คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1
ตอนที่ 1
เป็นเวลาค่ำแก่แล้ว แต่หญิงสาวยังคงนั่งอยู่ที่ศาลารอรถประจำทางซึ่งเธอใช้เป็นที่หลบฝนห่าใหญ่เมื่อครู่พร้อมกับกระเป๋าซึ่งบรรจุของสำคัญของตัวเองเอาไว้ทุกอย่าง เธอกระพือเสื้อไล่ความชื้นที่ยังคงหลงเหลืออยู่ให้สบายตัวยิ่งขึ้นและไม่ให้แนบเนื้อจนเห็นส่วนเว้าส่วนโค้งอันอุดมสมส่วนของสตรีเพศจนเกินไป
ดวงหน้าหวานคมซับสีเรื่อเล็กน้อย ดวงตาสีนิลล้อมกรอบด้วยแพขนตายาวงอนมีรอยหม่นอย่างคิดหนัก จมูกโด่งรั้นนิดๆ แดงก่ำหลังการสะอื้น ริมฝีปากบางสีกลีบกุหลาบเม้มแน่นจนแทบจะเป็นเส้นตรงด้วยความคิดใคร่ครวญถนัดถนี่
แม้จะพยายามคิดพิจารณารอบแล้วรอบเล่าเพื่อเลือกหาหนทางแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องและปลอดภัยกับตนมากที่สุดนอกจากการขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น เธอก็ยังไม่สามารถจะหาหนทางที่ว่านั้นได้ เลยรู้สึกอับจนต่อทุกสิ่ง หมดหวังและหดหู่จนยากจะพรรณนา
เธอมองโทรศัพท์มือถือในมือ น้ำฝนทำให้มันใช้การไม่ได้เสียแล้ว ด้วยความรีบร้อนจะออกจากบ้าน ทำให้เธอไม่ได้พกเงินมาให้มากพอที่จะจ่ายค่ารถประจำทางและค่าโทรศัพท์ จึงจำเป็นต้องเลือกเก็บไว้สำหรับจ่ายค่ารถ
แสงไฟหน้ารถประจำทางส่องเข้ามา หญิงสาวรีบวิ่งขึ้นรถทันทีด้วยความร้อนใจ นำเงินก้อนสุดท้ายส่งยื่นให้หญิงวัยกลางคนที่ตวัดกระป๋องใส่เงินฉับๆ ตามมา อดไม่ได้ที่จะมองส่งมันด้วยความอาลัย
เงินก้อนสุดท้าย
ดวงตาสีนิลหม่นหมองขึ้นไปอีก เธอไม่ได้นึกอยากวิ่งตากฝนจากบ้านของตนมาซมซานเช่นนี้หรอก แต่เธอกำลังหนีต่างหาก หนีจากการแต่งงานกับหลานของแม่เลี้ยงที่จัดหามาให้ นี่ถ้าพ่ออยู่...
นิลปัทม์กลั้นสะอื้น ใบหน้าหล่อเหลาใจดีของบิดาลอยเข้ามาในห้วงคำนึง พ่อไม่น่าอายุสั้น ท่านจากไปด้วยโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร ถ้าท่านไม่โหมงานหนักมากและเธอใส่ใจพ่อมากกว่านี้ ชวนพ่อไปตรวจร่างกายบ่อยๆ คงจะพบเจ้าตัวร้ายนั่นก่อนที่จะลามเป็นระยะที่สามแน่นอน
พ่อภานุคงจะไปอยู่กับแม่ประภัสสรที่แสนใจดี เธอด่วนจากไปตั้งแต่นิลปัทม์ยังเป็นเด็กประถมต้นด้วยอุบัติเหตุทางท้องถนน ตอนนี้หล่อนไม่เหลือใคร เหลือเพียงแต่แม่เลี้ยงคนนั้นเพียงคนเดียวที่พึ่งไม่ได้เลย ทั้งยังจะนำความเดือดร้อนมาให้ไม่ว่างเว้น
หญิงสาวนึกถึงเพื่อนสนิท สกาวใจ บุตรสาวของคุณหญิงอมรรัตน์และคุณนภดล เธอต้องไปยังที่พึ่งสุดท้ายของเธอ ผู้ใหญ่ทั้งสองใจดีกับเธอมาก คิดว่าท่านต้องช่วยเธอได้แน่นอน
