกับชานยอลอยู่วันสองวัน แต่สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยสักครั้ง คือการที่ชานยอลมีแฟนเพราะมีคนมาสารภาพรัก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าชานยอลไม่ได้มีชีวิตเพื่อรองรับความรู้สึกของทุกคน
เด็กสาวที่ชานยอลเรียกว่าแฟนนั้น เท่าที่รู้จักเคยมีอยู่แค่คนเดียวนั่นคือมิกิที่อยู่ห้องเดียวกับคนตัวสูง แม้ว่าตอนนี้ทั้งคู่จะไม่ได้เป็นแฟนกันแล้ว แต่ชานยอลก็ยังคอยเทกแคร์อีกคนอยู่ไม่ห่าง แถมแฟนคลับของทั้งคู่กว่าครึ่งโรงเรียนก็เชียร์ให้ทั้งคู่กลับมาคบกัน
การที่จงอินพูดมานั้นก็ถูก มันโคตรจะไม่แฟร์เลยที่เป็นแค่แบคฮยอนรู้สึกและเอาแต่เพ้อถึงชานยอลอยู่แค่ฝ่ายเดียว แอบน้อยใจอยู่คนเดียว แอบมองอยู่คนเดียว แอบรักอยู่คนเดียว ทั้งๆที่เขาสามารถเดินเข้าไปแล้วตะโกนบอกรักใส่หน้าอีกคนหนึ่งได้ แต่แบคฮยอนก็เลือกที่จะไม่ทำ
ไม่ใช่ว่าเขากลัวความผิดหวัง หรือกลัวการถูกปฏิเสธ แต่แบคฮยอนชอบที่จะอยู่กับการแอบรักนี่ต่างหาก
มันก็ไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อย แบคฮยอนไม่ได้แอบรักเพราะอยากให้ชานยอลรักกลับนะ เขาแอบรักเพราะอยากรักชานยอลต่างหาก
“ไม่เห็นเป็นไรเลยจงอิน…
มันไม่ได้สำคัญซักหน่อยว่าเรารู้สึกอยู่แค่คนเดียว…”
“มันอยู่ที่ว่าได้รู้สึกรักแล้วต่างหาก”
ระยะทางระหว่างเรากับคนที่เราแอบรักมักไกลเสมอ
ไม่สิ…มันไม่มีทางด้วยซ้ำ
งานโรงเรียนปีนี้มีการจัดนิทรรศการของแผนกการเรียนสายศิลปะ แน่นอน ชานยอลก็เป็นหนึ่งในนักเรียนที่ส่งผลงานเข้าประกวดมากเป็นพิเศษกว่าคนอื่นและก็ได้รับเลือให้จัดแสดงได้อีกด้วย แถมชานยอลยังร่วมแสดงมินิคอนเสริร์ตของโรงเรียนอีกต่างหาก เพราะเหตุนั้น กล้องถ่ายรูปตัวเก่งของแบคฮยอนจึงถูกอีกคนหยิบออกมาปัดฝุ่น
คนตัวเล็กที่เอากล้องมาลูบๆคลำๆอยู่นานสองนานทอดตัวนอนลงบนโซฟาก่อนจะผุดลุกขึ้นอีกครั้งเมื่อรู้สึกอยากกินคาราเมลลาเต้สักแก้ว
แบคฮยอนเดินออกจากบ้านแล้วหันไปปิดประตูรั้วจนเรียบร้อย ร่างเล็กเดินมาเรื่อยๆเพื่อออกไปยังปากซอย และไม่รู้ว่าจะเรียกว่าโชคดีได้ไหม เมื่อตอนที่แบคฮยอนเลี้ยวออกมาที่หัวมุมถนน ก็บังเอิญพบกับใครบางคนที่เดินไปทางเดียวกับเขาด้วย
