ตอนที่ 2 : 一 เหมันตฤดู (1)...อวิ๋นเจินหยาง
แก้ไข : 24 กรกฎาคม 2560
一
เกร็ดหิมะสีขาวพร่างพราวมาจากฟ้าไม่ขาดสายทับถมกันจนผืนดินเป็นสีขาวไกลสุดลูกหูลูกตา ท่ามกลางความหนาวเหน็บนั้นขบวนผู้คนได้เคลื่อนตัวไปอย่างเงียบเชียบผ่านป่าเขาหนาทึบเข้าสู่หมู่บ้านหนึ่ง จวบจนหยุดหน้าโรงเตี๊ยมสีแดงสำหรับนักเดินทางขบวนทั้งหมดจึงได้หยุดพัก
“ไป่เหลียว บอกให้ขบวนพักที่นี่สักสองชั่วยามเถิดอีกสักประเดี๋ยวค่อยเคลื่อนขบวนต่อ” เสียงกังวานเอ่ยบอก ร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมสีดำสนิทค้อมศีรษะรับคำสั่ง คนภายนอกที่มองมายังขบวนใหญ่นี้ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ เพราะดูเหมือนหัวหน้าขบวนจะมีรูปร่างเล็กบอบบางดูอ้อนแอ้นคล้ายสตรี น้ำเสียงแม้นุ่มกังวานแต่เจือความสดใสแว่วหวาน
“สองชั่วยามดูจะนานเกินไปนะเจ้าคะนายท่าน” สตรีผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น
“ข้าให้พักแล้วให้ไปเดินเล่นในเมืองอย่างไรเล่า ไหนๆ ก็อุตส่าห์มาถึงลี่เซียนทั้งที”
ลี่เซียน...สมญานามเทพธิดาผู้งดงามแห่งหุบเขาจิ่นสือ
เทือกเขาทอดยาวที่แบ่งแยกแคว้นใหญ่ทั้งสามแคว้นใหญ่เอาไว้
“ถูกของท่านหัวหน้าเจ้าค่ะ ที่นี่คึกคักยิ่งนัก คนต่างถิ่นมากมาย ดูแล้วลานตาไปหมด”
“เจ้าชอบก็ไปเดินเล่นได้...ไม่ต้องอยู่ดูแลข้าหรอก”
“มิได้เจ้าค่ะหน้าที่ของข้าคือรับใช้ท่านหัวหน้า” คนสนิทเอ่ยอย่างดื้อดึงเพราะรู้นิสัยผู้เป็นนายดี
“น่าเสียดายนะจื่อลู่เจ้าอุตส่าห์มาถึงลี่เซียนทั้งที เมืองที่คึกคักเยี่ยงนี้มานั่งเบื่อกับข้าทำไมกัน”
“นายท่านให้ข้าติดตามรับใช้ท่านนะเจ้าคะ” พอได้ยินชื่อที่ถูกอ้าง ท่านหัวหน้าก็ถอนหายใจหนักๆ โบกมือหนึ่งทีแล้วเอ่ยปาก
“เจ้าก็เอาชื่อเขามาขู่ข้าทุกที”
และก็ได้ผลทุกครั้งเช่นกัน ใครให้คนผู้นั้นน่ากลัวเกินไปเล่า แค่เห็นหน้าเขาแม้แต่เด็กร้องไห้ก็ต้องหยุดร้อง
“ที่ไล่ให้คนในขบวนไปพักตั้งสองชั่วยามเพราะกำลังจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นใช่หรือไม่ขอรับ...ท่านหัวหน้า” ร่างสูงของไป่เหลียวเดินกลับมาแล้วเอ่ยดักคอ ท่านหัวหน้าจิบน้ำชารสเลิศก่อนจะอธิบายให้คนสนิททั้งสองได้รับฟัง
“ลมเย็นพัดรุนแรงขึ้น อีกอย่างในอากาศข้าได้กลิ่นน้ำมาด้วย ดูจากเมฆที่เริ่มก่อตัวแล้วข้าคาดว่าหิมะอาจจะตกลงมาในอีกไม่เกิน...ครึ่งชั่วยาม แล้วคงใช้เวลาสักพักกว่าจะหยุดตก ให้พวกเขาคิดเสียบ้างว่าข้าเป็นท่านหัวหน้าที่เปี่ยมเมตตา”
ทั้งๆ ที่ยังไงก็ต้องหยุดพักอยู่แล้วแต่กลับนำเรื่องเหล่านั้นมาสร้างผลประโยชน์ให้ตนได้อีก...