รถแล่นมาจนสุดปลายสาย นิลปัทม์ก้าวลงจากรถด้วยความรู้สึกวังเวงเหลือจะกล่าว ระยะทางไปบ้านสกาวใจอยู่จนเกือบสุดซอย นี่ก็ค่ำมากแล้ว เธอจะไปถึงหรือเปล่านะ เงินก็ไม่มีแม้แต่บาทเดียว หญิงสาวกลั้นใจก้าวเท้าเข้าสู่ซอยเปลี่ยว มีหลายครั้งที่จิตใต้สำนึกระแวงภัยของผู้หญิงทำให้เกิดภาพหลอนไปว่ามีใครกำลังตามเธอมา ตลอดระยะเวลาเพียงสองกิโลเมตรของเธอจึงเต็มไปด้วยความสั่นประสาท
เสียงมอเตอร์ไซค์ที่กำลังคืบใกล้เข้ามา ทำให้หญิงสาวสะดุ้งด้วยความหวาดผวา รีบวิ่งไปหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ข้างถนน ซ่อนเร้นกายให้พ้นจากสายตาของผู้สัญจรผ่าน เธอหวาดระแวงผู้คนในยามค่ำเช่นนี้เพราะเธอไม่ทราบว่าคนเหล่านั้นหวังดีกับเธอจริงหรือเปล่า ข่าว 'คาว' ตามหน้าหนังสือพิมพ์ก็มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ
นิลปัทม์พยุงร่างตัวเองให้เดินต่อด้วยความลำบาก เธอทั้งหิวโซ ทั้งเมื่อยล้า และเหนื่อยใจเหลือเกิน ทั้งยังต้องมาพบกับความกดดันยามค่ำคืนเช่นนี้อีก ทำให้รู้สึกเหนื่อยมากกว่าเดิมเป็นทวีคูณ
แสงไฟหน้าประตูรั้วของบ้านหลังหนึ่งทำให้เธอใจชื้นขึ้นมานิดหน่อย อย่างน้อยถ้าเธอไปนั่งพักที่นั่นสักสิบห้านาทีอาจทำให้มีแรงขึ้น คิดได้เช่นนั้นก็นำพาร่างของตนไปที่ประตูเล็กหน้าบ้านและทรุดตัวลงนั่งพิงประตูทันที
การพักเป็นสิ่งที่ร่างกายของเธอต้องการมากที่สุดในตอนนี้ นิลปัทม์เหยียดขาเหยียดแขนด้วยความเมื่อยล้าจนเกิดเสียงลั่นของกระดูก หอบหายใจฮั่กเพราะผ่านการเดินเท้าเป็นกิโลฯด้วยร่างกายที่อ่อนล้า ไม่น่าเชื่อว่าจากที่ตั้งใจจะนั่งพักแค่ให้หายเหนื่อย จะทำให้เธอเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัวเพราะความเหนื่อยแสนสาหัสนั่นเองที่กำลังทำพิษ
ฮาชิมเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูเล็กอีกฝั่งหนึ่ง เขาหันไปมองร่างสูงตระหง่านของผู้เป็นนายด้วยสายตาขอความคิดเห็น ซึ่งไม่ต้องรอคำตอบนานเพราะไฟซาลเปิดประตูเล็กที่ร่างกลมกลึงยึดไว้เป็นที่พำนักพิงแล้วใช้วงแขนของตนรองรับร่างระทวยนั้นไว้ในอ้อมแขนอย่างนุ่มนวล
แสงไฟสีเหลืองนวลดวงน้อยฉาบไล้บนใบหน้าหญิงสาวให้อ่อนละมุน ชายหนุ่มพิศมองหล่อนด้วยความพึงพอใจและคิดว่าคุ้นตาอย่างไรชอบกล เขาช้อนอุ้มร่างนุ่มนิ่มไว้ในอ้อมแขนแล้วเดินกลับบ้านพักชั่วคราวของตนโดยมี 'องครักษ์' ถือกระเป๋าของหญิงสาวเดินตามไปอย่างเงียบเชียบ
