คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ความรู้สึกดีๆ
ในห้องเรียนที่เงียบสงบ นักศึกษาทุกคนต่างนั่งเงียบ มีเพียงเสียงอาจารย์เพียงคนเดียวเท่านั้นที่กำลังพูดอยู่หน้าห้องในตอนนี้เพื่อถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่ลูกศิษย์อย่างตั้งอกตั้งใจ แต่แล้วอยู่ๆ เสียงพร่ำสอนนั้นก็กลายเป็นเสียงเอ็ดตะโรอย่างโทสะ เมื่อเธอหันไปเห็นอะไรบางอย่างเข้า
“จิตตะนัย!” เสียงของอาจารย์สาวแก่เอ็ดขึ้นมากลางห้องเรียนเพื่อเรียกลูกศิษย์ชายคนหนึ่ง ท่ามกลางนักศึกษาคนอื่นๆ ร่วมห้าสิบคน
“ครับอาจารย์” นักศึกษาชายแหงนหน้าขึ้นพลางขานรับเสียงเรียกนั้น พร้อมทั้งในมือทั้งสองข้างก็ยังคงกดบีบีอย่างหน้าตาเฉย
“เก็บมือถือเดี๋ยวนี้ ถ้าอยากเล่นกรุณาออกไปเล่นข้างนอก เชิญ!” ว่าแล้วเธอก็ออกปากไล่ลูกศิษย์คนดังกล่าวทันทีอย่างไม่ไว้หน้า ทำให้เจ้าตัวรู้สึกเสียหน้าอย่างมาก เขารีบเก็บมือถือลงในกระเป๋ากางเกงทันที
“เก็บแล้วครับอาจารย์” เขาพูดเสียงอ่อย
เมื่อเลิกเรียนแล้วนักศึกษาทั้งหลายก็ทยอยกันเดินออกมาจากห้องเรียนรวมทั้งจิตตะนัยด้วย เขาเดินออกมาพร้อมกับเพื่อนคนสนิทที่มักจะไปไหนมาไหนด้วยกันเป็นประจำ
“เมื่อกี้แกคุยกับสาวที่ไหนวะ” ว่าแล้วเพื่อนหนุ่มก็อดอยากรู้ไม่ได้ถึงตัวการที่ทำให้เพื่อนมัวแต่คุยจนโดนอาจารย์ว่าขึ้นมากลางห้องเรียน จึงถามขึ้น
“น้องจีจี้ปีหนึ่ง ดาวนิเทศไง” จิตตะนัยตอบออกมาอย่างภาคภูมิ
“อ๋อ! น้องจีจี้ น่ารักฉิบหายเลยว่ะ เออ! แล้วแกไปเอาพินน้องเขามาจากไหน”
“ไม่เห็นยาก ก็แค่เดินเข้าไปขอ”
“เออ! ฉันก็ลืมไปว่าแกมันจิตตะนัย ศตายุรนนท์ ลูกชายเจ้าของบริษัทยักใหญ่ ที่คิดจะจีบใครก็ได้ทั้งนั้น ไม่เคยโดนผู้หญิงปฏิเสธอยู่แล้วหนิ”
“ไม่เกี่ยว เป็นเพราะฉันหล่อต่างหาก” จิตตะนัยแกล้งพูดยกยอตัวเองขึ้นมาพลางยักคิ้วอย่างคนขี้เล่น
“ถุย! ความหล่อของแกมันก็แค่ครึ่งเดียวของพี่ชายแกเท่านั้นแหละ” ทันทีที่ได้ฟัง เพื่อนหนุ่มก็เกิดอาการหมั่นไส้ทันที จึงแกล้งว่าให้
“โธ่เอ๊ย! ก็ถ้าฉันไม่ต้องเทียบกับพี่คราม ฉันก็หล่อ” จิตตะนัยเถียงออกมาเพื่อยืนยันกับเพื่อนให้ยอมรับให้ได้ว่าตน ”หล่อ” และคำพูดดังกล่าวก็ทำให้สิทธิศักดิ์เพื่อนหนุ่มอดขำไม่ได้ จึงหัวเราะลั่น
“เออๆ หล่อก็หล่อวะ พ่อคิมคนหล่อ” เขาแกล้งประชดออกมา
“จะว่าไปฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่ะ ว่าถ้าฉันจีบผู้หญิงสักคน โดยที่เขาไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของฉัน มันจะจีบยากกว่าผู้หญิงที่เขารู้จักฉันไหม” ว่าแล้วจิตตะนัยก็ต้องเก็บความสงสัยนี้ไปคิดหนัก และถ้าว่างก็คงต้องลองทดสอบหน่อยแล้ว
