คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : พราก
สวนหย่อมสีเขียวขจีเป็นบริเวณกว้าง ประกอบไปด้วยดอกไม้หลากสีสันประดับอยู่โดยรอบ มีชุดม้านั่งไม้ระแนงสีขาวสะอาดตาวางอยู่กลางสวน แสงแดดยามบ่ายส่องลงมาอ่อนๆ กระทบกับปลายหญ้าต้นเล็กๆ ซึ่งตอนนี้ที่กลางสวนมีเด็กผู้หญิงวัยแปดขวบกับเด็กผู้ชายวัยสิบขวบและหกขวบกำลังวิ่งเล่นไล่จับกันอยู่อย่างสนุกสนาน แต่แล้วเด็กหญิงตัวน้อยก็เผลอไปสะดุดก้อนหินเข้า จนร่างเล็กล้มกองลงกับพื้นอย่างแรง ตามด้วยเสียงร้องไห้กระจองอแงเพราะความเจ็บปวด เด็กชายที่วิ่งตามมาติดๆ จึงรีบทรุดตัวลงดูบาดแผลที่ข้อเท้าเล็กอย่างห่วงใย
“เจ็บมากไหม ไหนพี่ขอดูหน่อย” เด็กชายวัยสิบขวบถามพลางหยิบข้อเท้าที่มีรอยแผลขึ้นมาดู “มีเลือดด้วย พี่ว่าเราเข้าไปใส่ยาในบ้านกันเถอะ” เด็กหญิงพยักหน้าตอบรับอย่างไม่ขัด หลังจากนั้นเด็กชายก็ค่อยๆ พยุงร่างเด็กหญิงขึ้นและเด็กทั้งสามคนก็พากันเดินเข้าบ้านไป
ภายในห้องรับแขกขนาดใหญ่ประดับด้วยโซฟาชุดหรู ก็มีสามีภรรยาสองคู่กำลังนั่งสนทนากันด้วยความคุ้นเคย
“กิจการของเรานับวันก็ยิ่งเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ฉันว่า...อีกไม่นาน คงต้องขยับขยายโรงงาน และซื้อเครื่องจักรมาเพิ่มอีก ไม่งั้นสินค้าเราต้องผลิตไม่ทันแน่ๆ หรือแกคิดว่าไงวันชัย” สุพจน์ชายหนุ่มอายุราวๆ สามสิบช่วงปลายกล่าวกับเพื่อนสนิทวัยเดียวกันในเชิงปรึกษาถึงเรื่องกิจการของทั้งสองด้วยใบหน้าครุ่นคิด
“เฮ้ย...ไม่เอาน่าสุพจน์ แกพักเรื่องงานไว้ก่อนดีกว่านี่มันก็วันหยุดสบายๆ เรามาคุยเรื่องที่มันผ่อนคลายดีกว่า อย่างเช่นว่าอาทิตย์หน้าเราจะไปเที่ยวไหนกันดี” สิ้นคำพูดของวันชัย ฝ่ายภรรยาของทั้งสองก็ตาลุกวาวขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
“จริงด้วยค่ะคุณพี่ นี่เราก็ไม่ได้ไปพักผ่อนกันมานาน เด็กๆ ก็คงอยากเที่ยวอยู่เหมือนกัน ดิฉันว่าเราไปหัวหินกันดีไหมคะ” มณฑิพภรรยาของวันชัยรีบกล่าวสมทบขึ้นมาอย่างทันท้วงที พร้อมทั้งเสนอแนะสถานที่ขึ้นมาเสร็จสรรพ
“ดีเหมือนกันค่ะคุณพี่ ดิฉันก็ไม่ได้ไปหัวหินมานานแล้ว” นภาภรรยาของสุพจน์เสริมขึ้นมาอีก
แต่ระหว่างนั้นเด็กชายก็พยุงร่างเด็กหญิงเข้ามาบริเวณห้องรับแขกพอดี เมื่อนภาหันไปเห็นบาดแผลที่ขาของลูกสาวตัวน้อยก็ตกอกตกใจจนอุทานเสียงหลงขึ้นมา “ว้ายไหม! ไปทำอะไรมาลูกถึงได้เลือดไหลอย่างนั้น” นภารี่เข้าไปที่ร่างของลูกสาวทันทีตามด้วยสุพจน์ วันชัยและมณฑิพก็ค่อยๆ ลุกตามไปดูด้วยความตกใจไม่แพ้กัน
“น้องไหมหกล้มครับคุณน้า ผมเลยพาเข้าบ้านมาใส่ยา” เด็กชายที่พยุงร่างน้อยอยู่ตอบแทนออกมา
“พาน้องไปนั่งที่โซฟาก่อนดีกว่าลูก ไปเร็ว” มณฑิพบอกกับลูกชายพลางชี้นิ้วไปที่โซฟา
“ครับแม่” เด็กชายตอบรับและรีบพาเด็กหญิงไปนั่งที่โซฟาตามที่แม่บอก
“แจ่ม! แจ่ม!!! คุณไหมหกล้มรีบหายามาให้ที” นภาตะโกนสั่งสาวใช้ดังลั่น