‘รู้จักไว้ซะ นี่คือคนที่จะมาเป็นสามีของเธอ' น้ำเสียงอันแสนเย็นชาลอดผ่านจากริมฝีปากแดงสดของมารดาเลี้ยง นัยน์ตามุ่งร้ายและกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในที สบจ้องมองเธอราวกับแมวจ้องเหยื่อ
หญิงสาวมองชายร่างสูงที่ทรุดตัวลงนั่งอยู่ตรงข้ามฝั่งโซฟาด้วยความขวัญเสีย เขาเป็นชายผิวขาวสะอ้านแลดูสำอาง หน้าตาหล่อเหลา โครงหน้าคล้ายคลึงกับสุพัตรา แสดงชัดว่าเกี่ยวดองกันทางวงศ์วานว่านเครือ
รอยยิ้มน่าเกลียดต่างจากความหล่อเหลาของใบหน้าเผยผุด สายตาซึ่งฉายประกายไม่น่าไว้วางใจกวาดมองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างไม่พึงรักษามารยาท มันทำให้เธอสั่นไปทั้งร่างด้วยความหวาดกลัว
'เขาชื่อวิทยา อยู่คุยกันไปก่อนก็แล้วกัน ฉันจะออกไปงานเลี้ยงราตรีสโมสร' สุพัตราคว้ากระเป๋ายี่ห้อหรูของตน ส่งสัญญาณสายตาบางอย่างกับวิทยาก่อนจะปรายตามองเธออย่างไม่ใยดีแล้วเดินออกจากห้องไปโดยไม่สนใจเสียงร้องทักท้วงของเธอแม้เพียงนิด
นิลปัทม์กระวนกระวายใจอย่างหนัก การที่มารดาเลี้ยงจากไปในตอนนี้ราวกับเปิดโอกาสบางอย่างให้แก่ชายหนุ่ม ทำให้เธอไม่ต่างอะไรจากหนูตัวจ้อยในสายตาของแร้งอุบาทว์ที่พร้อมจะจิกทึ้งเธอได้ทุกเมื่อ
'เธอสวยดีนะ'
เป็นคำแรกที่เอ่ยจากปากรูปสวยนั้น พร้อมกับร่างสูงลุกขึ้นเดินเข้ามาทรุดตัวนั่งข้างกายเธอซึ่งเขยิบหนีอย่างระแวดระวัง พึมพำขอบคุณตามมารยาทเสียงแผ่วสั่น
'เขยิบมาใกล้ๆ ซิ' เขาบอก แต่หญิงสาวไม่ทำตามโดยง่าย ดวงตาสีนิลจับจ้องนิ่งที่ประตูทางออกด้วยความคิดหลีกหนี
'ไม่เหมาะค่ะ เราอยู่ในที่รโหฐาน จะถูกครหาได้'
'จะมีใครสนใจในเมื่อเราก็จะเป็นผัวเมียกันแล้ว'
วาจาหยาบคายจู่โจมทำให้เธอรู้สึกตกใจ หน้าม้านด้วยความอับอาย ถลาตัวลุกขึ้นวิ่งเมื่อเห็นฝ่ายชายเอื้อมมือหมายจะตะครุบตัวเธอไว้
หญิงสาวไม่คิดว่ารูปกายที่ดูสุภาพนั้นจะสามารถหยาบคายได้เพียงนี้ เขากับเธอเจอกันเป็นครั้งแรกแทนที่จะพูดจากันด้วยความสุภาพ แต่เขากลับแสดงความเถื่อนกักขฬะออกมาทางวาจาและกิริยาอย่างร้ายกาจ
มีคำกล่าวว่ารู้หน้าไม่รู้ใจ ในนาทีนี้เธอเข้าใจมันอย่างแจ่มแจ้งทีเดียว
ร่างกลมกลึงถลาหลังเซหลุนๆ ลงไปกลิ้งกับพื้นด้วยแรงกระชากเหวี่ยงของบุรุษสันดานหยาบช้า เธอหวีดร้องด้วยความตระหนก พยายามผุดลุกขึ้นแต่ไม่เป็นผล เพราะวิทยากระโจนขึ้นคร่อมกายเธอ ฝ่ามือใหญ่หยาบกระชับแน่นที่ลำคอสาว
'จะหนีทำไมฮึ' เมื่อเห็นว่าสตรีสาวไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เพราะความอ่อนแอกว่าก็ย่ามใจ บีบลำคอขาวนวลแน่นขึ้นอย่างข่มขู่และอวดศักดานุภาพ