“ไงแบคฮยอน แดดร้อนแบบนี้กำลังจะออกไปไหนหรอ?” ชานยอลที่สะพายกีตาร์ไว้บนบ่าในชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขายาวสีเทายิ้มกว้าง ก่อนจะกล่าวทักทายแบคฮยอนที่ยกมือขึ้นเกาท้ายทอยอย่างไม่มีเหตุผล
“อ่า ว่าจะไปซื้อกาแฟหน่ะ แล้วชานยอลหล่ะ กำลังไปไหน”
“เพิ่งกลับมาจากบ้านเพื่อนหน่ะ แต่เปลี่ยนใจไม่เข้าบ้าน เดินย้อนออกมาจะไปซื้อกาแฟเหมือนกัน”
แบคฮยอนไม่รู้ว่าชวนคนตัวสูงที่เดินอยู่ข้างๆคุยอะไรดี ไม่สิ ตอนนี้จะให้แบคฮยอนทำตัวยังไงเขาแทบจะไม่รู้ด้วยซ้ำ
มันมักจะเป็นแบบนี้เสมอไม่ว่าตอนไหนหรือสถานการณ์ใด แบคฮยอนมักจะทำให้ความอึดอัดคลอบคลุมพวกเขาเสมอ แต่ก่อนที่ความคิดของร่างเล็กจะจมกับตัวเองไปมากกว่านี้ สัมผัสเบาๆบนกลุ่มผมของแบคฮยอนก็ทำให้เจ้าตัวหยุดชะงักฝีเท้าจนนิ่งสนิท
เอื้อมมือเล็กจับปีกหมวกแก็ปสีเทาที่อีกคนเพิ่งจะสวมให้เขาด้วยความงุนงง ก่อนใบหน้าหน้ารักจะเงยขึ้นสบตากับชานยอลที่หยุดเดินไปพร้อมเขา ชานยอลที่เหมือนจะรู้ว่าเขากำลังงงสุดขีดยกยิ้มกว้าง ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่แบคฮยอนแสนหลงรัก พร้อมกับก้มตัวมาวางมือใหญ่ไว้บนหัวเขา
“แดดมันร้อนนะ” สิ้นคำพูดของชานยอลแบคฮยอนก็รู้สึกได้เลยว่า แดดที่คนตัวสูงบอกว่าร้อนนั้น…ร้อนไม่เท่าแก้มของเขาตอนนี้หรอก
“แต่…นี่ของชานยอล”
“ฉันไม่ร้อนหรอก แบคฮยอนสิน่าเป็นห่วง ดูสิ หน้าแดงไปหมดแล้ว”
คนตัวเล็ยกมือตะบบแก้มของตนอย่างแรง ก่อนจะหันมาหัวเราะแห้งๆให้กับชานยอลที่อมยิ้มอยู่ ให้ตาย แบคฮยอนต้องตายจริงๆแน่ ถ้าเกิดว่าชานยอลไม่ยอมยื่นหน้ากลับไป
“ขอบคุณมากนะชานยอล ดะ…เดินกันต่อเถอะ มันร้อน ห้ะๆ”
“อื้อ ไปสิ” คนตัวสูงพูดพลางยืดตัวตรงแล้วละมือออกจากศีรษะเล็ก แบคฮยอนสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเป็นฝ่ายเริ่มออกเดินไปเป็นคนแรก โดยชานยอลก็ก้าวตามมาข้างๆ
แบคฮยอนไม่อยากยอมรับเลย ว่าถึงแม้จะต้องอยู่กลางแดด เขาก็ยังอยากจะหยุดเวลาเมื่อกี้ไว้อยู่ดีถ้าทำได้
เด็กหนุ่มสองคนใช้เวลาไม่นานก็เดินมาถึงร้านกาแฟเล็กๆหน้าหมู่บ้าน แบคฮยอนเดินไปบอกพนักงานว่าขอคาราเมลลาเต้อย่างที่ตนอยากกินตั้งแต่อยู่บ้าน ส่วนชานยอลนั้นสั่งชาเขียวนมปั่นมา
