คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : หนี
เสียงกริ่งที่หน้าบ้านดังขึ้นในขณะที่นภาและลูกกำลังนั่งพักผ่อนอยู่ในห้องนั่งเล่น ไม่นานคนสวนของบ้านก็วิ่งเข้ามารายงาน
“ใครมาล่ะพ่อเพิ่ม” นภาถามขึ้น
“เขาบอกว่าชื่อวัลลภครับ บอกอีกว่าเป็นลูกน้องเก่าของคุณท่าน” จบคำรายงาน นภาก็ยืนนึกอยู่ครู่หนึ่งจนกระทั่งนึกออก
“อ๋อให้เขาเข้ามา และเดี๋ยวให้พาเขาไปพบฉันที่ห้องรับแขกนะ”
เมื่อวัลลภถูกเชิญเข้ามายังห้องรับแขกและเจอกับเจ้าของบ้านที่นั่งรอตนอยู่ตรงโซฟา จึงกล่าวทักทายตามธรรมเนียม “สวัสดีครับคุณนภา”
“สวัสดีจ่ะวัลลภ เชิญนั่งก่อน”
“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มคนดังกล่าวเอ่ยขอบคุณก่อนจะนั่งลงตรงข้ามอย่างมีมารยาท
“ไม่ได้เจอกันซะนาน เป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม” นภาเริ่มถามไถ่สารทุกข์สุขดิบแขกของเธอไปตามเรื่อง
“ก็เรื่อยๆ ครับ ผมต้องขอแสดงความเสียใจเรื่องเจ้านายด้วยนะครับ ผมเพิ่งทราบเรื่องเมื่อสามวันที่แล้ว เลยไม่ทันได้ไปงานศพ”
“ไม่เป็นไรหรอกจ่ะ ขอบใจมากนะ”
“ครับ เอ่อ...คุณนภาครับ ผมมีเรื่องสำคัญมากๆ จะต้องคุยกับคุณ” วัลลภพูดพลางเสลูกกะตาไปทางสาวใช้ที่นั่งอยู่บริเวณใกล้ๆ
“แจ่ม! มีอะไรต้องทำ ก็ไปทำก่อนไป” เมื่อนภาเข้าใจเจตนาของวัลลภ เธอจึงหันไปไล่สาวใช้ให้ออกไปก่อน เพื่อที่จะคุยธุระกัน
“ค่ะคุณนาย” สาวใช้ตอบรับและลุกออกไปทันที
“มีอะไรหรอจ้ะพ่อวัลลภ”
“ผมรู้ว่าถ้าผมพูดไปคุณนายก็คงไม่เชื่อผม แต่ผมก็จำเป็นต้องพูดครับ” วัลลภเริ่มเปิดประเด็นสำคัญที่จะพูดในวันนี้ สีหน้าเคร่งเครียดจนนภายิ่งอยากรู้ว่าวัลลภจะพูดอะไรต่อไป “ผมเป็นญาติกับตำรวจคนหนึ่งครับ และก็บังเอิญมากที่เขาคือคนที่เอารถเจ้านายไปตรวจสอบหลังจากเกิดเหตุ เขาบอกกับผมว่ารถถูกตัดสายเบรกนะครับคุณนภา” จบประโยคนี้นภาก็มีสีหน้าตื่นตระหนกขึ้นมาทันที
“แต่ตอนที่รถชนมันมีรถมาตัดหน้านะ รถไม่ได้เสียหลักเอง” นภาที่ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่วัลลภพูดเถียงขึ้นมาเสียงดัง
“นั่นแหละครับที่ผมคิดว่ามันต้องมีอะไรผิดพลาด”
“ผิดพลาด?” นภาย้ำคำอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่คนตรงหน้าพูด
