ตอนที่ 9 : 二 เทศกาลร้อยสีสัน (1)...แคว้นป๋อ
二
หากเทียบกับความสงบเงียบแฝงความศักดิ์สิทธิ์ของแคว้นอันแล้ว...แคว้นป๋อนับว่าต่างออกไปอย่างมาก บ้านเรือนทั้งหลายตกแต่งมีเอกลักษณ์หลังคาทรงจั่วสูง สร้างจากกระเบื้องดินเผาหลากสี ตลอดทางเดินนั้นไม่มีวี่แววของบ้านที่ใช้หญ้าหรือไม้ทำเป็นหลังคา ซ้ำยังมีการยกพื้นอย่างน้อยสามขั้นบันไดอีก รูปปั้นหินอ่อนและของประดับตกแต่งของแต่ละบ้านแสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งของแว่นแคว้น.. ประกายสีทองส่องสะท้อนผ่านเกร็ดหิมะสีขาวที่ปกคลุม
สมฉายา นครแห่งความร่ำรวยจริงๆ
“ที่นี่เจริญรุ่งเรืองยิ่ง...” หลิงซิ่นอวี่จูงม้า เอ่ยปากชม นางมาเยือนแคว้นป๋อหลายครั้งก็ยังอดมองทัศนียภาพที่เกิดจากการตกแต่งอย่างงดงามหรูหรานี้ไม่ได้
“ในสามแคว้น อวิ้นหยางอุดมสมบูรณ์ที่สุด แคว้นอันสงบสุขที่สุด และแคว้นป๋อก็ร่ำรวยที่สุดเช่นกัน...แต่ถึงอย่างนั้นแคว้นแห่งนี้ก็ยังมีชนชั้นล่างและกลุ่มคนที่อดอยากหิวโหยไม่น้อย” เทียนซือเสียนกวาดตามองรอบๆ เอ่ยขึ้น
สำหรับเขา...แน่นอนย่อมต้องเข้าข้างแคว้นบ้านเกิด ไม่ได้ชมแคว้นอันอย่างไร้เหตุผลแต่...แคว้นอันไม่มีขอทาน ปราศจากผู้คนที่อดอยากหิวโหยและแย่งชิงอาหารเพื่อมีชีวิตรอด ขุนนางกังฉินในราชสำนักมีเยอะแยะ แต่ราชวงศ์เข้มแข็งแม้มีการแย่งชิงอำนาจภาพในกันบ้างฮ่องเต้แคว้นอันก็จัดการได้
“เมื่อแว่นแคว้นรุ่งเรือง พัฒนา ย่อมมีจุดดำมืด ประชาชนบางส่วนมิอาจปรับตัวได้ทัน ดังนั้นจึงต้องค่อยเป็นค่อยไป...แคว้นป๋อร่ำรวยมหาศาล แต่คนอดยากกลับมีมากเช่นกัน” เทียนหานเฟิงลงมาจากรถม้าเพราะลูกชายลูกสาวจำเป็นต้องนอนกลางวันเพราะเพลียจากการเดินทาง
“ดังนั้นพวกเราจึงมิต้องเร่งรีบ...”
“ข้าเข้าใจดีพี่ใหญ่... “
”เด็กๆ หลับแล้วหรือพี่เฟิง?”