สมกับที่เคยถูกนายท่านผู้นั้นค่อนขอดว่าจิ้งจอกเก้าหางจริงๆ
“กำลังนินทาข้าอยู่ในใจใช่หรือไม่?” ดวงตาคู่สวยหรี่มองสบให้ไป่เหลียวหัวเราะ
นอกจากนั้นยังทำราวกับอ่านใจคนได้เหมือนราวกับนักพรตหมอผี
“ข้ามิบังอาจขอรับท่านหัวหน้า”
“เหอะ!” ท่านหัวหน้าส่งเสียงเหมือนไม่อยากจะเชื่อ คนสนิททั้งสองมองสบตากันอย่างยิ้มๆ ก่อนจะเริ่มทานอาหารรูปร่างแปลกตาแต่เปี่ยมด้วยรสชาติ โดยเฉพาะผักที่สดใหม่และปรุงได้โดยมีรสของธรรมชาติความชุ่มชื่นในปาก จากนั้นประมาณครึ่งชั่วยามต่างก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน
เจ้าของโรงเตี๊ยมสีแดงยิ้มหน้าบาน เพราะโรงเตี๊ยมของเขานั้นไม่ได้เด่นดังอะไร หากเทียบกับที่พักอื่นๆ ซึ่งหรูหรา และพร้อมด้วยการอำนวยความสะดวกในเมืองลี่เซียน แต่วันนี้ขบวนสินค้ากลับจองโรงเตี๊ยมของเขาเต็มทุกห้อง รับทรัพย์ด้วยทองคำก้อนและเงินอีกหลายร้อยตำลึง คุ้มค่าไปอีกหลายเดือน
สงสัยจะเป็นพ่อค้าใหญ่น่าดูถึงได้ใจใหญ่เยี่ยงนี้
“เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความคึกคักยิ่งนัก” น้ำเสียงกังวานเอ่ยกับตัวเองเบาๆ ขณะที่เดินไปตามถนนกว้าง “แคบกว่าถนนซือเลี่ยงแค่ 4 ชุ่น * เท่านั้นสมเป็นจุดผ่านทั้งสามแคว้นจริงๆ” ผ้าไหม หยกเนื้อดี เครื่องเคลือบดินเผา อาหารอันดุอมสมบูรณ์ ต่างมีขายให้เห็นเต็มไปหมด เสียงตะโกนเรียกลูกค้าให้เข้ามาเยี่ยมชมร้านตนดังไปก้องทั่วถนน
“คุณชาย...นี่คือชาไป๋เห่าเหยินเจิน ยอดชานี่ล้ำค่าคัดเฉพาะส่วนที่ดีที่สุดเท่านั้น ไป๋เห่าเหยินเจินต้องถูกส่งไปให้ราชสำนักทุกปี แต่คราวนี้มีเหลือเฟือข้าขายท่านไม่แพงเลยขอรับ ถุงนี้ข้าขายให้ท่านเพียงสองร้อยตำลึงเท่านั้นเอง”
สองร้อยตำลึง...ขูดเลือดขูดเนื้อไปหน่อย คนปกติคงไม่มีใครซื้อชาในราคานี้ดื่ม
ผู้ยืนฟังอยู่ส่ายหน้าเมินไม่สนใจและทำท่านจะเดินต่อ หากไม่ใช่เพราะคุณชายผู้ถูกโกงกำลังจะยกถุงเงินขึ้นมาราวจะซื้อจริงๆ
คิ้วเรียวบนใบหน้าขมวดเข้าหากัน ถึงบางครั้งบางคราตัวเองจะชอบขึ้นราคาสินค้าแต่ไม่เลยเถิดชนิดหน้าเลือดเยี่ยงนี้ อีกอย่าง...จรรยาบรรณคนข้าขายก็ค้ำคอทำเป็นไม่ใส่ใจไม่ได้ คิดดังนั้นเท้าก็ก้าวไปยังร้านขายชาทันที
“เถ้าแก่ข้าเองก็อยากได้ไป๋เห่าเหยินเจินเช่นกัน ไม่ทราบว่ามีขายให้ข้าด้วยหรือไม่?” น้ำเสียงกังวานใส ทำให้พ่อค้าเจ้าเล่ห์และคุณชายผู้สง่างามเงยหน้ามอง
สตรีผู้หนึ่งทำให้ชวนตะลึงยิ่งนัก...นางไม่ได้มีรูปโฉมพิลาสเหนือใคร หน้าตารึก็ออกจะธรรมดา เพียงแต่ผิวพรรณขาวผุดผ่องอมชมพู สวมอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มเรียบไร้ลายเก็บตะเข็บด้วยด้ายสีเงินแปลกตา เส้นผมสีดำยาวถูกรวบเป็นมวยสูงปล่อยส่วนที่เหลือให้ทิ้งตัวแทบจะถึงข้อเท้า ผมบางส่วนปักด้วยปิ่นไม้สีเข้ม ราวกับหญิงชาวบ้านแต่ก็ไม่ใช่ไปในที ทั้งน้ำเสียง ท่าทางการยืน บรรยากาศรอบตัว และอะไรบางอย่างที่แผ่ออกมาจากสตรีคนนี้นั้นชวนให้ผู้คนต้องหยุด
เสมือนนางพญาผู้เปี่ยมอำนาจที่บงการทุกอย่างได้ดั่งปรารถนา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...ดวงตาสีน้ำเงินเข้มแปลกประหลาดที่ราวกับมองทะลุไปถึงก้นบึ้งจิตใจนั่น...