'ปะ...ปล่อยฉันเถอะ...ดะ...ได้โปรด' นิลปัทม์เต็มไปด้วยความหวาดกลัวสุดจิต ดิ้นรนบิดกายหนีแต่ไร้ผล ฝ่ามือใหญ่ยิ่งทวีกำชับแน่นขึ้นจนเธอต้องไอโขลก เพราะหายใจไม่ค่อยออก ทุรนทุรายปานจะขาดใจไปในเสี้ยวนาทีนั้น
'โอกาสงามๆ แบบนี้ปล่อยไปก็โง่เต็มทน' บอกพร้อมคลายมือออกแต่ยังไม่ยอมปล่อยโดยง่าย ดวงตาเต็มไปด้วยแรงแห่งโลภฤทธิ์และกำหนัดจิตกวาดมองหญิงสาวที่กำลังหายใจกระหืดกระหอบน่าสมเพชอย่างโลมเลีย
'มีเมียสวยขนาดนี้ แถมยังจะได้เป็นเจ้าของเงินมรดกอีก แหม...จะมีอะไรที่ดีไปกว่านี้ล่ะ' พูดพร้อมหัวเราะอย่างสมจิตสมใจ
'ฉันไม่มีทางให้อะไรคุณ!' นิลปัทม์น้ำตานองหน้า ปากสั่นระริก แม้จะหวาดกลัวแต่ก็มีความทระนงที่จะตอบโต้
'เธอไม่ให้ฉันก็ตบ เธอไม่เซ็นฉันก็เตะ เธอไม่ยินยอมฉันก็ต่อย' ชายหนุ่มพูดอย่างอารมณ์ดี 'ฉันมีสารพัดวิธีที่จะทำให้เธอยกทุกอย่างให้ฉัน รวมถึงตัวของเธอ'
'หยาบช้า สารเลว ชาติชั่ว'
จบคำผรุสวาท ใบหน้างามก็สะบัดหันโดยแรงตามแรงตบ หน้าชายิบไปทั้งซีก จะอย่างไรก็ตาม ในม่านคลองจักษุชลเธอก็เห็นทางรอดใกล้แค่เอื้อม มีดปอกผลไม้บนตั่งโต๊ะเล็กวางอยู่หมิ่นเหม่ แสงโคมไฟระย้าส่องกระทบความคมของมันจนเห็นเป็นเงาวับ
'ปากดีนัก! อยากจะรู้เหลือเกินว่าถ้าตกเป็นเมียฉันแล้วยังจะปากดีอย่างนี้อยู่รึเปล่า!' วิทยาคำรามเดือดดาล หาได้สำเหนียกถึงความคิดของหญิงสาวไม่ ชายหนุ่มลุกขึ้นพร้อมกระชากร่างกลมกลึงติดมือขึ้นมา นิลปัทม์ใช้โอกาสนั้นฉวยมีดมั่นมือแล้วหลับหูหลับตาจ้วงแทงไปไม้ยั้งมือ
ร่างสูงตัวงอ ใบหน้าบิดเบี้ยวซีดเผือด ดวงตาฉายแววเจ็บปวดราวสัตว์เจ็บ ค่อยๆ ทรุดตัวลงงอก่องอขิงด้วยความทรมานปานจะขาดใจบนพื้นพรม โลหิตสีแดงฉานทะลักไหลเจิ่งนองทั่วพื้นในเวลาต่อมา เสียงครวญครางโหยหวนและกลิ่นคาวเลือดทำให้กายสาวแข็งประดุจหินด้วยความตกตะลึงไปชั่วขณะ
อึดใจใหญ่เธอได้สติ ทิ้งมีดที่ดึงติดมือมาด้วยลงบนพื้นราวกับต้องของร้อน ใบหน้าซีดเผือดขาวราวกระดาษ สติที่มีอยู่ในตอนนั้นทำได้เพียงมองวิทยาซึ่งจ้องสบสายตาอาฆาตด้วยความรู้สึกแง่ร้ายหลายอย่างที่ประดังถาโถมมา
ริมฝีปากของชายหนุ่มขยับพูดไร้เสียงแต่เธอจับสำเนียงได้ว่าเป็นคำด่าทอกล่าวพยาบาทมาดร้ายเธออย่างยิ่งยวด เธอครางฮือในลำคอ ถลาวิ่งพุ่งไปสู่ประตู ในดวงจิตสับสนวิตกกังวลและกลัวทุกสรรพสิ่งอย่างที่ไม่เคยเป็น มีเพียงเสียงเดียวที่ดังก้องอย่างแน่วแน่และเด่นชัด
เธอต้องหนี!