ชานยอลพาแบคฮยอนมานั่งที่โต๊ะติดริมหน้าต่างของร้านโดยคนตัวเล็กกว่าไม่ได้ขัดอะไร นับว่าเป็นการอยู่ด้วยกันนานที่สุดอย่างที่ทั้งคู่ไม่เคยทำมาก่อน แต่ถึงอย่างนั้น บทสนทนาสำหรับทั้งคู่ก็แทบจะไม่มีเลยvp^jfu
ทั้งคู่นั่งละเลียดเครื่องดื่มของตนเงียบๆ โดยที่แบคฮยอนนั้นเอาแต่มองพื้นโต๊ะ ส่วนชานยอลนั้นเอาแต่จ้องคนที่หลุบตามองต่ำตรงหน้าด้วยความเอ็นดู
พอจะรู้จากเซฮุนมาบ้างว่าแบคฮยอนพูดไม่เก่ง ชานยอลอุตส่าห์มันใจว่ามนุษย์เอนเตอร์เทนคนเก่งอย่างเขาจะชวนคนตัวเล็กพูดได้บ้าง แต่พอมาเจอกับตัวจริงๆแล้ว ชานยอลถีงได้รู้ว่าแค่จะทำให้แบคฮยอนเงยหน้ามาสบตานั้นก็ยากมากแล้ว
นั่งอยู่ด้วยกันอยู่นานสองนาน ถามคำถามแบบถามคำตอบคำอ้อมแอ้มด้วยกันไปมา ก่อนจะเป็นเสียงของเด็กสาวที่ดูเหมือนจะทะเลาะกับคนปลายสายของโทรศัพท์เดินเข้ามาในร้านแล้วเรียกให้สายตาของทั้งสองคนมองไปยังเคาเตอร์ที่เด็กสาวหุ่นดีในชุดเอี๊ยมน่ารักนั่นตวัดเสียงสั่งเครื่องดื่มไป เสียงเรียกเข้าของคนหน้าเคาต์เตอร์เครื่องดื่มดังขึ้นอีกครั้ง เด็กสาวเอามือถือออกมากดรับก่อนจะนิ่งไปสักครู่แล้วจึงลดมือลงแล้วรีบปิดปากร้องไห้ ทำให้ทั้งชานอยลและแบคฮยอนที่มองดูอยู่เบิกตากว้างด้วยความตกใจ
เธอวางเงินไว้โดยไม่รอเงินทอนก่อนจะเดินออกจากร้านไปเร็วๆ และตอนนั้นเองที่ชานยอลและแบคฮยอนหันมาสบตากัน เพราะคนที่ร้องไห้ออกไปเมื่อกี้คือมิกิ
ชานยอลลุกพรวดขึ้นยืนก่อนจะเอ่ยบอกลาแบคฮยอนไวๆแล้ววิ่งออกไปโดยลืมหยิบหมวกของตนที่ให้คนตัวเล็กสวมเมื่อครู่ไปด้วย แบคฮยอนมองหมวกสีเทาของชานยอลบนตักก่อนจะตัดสินใจลุกตามอีกคนไปด้วย
ร่างเล็กเดินถือแก้วเครื่องดื่มในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ถือหมวกของชานยอลออกมาด้วย แบคฮยอนมองซ้ายมองขวาก่อนจะกัดปากชั่งใจ แล้วตัดสินใจเดินไปทางซ้ายที่เป็นทางไปสวนสาธารณะเพราะสัญชาติญาณจากการดูละครหลังข่าวส่วนใหญ่บอกเขาว่าเรามักจะเจอผู้หญิงร้องไห้ที่ชิงช้าของสวนสาธารณะ และแบคฮยอนก็หวังหวังว่าทั้งมิกิและชานยอลคงจะอยู่ด้วยกันแถวๆนั้น