“มะ...แม่นางท่านนี้”
“เมื่อสักครู่ข้าได้ยินว่าท่านมีเหลือเฟือ พอจะแบ่งขายให้ข้าสักหน่อยคงได้กระมัง”
“เอ่อ...ขอรับ คะ..คุณชาย...ทั้งหมดสองร้อย...ตำลึง ขะ...ขอรับ” เถ้าแก่ร้านชาตัวสั่นโดยไม่รู้ตัว ...สาเหตุมาจาก...แค่ดวงตาสีน้ำเงินคู่นั้นจับจ้อง
“นี่เงินสองร้อยตำลึง” น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวล ท่าทางสุภาพเรียบร้อย คงเป็นคุณชายจากตระกูลผู้ดีสักตระกูล ถุงเงินกำลังจะถูกส่งให้แต่เสียงของสตรีคนเดิมแทรกขึ้นมา
“ไป๋เห่าเหยินเจินเป็นชาขาวชั้นดีจะเก็บเกี่ยวมาทำเป็นใบชาก็ต้องใช้เฉพาะหน่อของยอดชา ซึ่งมีลักษณะเหมือนเข็มเย็บผ้ามีสีเงินวาววับ ความยาวของประมาณ 2 ชุ่น จึงนับว่าเป็นชาไป๋เห่าเหยินเจินชั้นดีอย่างแท้จริง” มือที่กำลังยื่นถุงเงินชะงักทันทีและดวงตาของคุณชายท่านนั้นก็ตวัดมองหน้าเถ้าแก่ร้านชาทันที
คงรู้ตัวแล้วกระมังว่าถูกหลอก เพราะคุณภาพของไป๋เห่าเหยินเจินที่เจ้าตัวกำลังจะซื้อนั้นมีสีน้ำตาลเข้มราวชาค้างปี
“ท่านหลอกข้า?”
เพิ่งจะรู้ตัวหรือยังไง สตรีเพียงคนเดียวคิดในใจ
“มะ...ไม่ใช่นะขอรับ ร้านของข้าอยู่บนถนนลี่เซียนมานานนับสิบปี รับชามาจากทั้งสามแคว้น แม่นาง...จะมา..จะมากล่าวหากันลอยๆ ไม่ได้นะขอรับ”
“ข้าหาได้กล่าวหาลอยๆ...ลองชงดูก็จะรู้เอง น้ำชาจากไป๋เห่าเหยินเจินมีสีขาวอมเหลือง จนบางครั้งก็เป็นสีใสมีรสหวานหอม ชาของท่านต่อให้ชงด้วยน้ำพุจากเทือกเขาเหวินซานอย่างไรก็ไม่มีทางเป็นสีใส กล้าที่จะเสี่ยงหรือไม่เล่า? เพราะหากไม่อย่างนั้นข้าจะแจ้งข้อหากับท่าน”
กฎการค้าขายบนถนนลี่เซียนนั้นหากมีการโกงเกิดขึ้น...ผู้ขายย่อมต้องเสียเงินตอบแทนเป็นครึ่งหนึ่งของกำไรที่ได้จากร้านค้านั้น
“ขะ...ข้า...ข้า”
แย่แล้ว! เถ้าแก่ร้านชาแทบจะทรุดตัวลงกับพื้น กฎการค้าของลี่เซียนนั้นเข้มงวดยิ่งกว่าที่ใด เพราะเป็นเมืองที่เชื่อมสามแคว้นเข้าไว้ด้วยกัน หากเสียกำไรครึ่งหนึ่งไป...เขาคงต้องปิดกิจการ ฉวยโอกาสที่คุณชายรูปงามท่านนี้มาคนเดียว ดูไม่มีความรู้เรื่องชาเลย กำลังจะขายได้แล้วแท้ๆ หากไม่มีแม่นางดวงตาประหลาดเข้ามาเกี่ยวก็คงจบเรื่องไปแล้ว ใครจะนึกว่าสตรีผู้นี้จะเชี่ยวชาญเรื่องชามาก สตรีก็สมควรอยู่ในห้องหอไปสิ! ยิ่งดวงตาสีน้ำเงินที่มองมานั้นยิ่งน่ากลัวนัก!!