“อืม...อวี่เอ๋อร์เจ้าขึ้นไปพักสักหน่อยเถิด เมื่อคืนก็นั่งคุยเป็นเพื่อนข้ามาทั้งคืน” ปลายนิ้วขาวเรียวแตะแก้มภรรยาเบาๆ
“ไม่เป็นไรหรอกพี่เฟิง ข้าเดินทางอยู่บ่อยๆ เรื่องแค่นี้เล็กน้อย จื่อลู่คงจัดการที่พักให้เราเรียบร้อยแล้ว” กล่าวถึงคนสนิทที่เดินทางล่วงหน้ามาก่อน
“เหตุใดไม่เข้าพักเรือนรับรองกับข้าล่ะพี่ใหญ่ ที่นั่นสะดวกสบายกว่าตั้งเยอะ”
เทียนหานเฟิงดีดหน้าผากน้องชาย “ข้ามาในฐานะคนสามัญ ส่วนเจ้าคืออ๋องสี่แห่งแคว้นอัน อีกอย่าง...ข้าไม่ชมชอบความวุ่นวาย”
เทียนซือเสียนถอนหายใจ เฮ้อ...พี่ใหญ่ช่างพูดว่าตนเองนั้นสามัญ แค่หน้าตาก็ไม่ให้แล้ว ไหนจะกลิ่นอายบรรยากาศที่แผ่ออกมานั่นอีก
“ใช้ฐานะเดิมของท่าน...ก็เป็นเกียรติแก่เรือนรับรองของแคว้นป๋อแล้ว”
“ข้าเป็นข้า...ยศถาบรรดาศักดิ์ใดๆ ล้วนทิ้งไปหมดสิ้น”
“พี่รองยังคงตำแหน่งชินอ๋องไว้ให้ท่าน ตราประจำตำแหน่งก็ไม่รับคืน หน่วยองค์รักษ์อวิ๋นอยู่ในมือท่าน”
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ชินอ๋องควรได้พี่ใหญ่ของเขาล้วนมี...แต่เจ้าตัวไม่คิดสนใจ
“นั่นเป็นเรื่องของน้องรอง...เขาอยากริบคืนก็เอาไปสิ” เทียนซือเสียนแทบจะถลึงตาใส่พี่ชายแต่เขารู้ว่าสู้ไม่ได้ ซึ่งช้าไปแล้วเพราะไม่ทันเก็บสายตากลับมือขาวเรียวก็ยื่นมาบิดหูเขาราวเป็นเด็กๆ อ๋องหนุ่มทำสีหน้าราวโดยรังแกหันหาสตรีที่ยืนมองพวกเขาด้วยสายตาอ่อนโยนแล้ว...ฟ้อง
“อาซ้อ...ท่านดูสามีท่าน”
“อย่าริอาจฟ้องอวี่เอ๋อร์ของข้า...” เทียนหานเฟิงดีดจมูกน้องชายแรงๆ กุมมือขาวของภรรยา “อย่าไปสนใจเด็กไม่โตเลยอวี่เอ๋อร์...ไปที่พักแล้วเจ้าต้องพักผ่อนนะ ไม่เช่นนั้นข้าจะตีเจ้าจริงๆ” หลิงซิ่นอวี่กระชับมือสามี
“ท่านไม่ใช่ร้ายกับข้าหรอก”
“ต้องดู...หากเจ้าดื้อ” นางหัวเราะ
แต่งงานกันมาเกือบสิบปี...เขาขู่นางเช่นนี้เสมอ แต่ไม่เคยเห็นทำจริงสักครา
“เช่นนั้น...แยกกันตรงนี้เถิดซือเสียน องครักษ์ของเจ้าล่ะ?”
“คงอยู่ในเรือนรับรองแล้วอาซ้อ ข้าให้พวกเขาล่วงหน้ามาก่อน อีกสองวันก็งานเทศกาลร้อยสีสัน ระหว่างนี้พวกท่านชมความคึกคักของที่นี่ไปก่อน แล้วข้าจะไปหา”
“ไม่มาให้เจอเลยยิ่งดี” เทียนหานเฟิงส่งเสียงตาม
“ท่านนี่นะ...เหตุใดจึงชมชอบรังแกน้องชายตนเองนัก”
“สนุกดี...”
กลั่นแกล้งคนอื่นนี่สนุกตรงไหน นิสัยเสียของเขาแก้ไม่หายจริงๆ
“ไปกันเถิดอวี่เอ๋อร์...”
“ข้าจะออกไปดูร้านอวี่ของที่นี่สักหน่อย...ท่านเล่าพี่เฟิง?” เมื่อพักผ่อนไปสองชั่วยามตามที่สามีบังคับแล้วหลิงซิ่นอวี่ก็อาบน้ำชำระร่างกายผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เป็นผ้าไหมเรียบง่ายสีเขียวเข้ม รวบผมเป็นทรงเรียบง่าย
“เจ้าไปเถิดข้าจะดูเด็กๆ ให้” เขามาแคว้นป๋อบ่อยจนไม่มีอะไรให้น่าดูชมสักอย่าง...เมื่อก่อนยามที่เป็นเด็กหนุ่มวัยคะนอง ก็ท่องเที่ยวไปทั่ว พอโตขึ้นก็รู้สึกอยากอยู่อย่างสงบ
“ระวังตัวด้วยนะอวี่เอ๋อร์...” ปลดเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกขาวพาดไว้บนไหล่มนแล้วผูกกระชับให้แน่น
“รับทราบเจ้าค่ะ หากลูกถามหาก็บอกว่าข้าจะซื้อขนมมาฝากนะพี่เฟิง”
“ได้...ไว้เจ้ากลับมาค่อยพาเด็กๆ ไปเดินเที่ยวกัน อ้อ...อวี่เอ๋อร์ พาไป่เหลียวไปด้วยล่ะ อย่าไปคนเดียว”
“เจ้าค่ะ...ข้าทราบ ข้าไม่ดันทุรังให้ท่านกังวลหรอกน่า”
“ภรรยาที่ดีของข้า...” เขาเอ่ยชมและลูบผมนางราวเด็กๆ จนหลิงซิ่นอวี่มองค้อน...อายุมากกว่านางเพียงสามปีทำราวกับนางเป็นเด็กน้อย
ส่งยิ้มให้สามีก่อนจะเดินออกมาหน้าโรงเตี๊ยมมีร่างสูงของไป่เหลียวยืนรออยู่ก่อนแล้ว นางส่ายหน้า...พี่เฟิงคาดการไว้แล้วว่านางต้องออกไปสำรวจ...