นิลปัทม์เบิกตาโพลงตื่นจากนิทราอันแสนยาวนานพร้อมกลิ่นกำยานหอมอบอวล หญิงสาวมองเพ่งม่านผ้าบางโปร่งแสงสีขาวดิ้นทองที่เหมือนจะทำหน้าที่เป็นมุ้งคลุมเตียงอย่างมึนงงและหวาดระวังไม่คลายจากฝันร้าย
เตียงนุ่มกับสัมผัสแสนสะอาดทำให้เธอรู้สึกพิศวงมากกว่าเดิม หัวสมองคิดทบทวนสถานการณ์ครั้งล่าสุดที่ประสบมา แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นเงาร่างตระหง่านซึ่งนั่งอยู่ตรงระเบียงห้องตรงข้ามเตียง
หญิงสาวลุกขึ้นพรวดก้มมองตนเองเป็นอำดับแรก ความรู้สึกบอกไม่ถูกพุ่งจู่โจมเมื่อเสื้อที่สวมหาใช่ตัวเดียวกับเมื่อคืนไม่ หากแต่เป็นผ้านุ่มบางโปร่งแสงสีแดงเข้มตัดเย็บละเมียดละไมห่อหุ้มทรวงอกอวบอิ่มเห็นเป็นเงาลางเลือน และกางเกงผ้าเนื้อเดียวกันที่แทบจะทำให้เธอกรี๊ดถ้าไม่ได้สวมชั้นใน
"ตื่นแล้วหรือ" เสียงทุ้มกังวานเปี่ยมด้วยอำนาจเอ่ยถามเป็นภาษาอังกฤษเมื่อลุกขึ้นก้าวเข้ามาหานำพาร่างสูงตระหง่านอันน่าเกรงขามมาหยุดอยู่ปลายเตียง
"คุณเป็นใคร" เสียงใสระคนหวาดหวั่นถามออกไปด้วยสำเนียงที่ฉาดฉาน เพ่งมองใบหน้าของคนตรงหน้า ที่เห็นไม่ถนัดตาด้วยผ้าโปรงแสงที่คลุมอยู่นั้น
"ชีคไฟซาล อัล ซาอิด" ชายหนุ่มตอบพร้อมกับใช้นิ้วเรียวยาวแข็งแกร่งแหวกม่านมุ้งออก
เมื่อได้ยินคำว่าชีคเธอนึกไปถึงผู้ปกครองเมืองกลางทะเลทรายที่ยิ่งใหญ่ ทรงอำนาจเหนือใครเปรียบเหมือนเจ้าชีวิตของชาวเมือง หญิงสาวหรี่ตาเมื่อพบกับแสงตะวัน มองเห็นหน้าเขาไม่ถนัดตาเพราะเขายืนหันหลังให้กับแสง ขณะที่ดวงหน้าของเธอกระจ่างนวลนุ่มอยู่ในสายตาของไฟซาล
นิลปัทม์ไม่ใช่ผู้หญิงที่เห็นแล้วพูดได้เต็มปากว่าสวย หากแต่ดูน่ารัก ยิ่งมองยิ่งเพลิน ยิ่งเพ่งยิ่งชอบ ยิ่งกวาดตามองก็ยิ่งหลงใหลอย่างไม่มีวันเบื่อ
"นิลปัทม์" หญิงสาวเลิกคิ้วเมื่อเสียงที่เปล่งออกมาชัดเจนราวกับท่องมานาน "ตอนนี้เธอกำลังอยู่ในอาณาจักรของฉัน โอมานคาร์นัคยินดีต้อนรับอย่างยิ่ง"
"อะไรนะ เดี๋ยวซิ ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง" หญิงสาวถามออกไปอย่างสับสนไม่แน่ใจ
"คุณพี่อมรรัตน์และคุณนภดลแนะนำให้พาคุณมา" ชายหนุ่มปด "นี่เป็นข้อความที่พวกท่านฝากให้คุณ"
เธอขยับตัวอย่างระวัง ฉวยรับซองจดหมายสีน้ำตาลมาไว้ในมือ นิลปัทม์จ้องร่างทะมึนด้วยความระแวง แกะซองสีน้ำตาลโดยเร็วรีบกวาดตาอ่าน
‘ถึงนิลปัทม์