จิตตะนัยเป็นลูกชายคนเล็กของวันชัย หรือเรียกอีกชื่อก็คือคิมนั่นเอง เขาเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง อยู่ปีที่สองคณะบริหารธุรกิจ เขาเรียนไม่เก่งและไม่ชอบเรียนหนังสือเลย รักสนุกชอบเฮฮาและคิดเสมอว่าตนเกิดมาบนกองเงินกองทองไม่จำเป็นต้องเรียนก็ได้ เพราะยังไงจะเรียนจบหรือไม่ก็ได้ทำงานในบริษัทของพ่อตัวเองอยู่ดี และเพราะชีวิตได้อะไรต่อมิอะไรมาง่ายๆ จนเคยนิสัย เขาจึงไม่เคยคิดจะขวนขวายอะไรเลย หากจะพูดถึงหน้าตาก็จัดอยู่ในหมวดที่เรียกว่าหล่อได้ แต่ถ้ายืนกับพี่ชายเมื่อไหร่ ความหล่อของเขาก็จะดูจืดไปทันที
“ฉันว่าวันนี้เราไปเดินเล่นสยามกันดีกว่า” จิตตะนัยกล่าวชวนเพื่อน
“เออไปดิ” เพื่อนหนุ่มตอบรับโดยไม่คัดค้านอะไร
และแล้วทั้งสองก็เดินทางมาถึงสยามสแควร์ด้วยรถเก๋งส่วนตัวของจิตตะนัย ที่ที่มีคนพลุกพล่านมากมายโดยเฉพาะหมู่วัยรุ่น หญิงสาวหน้าตาขาวใสในเครื่องแบบนิสิต นักศึกษาต่างเดินไปเดินมากันขวักไขว่ จิตตะนัยจึงเอาแต่มองจนเพลินตา แต่ด้วยความที่มัวแต่มองสาวจนไม่ทันได้มองทาง ทำให้ชายหนุ่มเผลอเดินไปชนใครคนหนึ่งเข้า ร่างนั้นล้มลงทันที จิตตะนัยจึงรีบหันมองเพื่อจะขอโทษและก็พบว่าเธอเป็นผู้หญิงจึงรีบพยุงร่างนั้นขึ้นมา ใบหน้ามนที่ก้มอยู่ค่อยๆ เงยขึ้นสายตาสองคู่จึงประสานกันอย่างพอดิบพอดี เพียงแค่แวบแรกเท่านั้นจิตตะนัยก็ไม่อาจปฏิเสธความงดงามตรงหน้าได้ เขารู้สึกชอบเธอทันทีในตอนนั้น และไม่อยากปล่อยมือที่จับแขนเรียวนี้อยู่เลย เพราะกลัวว่าเธอจะเดินหายไป จิตตะนัยมองหน้าหญิงสาวตาค้างราวกับถูกสะกดซ้ำยังจับแขนเธอแน่นอย่างลืมตัว
“เอ่อ...ไม่เป็นไรแล้วค่ะ” หญิงสาวพยายามส่งสัญญาณให้ชายหนุ่มรับรู้ว่าปล่อยแขนเธอได้แล้ว แต่หากว่าเขายังคงแข็งทื่ออยู่ในท่าเดิม จนเธอต้องออกปากพูดไปตรงๆ แต่ก็ยังคงรอยยิ้มเอาไว้เพื่อรักษามารยาท “เอ่อ...ปล่อยได้แล้วค่ะ”
“อ้อ...ขอโทษทีครับ” ในที่สุดจิตตะนัยก็รู้ตัวจึงรีบปล่อยแขนหญิงสาวออกทันที “ไม่เป็นไรใช่ไหม”
“ไม่ค่ะ” หญิงสาวตอบพลางยิ้มอย่างมีมารยาทและรอยยิ้มของเธอก็ทำเอาหัวใจของชายหนุ่มแทบจะละลาย เขาไม่อยากให้เธอเดินผ่านไปเลยจริงๆ แต่ก็คงทำอะไรไม่ได้ เพราะตอนนี้เธอก็เดินผ่านไปแล้ว
หญิงสาวคนที่ว่าไม่ใช่ใครที่ไหน เธอก็คือวญิดาหรือไหมที่ตอนเด็กๆ ก็เคยเล่นด้วยกันนั่นเอง และถึงแม้ตอนนี้เธอจะเดินไปไกลแล้ว แต่ชายหนุ่มก็ยังคงมองตามไปอย่างไม่ลดละและไม่มีท่าทีว่าจะเดินไปจากตรงนี้ ฝ่ายเพื่อนที่มาด้วยกันจึงต้องเรียกให้รู้ตัว “ไอ้คิม!”