ตลอดทางที่แบคฮยอนเร่งเดินผ่านมาไม่ได้พบแม้แต่เงาของคนทั้งคู่ แบคฮยอนเดินไปปาดเหงื่อไปด้วยมือข้างที่ถือแก้ว ร่างเล็กเดินมาเรื่อยๆจนเห็นน้ำพุของสวนสาธารณะ กวาดตามองไปทั่วก่อนจะพบว่าไม่ได้มีคนอยู่เลย แบคฮยอนถอนหายใจเบาและเตรียมจะหันหลังกลับ แต่ด้วยความร้อนของแดดตอนนี้ คนตัวเล็กจึงเปลี่ยนใจเดินเข้ามาในสวนเพื่อหาร่มไม้สำหรับนั่งละเลียดคาราเมลลาเต้ของตนไปพลางๆก่อน
แบคฮยอนเดินลัดเลาะกระถางดอกไม้เข้ามาเรื่อยๆ จุดหมายที่คนตัวเล็กหวังคือต้นไม้ต้นใหญ่ที่สุดที่อยู่ในสุดของสวนสาธารณะ แต่ยังไม่ทันที่จะยกยิ้มกว้างตอนได้เห็นเงาไม้ กายเล็กก็ต้องหยุดชะงักกึกไปเสียอย่างนั้นเมื่อพบคนทั้งสองที่เขาตั้งใจตามหา
ชานยอลดึงมิกิที่ตัวเล็กกว่าเข้ามาในอ้อมกอด ก่อนจะกดจมูกลงบนกลุ่มผมนุ่มเพื่อปลอบอีกคนที่กำลังสะอึกสะอื้นเพราะการร้องไห้ นาทีนั้นเองที่แบคฮยอนรู้ ว่าต่อให้เขาหาทั้งสองคน เขาก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปหาอยู่ดี มือบางกำหมวกแก๊ปสีเข้มไว้แน่นก่อนจะเดินถอยหลังช้าๆแล้วเปลี่ยนเป็นหันหลังแล้วเดินจ้ำออกมาจากที่ตรงนั้นด้วยความรวดเร็ว
แม้อีกไม่กี่ก้าวที่แบคฮยอนจะเข้าถึงตัวชานยอล แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าแบคฮยอนจะสามารถเดินต่อไปได้
แม้เห็นชานยอลอยู่ตรงหน้า แต่แบคฮยอนก็รู้ว่าเขาไม่มีทางเข้าถึงอีกคนได้
การที่เรารู้ตัวว่าตัวเองรู้สึกอยู่ฝ่ายเดียว…
…ไม่ได้หมายความว่าใครอีกคนไม่ได้รู้สึกเหมือนกัน
ชานยอลจับเนกไทด์ของตนเพื่อเช็กว่ามันเข้าที่แล้ว ก่อนจะหันไปมองเพื่อนๆในวงที่กำลังแต่งตัวอยู่ และเป็นเหมือนอย่างเคยที่ชานยอลมักพบกับเหตุการณ์การโผล่พรวดพราดเข้ามาของเซฮุนที่เป็นน้องรหัส ซึ่งตอนนี้ก็เช่นกัน เพราะคนตัวขาวกำลังเดินกอดเอวมากับนักเรียนฝ่ายจัดเวทีแล้วเดินตรงดิ่งยิ้มกว้างมาหาเขา
“เอาน้ำมาให้….ตื่นเต้นไหมพี่~”
“นิดนึง…จะบอกว่าชิวๆก็คงจะดูมั่นใจไปหน่อย” ชานยอลตอบกวนๆก่อนจะยักคิ้วให้กับเซฮุนที่เบ้หน้ารอเขาอยู่
“ได้เรื่องยังอ่ะ”
“เรื่องไร” ชานยอลเหลือบมองคนข้างตัวด้วยความไม่ใสใจนัก ก่อนคำตอบของเซฮุนจะทำให้เขาชะงักกึกเล็กน้อย
“พี่แบคฮยอนไง…เป็นไงบ้าง อย่าบอกนะว่ายังไม่กล้า”
“…”
