ตอนที่ 5 : เเผนร้าย!!!
เมื่อเดินมาถึงหน้าร้าน Infusion ฉันก็ทำการจัดระเบียบของเสื้อผ้ารอบตัว และเมื่อแน่ใจแล้วว่าเสื้อผ้าที่ใส่อยู่เรียบร้อยดีแล้วฉันเลยเดินเข้าไปภายในร้าน อยู่พนักงานร้านเดินมาต้อนรับและเอ๋ยถามว่า
จองโต๊ะไว้รึเปล่า
ฉันกำลังจะตอบแต่ฉันสังเกตเห็นใครบางคนโบกมือเรียกอยู่ภายในร้านฉันเลออกปากบอกพนักงานไปว่า
มีคนมาจองโต๊ะไว้แล้วนะคะ
ระหว่างที่บอกพนักงานไปก็มีใครคนหนึ่งโบกมือเรียกให้ฉันเข้าไปหาที่โต๊ะนั้น ฉันจึงเดินเข้าไปรวมตัวกับโต๊ะนั้น
ทางนี้ลูก... คนที่โบกมือให้กับฉันตั้งแต่ที่แรกมันก็คือแม่บังเกิดเกล้าของฉันนี่เองแหละ
รอนานหรือเปล่าค่ะ พอดีถือโอกาสแอบไปดูโซนน้ำหอมแป็บหนึงค่ะ
ไม่นานหรอกจ้า....แม่คนตอบ
ฉันนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับครอบครัวของพี่หนึ่ง พอนั่งลงที่เก้าอี่ก็สังเกตบรรยากาศรอบๆร้าน ร้านนี้มีการแนวเชิงธรรมชาติที่ร่มรีนคล้ายอยู่สวนหลังบ้นของตัวเองมันก็รู้สึกดีเหมือนกันนะ
รอไม่นานหรอกจ้า พี่หนึ่ง เองเขายังมาไม่ถึงเลย
ออ....ค่ะ
อีกไม่นานป้าว่าเค้าก็มาถึงแล้วละ หลังจกที่ ป้านิด แม่ชองพี่หนึ่งบอกกับฉันอย่างนั้นแล้วก็กลับไปสนใจบุคคลโต๊ะอาหารครั้งนี้ต่อ
อ้อ ฉันยังไม่ได้บอกใช่ไหมว่าวันนี้ครอบครัวเรามาร่วมโต๊ะอาหารกับใคร ถึงแม้ว่า พ่อ เองไม่ได้บอก
จากปากของแกเองแต่ฉันก็พอเดาได้ว่าจะต้องเป็น พี่หนึ่งแน่ๆ (ชี้โพรงให้ซะชัดเจนขนาดเน้)
อยู่ๆป้านิดก็ขัดจังหวะโดยการชวนพวกเราทั้งหมดสั่งเมนูอาหารเธอพร้อมโบกมือให้สัญญาณเรียกพนักงานให้มารับรายชื่อเมนูอาหารของโต๊ะกลุ่มนี้
“เออ งั้นป้าเรามาสั่งอาหารกันดีกว่านะ”
ทุกคนต่างรับรายชื่อเมนูจากพนักงานร้าน เปิดอ่านฉันเปิดพลิกไปพลิกมาเมื่อเห็นเมนูปลาจึงสั่งพนักงานไป ทุกคนต่างพากันสั่งอาหารคนละอย่าง สออย่างแล้วทุกคนก็เอาเมนูคืนพนักงานไป
แล้วไม่คาดคิดมีใครบางคนเข้ามาสมทมในโต๊ะอาหาร (ความคิดก็คิดไว้แล้วอะนะ)
เออ ขอโทษที่มาสายนะครับ
อ้าวมาแล้ว พึ่งเลิกงานใช่ไหมตาหนึ่ง
ครับ แม่
ฉันยินชื่อนี่ถึงกับสะดุ้ง เลยหั่นหลังกลับไปมองพอเห็นหน้าเท่านั้นแหละ...