“ฮะ?” จิตตะนัยหันมาตอบรับเพื่อนอย่างเหลอหลา
“ไปกันได้แล้ว” ว่าแล้วเพื่อนหนุ่มก็ลากแขนจิตตะนัยพาเดินไปจากตรงนี้ทันที
“เฮ้ย! ผู้หญิงคนนั้นน่ารักอ่ะ น่ารักกว่าน้องจีจี้อีก แต่เขาไปโน่นแล้วอ่ะ” จิตตะนัยเริ่มมีอาการกระวนกระวายเพราะรู้สึกอยากตามเธอคนนั้นไปเหลือเกิน
“เออ...ปล่อยเค้าไปเหอะ” แต่เพื่อนหนุ่มกลับไม่สนใจเลยสักนิด ซ้ำยังพูดปัดแบบขอไปทีอีก งานนี้จิตตะนัยจึงต้องปล่อยเลยตามเลยไปพลางคิดเสียดายอยู่ในใจ
ใต้อาคารเรียนในช่วงบ่าย มีชุดโต๊ะไม้ยาววางอยู่เรียงรายซึ่งเต็มไปด้วยนักศึกษาไม่มีว่างเว้น บ้างก็นั่งอ่านหนังสือ บ้างก็นั่งลอกงานกัน บ้างก็นั่งจับกลุ่มคุยกันสัพเพเหระ ซึ่งโต๊ะชุดหนึ่งก็ถูกจับจองโดยจิตตะนัยและสิทธิศักดิ์ ทั้งสองกำลังนั่งกดบีบีอย่างมันมือ โดยต่างคนต่างก็ไม่มีใครสนใจใครถึงแม้ว่าจะนั่งอยู่ด้วยกันก็ตาม แต่แล้วอยู่ๆ สิทธิศักดิ์ก็เกิดอยากพักสายตาจากการเพ่งจอมือถือนานๆ เขาจึงเงยหน้าขึ้นซึ่งจังหวะนั้นก็ถือว่าบังเอิญมาก เพราะสายตาได้จ้องมองไปที่ผู้หญิงคนหนึ่งเข้าพอดี สิทธิศักดิ์รีบสะกิดเพื่อนที่นั่งข้างๆ ทันที เพราะคิดว่าจิตตะนัยจะต้องอยากเห็นในสิ่งที่ตนเห็นอยู่ตอนนี้แน่ๆ
“เฮ้ยคิม แกดูอะไรนั่นดิ”
“อะไรของแกวะ ฉันคุยกับน้องจีจี้อยู่” แต่จิตตะนัยยังคงก้มหน้าก้มตากดบีบีต่อไป โดยไม่สนใจที่เพื่อนพูดเลยสักนิดซ้ำยังทำอาการรำคาญใส่
“น้องจีจี้อ่ะ เดินไปหาเขาที่คณะก็คุยได้ แต่คนเนี้ย ถ้าแกปล่อยให้เค้าเดินผ่านไป แกอาจจะไม่ได้เจอเค้าอีกเลยนะ” สิ้นคำพูดของสิทธิศักดิ์ จิตตะนัยจึงเงยหน้าขึ้นมองตามที่เพื่อนบอก
“เฮ้ย! นั่นมันผู้หญิงคนเมื่อวาน” จิตตะนัยร้องอุทานทันทีที่พบว่าผู้หญิงคนดังกล่าวคือคนที่ตัวเองเดินชนเมื่อวาน
“เออไง”
ว่าแล้วจิตตะนัยก็รีบลุกจากโต๊ะและเดินตรงไปที่หญิงสาวทันทีอย่างไม่รีรอ แม้แต่คนที่คุยอยู่ในบีบีเมื่อครู่เขาก็ไม่สนใจอีกต่อไป คราวนี้เขาจะไม่ยอมให้เธอผ่านไปเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรอีกต่อไปแล้ว
“เธอ” เขาเรียกหญิงสาวเมื่อเดินไปถึงตัวเธอ
“อ้าว! เธอ!” หญิงสาวหันมองตามเสียงเรียกเมื่อพบว่าเป็นคนที่เพิ่งเจอเมื่อวานก็ทักขึ้นอย่างแปลกใจ
จิตตะนัยได้เห็นหน้าหญิงสาวชัดๆ อีกครั้งก็เพ่งมองอยู่ครู่หนึ่งพลางยิ้มออกมาด้วยความปลื้มอกปลื้มใจก่อนจะพูดประโยคต่อไป “ใช่ เราคือคนที่เดินชนเธอเมื่อวาน เจอกันอีกแล้วนะ”
หญิงสาวยิ้มอย่างมีไมตรีก่อนจะตอบกลับ “นั่นสิ เธอเรียนที่นี่หรอ”
“ใช่ แต่เธอไม่ได้เรียนที่นี่หนิ แล้วเธอมาทำอะไรที่นี่หรอ”
“มาหาเพื่อนน่ะ ตึกคณะบริหารตึกนี้ใช่ไหม”
“ใช่ ตึกนี้แหละ”