จดหมายฉบับนี้ลุงได้เขียนขึ้นเพราะแน่ใจว่าหนูคงต้องการจะทราบเรื่องราวทุกอย่างหลังจากหนูหลับไปที่หน้าบ้านของชีคไฟซาล เขามีศักดิ์เป็นน้องของคุณหญิงอมรรัตน์ พวกเราได้ปรึกษากันและเห็นว่าสมควรที่จะให้หนูหายหน้าไปสักพักจนกว่าอะไรจะดีขึ้น ไฟซาลจะคอยดูแลหนูอย่างดี ไม่ต้องห่วงเรื่องทางนี้ เขาคนนั้นที่หนูใช้มีดปอกผลไม้แทงปลอดภัยดีแล้ว มีแรงพอที่จะลุกขึ้นมากล่าวอาฆาตพยาบาทหนูจนเสียงดังลั่นโรงพยาบาลนั่นแหละ เอาล่ะ...อยู่ที่นั่นให้สบายใจ ถือเสียว่าเป็นการพักร้อนก็แล้วกัน และอยากให้รู้ไว้ว่าพวกเรารักและห่วงหนูเสมอลูกสาวคนหนึ่ง
นภดล’
หญิงสาวกอดแนบจดหมายนั้นไว้แนบอก สีหน้าเป็นสุขมากกว่าเดิม เธอปลื้มใจและเทิดทูนความเมตตาการุณย์ของท่านผู้ใหญ่ทั้งสองเสมอเกล้า พระคุณของพวกท่านยากที่จะตอบแทนได้หมดสิ้น
นึกถึงวิทยาด้วยความโล่งอก เธอนึกว่าเขาจะตายเสียแล้ว ตายด้วยน้ำมือของเธอ โชคยังดีที่เขาไม่เป็นอะไรมาก เธอไม่อยากเป็นฆาตกร
ริมฝีปากบางแย้มยิ้มน้อยๆ เมื่อทุกอย่างดูเหมือนจะคลี่คลายด้วยดี
"ขอบพระคุณท่านชีคมากค่ะ ที่กรุณาให้ความช่วยเหลือ"
เธอยกมือไหว้ ผ่อนคลายความหวาดระแวงลงบ้าง แต่ก็ไม่หมดเสียทีเดียวนักเพราะจิตยังกระหวัดให้หวาดกลัวต่อเพศชายอยู่ ไฟซาลไม่พูดอะไร และใต้เงาแสงนั้นเธอไม่มีวันเห็นรอยยิ้มอ่อนนุ่มของเขา
"คุณคงต้องการเวลาจัดการตัวเอง"
ร่างสูงตระหง่านเดินห่างออกไปที่ประตูใหญ่ เอ่ยบางอย่างด้วยภาษาอาราบิคแล้วเหล่าสตรีก็เดินเข้ามาพยักพเยิดให้เธอ เดินตาม ครั้นจะหันมองหาชายหนุ่ม เขาก็หายไปเสียแล้ว
ตลอดการจัดการตัวเอง เธอแทบไม่ต้องทำอะไรเลยเมื่อเหล่าหญิงทุกคนจับเธอถอดเสื้อผ้าแล้วอาบน้ำให้โดยไม่อายขณะที่เธอทั้งปัดทั้งหนีแต่ก็ถูกรวบไว้ได้ทุกครั้ง ให้ตกในสภาพต้องจำยอม
อ่างอาบน้ำแสนทันสมัยด้วยหินอ่อนสีน้ำเงินเข้มเรียบมีระบบปรับอุณหภูมิน้ำและระบบน้ำวน กรุ่นกลิ่นกลีบของพฤกษานานาพรรณหอมกำจาย กลิ่นกำยานที่เพิ่งถูกจุดกล่อมเธอให้สบายเนื้อตัวอย่างไม่น่าเชื่อ
หญิงสาวเหล่านั้นสระผมให้อย่างเบามือและนุ่มนวลราวกับทำเป็นประจำ เธอนอนแช่น้ำอยู่สักพักก่อนที่จะถูกพวกเธอขอร้องให้ลุกขึ้นจากอ่างน้ำ หญิงสาวไม่ค่อยกระดากเท่าไหร่แล้วที่จะยืนเปลือยต่อหน้าพวกเธอ คงจะเป็นเพราะกิริยาอันเรื่อยเฉื่อยไม่ใส่ใจให้เธอต้องขวยเขินกระมัง
ผงสีเหลืองอ่อนหอมระรินถูกบรรจงลูบไล้ไปทั่วร่างอรชร นิลปัทม์มองดูเครื่องแต่งกายใหม่อย่างพินิจ มันเป็นผ้าบางเนื้อดีสีขาวครีม กระโปรงยาวพลิ้วเกือบกรอมข้อเท้าของหล่อน สายทองแท้เกี่ยวคล้องคอเธอกับชุดที่ห่อหุ้มเรือนทรวง ปล่อยให้ผมมันดำนุ่มสลวยราวถักทอจากสายลมยาวลงมาปกเอวคอดกิ่ว ข้อมือของเธอมีสายกำไลบางทองแท้ประณีต ข้อเท้าข้างซ้ายส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งด้วยกำไลกระดิ่งเส้นบางแนบข้อเท้าเล็ก