“โธ่…ไรอ่ะ พี่ไม่ใจเลย” เซฮุนทำเสียงง้องแง้งใส่พี่รหัสคนสนิทของตนก่อนจะถูกผลักหัวด้วยมือหนาของชานยอลเบาๆ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เซฮุนหยุดเจื้อยแจ้วถึงคนตัวเล็กที่ชานยอลแอบรักมาเกือบปีได้
“รู้ป่ะ เมื่อกี้พี่เขาจะฝากของให้พี่มากับผมด้วย” เซฮุนทำหน้าเหนือกว่ามองหน้าชานยอลที่เบิกตากว้างด้วยความสะใจ ก่อนจะหัวเราะขำที่คนเป็นพี่ตีหน้านิ่งแล้วถามขึ้นมาด้วยเสียงแผ่วเบา
“ของอะไร”
“หมวก…
…แต่ผมไม่ได้รับมานะ ผมบอกว่าให้พี่เขาเอามาคืนเอง” เซฮุนพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะลุกออกไป และเป็นจังหวะเดียวกับที่ชานอยลถูกเรียกให้ไปรวมตัวที่หลังเวที
แบคฮยอนเบียดเสียดตัวเองกับผู้คนก่อนจะขยับตัวให้ไปอยู่ในมุมข้างเวทีที่เขาภาวนาว่าจะทำให้มองเห็นชานยอลได้ชัด คนตัวเล็กกระชับหมวกแก๊ปของชานยอลที่เขาสวมอยู่บนศีรษะเพราะมือไม่ว่างพอเพราะต้องดูแลกล้องถ่ายรูป
แบคฮยอนมั่นใจว่าเขาไม่ใช่คนมีเหงื่อออกง่าย ตั้งนั้นตอนที่เบียดตัวเข้ามาอยู่ใกล้เวที เขาจึงตัดสินใจสวมหมวกของชานยอลลงบนศีรษะของตน
เสียงกรี๊ดดังจนแบคฮยอนหูแทบดับเมื่อวงของชานยอลเดินเปิดตัวขึ้นมา แบคฮยอนรีบยกกล้องถ่ายรูปขึ้นเหมือนกับนักเรียนคนอื่นๆที่กดรัวชัตเตอร์อย่างบ้าคลั่ง มีบ้างบางครั้งที่ต้องเอื้อมมือจับปีกหมวกเพราะหัวกลมๆของเจ้าตัวดันไปอยู่ตรงกับมือกับศอกของนักเรียนคนอื่นเข้า
ละสายตาออกจากกล้องเมื่อเพลงของวงชานยอลเล่นไปได้เกือบครึ่งเพลงแล้วและเขาก็ได้รูปของคนตัวสูงอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ คนตัวเล็กเดินเบียดคนออกมาในที่ว่างๆก่อนจะยืนมองชานยอลที่ลงนิ้วบนกีตาร์ด้วยความชื่นชม ก่อนจะต้องรู้สึกเหมือนโดนแช่แข็งไปทั้งตัวเมื่อสายตาของคนตัวสูงดันมองมาประสานกับตนโดยที่แบคฮยอนไม่ทันตั้งตัว
ชานยอลยิ้มให้กับคนตัวเล็กที่มีกล้องคล้องคออยู่และตอนนี้กำลังยืนนิ่งสนิทอยู่ที่ข้างล่างเวที แถมยังสวมหมวกของเขาอยู่เสียด้วย
ตั้งแต่วันนั้นที่ทิ้งโอกาสทำความสนิทสนมกับแบคฮยอนเพราะรีบวิ่งไปหามิกิที่เขารักเหมือนน้องสาวแท้ๆเพราะยัยนั่นทะเลาะกับแฟนแบบรุนแรงในรอบทศวรรษ ชานยอลก็แทบจะไม่ได้เจอแบคฮยอนอีกเลย ยังแอบโทษคนตัวเล็กไม่ได้ว่าเป็นเพราะเจ้าตัวเอาแต่หลบหน้าเขา