“อ๋อ...ขอบคุณนะ” หญิงสาวกล่าวขอบคุณแล้วส่งยิ้มตบท้ายก่อนจะหันกลับมาชะเง้อหาเพื่อนตามเดิม เธอคงคิดว่าบทสนทนาจะจบแค่ตรงนี้ แต่เธอไม่รู้เสียแล้วว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้มีเจตนาแค่ทักทายธรรมดา แต่เขากำลังพยายามจะหาเรื่องคุย หาเรื่องพูดโน่นนี่ เพื่อที่จะทำความรู้จักกับเธอ
“นัดกับเพื่อนไว้ตรงนี้หรอ”
“อืมใช่”
“ไปนั่งรอที่โต๊ะเราก็ได้นะ เรานั่งกับเพื่อนแค่สองคนเอง” จิตตะนัยพูดพลางชี้นิ้วโป้งไปที่โต๊ะของตน เขาหวังว่านี่จะเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ เพราะหากว่าไปนั่งที่โต๊ะด้วยกันแล้วทั้งสองก็คงต้องพูดโน่นคุยนี่กันไปเรื่อย
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเพื่อนเราก็มาแล้ว ขอบใจมากนะ” แต่หากว่าหญิงสาวกลับทำให้เขาผิดหวังเสียนี่ เพราะเธอกลับปฏิเสธออกมา จริงๆ แล้วเธอเองก็ไม่ได้รังเกียจอะไร แต่จะให้ไปนั่งคุยกับผู้ชายที่ก็ไม่ได้รู้จักกันก็คงจะไม่เหมาะ แต่เธอก็หาทางพูดให้รักษาน้ำใจที่สุดพร้อมทั้งยิ้มให้อย่างไมตรี ท่าทีแบบนี้เห็นทีความคิดต่อไปที่จิตตะนัยจะทำก็คือขอเบอร์โทรศัพท์ก็คงไม่ง่ายแล้ว เพราะเธอคงเป็นคนที่ค่อนข้างวางตัว หากทำอะไรลุ่มล่ามไปเธอจะต้องไม่ชอบใจแน่ๆ แต่ถ้าจะให้ถอนตัวแล้วกลับไปนั่งที่ตอนนี้ก็คงจะไม่อีกเหมือนกัน เพราะถ้าปล่อยเธอไปคราวนี้ก็อาจจะไม่ได้เจอกันอีกเลยตลอดไป
“เฮ้ย! ไอ้คิม เมื่อกี้ไอ้เก่งมันบีบีมาบอกให้ไปหามันที่ตึกกิจกรรม” แต่ทันใดนั้นสิทธิศักดิ์ก็เดินตรงมาที่จิตตะนัยพอดีและตะโกนเรียกเสียงดัง และทันทีที่ได้ยินชื่อคิม วญิดาก็นึกไปถึงลูกชายของวันชัยทันที
“ตอนนี้เลยหรอวะ” จิตตะนัยหันไปถามกับเพื่อน
“เปล่ามันบอกอีกห้านาทีค่อยไป”
“ออ”
“ขอโทษนะ” ว่าแล้ววญิดาก็ไม่ยอมปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านไปเด็ดขาด เธอรีบหันไปเรียกชายหนุ่มอีกครั้ง เพื่อจะถามอะไรบางอย่างก่อนที่เขาจะเดินไปจากตรงนี้
“ครับ” ชายหนุ่มรีบหันกลับมาตอบรับทันที
“ชื่อคิมหรอ”
“ใช่ๆ” เขารีบตอบอย่างกุรีกุจอ
“เอ่อ...พอดีว่าเพื่อนเรามันเคยพูดถึงผู้ชายคนหนึ่งให้เราฟังบ่อยๆ ชื่อคิมเหมือนเธอเลยเห็นบอกว่าหล่อ คือเพื่อนเรามันชอบอ่ะ แต่ไม่รู้ว่าจะใช่เธอรึเปล่า แล้ว...เธอชื่อจริงนามสกุลจริงอะไรหรอ” วญิดาแกล้งอ้างเพื่อหลอกถามชื่อจริงและนามสกุลของเขา
แต่แล้วในขณะที่จิตตะนัยกำลังจะตอบชื่อจริงพร้อมนามสกุลของตน ก็กลับนึกขึ้นได้ถึงปริศนาที่ตั้งไว้กับเพื่อนเมื่อวานว่าถ้าหากเขาไม่ใช่ลูกชายนักธุรกิจแนวหน้าของประเทศ แล้วเสน่ห์ในตัวเองจะยังคงหลงเหลืออยู่บ้างไหม จึงคิดจะโกหกหญิงสาวไปก่อน แล้วค่อยไปเฉลยให้เธอรู้ทีหลัง
“อ๋อ...เราชื่อคิมหันต์ ส่วนนามสกุลก็ส่งสถิต”
“ออ” เธอตอบรับด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา แววตาเริ่มแสดงความผิดหวังออกมาน้อยๆ ก่อนจะมองหน้าชายหนุ่มและส่งยิ้มไปให้เขาอีกครั้ง