“ความจริงแล้วคนตัดสายเบรกจงใจให้รถเสียหลักในขณะที่กำลังวิ่งด้วยความเร็วสูง เมื่อถึงจุดที่ต้องเบรก รถก็จะเบรกไม่ทันและอาจถึงขั้นพลิกคว่ำจนแม้แต่คุณนภาและลูกก็อาจไม่รอด ผมว่านั่นคือเจตนาที่แท้จริงของคนทำมากกว่า”
เมื่อนภาได้ฟังดังนั้น เธอก็ตาลุกโพลง “แล้วใครจะทำแบบนั้น เป็นไปไม่ได้หรอก” เธอเถียง
“ก็คนที่ถูกระบุไว้ในพินัยกรรมว่าจะได้หุ้นส่วนทั้งหมดของคุณสุพจน์ไงล่ะครับคุณนภา” ยิ่งพูดมาถึงประโยคนี้ นภาก็ยิ่งไม่เชื่อในสิ่งที่วัลลภพูดอย่างเด็ดขาด
“เป็นไปไม่ได้หรอก พี่วันชัยรักพี่สุพจน์มากถึงกับเคยเกือบตายแทนมาแล้ว เรื่องนี้มันเป็นไปไม่ได้เลย” นภาเถียงเสียงแข็ง
“ผมคิดอยู่แล้วว่าคุณนภาต้องไม่เชื่อ จริงๆ แล้วมันก็ไม่น่าเชื่อหรอกครับ แต่ว่าก่อนที่ผมจะลาออกไป ผมได้ยินเรื่องบางเรื่องมาที่มันไม่ค่อยดีนัก ผมเคยบอกคุณสุพจน์แล้ว แต่แกไม่เชื่อผม เจ้านายเชื่อใจเพื่อนของเขามากกว่า แต่มันก็ไม่แปลกหรอกครับ ผมเข้าใจ แต่ตอนนี้ที่ผมมาที่นี่ก็เพราะผมเป็นห่วงคุณนภากับลูกนะครับ เพราะถ้ามันเป็นแบบนั้นจริง เขาไม่ปล่อยคุณสองคนไว้แน่ๆ เขาคงไม่รอให้ลูกสาวคุณนภาเรียนจบปริญญาตรีเพื่อมาแย่งหุ้นส่วนครึ่งหนึ่งของบริษัทไปหรอกครับ” นภาเริ่มมีสีหน้าเคร่งเครียดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ “คุณสุพจน์เป็นคนดีมาก และผมก็รักแกมาก ผมเลยไม่อยากให้คุณนภากับลูกต้องตกเป็นเหยื่อคนเลวๆ พันนั้น”
“แล้วทำไมตำรวจไม่เห็นบอกกับฉันเลยว่ารถถูกตัดสายเบรก”
“อำนาจเงินซื้อได้ทุกอย่างครับคุณนภา ตอนที่ญาติผมนำเรื่องนี้รายงานกับตำรวจชั้นผู้ใหญ่ แทนที่เขาจะสนใจสืบเรื่องต่อ เขากลับตอบมาว่าอย่าไปสนใจเลยสืบไปก็เสียเวลา ยังมีคดีอื่นให้ทำอีกเยอะ” วัลลภพูดจบประโยคก็เผลอหัวเราะในลำคอ “ผมว่าพวกตำรวจตะกละพวกนั้นมันคงได้เงินค่าปิดหูปิดตามาแล้ว”
นภาไม่ออกความเห็นใดๆ ทั้งสิ้น ดวงตาจ้องมองพื้นพลางคิ้วขมวดอย่างครุ่นคิด
“คุณนภาครับ ขนาดพี่น้องยังฆ่ากันตายเพราะแย่งสมบัติได้ แล้วนี่แค่เพื่อน ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะครับ เรื่องผลประโยชน์มันไม่เข้าใครออกใครหรอกครับ ความโลภทำให้คนเราทำได้ทุกอย่าง ก่อนที่ผมจะลาออก ผมได้ยินมาว่าไอ้วันชัยมันปกปิดรายได้ที่แท้จริงของบริษัทแล้วแบ่งเปอร์เซ็นให้คุณสุพจน์น้อยกว่า คุณสุพจน์เองก็ไว้ใจเพื่อนเลยไม่คิดจะตรวจสอบอะไรเลย ตอนแรกผมก็ว่าจะไม่พูดแล้วนะครับ เพราะเรื่องนี้ผมก็แค่ได้ยินมาจากคนอื่นอีกที แต่เรื่องนี้มันก็ค่อนข้างมีน้ำหนักอยู่เหมือนกัน จากองค์ประกอบหลายๆ อย่างเท่าที่ผมทราบมา คุณนภาคิดให้ดีๆ นะครับ ถ้าคิดดีแล้วโทรหาผม” ว่าแล้ววัลลภก็ล้วงนามบัตรขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อและยื่นให้นภา “ผมยินดีช่วยเหลือคุณกับลูกอย่างเต็มที่นะครับ”
เมื่อจบธุระวัลลภก็กล่าวลาเป็นการทิ้งท้ายและกลับไป เหลือก็แต่เพียงนภาที่กำลังเศร้าโศกกับการเสียสามีไปอย่างไม่มีวันกลับ และยังคงต้องมานั่งครุ่นคิดกับเรื่องที่เพิ่งได้ยินมา ตอนนี้เธอสับสนและลังเลจนสมองแทบจะระเบิด มันคิดอะไรไม่ออกอีกต่อไปแล้ว และไม่สามารถแยกแยะได้เลยว่าอันไหนจริงอันไหนเท็จ แต่ถ้าจะคิดกันจริงๆ วัลลภที่เธอรู้จักคือลูกน้องคนหนึ่งของสามีที่มีความซื่อสัตย์มาก ขยันและก็ยังเป็นคนเก่ง สามีของเธอรักลูกน้องคนนี้มาก และที่สำคัญเขาไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่ต้องโกหกเธอ ในเมื่อเขาก็ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไร เธอเริ่มตั้งสติและค่อยๆ ทบทวนเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้ง เธอนึกย้อนไปถึงวันที่ครอบครัวของวันชัยมาที่บ้านและมาชวนครอบครัวของเธอออกไปเที่ยว
“กิจการของเรานับวันก็ยิ่งเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ฉันว่า...อีกไม่นาน คงต้องขยับขยายโรงงาน และซื้อเครื่องจักรมาเพิ่มอีก ไม่งั้นสินค้าเราต้องผลิตไม่ทันแน่ๆ หรือแกคิดว่าไงวันชัย” สุพจน์ชายหนุ่มอายุราวๆ สามสิบช่วงปลายกล่าวกับเพื่อนสนิทวัยเดียวกันในเชิงปรึกษาถึงเรื่องกิจการของทั้งสองด้วยใบหน้าครุ่นคิด
“เฮ้ย...ไม่เอาน่าสุพจน์ แกพักเรื่องงานไว้ก่อนดีกว่านี่มันก็วันหยุดสบายๆ เรามาคุยเรื่องที่มันผ่อนคลายดีกว่า อย่างเช่นว่าอาทิตย์หน้าเราจะไปเที่ยวไหนกันดี”
ทั้งๆ ที่บริษัทกำลังขยับขยาย ผู้ประกอบการก็ควรจะอยากเฝ้าดูแลกิจการจนไม่อยากไปไหน เหมือนสุพจน์ที่วันๆ เธอก็เห็นเขาเอาแต่นั่งวางแผนธุรกิจของตนเองอย่างหมกมุ่น แต่วันนั้นวันชัยกลับชวนไปเที่ยวหน้าตาเฉย ซึ่งมันจะดูผิดวิสัยไปสักหน่อย หรือวันชัยวางแผนไว้เพื่อการนี้จริงๆ เขาอาจไม่ได้อยากเที่ยว แต่นี่อาจเป็นแผนการพาครอบครัวของเธอไปสังเวยชีวิตต่างหาก เมื่อคิดได้แบบนั้นเธอจึงวิตกกังวลและห่วงลูกน้อยอย่างมาก และสิ่งที่เธอเลือกทำต่อไปก็คือรีบกดโทรศัพท์หาวัลลภทันที
