ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์รักในรอยแค้น

    ลำดับตอนที่ #7 : คำลวง

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.ค. 55



                    “นี่ไหมได้เจอกับพวกมันแล้วอย่างนั้นหรอ” นี่คือเสียงอุทานที่ดังลั่นบ้านด้วยความตื่นเต้นของวัลลภ หลังจากที่ได้ฟังข่าวคราวบางอย่างจากหลานสาว

                    “ค่ะ พอดีไหมได้เข้าไปทำงานที่นั่น”

                    “นี่ไหมเข้าไปทำงานที่นั่นตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่บอกอาเลย”

                    “ไหมเข้าไปทำงานที่นั่นได้สามวันแล้วค่ะ”

                    ทันทีที่ได้ฟังคำบอกกล่าวจากหลานสาวเขาก็อึ้งไปชั่วขณะ มันเป็นข่าวดีมากและมันก็ทำให้เขาเซอไพร์ซกับมันมาก นี่แหละสิ่งที่เขารอคอยมาตลอด ในที่สุดวญิดาก็เดินทางมาถึงจุดเริ่มต้นเสียที

                    “ทำตำแหน่งอะไร”

                    “เป็นเลขาจักรวุธลูกชายคนโตของไอ้วันชัยค่ะ” สิ้นคำพูดของหญิงสาววัลลภก็ฉีกยิ้มออกมาอย่างชื่นใจ

                    “เป็นเลขาจักรวุธงั้นหรอ เยี่ยมมาก ต่อจากนี้ไปไหมก็เต็มที่เลยนะ ต้องการให้อาช่วยอะไรก็บอก อาว่ามันคงถึงเวลาแล้วแหละที่พวกมันต้องชดใช้ในสิ่งที่พวกมันทำ”

                    “ไหมก็คิดแบบนั้นเหมือนกันค่ะคุณอา”

                    หลังเวลาเลิกงานในวันนี้ วญิดาก็รีบมุ่งหน้ามาที่บ้านของวัลลภทันที เพื่อมาส่งข่าวที่ว่าให้วัลลภทราบ เพราะว่าเรื่องการแก้แค้น เป็นเรื่องที่วัลลภเป็นคนเสี้ยมสอนเธอเอง ในวันนี้เธอจึงต้องมารายงานให้ทราบถึงความคืบหน้า เพื่อให้เขารับรู้ถึงความเคลื่อนไหวของเธอ และเพื่อให้เขาคอยเป็นที่ปรึกษาให้เธออีกด้วย

                     ทันทีที่จักรวุธกลับมาถึงบ้านหลังเลิกงาน วันชัยก็ตามตัวขึ้นไปคุยธุระบางอย่างที่ห้องทำงานของเขา

                    “ครับพ่อ เรียกผมมามีอะไร”

                    “เรื่องไหมกับนภาไปถึงไหนแล้ว” ที่แท้วันชัยก็ตามลูกชายมาคุยเรื่องสองแม่ลูกที่หายไป ซึ่งตนได้มอบให้ลูกชายเป็นคนจัดการเรื่องตามหา

                    “ยังไม่ได้เบาะแสอะไรเลย” แต่คำตอบที่ได้กลับทำให้วันชัยถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกยาว

                    “นี่เราตามหาเขามาสิบกว่าปีแล้วนะ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” เขากล่าวอย่างคนสิ้นหวัง

                    “ผมเชื่อว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ไม่ต้องห่วงนะพ่อ ยังไงผมก็ต้องตามหาพวกเขาให้เจอ ยังไงผมก็ต้องตามหาน้องให้เจอ” จักรวุธกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น แววตาแฝงไปด้วยความเศร้าหมองแต่ยังคงมีความหวัง

                    “แล้วถ้าเขาไม่มีชีวิตอยู่แล้วล่ะ” วันชัยถามขึ้น

                    “ตราบใดที่ผมยังไม่พบใบมรณะบัตรของคุณน้านภา และเด็กหญิงวญิดา อัญนพกุล ผมก็ยังคงเชื่อว่าเขาทั้งสองยังมีชีวิตอยู่” จักรวุธโต้อย่างทันควัน

                    หลังจากนั้นจักรวุธก็กลับมาเก็บตัวอยู่ในห้องนอนของเขาเอง สายตามองเหม่อออกไปนอกหน้าต่างอย่างคนใจลอย เรื่องที่พ่อเรียกไปคุยเมื่อครู่ เป็นเรื่องที่เขาไม่เคยละเลย และเป็นเรื่องที่เขาให้ความสำคัญมาก มากไม่แพ้เรื่องของน้องชายเลย แถมเรื่องนี้ยังทำให้เขาหนักใจยิ่งกว่าเสียอีกเพราะมันเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร สิบห้าปีที่เขายังคงรอคอยการกลับมาของสองแม่ลูกนั่น แต่กลับไม่เคยมีเบาะแสเกี่ยวกับสองคนนั้นเลยแม้แต่น้อย

    ฝ่ามือใหญ่เลื่อนไปเปิดลิ้นชักที่หัวเตียงออก และหยิบบางสิ่งในนั้นออกมา ภาพถ่ายของเขาในสมัยเด็กที่มีเด็กผู้หญิงผูกผมเปียสองข้างยืนขนาบอยู่ แววตาไร้เดียงสาบวกกับรอยยิ้มสดใสนั้นยังคงน่ารักน่าชังไม่เคยเปลี่ยน และมันยังตราตรึงอยู่ในใจของจักรวุธตลอดมา แต่ว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหนกัน และเธอจะเป็นอย่างไรบ้าง และที่สำคัญเธอจะยังรอเขาเหมือนที่เขารอเธออยู่รึเปล่า