คุณ/คุณ
เราพูดพร้อมกันจนแม่ทักว่ารู้จักกันเหรอ ฉันเลยตอบไปว่า
คนที่เป็นฝ่ายตอบคำถาของกลุ่มผู้ใหญ่ก็คือตัวของพี่หนึ่งเอง เออคือ อย่างนี้ครับพวกผมเจอกันเมื่อเข้านี้ตอนที่ผมไปซื้อกาแฟน่ะครับ...
และเพื่อความสมบูรณ์ในรูปประโยคที่เขาบอกฉันก็พูดสมทบอีกแรงเพื่อให้หมดข้อสงสัยในวงโต๊ะอาหาร
เมื่อทุกคนต่างเข้าใจดีแล้วพี่เขาก็จัดการเอาร่างของตัวเองมานั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามที่ยังว่างอยู่ พ่อฉันบอกกับเขาว่าสั่งตามสบายตามระเบียบอะนะ ได้ยินดังปากพ่อบอกเขาไม่รอช้าที่จะโบกมือเรียกพนักงานเมนูของตัวเอง ไม่นานอาหารที่สั่งก็ทยอยมาเสิร์ฟถึงโต๊ะ ระหว่างพวกเราทานอาหารก็มีบทสนทนาจากกลุ่มของผู้ใหญ่มาผ่านหูของพวกเราสองคนไม่ขาดและพวกท่านคุยกันอย่างออกรส ในฝั่งอย่างเราก็นั่งทานอาหารที่มาสั่งแบบเงียบๆสองคน
ระหว่างนั้นทานของคาวจบลง ก็มาต่อที่ของหวานล้างปาก (ลืมบอกไปว่าร้านนี้มีทั้งของคาวและของหวานที่เดียวจบ) หลังจากสั่งไม่นานของหวานที่พวกเราสั่งก็มาที่โต๊ะ ครานี้เลือกที่จะสั่งเค้กมาหลายๆชิ้นแล้วค่อยมาเลือกรสชาติที่ตัวเองชอบ และวงสนทนาก็ผ่านไปอย่างเพลินปากเหมือนเดิมแล้วฉันก็สะดุดกับประโยคหนึ่งในวงสนทนา
เราสองคนรู้ใช่ไหมที่พวกลุงกับป้าเรียกเราสองคนมาวันนี้ทำไม... พ่อฉันเป็นคนเอ๋ยก่อนจะเริ่มบทสนทนา
ได้ยินดังนั้นเราหั่นหน้ามองกันทันที แล้วพ่อเรียกมาทำไมละคะ
คือ.....
(บรรยากาศเงียบสักพัก พ่อไม่ตอบตำถามของฉันแต่กลับเบี่ยงเปนประเด็นอื่นแทนแต่ก็ไม่หัวข้อหลักในวันนี้)
ไหนๆเราทั้งสองก็เจอกันแล้คงไมต้องแนะนำตัวอะไรมากมายเน๊อะ
(คราวนี้ถึงตาลุงนพ พ่อของอีกบ้านพูดบ้าง) เออคืออย่างนี้นะว่าลุงอยากให้เราทั้งสองคนแต่งงานกันน่ะ
เมื่อฉันเองได้ยินจุดประสงค์ของการมาทานอาหารร่วมกันในวันนี้แล้วฉันเลยหันหน้าไปทาผู้เป็นแม่บังเกิดเกล้าเพื่อค้นหาคำตอบทันที แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาเป็นคำตอบคือ แววตาที่ว่างเปล่ากับรอยยิ้มที่ดูแปลก เมื่อเป็นอย่างนั้นฉันและเลยหันหน้ามองหากันต่อตาอยู่สักพัก มันเป็นฝ่ายฉันเองที่ทนสายตาของเขาเองไม่ได้จึงของอนุญาตผู้ร่วมโต๊ะอาหารไปเข้าห้องน้ำทันควัน ฉันใช้เวลาในการเข้าห้องน้ำไม่นานักระหว่างทำธุระส่วนตัวหัวสมองก็แลนอยู่ตลอดกับเรื่องของเหตุการณ์เมือสักครู่ ตลอดทางของการเดินกับร้านอาหารมันก็มีคำถามมากมายเกี่ยวกับเรื่องเขา
เท้าก็เดิน สมองก็คิดเท้าสาวเดินเรื่อยๆแต่เดินไปเดินมาก็มีคนมายื่นดักหน้าก่อนที่จะเดินไปถึงร้าน ผู้ชายคนนั้นก็คือคนที่สมองคิดตลอดที่ฉันเดินเท้ามาจากห้องน้ำนั้นเอง ทันทีที่เขาเห็นฉันเขาจับแขนฉันเดินให้ออกห่างจากพื้นที่ความวุ่นวายตรงนั้น
นี่.....ปล่อยฉันนะคุณหนึ่ง (ฉันบ่นตลอดทางเดินอะนะ)
ไม่ปล่อยเรามีเรื่องต้องคุยกัน
เดี่ยวแล้วนี่ จะพาฉันไปไหน