“แล้วตกลงใช่คนที่เพื่อนเธอบอกรึเปล่า”
“เอ่อ...ใช่...ใช่จริงด้วย ชื่อนี้นามสกุลนี้เลย” หญิงสาวตอบรับพร้อมทั้งแสร้งแสดงอาการตื่นเต้นเพื่อความแนบเนียน
“แล้วเป็นไง หล่ออย่างที่เพื่อนเธอว่าไหม” ชายหนุ่มแกล้งพูดในเชิงหยอกล้อขึ้นมาพร้อมด้วยสีหน้าทะเล้นนิดๆ เพื่อบ่งบอกถึงความขี้เล่น
“เพื่อนมาพอดีเลย เดี๋ยวเราขอตัวก่อนนะ” ว่าแล้ววญิดาก็รีบหาทางชิ่งทันที เพื่อหลีกเลี่ยงการตอบคำถาม ปล่อยให้ชายหนุ่มมองตามตาละห้อยเพราะต้องปล่อยให้เธอเดินหนีหายไปอีกเช่นเคย
“เฮ้ย...ก็ยังอุตส่าห์มีอีกเนอะ คิมหันต์ ส่งสถิตเนี่ย” สิทธิศักดิ์กล่าวอย่างข้องใจ
“เออว่ะ นี่ฉันเพิ่งแต่งขึ้นมาตอนที่เขาถามเลยนะ ไม่คิดเลยว่าจะมีคนชื่อนี้ด้วย”
“เออแปลกดีว่ะ แต่เราอ่ะไปตึกกิจกรรมกันได้และ ไอ้เก่งมันเร่งและ”
หลังจากที่กลับมาถึงบ้านแล้ว จิตตะนัยยังคงวุ่นวายใจกับเรื่องผู้หญิงคนที่เจอเมื่อเย็นอยู่ไม่หาย เขาชักจะชอบเธอเข้าแล้วจริงๆ ทั้งๆ ที่เพิ่งเจอกันเพียงสองครั้ง แต่กลับรู้สึกว่าเธอคือคนที่ใช่อย่างที่ไม่รู้สึกกับใครมาก่อน แต่จากนี้ไปจะทำอะไรได้ ในเมื่อชื่อเสียงเรียงนามของเธอก็ไม่รู้ เธอเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ รู้แค่เพียงสถานศึกษาของเธอที่สังเกตได้จากเข็มที่ประดับชุดนิสิตเท่านั้น ถ้าหากรู้อีกเรื่องว่าเธอเรียนคณะอะไรก็คงจะดีกว่านี้ เพราะการจะติดตามตัวเธอคนนั้นก็คงจะดูเป็นไปได้บ้าง
แต่ก็เหมือนฟ้าเข้าข้างเมื่อวันถัดมาจิตตะนัยมาทำธุระที่ธนาคาร เขากำลังจะก้มลงเขียนใบฝากเงินแต่กลับเหลือบไปเห็นใครคนหนึ่งเข้าเสียก่อน เธอคนนั้นกำลังเดินตรงมาบริเวณที่เขายืนอยู่พอดี เมื่อเดินมาถึงเธอก็ไม่ทันได้มองว่าใครที่ยืนอยู่ตรงนี้จึงไม่ได้สนใจและทำธุระของตนเองต่อไป ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ จึงแกล้งกระแอมขึ้นเบาๆ ก่อนจะทักทายเธอ “เจอกันอีกแล้วนะครับ” หญิงสาวที่ก้มหน้าก้มตาอยู่เงยหน้าขึ้นมองทันทีและก็พบว่าเป็นผู้ชายคนเดิมที่เจอกันมาแล้วถึงสามครั้งด้วยกันและในเวลาสามวันติดกัน
“อ้าวเธอ!” หญิงสาวอุทานขึ้น
“ใช่ เราเอง วันนี้เธอมาทำอะไรเนี่ย” จิตตะนัยกล่าวทักทายด้วยใบหน้าแย้ม
“โอนเงินน่ะ แล้วคิมล่ะ” จากที่เมื่อวานเธอได้รู้ชื่อของเขาแล้วจึงถือโอกาสเรียกชื่อเขาเสียเลย เพื่อที่การสนทนาจะได้ดูเป็นกันเอง
“อุ้ย! จำชื่อเราได้ด้วย เราเอาเงินมาใส่บัญชีน่ะ” ชายหนุ่มรู้สึกเป็นปลื้มเล็กๆ ที่เธอจำชื่อเขาได้ แถมยังเรียกออกมาอีก
“อ๋อ” หญิงสาวตอบรับกับคำตอบแล้วส่งยิ้มให้เป็นการตบท้าย จากนั้นเธอก็ก้มลงเขียนใบโอนเงินต่อ แต่ชายหนุ่มไม่ยอมให้บทสนทนาจบแค่นี้แน่ๆ เขารีบหาเรื่องคุยต่อทันที