“ครามนี่ยังไงกันนะ ไม่ดูแลน้องเลย ปล่อยให้น้องได้แผลมาแบบนี้” มณฑิพกล่าวตำหนิลูกชายพลางทำหน้าดุใส่
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่มณฑิพ อย่าไปว่าแกเลย มันไม่ใช่ความผิดของแก” นภากล่าวขึ้น
“ผมต้องขอโทษด้วยครับคุณน้า ผมดูแลน้องไม่ดี” เด็กชายกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิด
“อย่าโทษตัวเองเลยลูก เราเองก็ยังเด็กจะไปดูแลใครได้ยังไงกัน” นภาแย้งขึ้นมา
“แต่ผมต้องดูแลน้องได้ครับ ผมต้องดูแลให้ได้” เด็กชายกล่าวอย่างหนักแน่นในเชิงให้สัญญา นัยน์ตาจ้องมองเข้าไปที่ใบหน้าเด็กหญิงตัวน้อยที่นั่งเจ็บอยู่อย่างไม่ลดละ เมื่อเด็กหญิงจ้องกลับมาบ้างก็พบกับสายตาคู่นั้น แต่ด้วยความเป็นเด็กที่ไม่รู้ประสีประสาจึงไม่ได้ใส่ใจอะไร
เมื่อสาวใช้เอากล่องยามาให้ นภาก็รีบคว้ามาอย่างกุรีกุจอ แต่ทว่ามือน้อยของเด็กชายก็คว้าไปที่กล่องยาในมือนภาอีกครั้ง “ขอผมทำแผลให้น้องเองนะครับ”
ในคราแรกนภายังคงลังเลที่จะปล่อยกล่องยาให้ เพราะคิดไปว่าตนเป็นผู้ใหญ่ก็น่าจะทำหน้าที่ได้ดีกว่าเด็ก และที่สำคัญตนเป็นแม่ก็ต้องอยากทำให้ลูกเป็นธรรมดา แต่หากว่ามีเสียงแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ใช่ค่ะน้องนภา ให้เจ้าครามดูแลหนูไหมดีกว่านะคะ” มณฑิพที่พยายามให้เด็กสองคนทำความคุ้นเคยกันอยู่แล้ว จึงรีบใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์เสีย และเมื่อเป็นเช่นนี้ นภาเองจึงไม่อยากจะขัดข้องอะไรและยอมปล่อยกล่องยาให้เด็กชายไปแต่โดยดี
เมื่อได้กล่องยาไปแล้วเด็กชายก็ลงมือใส่ยาทำแผลให้เด็กหญิงอย่างเบามือที่สุด ตัวคนเจ็บเองก็นั่งนิ่งให้เขาทำแผลให้อย่างไม่งอแง
เด็กสองคนนี้ถูกจับคู่ให้กันตั้งแต่ยังไม่เกิด เพราะวันชัยและสุพจน์เป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม เขาทั้งสองเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมามาก อีกทั้งยังเคยเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายด้วยกันมา จนกระทั่งวันนี้ก็ยังมาร่วมก่อตั้งบริษัทด้วยกัน จึงไม่แปลกที่เขาจะเคยสัญญากันว่าหากมีลูกต่างเพศกันจะต้องให้ลูกของทั้งคู่แต่งงานกัน ซึ่งก็สมหวัง เมื่อต่างคนต่างก็มีลูกชายและลูกสาวพอดิบพอดี และถึงแม้ว่าเด็กทั้งสองจะยังเด็กอยู่มากแต่พ่อกับแม่ก็คอยเสี้ยมอยู่ตลอดเวลา จนพวกเขาขึ้นใจกับสถานะที่เรียกว่า “คู่หมั้น” ของกันและกันเป็นอย่างดี
“เสร็จแล้วครับน้องไหม” เด็กชายพูดหลังจากที่ทำแผลเสร็จ พร้อมกับวางข้อเท้าเล็กลงกับพื้นอย่างเบามือ
“ขอบคุณค่ะพี่คราม” เด็กหญิงกล่าวพร้อมกับยกมือไหว้
เมื่อเห็นว่าได้เวลาพอสมควรแล้ว ฝ่ายวันชัยและครอบครัวจึงขอตัวลากลับก่อน และล่ำลากันตามธรรมเนียม