"ท่านชีคให้เชิญคุณหญิงไปทานมื้อเช้าเจ้าค่ะ" หญิงสาวกะพริบตางุนงงกับสรรพนามสูงส่งนั่น แต่ก็ทำได้เพียงเดินตามหญิงสาวคนใหม่ที่พร้อมจะนำทางเธอไปยังจุดหมาย
คุณพระ...ที่นี่คือประเทศไทยหรือเปล่า บรรยากาศแบบตะวันออกกลางอบอวลไปทั่ว มียามประจำประตูและยามลาดตระเวนอาวุธครบมือในชุดดิชดาชาสีทะมึนบวกกับลักษณะคมคายลึกลับทำให้เธอตัวสั่น นี่เธอหลงเข้ามาในดินแดนไหนกัน
"เชิญคุณหญิงเจ้าค่ะ"
หญิงสาวปาดมือไปยังห้องหนึ่ง นิลปัทม์เดินก้าวเข้าไปกึ่งกล้ากึ่งกลัวทหารยามประจำประตู แต่ก็ก้าวเข้ามาได้อย่างปลอดภัย หญิงสาวชะเง้อมองหลัง อย่างไม่คลายความระแวงพร้อมกับเดินก้าวไปข้างหน้า ก่อนที่จะหันกลับมาเผชิญหน้ากับบุรุษเจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้
ดวงตาสีนิลล้ำลึกของนิลปัทม์ชะงักอยู่ที่ร่างสูงตระหง่านเป็นสง่าที่ให้ความรู้สึกมีพลังลึกลับอันน่าเกรงขามลอยอวลอยู่รอบกายแข็งแกร่งนั้น ใบหน้าของเขาแสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจและแรงดึงดูดบางอย่างที่เธอไม่เข้าใจนัก หญิงสาวรู้โดยสัญชาตญาณทันทีว่าเขาคือคนที่พูดกับเธอเมื่อเช้านี้
ชายหนุ่มเป็นคนที่หล่อเหลาคมเข้มชวนค้นหา ดวงตาคมกริบสีสนิมเหล็กภายใต้คิ้วคมพาดเฉียงแฝงไปด้วยความอำมหิตเล็กๆ ริมฝีปากบางสีเข้ม จมูกโด่งสวยขึ้นสัน ผิวสีแทนอ่อนๆ เขาสวมเสื้อดิชดาชา*สีขาวสะอาดคลุมทับด้วยเสื้อคลุมมิชลาฮ์**สีดำสนิท โพกผ้ากุตรา***สีเหลืองนวลรัดด้วยอีกาล****หนังสีน้ำตาลไหม้เพิ่มความน่าเกรงขามให้แก่เขาเป็นอันมาก
หญิงสาวสบตาคมกริบนั้นแล้วรู้สึกราวทุกอย่างดับวูบ ทั้งสองสบตาประสานกันเหมือนไม่มีวันจบสิ้น เธอบอกตัวเองให้วิ่งหนีห่างจากเขาไปซะ ขณะที่สองขาเหมือนถูกดวงตานั้นสะกดจิต แก้มนวลขึ้นสีร้อนก่อนจะค่อยๆ ลามไปทั่วร่างราวไฟลามทุ่ง อาการสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่นแผ่ซ่านเหมือนจะเป็นพลังดึงดูดที่อาจทำให้โผเข้าสู่ร่างสูงตระหง่านตรงหน้าโดยง่าย
นิลปัทม์หยุดยืนตรงหน้าไฟซาล เขาสูงจนต้องเงยหน้าเพื่อจับภาพเขาให้ถนัดตา เธอเม้มปากบริภาษตนเองในใจเมื่อหัวใจเต้นอย่างรุนแรงโดยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ไม่แน่ใจว่าเขาจะได้ยินเสียงหัวใจของเธอหรือเปล่าแต่ในท้ายสุดชายหนุ่มก็ก้มลงยิ้มบางๆ ให้