แต่ถึงตอนนี้แล้วชานยอลก็อดดีใจไม่ได้ เมื่อเห็นหมวกใบเก่งของตนอยู่บนศีรษะของอีกฝ่าย ให้ตาย ไม่ว่ายังไงแบคฮยอนก็น่าเอ็นดูไปเสียหมด ชานยอลส่งยิ้มไปให้กับแบคฮยอนอีกครั้ง ก่อนจะนึกเอ็นดูเมื่อคนตัวเล็กเหลียวมองซ้ายมองขวาราวกับไม่รู้ตัวว่ายิ้มของชานยอลถูกส่งไปให้เจ้าตัวแค่คนเดียว
เมื่อแบคฮยอนมองไปไม่พบใครที่อยู่แถวนั้น คนตัวเล็กจึงได้แต่ส่งยิ้มขัดๆไปให้กับคนบนเวที ก่อนจะยกนิ้วโป้งให้อีกคน ชานยอลที่เห็นอย่างนั้นจึงยิ้มกว้างมากขึ้นแล้วจึงพยักหน้าให้ ก่อนจะก้มลงไปเล่นกีตาร์ปิดเพลงของวง ท่ามกลางเสียงกรี๊ดของแฟนคลับทั้งโรงเรียน แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบแผ่นหลังเล็กของคนที่มีหมวกของเขาเดินหายไปที่ประตูห้องประชุมเสียแล้ว
แค่บอก…ก็รู้แล้ว
แค่รัก…ก็รู้สึกได้
แบคฮยอนออกมาจากงานได้สักพักแล้ว และตอนนี้เขากำลังยืนอยู่หน้าตู้ขายเครื่องดื่มอัตโนมัติและยกน้ำเปล่าขึ้นซดอึกๆอยู่ และเมื่อซดน้ำจนสาแก่ใจแล้ว แบคฮยอนก็เอาขวดน้ำออกจากริมฝีปากแล้วยกมือขึ้นถอดหมวกออก
สำหรับคนเกลียดความวุ่นวายอย่างเขาแล้ว มันไม่ง่ายเลยที่จะอยู่กับกลุ่มคนที่กำลังกรีดร้องอย่างคลั่งไคล้แบบนั้น ตากลมก้มลงมองหมวกในมือก่อนจะต้องเงยหน้าขึ้นเมื่อมองเห็นรองเท้าผ้าใบคอนเวิร์สคู่ที่เขาคุ้นตา…รองเท้าของชานยอล
“เป็นไงบ้าง เพลงสนุกไหม” เอ่ยถามด้วยเสียงหอบน้อยๆเพราะอาการเหนื่อยจากการวิ่ง ก่อนจะอมยิ้มเมื่อแบคฮยอนมองเขางงๆโดยไม่วางตาแล้วพยักหน้าขึ้นลงช้าๆ จนทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปขยี้ผมอีกคนด้วยความเอ็นดูเบาๆ จนคนตรงหน้าที่ยังงงเป็นไก่ตาแตกถึงกับทำอะไรไม่เป็น
“ละ…แล้วทำไมชานยอลดูเหมือนวิ่งมา มีอะไรรึเปล่า”
“เทียบกับวงอื่นแล้ว เพลงของฉันพอจะใช้ได้ไหม” ชานยอลไม่ได้ตอบคำถามของคนตัวเล็ก แต่กลับถามขึ้นมาอีกครั้ง พลางกระชับมือจับสมุดวาดภาพที่ถือมาด้วยไว้
“ไม่รู้…”
“…”
“…เรามาดูแค่วงของชานยอล” ชานยอลไม่สามารถหุบยิ้มลงได้อีกหลังจากประโยคคำตอบแผ่วเบาอ้อมแอ้มจากร่างเล็ก