“วัลลภฉันเชื่อเธอแล้ว แล้วฉันควรจะทำยังไงต่อไป ฉันคิดอะไรไม่ออกเลยจริงๆ” ทันทีที่วัลลภรับสาย นภาก็รีบพูดกรอกใส่โทรศัพท์ทันทีอย่างกระวนกระวายมาก เพราะปัญหาหลายๆ อย่างกำลังถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน แล้วผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างเธอจะรับมือไหวได้ยังไงกัน ไหนจะมีลูกที่ต้องดูแล งานนี้คงต้องพึ่งผู้หวังดีอย่างวัลลภเท่านั้น
“คุณนภาใจเย็นๆ นะครับ คุณนภาต้องขายบ้าน ขายทรัพย์สิน ขายมรดกที่มีอยู่ให้หมด เพื่อจะได้เอาเงินไว้ไปหาที่อยู่ใหม่ และตั้งต้นชีวิตใหม่ของคุณกับลูก และคุณกับลูกก็จะต้องหนีไปให้ไกล หนีไปให้พ้นมือคนเลว หนีไปในที่ที่คิดว่ามันจะตามไม่เจอ”
“ได้ๆ ฉันขอบใจเธอมาก ขอบใจมากจริงๆ”
“แต่คุณนภาต้องคอยติดต่อกับผมตลอดนะครับ อย่าคิดที่จะหนีไปอยู่กันสองคนแม่ลูก เพราะมันอันตรายเกินไปครับ”
“ได้จ่ะ ขอบใจเธออีกครั้งนะ ถ้าไม่ได้เธอฉันต้องแย่แน่ๆ เพราะฉันคิดอะไรไม่ออกเลยจริงๆ”
“ไม่เป็นไรครับคุณนภา คุณเองก็เหมือนเจ้านายผมอีกคน อย่าคิดมากนะครับ”
เมื่อได้ยินแบบนั้น นภาก็สบายใจขึ้นจากเดิมมาก จากคราแรกที่เธอคิดไม่ออกและแทบจะหาที่พึ่งไม่เจอ เธอคิดว่าตัวเองจะต้องเร่ร่อนไปกับลูกเพียงสองคน แต่เวลานี้อย่างน้อยเธอก็ยังมีคนที่เป็นห่วงและไว้ใจได้อีกหนึ่งคน
หลังจากนั้นนภาก็จัดการเก็บข้าวเก็บของและปิดประกาศขายบ้าน เธอตัดสินใจว่าจะพาลูกของเธออพยพไปอยู่ที่เชียงใหม่เพราะที่นั่นคงจะไกลพอที่จะพ้นมือคนชั่วได้
ระหว่างทางที่นภากำลังขับรถไป เด็กหญิงตัวน้อยก็ชวนแม่คุยไปเรื่อยเปื่อยอย่างไม่รู้ประสีประสา
“นี่เราจะย้ายบ้านไปที่ไหนคะแม่ แล้วทำไมเราไม่อยู่บ้านเราล่ะคะ”
“แม่จะพาหนูไปอยู่บ้านใหม่จ่ะ บ้านใหม่ที่สวยกว่าบ้านนี้” เพราะลูกยังไร้เดียงสาเกินกว่าจะรับรู้เรื่องราว แม่อย่างนภาจึงต้องแกล้งหลอกลูกไปก่อน รอให้ลูกโตกว่านี้และให้เขาเข้าใจอะไรได้มากกว่านี้ เมื่อถึงวันนั้นลูกสาวของเธอจะต้องได้รับรู้เรื่องราวที่แท้จริงของการจากไปของพ่อเธออย่างแน่นอน
“ไกลจากบ้านหลังเก่ามากไหมคะ”
“ไกลจ่ะลูก”
“แล้วจะได้เจอพี่ครามกับน้องคิมอีกไหมคะแม่”