ที่ริมชายหาดยามบ่าย แสงอาทิตย์สาดส่องลงมากระทบกับผืนทรายทำให้บรรยากาศดูแจ่มใส เสียงคลื่นปนกับเสียงลมพัดเข้าฝั่งอย่างต่อเนื่อง ทั้งสองครอบครัวกำลังพักผ่อนอยู่บริเวณนี้ด้วยอารมณ์ผ่อนคลาย ฝ่ายผู้ใหญ่ก็นั่งตั้งวงสนทนาพลางจิบเครื่องดื่มเย็นๆ ปล่อยให้เด็กๆ วิ่งเล่นกันในบริเวณใกล้ๆ
“แน่จริงวิ่งตามมาให้ทันสิ” เสียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กตะโกนท้าเด็กผู้ชายสองคนปนด้วยเสียงหัวเราะอย่างร่าเริง
“คิม! วิ่งตามไหมไปเร็ว” ครามตะโกนบอกน้องชายของตนให้วิ่งตามเด็กผู้หญิงตัวน้อยไปด้วยอารมณ์ร่าเริงเช่นกัน
เด็กสามคนวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานจนเหน็ดเหนื่อย จึงเปลี่ยนมานั่งก่อทรายเล่นแทน
“พี่ไหม...พี่ครามมีอะไรจะให้ด้วยแหละ” ในขณะที่นั่งก่อทรายเล่นกันอยู่เพลินๆ อยู่ๆ น้องชายตัวดีของครามก็แกล้งแหย่พี่ชายขึ้นมาอย่างเด็กแก่แดด เด็กหญิงจึงหันไปมองหน้าเจ้าตัวตาแป๋วด้วยความอยากรู้อยากเห็น งานนี้ครามจึงต้องหันไปทำหน้าดุใส่น้องชายเพราะความเขิน แต่นอกจากน้องชายตัวดีจะไม่กลัวสีหน้าแบบนั้นแล้วยังแกล้งทำหน้าทะเล้นใส่ “ไปหาพ่อกับแม่ดีกว่า” ว่าแล้วคิมก็ลุกหนีไปปล่อยให้ครามและไหมอยู่กันเพียงลำพัง
“พี่ครามจะให้อะไรไหมหรอ” เด็กชายหน้าแดงก่ำเพราะความเขินและทำท่าอึกอัก
“เอ่อ...คือ...” เด็กหญิงยังคงจ้องใบหน้าที่แดงก่ำนั้นอย่างไม่ยอมละสายตาเพื่อรอคำพูดต่อจากนี้ด้วยความอยากรู้ “คือเมื่อวานพี่กินขนมแล้วในห่อมันแถมแหวนมาวงหนึ่ง พี่เลยว่าจะเอามาให้ไหม” และในที่สุดเด็กชายก็ยอมพูดออกมา
“แล้วไหนล่ะแหวน เอามาสิไหมอยากใส่แล้ว” เด็กหญิงพูดอย่างตื่นเต้น เด็กชายจึงเอามือล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงและหยิบของสิ่งนั้นออกมา และแหวนพลาสติกสีทองก็ถูกยื่นมาตรงหน้าเด็กหญิง เธอยิ้มกว้างและคว้ามันมาสวมที่นิ้วทันทีพลางกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข เด็กชายเองก็ได้แต่มองเธอและยิ้มตามอย่างพอใจ ถึงแม้ว่าแหวนวงนี้จะเป็นเพียงแหวนของเด็กเล่นที่ดูกิ๊กก๊อกและไม่มีราคาอะไรเลย แต่มันก็ถูกใจเด็กหญิงตัวน้อยๆ อย่างมาก
หลังจากใช้ชีวิตไปกับการพักผ่อนจนเต็มอิ่มแล้ว ทั้งสองครอบครัวก็พากันเดินทางกลับกรุงเทพ แต่หากว่าระหว่างทางกลับเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้น เมื่อรถของสุพจน์กลับถูกรถคันอื่นตัดหน้าขึ้นมาอย่างกระชั้นชิด ทำให้สุพจน์เบรกไม่ทันจึงหักพวงมาลัยหลบกะทันหัน รถเสียหลักพุ่งเข้าไปที่เสาไฟฟ้าอย่างแรงส่งผลให้สุพจน์เสียชีวิตคาที่ ส่วนนภาและไหมบาดเจ็บสาหัสและหมดสติไป
ร่างบางที่นอนหมดสติอยู่บนเตียงคนไข้ค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ เมื่อเริ่มรู้สึกตัว แต่แทนที่คนแรกที่พบจะเป็นสามีและลูกของเธอ แต่กลับกลายเป็นมณฑิพและวันชัยที่ยืนล้อมเตียงเธออยู่ตอนนี้ “นภา! เธอรู้สึกตัวแล้วหรอ” มณฑิพถามด้วยเสียงตื่นเต้น