หลังจากที่ป๊อดมาตลอดสิบเอ็ดเอือนที่แอบรักคนตัวเล็ก ชนิดที่ว่าไม่ว่าเซฮุนจะบิ้วต์ปลุกใจยังไงก็ไม่สามารถช่วยได้ แต่กับวันนี้แล้ว…ชานยอลพร้อมทุกอย่างที่จะมอบความรู้สึกนี้ให้แบคฮยอนไป และเขาก็ไม่ได้กลัวเลยว่าแบคฮยอนจะทำยังไงกับความรู้สึกของเขา
ชานยอลไม่เสียดายซักนิด หากแบคฮยอนไม่ได้ตอบรับ
ไม่เสียดายเลย หากต้องถูกคนตรงหน้าปฏิเสธ
เพราะการได้แอบรักแบคฮยอน เป็นอะไรที่คุ้มที่สุดที่ชานยอลได้รับแล้ว
ร่างสูงยื่นสมุดวาดภาพที่ตนถือมาด้วยให้กับคนตัวเล็ก แบคฮยอนขมวดคิ้วมองเขาด้วยความงุนงงแต่ก็ยอมรับไปแต่โดยดี ก่อนที่เจ้าตัวจะเบิกตากว้างแล้วนิ่งสนิทไปมากกว่าเดิมทุกครั้งที่พลิกแต่ละหน้ากระดาษ
แบคฮยอนกลั้นหายใจเมื่อพบว่าหน้าแรกของสมุดวาดภาพของชานยอลเขียนว่า ‘to Baekhyun’
ทุกหน้ากระดาษล้วนมีแต่ภาพลายเส้นของเขาที่ชานยอลลงชื่อและวันที่เอาไว้ และบางอิริยาบถเขาแทบจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตนเองทำแบบนั้นตอนไหน
แบคฮยอนหน้าร้อนไปหมดและเริ่มทำอะไรไม่ถูก คนตัวเล็กหลับตาปี๋แล้วส่งสมุดคืนให้ชานยอลโดยไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะก้าวถอยหลังไปเล็กน้อย แล้วจึงเงยหน้าขึ้นสบสายตากับชานยอล
“ขอโทษนะที่ไม่ได้ขออนุญาตนาย แต่แค่การจะทักนายมันก็ยากมากๆแล้วสำหรับฉัน ดังนั้นยิ่งให้มาขอวาดรูปกันตรงๆแบบนั้นฉันคงต้องเขินตายพอดี…”
“….”
“กับคนที่ฉันแอบชอบแล้ว ทุกอย่างมันดูยากไปหมดเลย…
…แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อฉันรักไปแล้ว”
“ชานยอลรักแบคฮยอนไปแล้ว”
แบคฮยอนนิ่งยิ่งกว่าอะไรดี ชานยอลยกยิ้มบางก่อนจะถอนหายใจแล้วเดินหันหลังไป เพราะดูจากท่าทีของคนตัวเล็กแล้วแบคฮยอนอาจจะกำลังรู้สึกไม่ดีกับความรู้สึกที่เขาเพิ่งบอกออกไปอยู่ก็ได้
แต่ก่อนที่จะเดินหนีออกมา แขนแกร่งก็ถูกมือเล็กของอีกคนคว้าไว้ ชานยอลหันกลับไปมองแบคฮยอนที่ยื่นกล้องถ่ายรูปมาให้งงๆ ก่อนจะรับมาเมื่ออีกคนพยักเพยิดให้
“แลกกันดูนะ…”
สิ้นเสียงแผ่วเบาของแบคฮยอน นั่นก็พอดีกับที่หน้าจอกล้องดิจิตอลปรากฏรูปของเขาเมื่อตอนอยู่บนเวทีเมื่อครู่ ชานยอลเงยหน้ามองแบคฮยอนที่หน้าแดงหูแดงด้วยความดีใจก่อนจะก้มลงไปกดเลื่อนภาพให้ผ่านไปเร็วๆ จนพบว่ามีรูปเขาอีกมากมายอยู่ในกล้องของแบคฮยอน