เขารู้ใจ ราวกับจอมมารจริงๆ นั่นล่ะ
“จะให้เรียกว่าท่านหัวหน้าหรือนายหญิงดีขอรับ?” หลิงซิ่นอวี่หัวเราะ หากเดินทางค้าขาย...ทุกคนจะเรียกนางว่าท่านหัวหน้า เพราะนางต้องดูแลและนำขบวนให้การค้าประสบความสำเร็จ แต่หากเป็นยามปกติ...พวกเขาจะเรียกขานนางว่านายหญิง...
ภรรยาของเทียนหานเฟิง
“ท่านหัวหน้าดีกว่า...ก็ตอนนี้ข้ากำลังเป็นแม่ค้าที่จะมาขายชานี่นะ”
ไป่เหลียวส่ายหน้าน้อยๆ สำหรับเขา...มีสหายรักดุจพี่น้องร่วมอุทรสองคน และสองคนที่ว่าก็รักสตรีดวงตาสีน้ำเงินคนนี้ราวแก้วตาดวงใจ
เขาเอ็นดูนางเฉกเช่นน้องสาว...และเคารพนางเฉกเช่นนายคนหนึ่ง
“ขอรับ...ท่านหัวหน้า”
“แย่แลยนะไป่เหลียว แทนที่จะได้ไปดูความสนุกสนานต้องมาคุ้มกันข้าแบบนี้” หลิงซิ่นอวี่เดินอย่างเชื่องช้า ดวงตาก็กวาดมองร้านชา โรงเตี๊ยมไปด้วย
“ก็เป็นเช่นนี้เสมอนี่ขอรับ...”
“ทำยังไงข้าก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ทำไมประมุขพรรคจันทราโลหิตอย่างเจ้าถึงได้มาเป็นองค์รักษ์ให้พี่เฟิงไปได้?”
“ท่านไม่รู้จริงๆ หรือ...” ไป่เหลียวเอ่ยเบาๆ
“รู้สิ...พี่เฟิงต้องใช้วิธีมิชอบล่อลวงเจ้ามาเป็นแน่ เขาเอาแต่ใจไม่มีผู้ใดเกิน”
“หึๆ ข้ายินยอมมาเองหรอกขอรับ”
“พี่เจียวไม่ตบตีกับพี่เฟิงแย่งเจ้าหรอกหรือ?”
ไป่เหลียวหัวเราะ "เรียกว่าตบตีคงเป็นคำที่สุภาพไป..." เมื่อหลายปีก่อนหลิงเจียวหั่วและเทียนหานเฟิงประมือกันจนพรรคจันทราโลหิตเสียหายไปมาก วรยุทธ์ของทั้งคู่ทำให้พรรคมารอันดับหนึ่งในยุทธภพอ้าปากค้าง...ขายหน้าไปเป็นทิวแถว สุดท้ายเทียนหานเฟิงก็เป็นฝ่ายชนะ เขาเองไม่ใช่ไม่เต็มใจแค่เลือกไม่ได้...ให้สหายทั้งสองตัดสินใจนั่นล่ะถูกแล้ว
“ผลของการตบตีนั้นท่านก็น่าจะรู้ดี”
“ลำบากเจ้าจริงๆ...ถึงแล้ว”
ร้านอวี่สาขาของแคว้นป๋อนั้นตกแต่งอย่างหรูหราผิดกับอีกสองแคว้น นอกจากขายใบชาแล้วยังมีเครื่องแก้วสำหรับชงชา และของใช้อื่นๆ ที่เกี่ยวกับชา รวมถึงมีการชงชาให้ลองชิมก่อนซื้อด้วย กลิ่นหอมน้ำชาอบอวลไปทั่ว ลูกค้ามีหลากหลายชนชั้น สังเกตจากอาภรณ์ที่พวกเขาสวมใส่
แน่นอน...ร้านของนางมีชาธรรมดาไปจนถึงชาชั้นเลิศหายาก และราคาก็เป็นธรรม
“รับอะไรดีขอรับแม่นาง...” เสี่ยวเอ้อร์เดินเข้ามาถามพลางนำมานั่งที่โต๊ะ
ท่าทางสุภาพ...มีมารยาท
ที่นี่นับว่าเลือกคนเข้าทำงานได้ไม่เลว
“มีชาฟางฟางหรือไม่?” ฟางฟางนับเป็นชาที่หายากระดับหนึ่ง...เพราะตลอดทั้งปีเก็บเกี่ยวได้จำนวนไม่มากนัก รสชาติธรรมดาแต่กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้ชาชนิดนี้มีชื่อเสียงไม่น้อย น้ำชาสีขาวใสหากดื่มลงจะรู้สึกได้ราวอยู่ท่ามกลางทุ่งปุบผา
“แม่นางจะรับเป็นใบชาหรือน้ำชาขอรับ?”