“ไหมล่ะ ไหม ไหมล่ะ” นภาไม่ทันได้ตอบคำถามของมณฑิพแต่อย่างใด เธอรีบถามหาลูกของเธอทันทีอย่างกระวนกระวาย
“จะเย็นนะนภา ใจเย็นๆ” วันชัยพยามบอกให้นภาสงบลงก่อนจึงค่อยพูดต่อ “หนูไหมปลอดภัยแล้ว เพียงแค่บาดเจ็บนิดหน่อยไม่เป็นอะไรมาก ตอนนี้พักอยู่ห้องข้างๆ พี่ให้เจ้าคิมกับเจ้าครามไปอยู่เป็นเพื่อนแล้ว หนูไหมจะได้ไม่เหงา” เมื่อได้ยินแบบนี้ นภาจึงโล่งอกไปได้ครึ่งหนึ่ง และรีบถามถึงอีกคนอย่างกระวนกระวาย
“แล้วพี่สุพจน์ล่ะคะ” และคำถามนี้ก็ทำให้สองสามีภรรยาต้องหันมองหน้ากันอย่างอัตโนมัติและทำท่าอึกอักก่อนจะตอบ ยิ่งได้เห็นท่าทีแบบนั้น นภาก็ยิ่งใจไม่ดีเข้าไปอีกจนหัวใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะเพราะลุ้นกับคำตอบที่จะได้
“ใจเย็นๆ นะนภา คือ...สุพจน์สิ้นใจแล้ว” และคำตอบที่ออกมาจากปากของวันชัยก็ทำให้นภาแทบสิ้นสติลงไปอีกครั้ง เธอควบคุมตัวเองไม่อยู่อีกต่อไป น้ำตาพรั่งพรูออกมาจนท่วมหน้าท่วมตาไปหมด เสียงร้องไห้ดังลั่นห้องบ่งบอกถึงความทรมานใจ สองสามีภรรยาได้แต่ยืนมองหญิงสาวอย่างสงสาร แต่ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้มากกว่านี้
เมื่อชีวิตคนหนึ่งคนไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้ ชีวิตที่เหลืออยู่ก็คงจะต้องทำหน้าที่แทนต่อไปอย่างที่เคยสัญญากันไว้ วันชัยและสุพจน์เคยสัญญากันเมื่อนานมาแล้วว่าหากคนใดคนหนึ่งเกิดเป็นอะไรไปก็ขอฝากครอบครัวไว้ให้อีกคนดูแลให้ด้วย และวันนี้วันชัยก็ยังคงจำสัญญาข้อนั้นได้ดี วินาทีนี้เขารู้ทันทีว่าเขาจะต้องดูแลนภาและไหม ภรรยาและลูกสาวของเพื่อนรักอย่างไม่ให้ขาดตกบกพร่องอย่างเด็ดขาด
หลังจากเสร็จพิธีศพของสุพจน์ ก็ถึงเวลาเปิดพินัยกรรม ข้อความในพินัยกรรมได้ยกมรดกและทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้กับนภาผู้เป็นภรรยา เว้นก็แต่หุ้นทั้งหมดในบริษัทศตาอัญนพ ที่สุพจน์มอบให้วันชัย ศตายุรนนท์เป็นคนดูแล โดยมีเงื่อนไขว่าหากเด็กหญิงวญิดา อัญนพกุล เรียนจบปริญญาตรีเมื่อไหร่ให้โอนหุ้นท้งหมดในส่วนของตนให้เธอทันที โดยระหว่างนี้รายได้จากหุ้นของตนทั้งหมดให้แบ่งให้นางนภา อัญนพกุลห้าสิบเปอร์เซ็นเป็นรายเดือน
จริงๆ แล้วพินัยกรรมฉบับนี้สุพจน์ไม่ได้เขียนไว้ฝ่ายเดียว แต่หากว่าฝ่ายวันชัยเองก็ได้เขียนพินัยกรรมไว้ในทำนองเดียวกัน เพราะทั้งสองต่างรู้ดีว่าหากตนเองเป็นอะไรไปภรรยาของตนก็คงไม่สามารถดูแลกิจการแทนได้ เพราะเธอทั้งสองต่างก็เรียนมาไม่มาก และหากจะพูดถึงประสบการณ์ก็แทบจะไม่มี จึงให้เพื่อนรักซึ่งเป็นคนที่ไว้ใจได้มากที่สุดดูแลแทน ซึ่งเรื่องนี้นภาเองก็เข้าใจดีถึงเจตนารมณ์ของสามีอยู่แล้ว จึงไม่ได้ขัดข้องอะไรที่พินัยกรรมออกมาเป็นแบบนี้ แต่ในขณะที่อะไรๆ กำลังจะผ่านไปอย่างราบรื่น ก็กลับมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นเสียก่อน
ความคิดเห็น