"เชิญนั่ง คุณนิล" เสียงทรงอำนาจเอ่ย ชายหนุ่มเลื่อนเก้าอี้ให้หญิงสาวนั่งบนโต๊ะอาหารซึ่งว่างเปล่า ก่อนที่เขาจะลงนั่งตรงข้ามเธอ "คงไม่ว่าอะไรถ้าฉันจะเรียกคุณว่านิลเหมือนยัยหนูกาว"
"ค่ะ" เธอตอบได้คำเดียวเท่านั้นแล้วเสหลบดวงตาคมกริบที่ราวกับพยายามอ่านเธออย่างทะลุไปถึงไหนต่อไหน
กระดิ่งทองถูกสั่นเล็กน้อย ไม่นานอาหารก็วางอยู่เต็มโต๊ะ ทุกอย่างบ่งบอกถึงอารยธรรมตะวันออกกลาง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อแกะย่างรมควัน น้ำกุหลาบ และน้ำผึ้งสำหรับเพิ่มรสชาตินมแพะ
หญิงสาวก้มลงทานอาหารโดยไม่พูดอะไร ไม่กล้าที่จะเงยขึ้นมองคนฝั่งตรงข้ามที่ลอบพินิจเธออยู่เป็นระยะ จวบจนอาหารหวานจบลงชายหนุ่มจึงเปิดการสนทนา
"คุณพี่อมรรัตน์กำลังจัดการเรื่องคุณให้เรียบร้อย ยัยหนูกาวจะเดินทางมาอยู่เป็นเพื่อนคุณอีกสามวันข้างหน้า"
"ค่ะ" เธอตอบรับอย่างดีใจ ลืมตัวเงยหน้าขึ้นสบกับดวงตาคมกริบราวเหยี่ยวของฝ่ายตรงข้าม เธอพบว่าเป็นการยากที่สบตากับผู้ชายคนนี้แล้วจะสามารถหลุดออกจากภวังค์โดยง่าย
"เธอไม่น่าออกจากบ้านกลางดึกแบบนั้น" น้ำเสียงทรงพลังเอ่ยเหมือนดุทั้งนัยน์ตา
"ฉันไม่อยากอยู่ต่อ..." เธอกลืนน้ำลายเอือกใหญ่อย่างยากลำบากใจ
"ฉันจะออกไปทำงาน เย็นถึงจะกลับ คุณสามารถเดินชมวังได้ทุกส่วน ฮาชิมจะคอยอารักขาคุณ" ชายหนุ่มบอก เธอไม่คิดซักไซ้ให้ลำบากใจอีก บุรุษร่างสูงที่คาดว่าจะชื่อฮาชิมก้าวเข้ามาโค้งให้เธออย่างสุภาพอ่อนน้อมผิดกับความทะมึนที่รายล้อมตัวเขาอยู่
"ที่นี่เมืองไทยหรือเปล่าคะ" หญิงสาวถามออกไปจนได้ ก็เธอไม่คิดว่าจะออกจากประเทศได้ง่ายดาย
"ไม่ใช่" ไฟซาลตอบไม่ปิดบัง รอยยิ้มบางทำให้หญิงสาวคิ้วกระตุกเมื่อคิดว่าถูกเขามองเป็นเด็กแสนโง่ "ฉันคงต้องไปทำงานก่อน แล้วพบกันมื้อค่ำเย็นนี้"
เมื่อไฟซาลลับจากไปแล้ว นิลปัทม์ได้แต่นั่งครุ่นคิดถึงสาเหตุที่ทำให้เธอมาอยู่ที่โอมานคาร์นัคในเวลานี้ โดยไม่รู้เลยว่าค่ำคืนที่เธอไปเป็นลมล้มสลบที่หน้าบ้านหลังหนึ่งนั้นมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง
*ดิชดาชา(dishdasha)หมายถึง การสวมใส่เสื้อผ้าคลุมปกปิดร่างกายให้มิดชิด เป็นชุดยาวของชายชาวตะวันออกกลาง
**มิชลาฮ์(Mishlah) เป็นเสื้อคลุมที่ใช้สวมทับดิชดาชา
***ผ้ากุตรา(Ghutra) คือ ผ้าที่ชายอาหรับใช้โพกหัว นิยมใช้สีนวล หรือลายตารางขาวแดง
****อีกาล(Egal) คือ เชือกที่ใช้รัดผ้าโพกศีรษะ อาจทำด้วยเชือกเหนียวสีเข้ม หนังสัตว์หรือทองคำ
ความคิดเห็น