เมื่อนภาได้ยินชื่อเด็กสองคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกของคนทรยศก็อดเสียความรู้สึกไม่ได้ เธอถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะตอบคำถามลูกน้อย “คงไม่ได้เจอแล้วแหละลูก” เธอตอบเสียงอ่อย
“ว้า...อย่างนี้ไหมก็ไม่มีเพื่อนเล่นแล้วสิคะ” เด็กหญิงบ่นออกมาอย่างไร้เดียงสา
“เดี๋ยวไหมก็มีเพื่อนเล่นใหม่เองแหละลูก”
บ้านหลังใหม่ที่นภาจะย้ายเข้าไปอยู่เป็นบ้านเดี่ยวสองชั้น ซึ่งอยู่ในโครงการบ้านจัดสรร โดยใช้เงินเก็บในบัญชีของสุพจน์ซื้อเอา ขนาดของบ้านหลังไม่ใหญ่มาก และคงเทียบกับหลังเก่าไม่ได้เลย เพราะตอนนี้เธอไม่ได้มีรายได้จากกิจการขนาดใหญ่เหมือนเดิมอีกแล้ว จะทำกินอะไรต่อไปก็ยังคิดไม่ออก บ้านหลังนี้จึงต้องซื้อในขนาดย่อมเพื่อจะมีเงินเหลือไว้ใช้ในสิ่งที่จำเป็นกว่า ส่วนคนใช้ในบ้านก็ยังคงเหลือแจ่มไว้ ส่วนคนอื่นก็เลิกจ้างไปหมด
เมื่อเดินทางมาถึงบ้านใหม่ เธอและสาวใช้ก็ช่วยกันจัดข้าวจัดของ ใช้เวลาเพียงสี่ห้าวันก็เข้าที่เข้าทาง และลำดับต่อมาสิ่งที่เธอต้องทำก็คือเปลี่ยนชื่อนามสกุลของเธอและลูกของเธอเพื่อไม่ให้ใครตามตัวเธอได้ โดยที่เด็กหญิงวญิดา อัญนพกุล ถูกเปลี่ยนเป็นเด็กหญิงสุมิตรา แววแก้ว จากชื่อเล่นไหมก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นเปรียว
“ไหม...หนูจำไว้นะลูก ถ้ามีใครมาถามว่าหนูชื่ออะไร หนูต้องบอกเค้าไปว่าหนูชื่อเปรียว” นภาเริ่มทำความเข้าใจกับลูกสาว
“ทำไมล่ะคะแม่”
“ไว้โตกว่านี้อีกหน่อย แล้วแม่จะเล่าให้หนูฟัง แต่ตอนนี้หนูต้องเชื่อฟังแม่นะลูก จำเอาไว้ว่าหนูชื่อเปรียว” เธอพยายามย้ำกับลูกสาวเสียงเข้ม
“ค่ะแม่” ในที่สุดลูกสาวก็รับคำ
ในช่วงบ่ายของวันหยุดสุดสัปดาห์ วันชัยก็ได้พาครอบครัวมาเยี่ยมนภาและลูกสาวตามประสาคนคุ้นเคย แต่หากจุดประสงค์ที่แท้จริงเขาจะมาเพื่อเยี่ยมเยียนหรือเพื่อการใดก็ไม่อาจทราบได้ แต่ที่แน่ๆ การมาในครั้งนี้เขาก็ต้องพบกับความผิดหวัง เพราะทันทีที่ขับรถมาถึงหน้าบ้านหลังใหญ่ที่คุ้นเคย ก็กลับเจอแต่ความว่างเปล่า พร้อมทั้งมีป้ายประกาศขายติดอยู่หน้ารั้ว วันชัยรีบกดโทรศัพท์หานภาทันทีอย่างรีบร้อน แต่ก็ติดต่อเธอไม่ได้เลย เวลานี้วันชัยเกิดความวิตกอย่างมาก เพราะไม่อาจรู้ได้เลยว่าแม่ลูกหายตัวไปที่ไหน จึงรีบจัดแจงหานักสืบมืออาชีพเพื่อให้ออกตามหาเป็นการใหญ่
ความคิดเห็น