อะ...นี่ไงถึงล่ะ เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง เรื่องแต่งงานของเราสองคน
แล้วมันทำไมเหรอ.... (ฉันถามด้วยความอยากจะรู้ส่วนตัว) เขากดเสียงให้เป็นโทนปกติ
นี่ แสดงว่าคุณยังไม่รู้ใช่ไหมเราแต่งงานกันเพราะอะไร ถ้าอย่างนั้นผมจะบอกให้ก็ได้ว่า พ่อขอคุณอยากจะทำโครงการที่เกี่ยวโรงพยาบาลของผมต่อในระยะยางแต่ไอ้งานที่ว่าเนี้ยมันใกล้จะล้มแล้วน่ะ
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการแต่งงานล่ะค่ะ
ก็เราเลยต้องแต่งงากันเพื่อค้นหาความจริงในครั้งนี้ของโครงว่าใครเป็นคนโกงไง
ในที่สุดฉันก็รู้ถึงจุดประสงค์ที่แท้การแต่งงานครั้งนี้แล้วก็พอเข้าใจอยู่หรอก แต่ไอ้คนที่ฉันที่จะต้องแต่งงานด้วยต้องเป็นเขา คิดอยู่สักพักก็ทำการให้คำตอบเขาไป เอาอย่างนั้นก็ได้แต่มันต้องมีข้อแม้มากกว่านั้น
ข้อแม้อะไรของคุณอีก...
ยังไม่รู้อ่ะคิดดูก่อน
แต่ตอนนี้ผมว่านะเรารีบกลับเข้ไปในร้านดีกว่าเดีก่อนที่ลุงกับป้าจะสงสัย ไปกัน!!!!
เขาไม่พูดเปล่าเขาคว้ามือของฉันไปจับเองโดยไม่ถามสักคำและสิ่งที่เขากำลังทำมันกลายเป็นจุดสนใจให้บุคคลรอบข้างไม่น้อยเดินไปก็มีเสียงซุปซิปของคนที่เราเดินผ่านตลอดทาง จนถึงหน้าร้านอาหารฉันเองก็ขัดขื่นดึงมือออกตลอดทางแต่ก็ไม่สำเร็จ เขาจับมือฉันแบบนี้เข้าร้านสิ่งที่เขาทำก็เป็นจุดสนใจตามเคย แต่มันก็เป็นจุดสนใจน้อยกว่าบุคคลที่กำลังนั่งรอเราอยู่ที่โต๊ะอาหารต่างจับจ้องตากันเป็นตาเดียว
โห...มากันแล้วค่ะคุณ
ขอโทษนะครับที่ให้ทุกคนรอนาน
มากันแล้วเหรอลูก นี่พ่อกับแม่จะกลับกันแล้วนะลูกจะกลับกันเลยรึเปล่ารึจะอยู่ต่อ
กลับเลยดีกว่าค่ะ
อ้อ...งั้นเอาอย่างงี้เดี๋ยวให้พี่หนึ่งเขาไปส่งดีกว่าเพื่อความปลอดภัยนะ
(เพื่อความปลอดภัยรึอะไรกันแน่ค่ะ)
เออ ไม่เป็นไรหรอกค่ะพอดีวันนี้หนูจะพักที่คอนโดนะคะเพื่อความสะดวกในการทำงานพรุ่งนี้อะค่ะ
งั้นก็ได้ข้อสรุปแล้วว่าเดี๋ยวหนูให้ตาธีไปส่งหนูส่วนเรื่องรถของหนูเดี๋ยวลุงจะให้คนขับรถของลุง ขับรถของหนูไปจอดที่คอนโดหนูให้
คุณลุงพูดมาซะขนาดนี้ใครจะไปกล้าขัด ยิ่งเกลงใจซะมากกว่านิสิชั่งแตกต่างลูกท่านมากเลยฉันเริ่มไม่แน่ใจว่าฉันจะอยู่กับเขารอดไปจนถึงสองปีตามกำหนดได้หรือเปล่านะ
และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ฉันจำเป็นต้องมานั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้เขาอยู่ตอนนี้ บรรยากาศภายในรถน่ะเหรอ ต้องเรียกว่าถ้าไม่เปิดวิทยุคอลระหว่างขับรถมันก็เรียกได้ว่าเงียบยิ่งกว่าป่าช้าซะอีก ด้วยความที่รถเงียบฉันหันหน้าไปที่กระจกด้านข้างรถมองวิวนอกรถไปพรางระหว่างที่เขาขับรถและระหว่างนั้นก็เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมันคือโทรศัพท์ของฉันเอง ฉันคว้ามันออกจากกระเป๋ามาดูว่าใครโทรมา ก็พบว่าเป็นยั้ยน้ำรินโทรมานั้นเอง
ว่าไงแก...