                    ในตอนเช้าวญิดามาทำงานตรงเวลาเหมือนเช่นเคย เธอกำลังก้มหน้าก้มตาเคลียเอกสารบนโต๊ะอย่างขะมักเขม้น แต่แล้วอยู่ๆ ก็มีมือทั้งสองข้างของใครคนหนึ่งท้าวลงมาที่โต๊ะทำงานของเธอ เธอจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองและก็พบกับเจ้านายของตนกำลังส่งยิ้มมาให้อย่างเจ้าเล่ห์

                    “คุณจักรวุธ สวัสดีค่ะ”  

                    “มือคุณเป็นไงบ้าง” ชายหนุ่มถามไถ่พร้อมกับเสตามองไปที่มือน้อยที่มีรอยแดง

                    “ค่อยยังชั่วแล้วค่ะ” หญิงสาวตอบพร้อมกับรอยยิ้ม

                    “แต่มันยังแดงอยู่เลย คุณต้องทายาบ่อยๆ นะ มันจะได้หายไวๆ” เขาแสดงอาการเป็นห่วง

    “ค่ะ”

    “เดี๋ยวคุณช่วยชงกาแฟเข้าไปให้ผมในห้องด้วยนะ”

    “ค่ะ”

    หลังจากเสร็จสิ้นคำสั่งจักรวุธก็หายเข้าไปในห้องทำงานของตน เพียงไม่นานกาแฟที่สั่งก็ตามไปเสิร์ฟที่โต๊ะ เมื่อหมดหน้าที่ของตน วญิดาก็หันหลังกลับเพื่อจะเดินออกไปทำงานของตนต่อ แต่ก็มีเสียงเรียกจากเจ้านายทำให้ต้องหันหลังกลับมาที่เขาอีกครั้ง

    “เดี๋ยวก่อนสิ นั่งคุยเป็นเพื่อนผมก่อน”

    “คะ?” วญิดาแสดงอาการแปลกใจ “คุณจักรวุธจะให้ดิฉันนั่งคุยเป็นเพื่อนคุณ มันไม่เสียเวลางานหรอคะ นี่คุณจะหลอกล่อให้ดิฉันโดนหักเงินเดือนหรือไง” วญิดาแกล้งถามในเชิงหยอก

    “คุณนี่มันจริงๆ เลย คิดได้ยังไง” เขาอดขำไม่ได้กับสิ่งที่หญิงสาวพูด “มานั่งนี่เร็ว งานน่ะมันไม่หนีไปไหนหรอก” เขาชี้ไปที่เก้าอี้หนังข้างหน้าโต๊ะทำงานของตน

    “ค่ะ” เธอตอบรับและเดินมานั่งลงตรงข้ามเขา

    “คุณว่าวันนี้ผมหล่อไหม” และอยู่ๆ วญิดาก็ต้องเจอกับคำถามที่ไม่คาดคิด เธอจ้องหน้าเขาอย่างพิจารณาเพื่อเช็คว่าคนตรงหน้าจะมาไม้ไหน และก็พบว่าเขากลับเอาแต่นั่งยิ้มพร้อมกับจ้องมองที่เธอเพื่อรอคำตอบ

    “คุณก็หล่อทุกวันอยู่แล้วหนิคะ” เธอตอบหน้าตาเฉยโดยไม่แสดงอาการเขินอายใด ทำให้เขาหัวเราะชอบใจกับคำตอบนั้น

    “ถ้าผมหล่อ แล้วทำไมคุณไม่เห็นสนใจผมเลย คุณมีแฟนแล้วหรอ” เมื่อคำถามนั้นถูกถามขึ้นมาในขณะที่สายตาเจ้าเล่ห์คู่นั้นยังคงจับจ้องมาที่ใบหน้าของหญิงสาวอย่างไม่ลดละ ทำให้วญิดาเริ่มหน้าแดงและสู้สายตาของเขาไม่ไหวจึงกระเถิบลูกตามองไปทางอื่น

    “ไม่มีค่ะ”

    “แล้วทำไมคุณไม่เห็นสนใจผมเลยล่ะ ฮึ?” ยิ่งเห็นหญิงสาวแสดงอาการเขินแบบนี้ จักรวุธก็ยิ่งได้ใจ เขายังคงถามคำถามเดิมเพื่อรอให้เธอตอบ

    “ไม่บังอาจหรอกค่ะ”

    “แล้วถ้าผมบอกว่าผมสนใจคุณล่ะ” ประโยคนี้ทำให้วญิดาเริ่มวางตัวไม่ถูก เธอเงียบกริบและยิ้มอย่างเขินอาย จักรวุธหัวเราะออกมาอีกครั้งกับสีหน้าที่แดงฉ่ำของเธอ “เอาละๆ ผมไม่กวนคุณและ ไปทำงานต่อเถอะ”

    “ค่ะ” วญิดารีบลุกขึ้นทันทีและรีบเดินไปให้พ้นจากตรงนี้อย่างรีบเร่ง

    “ผมชอบคุณนะ คุณสุมิตรา”
     

    **อยากอ่านตอนนี้แบบเต็มๆ ไปเจอกันในเล่มนะคะ ^^

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×