“เอ่อ...ขอโทษนะ ช่วยเราอ่านหน่อยสิ ตรงนี้เขาให้กรอกอะไรหรอ พอดีลืมเอาแว่นมาอ่ะ” จิตตะนัยแกล้งแสร้งทำเป็นสายตาสั้นเพื่อขอความช่วยเหลือจากหญิงสาว และเธอก็หันมาดูให้ทันทีอย่างไม่เกี่ยง
“อ๋อ...ตรงนี้ให้กรอกสาขาธนาคาร นี่ปกติใส่แวนด้วยหรอ” หญิงสาวถามอย่างแปลกใจ
“อื้ม ใส่เวลาอ่านหนังสือน่ะ” จากนั้นทั้งสองต่างก็ก้มลงเขียนหนังสือ ทันทีที่หญิงสาวเขียนเสร็จเธอก็เก็บปากกา และจังหวะนั้นแหละที่จิตตะนัยรู้ได้ทันทีว่าเธอกำลังจะเดินไปจากตรงนี้ จึงรีบถามในสิ่งที่ตนอยากรู้ทันที
“เออ! เธอรู้ชื่อเราอยู่ฝ่ายเดียว เราเสียเปรียบนะเนี่ย เธอชื่ออะไรหรอ” หญิงสาวยิ้มออกมาหนึ่งทีก่อนจะตอบ
“เราชื่อเปรียว”
“อ่อ แล้วเธอเรียนคณะอะไรหรอ”
“บัญชีน่ะ” หญิงสาวตอบคำถามสุดท้ายแล้วก็เดินไปนั่งรอคิว
ในที่สุดชายหนุ่มก็ได้รู้ในสิ่งที่ตนอยากรู้ เขารีบก้มลงเขียนใบฝากเงินของเขาต่อและตามไปนั่งกับหญิงสาวทันทีอย่างกุรีกุจอ ทั้งสองนั่งพูดโน่นคุยนี่กันจนเพลิน ดูเหมือนว่าความพยายามของจิตตะนัยจะเริ่มเป็นจริงขึ้นมาแล้วสิ
วันต่อมาทันทีที่จิตตะนัยเลิกเรียนวิชาสุดท้ายของวัน เขารีบบึ่งรถไปที่มหาวิทยาลัยของหญิงสาวทันที เพราะข้อมูลจากที่เมื่อวานคุยกันขณะนั่งรอ ก็ทำให้เขารู้ว่าในวันนี้เธอจะเลิกเรียนกี่โมง และเรียนที่ตึกไหน เขาจึงไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปโดยการรีบไปดักรอเธอถึงตึกคณะ เมื่อหญิงสาวเดินลงมาจากตึกเรียน จิตตะนัยก็รีบปรี่เข้าไปหาทันที เขาเดินไปหยุดตรงหน้าหญิงสาวและทักขึ้น
“อุ้ย! เจอกันอีกแล้ว โลกนี้กลมจริงๆ” ชายหนุ่มกล่าว
“ครั้งนี้คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้วมั้ง น่าจะเป็นความตั้งใจของใครบางคนมากกว่า” หญิงสาวพูดอย่างคนรู้ทัน
“โธ่รู้ทักอีก” ชายหนุ่มกล่าวหน้าหงอยๆ หญิงสาวจึงหัวเราะออกมาเบาๆ
“ถ้าคิดจะจีบเรานะ บอกไว้เลยว่า....ยาก!” หญิงสาวแกล้งพูดในเชิงหยอกล้อแล้วเดินหนี พลางแอบหัวเราะอย่างชอบใจ ชายหนุ่มเองก็แอบหัวเราะเช่นกันในคำพูดเมื่อครู่ของหญิงสาวและรีบเดินตามไปทันที
“ไหนๆ ก็รู้แล้วว่าเราจะจีบ งั้นขอเบอร์เลยแล้วกัน” หญิงสาวหยุดเดินแล้วหันมาจ้องหน้าชายหนุ่มพลางยิ้มมุมปาก
“ไม่ให้”
“ขอเบอร์ไม่ให้ สงสัยต้องขอไปส่งบ้านแทนดีมะ”
“บ้านเราอยู่เชียงใหม่โน่น ไปส่งไหวหรอ”
“นี่สาวเหนือหรอกหรอเนี่ย”
“ใช่”
“เค้าว่ากันว่าสาวเหนือหลายใจ จริงป่ะ” ชายหนุ่มแกล้งหยอก
“ไม่จริงสักนิด เคยได้ยินแต่หนุ่มกรุงเทพต่างหากที่หลายใจ” หญิงสาวเถียงเสียงแข็งซ้ำยังโบ้ยข้อกล่าวหาไปให้อีกฝ่าย
“แต่เราขอเป็นกรณียกเว้นแล้วกันนะ” จบคำพูดนี้ หญิงสาวก็รีบส่ายหัวแล้วยิ้มบางๆ ก่อนจะเถียง
“หน้าตาแบบนี้แหละตัวดีเลย ไว้ใจไม่ได้หรอก”
“กำลังจะบอกว่าเราหล่อ...หรอ?”