“เอามาทั้งคู่เถิด...”
“โปรดรอสักครู่”
“พรุ่งนี้เช้าชาเหมันต์ของข้าคงมาถึง...เอาวางขายได้ทันที” นางไม่ได้บอกกว่าใครว่าตนเป็นเจ้าของร้านอวี่...ทุกคนก็ไม่รู้ว่าเจ้าของร้านชาชื่อดังคนนี้เป็นใคร แต่ชาของที่นี่คุณภาพดีจนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วนั้นเป็นเรื่องจริง
“คงขายดีไม่น้อย” ไป่เหลียวได้ชิมไปเขาก็ยังชมชอบ
จริงดั่งที่เทียนหานเฟิงกล่าวชมภรรยาตนเอง...ไม่มีใครในสามแคว้นรอบรู้เก่งกาจเรื่องใบชาได้เท่ากับสตรีตรงหน้าเขาอีกแล้ว
“คุณชาย...แม่นางรับอะไรดีขอรับ?” เสียงเสี่ยวเอ้อร์อีกคนต้อนรับแขกที่มาใหม่ หลิงซิ่นอวี่ละสายตาจากรอบๆ ร้านไปมอง เห็นร่างสูงคุ้นตากำลังพูดคุยกับคนข้างตัว แม้จะอยู่ในผ้าคลุมแต่ด้วยส่วนสูงแล้วคงเป็นสตรี เหมือนรู้สึกว่าตนเองกำลังโดยจับจ้องบุรุษผู้นั้นละสายตามามอง เมื่อเห็นดวงตาสีน้ำเงินเข้มแปลกประหลาดเขาก็พลันคลี่รอยยิ้มยินดี ผละออกมา
หลิงซิ่นอวี่และไป่เหลียวหยัดตัวลุกขึ้น นางยกยิ้มค้อมศีรษะลงเล็กน้อย
“เจอกันอีกแล้วนะเจ้าคะ ท่านอัครเสนาบดี”
อวิ๋นเจินหยาง...องค์ชายสามแห่งแคว้นอวิ้นหยาง
“แม่นางหลิง...”
ช่วงนี้แก้ไขแซ่ของตัวละครกับคำผิดเล็กน้อย หากเด้งแจ้งเตือนก็ขอโทษด้วยนะคะ แบบ...ก็เป็นทั้งคนเขียนคนอ่านเนอะ เวลาอ่านนิยายที่มีคำผิดเยอะๆ มันจะรู้สึกขาดอรรรถ
พี่เฟิงของเราเป็นถึงชินอ๋อ...แต่อวี่เอ๋อร์ก็ไม่ธรรมดานะคะ องค์ชายสามมาแล้ว...มาพร้อมกับตัวละครสำคัญอีกคน...
ลมแรงมากเลยค่ะ รักษาสุขภาพด้วยนะคะ ระวังอย่าให้ป่วยน้าาาาา
สำหรับวันนี้...ฝันดีนะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เป็นเรื่องที่ดูเรื่อยๆ แต่เราชอบมากๆ อ่านแล้วยิ้มกับครอบครัวนี้ ขอบคุณนะคะที่เขียนเรื่องให้ได้อ่าน
รอค่าไรท์
ยิ่งอ่านเรายิ่งหลงรักเรื่องนี้