เงยหน้าขึ้นมายิ้มกว้างให้คนตัวเล็กก่อนจะเดินเข้าไปใกล้แล้วดึงอีกคนเข้ามากอดโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวแต่ก็ไม่ได้ขัดขืน
“เราก็รักชานยอล…
…รักมากๆ รักมาตลอด”
สิ้นคำพูดของคนตัวเล็ก เจ้าตัวก็ผละออกมาก่อนจะปรับสายหมวกของชานยอลแล้วยืดตัวขึ้นสวมให้อีกคนที่มองอยู่ด้วยสายตาเอ็นดู และเมื่อกลับมายืนตรงหน้าชานยอล คนตัวสูงก็สวมกล้องคืนให้เขาก่อนจะจูงมือแบคฮยอนแล้วพาเดินเร็วไปที่ห้องล็อกเกอร์ของนักกีฬาที่อยู่ไม่ไกล
แบคฮยอนมองชานยอลเปิดตู้ล็อกเกอร์เงียบๆ ก่อนจะรีบซ่อนรอยยิ้มเมื่อชานยอลเดินกลับมาหาเขาที่ยืนรอไม่ห่าง พร้อมกับหมวกสีเทาแบบเดียวกับที่คนตัวสูงใส่
หมวกใบนี้ชานยอลไม่เคยปรับสายให้มันเป็นขนาดของเขา เพราะหวังมาตลอดว่าจะได้ใส่คู่กับคนที่แอบรัก ซึ่งก็คือแบคฮยอน และวันนี้สิ่งที่เขาคิดก็เกิดขึ้นจริงๆกับเขา โดยมีคนที่เขาแอบรักมาเกือบปีเป็นคนทำมันให้สำเร็จ
ลูบหัวแบคฮยอนผ่านสัมผัสของหมวกเบาๆ ก่อนจะเชยคางคนขี้อายขึ้นมามองหน้าน่ารักนั่นชัดๆ ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้จนสามารถกอดเอวของอีกคนให้เข้ามาชิดได้ แล้วจึงก้มหน้าลงไปแนบริมฝีปากของตนเองกับแบคฮยอนแบบแนบชิดริมฝีปากของคนตัวเล็กโดยไม่ได้ลุกล้ำ ก่อนจะละใบหน้าออกมามองแบคฮยอนที่หลับตาพริ้มเพราะจูบเมื่อครู่ แต่ยังไม่ทันที่คนตัวเล็กจะลืมตาขึ้นมา ชานยอลก็ก้มลงไปมอบจูบให้อีกคนอีกครั้ง
สัมผัสหวานละมุนที่ชานยอลมอบให้แทบจะทำให้แบคฮยอนทรงตัวไม่อยู่ ยามที่ลิ้นร้อนของอีกคนแตะถูกโพรงปากของเขา แบคฮยอนรู้สึกเหมือนมีผีเสื้อบินอยู่ในท้องของเขาไปเสียหมด จูบอ่อนหวานดำเนินไปอย่างอ้อยอิ่ง ชานยอลแลกเปลี่ยนความหวานด้วยจังหวะช้าๆพอที่อีกคนจะสามารถหายใจได้ทัน และเพราะเหตุนี้เอง จูบครั้งนี้จึงกินเวลานานกว่าห้านาทีโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว
ชานยอลคลอเคลียอยู่ข้างใบหูของแบคฮยอนก่อนจะเอ่ยกระชิบคำพูดที่ไม่ว่าแบคฮยอนได้ยินมันกี่ครั้งก็ยังทำให้ใจสั่นได้
“ฉันรักแบคฮยอน”
.
.
.
“เราก็รักชานยอล”
♡
@12marc_
ความคิดเห็น