หญิงสาวหันมองหน้าจิตตะนัยทันทีที่เขาพูดจบ และก็ต้องพบกับสายตาของเขาที่มองเธออยู่ก่อนแล้ว สายตาที่มองมาด้วยความปลาบปลื้มในตัวเธอ เขายิ้มบางๆ ให้เธออย่างอ่อนโยน และเธอก็ยิ้มบางๆ ให้เขาเช่นกัน สายตาสองคู่ประสานกันอยู่ครู่หนึ่งจนหญิงสาวเริ่มรู้สึกร้อนผ่าวๆ ที่ใบหน้าเพราะความเขิน เธอจึงเบือนหน้าหนี จิตตะนัยยังคงมองเธอต่อไปอย่างไม่ลดละเพราะรู้สึกชอบใจในท่าทีแบบนี้เหลือเกิน
“ให้เราไปส่งที่หอนะ รถเราจอดอยู่โน่น” จิตตะนัยพูดพลางชี้นิ้วไปในทิศทางที่ตนจอดรถไว้
“ไม่ดีกว่า ไม่ไว้ใจ” วญิดาปฏิเสธออกมาพร้อมด้วยเหตุผลที่ไม่มีการอ้อมค้อม
“ตรงจัง” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ ที่เธอพูดออกมาตรงๆ และเข้าใจดีถึงเหตุผล จึงไม่อยากเซ้าซี้ แต่ก็มีคำถามต่อจากนั้น “งั้นเปรียวกลับยังไง”
“รถไฟฟ้า”
“งั้นเดี๋ยวเรานั่งรถไฟฟ้าไปส่ง”
“อ้าว! แล้วรถคิมล่ะ”
“ก็เดี๋ยวนั่งรถไฟฟ้ากลับมาเอา”
“ลำบากลำบน”
“แต่คุ้ม” จิตตะนัยรีบสวนกลับอย่างทันควัน และจ้องหน้าเธออีกครั้งพลางยิ้มมุมปาก เขาทำให้หญิงสาวเขินเป็นรอบที่สองจนแก้มของเธอแดงระเรื่อ เธอไม่ปฏิเสธอีกต่อไป เพราะคิดว่าแค่นั่งรถไปด้วยกันคงไม่เป็นไร อีกอย่างหอพักของเธอก็อยู่กลางเมืองมีคนพลุกพล่านไม่ใช่ที่เปลี่ยว
ระหว่างทางที่นั่งรถไปด้วยกัน ทั้งสองต่างก็พากันคุยโน่นนี่สัพเพเหระจนเริ่มคุ้นเคยกันมากขึ้น เพียงไม่นานก็ถึงสถานีที่หมาย จิตตะนัยเดินไปส่งวญิดาถึงหน้าหอพักแล้วยืนคอยจนเธอเดินไปจนลับตา แต่หญิงสาวหันกลับมาเสียก่อน จิตตะนัยจึงโบกมือให้พร้อมทั้งส่งยิ้มหวาน หญิงสาวจึงยิ้มตอบกลับไปเช่นกันแล้วเดินขึ้นหอพักไปในที่สุด
หลังจากที่จิตตะนัยกลับถึงบ้านเขาก็รีบขึ้นไปหลบอยู่ในห้องนอนและออนไลน์ Messenger เพื่อคุยกับหญิงสาวทันทีหลังจากที่แลกอีเมล์กันแล้ว และหลังจากวันนั้นทั้งสองก็เริ่มไปไหนมาไหนด้วยกัน เริ่มคุยกันบ่อยขึ้น แต่ยังคงเว้นระยะห่างไว้ เพราะยังไม่ได้ตกลงความสัมพันธ์ที่แน่นอน แต่ยิ่งนานวันจิตตะนัยก็ยิ่งมั่นใจว่าเธอคนนี้คือคนที่ใช่ที่สุดแล้ว
บ่ายวันหนึ่งในเวลาหลังเลิกเรียน จิตตะนัยก็ขับรถไปรับหญิงสาวที่มหาวิทยาลัยตามปกติ เขาและเธอตกลงกันว่าจะไปดูหนัง แต่จิตตะนัยกลับขับรถออกนอกเส้นทางทำให้หญิงสาวแปลกใจ
“ทำไมไปทางนี้ล่ะ”
“ไม่อยากดูหนังและ ไปกินเค้กดีกว่า”
“อ้าว! แต่เปรียวอยากดูหนังอ่ะ เราก็คุยกันแล้วหนิ”
“ไม่ๆๆ คิมอยากกินเค้ก”
“บ้าจริง ทีหลังก็ไม่ต้องมาถามความเห็นสิ อยากทำอะไรก็ทำแบบเนี้ย” หญิงสาวออกอาการงอนตุ๊บป่องและหันหน้าหนีออกนอกหน้าต่าง
“ทำเป็นงอนไปได้ ไม่ง้อหรอกนะ เชอะ” แต่แทนที่ชายหนุ่มจะง้อเธอ เขากลับแกล้งยียวนกลับไปเสียอย่างนั้น ทำให้วญิดายิ่งอารมณ์เสียมากขึ้นอีก