วันนี้ว่างป่ะ กะว่าจะชวนแกไปเที่ยวซะหน่อย
เอาดิ... วันนี้กะว่าจะไม่กลับบ้านอยู่แล้วอะ
เยส...งั้นเอาอย่างงี้เดี๋ยวเจอกัน
เออ....
ไม่รู้ว่าเขาจะได้ยินที่ฉันคุยกับมากรึน้อย แต่ใคจะไปสนใจล่ะ แล้วก็ใช้เวลานานพอสมควรที่รถของเขาจะฝ่าจารจรรถติดจนมาถึงคอนโดของฉันจนได้แต่เขาก็ไม่ยอมกลับง่ายๆ เขาทำการจองรถที่ลานจอดแล้วก็เดินตามหลังฉันมาอย่างติดๆจนมาถึงหน้าห้องของฉันเองนี่แหละ
นี่คุณจะตามฉันไม่ถึงไหน ไม่คิดว่าจะกลับบ้ายตัวเองรึไง
ก็อยากกลับอยู่หรอกนะ แต่สิ่งที่ผมทำอยู่นี่มันมีความสำคัญมากกว่าไง
ห๊ะ ว่ายังไงนะเขาพูดพร้อมขยับตัวเองเข้ามาใกล้แถมตอนนี้เขาก็เลื่อนหน้าเข้ามใกล้จนจมูกชนกันอยู่แล้ว สิ่งที่เขาพูดหมายถึงอะไรกันแน่ดูภายในเขาก็ดูอบอุ่นดีเหมือนกันนะ เดี๋ยวๆแล้วฉันจะเคลิ้มทำไมล่ะเนีย
ทำไมแก้มแดงเลย เขินเหรอคุณ
ใครเขิน.....(ใครมันจะไม่เขินละก็เล่นมาใกล้ขนาดนี้ พ่อคุณ)
แล้วนี้คุณจะไปปาร์ตี้ที่ไหน
ทำไม....จะไปส่งรึไง
ใช่ไง...คิดอะไรออกล่ะในเมื่อคุณคิดข้อเสอนบ้าเมื่อเช้าขึ้นมา (ไม่รู้ว่ามีกี่ข้อนะ) ผมขอตั้งมันขึ้นมาบ้าง
อะไร....
ขอตั้งกฎว่าต่อจากนี้ไปคุณจะต้องไปกับผมทุกที่
ห๊ะ...ฉัน้เนี้ยนะ
ใช่ ถ้าไม่ใช่คุณแล้วจะเป็นใคร นี่ไปปาร์ตี้ยังไม่ไปเปลี่ยนชุดสิแต่ก่อนไปผมขอโทรศัพท์ของคุณให้ผมก่อน
ฉันก็ได้เต็มใจให้หรอกมีแต่เขาที่ค่อยจะแย่งสิ่งนี้ออกจากมือ ด้วยการที่เขาตัวของเขามาอยู่ติดกับตัวฉันผ่านการกอดหน้าซนหน้าแบบนี้ใครก็ยอม
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