“ช่างเถิดแม่นาง...ถือว่าข้าเสียรู้เขา ข้าเองก็ไม่มีความชำนาญด้านชา ไม่แปลกหากจะมีใครมาโก่งราคา”
จะจิตใจงดงามเกินไปแล้ว!!
แต่นี่มิใช่เรื่องของนาง...นางไม่ใช่คนถูกหลอก ไม่ได้เสียเงิน...ที่ยื่นมือเข้ามาเพราะตนเองก็ถือเป็นคนค้าขายคนหนึ่ง โดยเฉพาะเรื่องใบชาที่ยอมให้ไม่ได้
“ในเมื่อท่านไม่เอาความก็ช่างเถิด ข้าขอตัวก่อนแล้วกัน” นางเดินออกมาจากร้านชานั้นอย่างไม่ใส่ใจอีก
“แม่นางช้าก่อน” เสียงรั้งจากคุณชายคนเดิมทำให้หญิงสาวหยุดเดินและหันตัวกลับไป “ข้าขอขอบคุณแม่นาง” เขาประสานมือคารวะอย่างสุภาพ
“มิเป็นไรเจ้าค่ะ ข้าแค่คนเดินผ่านไปเท่านั้น”
“แต่น้อยคนที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือผู้อื่นเช่นท่าน”
ใบหน้านวลขยับรอยยิ้ม “ข้าหาใช่คนดีถึงเพียงนั้น หากแต่ครานี้เป็นโชคของท่านที่มีเรื่องเกี่ยวกับใบชา”
เพราะหากเป็นเรื่องอื่นนางไม่มีทางยื่นมือเข้าไปหาเรื่องเป็นแน่
ทำการค้าย่อมใส่ใจกำไรเป็นธรรมดา...แต่นางเองก็มีจรรยาบรรณในฐานะคนค้าขายชาและ...นางยอมไม่ได้
“ถึงอย่างไรข้าก็ต้องขอบคุณท่าน”
“อืม...ข้ารู้แล้ว...” นางตอบสั้นอย่างไร้ความสนใจ ท่าทางการช่วยเหลือเขาจะเป็นเรื่องบังเอิญที่นางไม่อยากทำจริงๆ
“ข้าเพียงแต่อยากหาชาไป๋เห่าเหยินเจินฝากท่านยายเท่านั้น ได้ยินว่าที่ลี่เซียนมีร้านชาดังหลายร้านและสดใหม่ข้าจึงมาดู”
“ท่านเป็นชาวแคว้นอวิ้นหยาง?”
สามแคว้นที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรแห่งยุคสมัย
แคว้นอัน...เมืองแห่งความสงบและสันติภาพ
แคว้นป๋อ** นครแห่งความร่ำรวย
อวิ้นหยาง***...เมืองแห่งท้องทะเลและเสียงดนตรี
เคยมีคำกล่าวไว้ว่า ถามหาบัณฑิตปัญหาชนจงมุ่งหน้ายังบูรพาแค้วนอัน
หรดีแห่งความมั่งคั่งคือป๋อ
ส่วนน่านน้ำกว้างแห่งคีตกวีนั้นไซร้คืออวิ้นหยาง
“เหตุใดแม่นางถึงรู้ว่าข้ามาจากอวิ้นหยาง?”
รอยยิ้มถูกจุดบนเรียวปาก “เสื้อผ้าของท่านเป็นสีขาวและโปร่ง เพราะอวิ้นหยางมีอากาศค่อนข้างร้อน ผิวท่านค่อนข้างคล้ำกว่าชาวแคว้นอันและป๋อ อวิ้นหยางไม่ค่อยมีหิมะตก ครอบครองพื้นที่ทางใต้และทางตะวันตก ดังนั้นที่นั่นใบชาย่อมหายาก จะถูกหลอกก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
อีกอย่าง...คนผู้นี้มีกลิ่นอายของมหาสมุทร...แฝงความลึกล้ำน่าค้นหา บุคลิกกิริยาทั้งท่วงท่าวาจาล้วนน่ามองน่าฟัง ต้องเป็นคุณชายจากตระกูลผู้ดีที่มีชื่อเสียง
แต่นางไม่ได้พูดสิ่งเหล่านั้นออกไป “ที่ปลายนิ้วของท่านดูด้านและแข็งแสดงว่าต้องชำนาญการดีดพิณ และทั่วแผ่นดิน...จะหานักพิณเลื่องชื่อได้จากที่ใดอีกเล่า”
ชายหนุ่มยกรอยยิ้มชื่นชม น้อยครั้งนักที่จะเจอสตรีสายตาเฉียบคมเช่นนี้... “ข้าอวิ๋นเจินหยาง ขอขอบคุณแม่นางอีกครั้ง”
อวิ๋นเจินหยาง...สกุลเดียวในอวิ้นหยางที่มีชื่อคล้ายคลึงกับแคว้น...เชื้อพระวงศ์
แต่มาโดนพ่อค้าหลอกขายชาคุณภาพต่ำ??...