เมื่อทั้งคู่มาถึงร้านเค้ก ทั้งสองก็มองหาโต๊ะว่างและนั่งรอเค้กที่สั่งไป แต่ระหว่างนั้นวญิดาก็เอาแต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จาซ้ำยังเสหน้ามองไปทางอื่นตลอดไม่มองหน้าคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเลยสักนิด ชายหนุ่มรู้ดีว่าเธอยังไม่หายโกรธ แต่ก็ยังคงไม่ง้อและยังเอาแต่นั่งยิ้มชอบใจในท่าทีแบบนั้นของเธอ เพียงไม่นานเค้กที่สั่งไว้ก็มาเสิร์ฟที่โต๊ะ จิตตะนัยผลักเค้กก้อนนั้นไปทางหญิงสาวโดยไม่พูดอะไร วญิดาแอบเหลือบตามองก็เห็นข้อความข้อความหนึ่ง เธอรีบหันกลับมามองชัดๆ และอ่านมันอีกครั้ง “เป็นแฟนกันนะ” เมื่ออ่านจบวญิดาก็ละสายตาจากเค้กแล้วเงยหน้าขึ้นมองผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามแทน เธอก็พบว่าเขากำลังยิ้มกว้างให้เธออยู่ แต่แทนที่เธอจะดีใจและยิ้มออกมา เธอกลับคิ้วขมวดด้วยใบหน้าที่แสดงอาการหนักใจ ท่าทีแบบนี้ทำให้จิตตะนัยรู้สึกไม่ดีเลย รอยยิ้มเมื่อครู่เริ่มหายไปและคิ้วขมวดขึ้นมาบ้าง
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะเปรียว” หลังจากนั่งเงียบอยู่นาน ในที่สุดฝ่ายชายก็เป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน
“เปรียวว่ามันเร็วไปนะ”
“หรอ งั้นก็....ไม่เป็นไร รอก่อนก็ได้” ปากก็พูดว่าไม่เป็นไร แต่สีหน้าจิตตะนัยตอนนี้แสดงอาการผิดหวังออกมาอย่างเห็นได้ชัด เขาลากเค้กกลับมาที่ตัวเอง แล้วเอาส้อมถูเบาๆ ที่คำว่า “เป็นแฟนกันนะ” ให้เละ และตักเค้กขึ้นมากินหนึ่งคำ ใบหน้าพยายามฝืนยิ้มเหมือนไม่เป็นไร “หืม...อร่อยนะเปรียว ลองกินดูสิ” เขาแสร้งทำเป็นร่าเริงและตื่นเต้นในรสชาติของเค้ก พลางผลักเค้กกลับไปอยู่ตรงกลางโต๊ะเพื่อให้เธอได้กินบ้าง หญิงสาวที่นั่งมองอยู่รู้ดีว่านั่นคือการกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริงของเขา เธอรู้ตัวดีว่าเธอกำลังทำให้เขาเสียใจ แต่เธอก็ยังต้องการเวลาอีกสักนิดเพื่อให้แน่ใจมากกว่านี้ และที่สำคัญลึกๆ ในใจของเธอก็ไม่เคยลืมคู่หมั้นที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกศัตรูคนนั้นได้เลย มันเลยทำให้เธอสับสนและไม่กล้าพอจะตอบรับกับจิตตะนัยในเวลานี้
และเมื่อกลับมาถึงบ้านจิตตะนัยก็เอาแต่เก็บตัวอยู่บนห้อง ร่างยาวนอนก่ายหน้าผากอยู่บนเตียงทั้งๆ ที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษา ที่กลางใบหน้ามีรอยย่นของหน้าผากอย่างครุ่นคิด เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้เขาผิดหวังมากจริงๆ เพราะเขาวาดฝันเอาไว้อย่างดีว่าวันนี้ต้องเป็นวันที่มีความสุขมากที่สุด แต่มันหลับกลายเป็นวันที่รู้สึกแย่ที่สุด และมันก็ทำให้เขาขาดความมั่นใจในตัวเองไปเยอะเลยทีเดียว พลอยคิดไปเรื่อยเปื่อยว่าตัวเองมันคงจะไม่ได้เรื่องจริงๆ คงจะเป็นอย่างที่เพื่อนเคยบอกว่าถ้าหากตนไม่ใช่ลูกนักธุรกิจชื่อดังก็คงไม่มีสาวที่ไหนมอง คิดไปแล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกยาวด้วยความท้อใจ
ความคิดเห็น