อืม...อย่างไรเสียเชื้อพระวงศ์ก็เป็นคน เขาไม่ผิดหรอก ใครให้เชื่อพระวงศ์บางคนมากสามารถราวจอมมารกันเล่า...
“หากท่านขอบคุณข้าอีกครา ข้าเกรงว่าคราวหน้าหากไปอวิ้นหยางคงถูกลากไปตัดหัว”
ใบหน้าของอวิ๋นเจินหยางระบายใบด้วยรอยยิ้มชื่นชม แต่ยังคงเอ่ยถาม “ทำไมเล่า?”
“ให้องค์ชายสามแห่งแคว้นมาประสานมือขอบคุณเช่นนี้...คงไม่ดีเท่าไหร่กระมัง”
อวิ๋นเจินหยาง...องค์ชายผู้มีศักดิ์ฐานะสูงศักดิ์ ถือกำเนิดจากฮองเฮาคนปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นอัครเสนาบดีแห่งอวิ้นหยางโดยไม่มีผู้ใดคัดค้าน เชื้อพระวงศ์ที่ได้นั่งตำแหน่งขุนนางสำคัญ มือพิณที่เลืองชื่อที่สุดในสามแคว้น ผู้บรรเลงเพลง...ภูเขาสูงธารน้ำไหล และลำนำช่างเม่ย**** จนเป็นตำนาน
ช่างเป็นสตรีที่มีดวงตาเฉียบคมนัก
“อย่างไรเสียข้าต้องขอบคุณแม่นางมาก ท่านยายที่ข้าเคารพท่านหนึ่งชอบดื่มไป๋เห่าเหยินเจิน ข้าจึงอยากหาไปให้ท่าน”
ดวงตาสีน้ำเงินเข้มพราวระยับขึ้นมาแวบหนึ่ง “หากท่านต้องการขนาดนั้นซื้อกับข้าก็ได้”
“ซื้อกับแม่นาง?” น้ำเสียงทุ้มมีแววแปลกใจ
“ข้าเป็นคนค้าขาย...โดยเฉพาะเรื่องชา ขบวนสินค้าของข้าเพิ่งกลับจากแคว้นอันนำชาชั้นดีมามากมาย หากท่านสนใจไปที่โรงเตี๊ยมสีแดงบนถนนลี่เซียนตะวันตกได้ทุกเวลา”
เป็นแม่ค้าวานิชหรอกหรือ...
แต่ดูท่าทางแล้วสตรีตรงหน้าไม่น่าจะใช่แค่แม่ค้าธรรมดา สายตาเฉียบคมและลักษณะการวางตัว...ราวกับชนชั้นสูง ร่างโปร่งบางค้อมศีรษะเคารพอวิ๋นเจินหยาง และกำลังเดินออกไปอีกครั้งแต่เสียงทุ้มยังคงเอ่ยรั้ง
“ข้าขอทราบนามของแม่นางได้หรือไม่?”
เขาอยากรู้จัก...สตรีที่ทำให้รู้สึกสนใจได้ขนาดนี้
“ท่านไปซื้อชาที่ลี่เซียนให้บอกพวกเขาว่ามาพบ...หลิงซิ่นอวี่”
หลิงซิ่นอวี่...สายฝนแห่งความศรัทธา
* –ชุ่น- หน่วยวัดความยาวของจีน 1 ชุ่นประมาณ 3.3 เมตร
** -ป๋อ- หมายถึง ความร่ำรวย
*** –อวิ้นหยาง- หมายถึง ท้องทะเลและเสียงดนตรี
**** -ช่างเม่ย- หมายถึงมนตราแห่งอิสรภาพ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

//มีตรงนึงต้องเป็นค้าขายนะคะจากข้าขายอ่าค่ะ> <