คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : ...เลือกผิด
แสงของดวงตะวันยามสายสาดทอเข้ามาภายในห้องขนาดเล็ก ส่องกระทบร่างของสองสตรีที่หลับใหลอยู่ในห้อง
ดวงตาสีดำขลับปรือขึ้น เมื่อหันมองรอบตัวก็พบผู้เป็นน้องสาวเอนกายหลับอยู่บนเก้าอี้ข้างตัว
ยูริย้ายร่างน้องสาวของตัวเองมานอนแทนเธอบนเตียงก่อนจะลุกขึ้นไปส่องกระจก ขาของเธอปวดอยู่แต่แผลก็บรรเทาไปมากเหลืออยู่แค่รอยถลอกเล็กๆ
“ บางทีเป็นยอดมนุษย์ก็ไม่แย่นะ ” เธอพึมพำกับตัวเอง
ก๊อกๆ*- ยูริเปิดประตูออกไปก็พบทหารนายหนึ่งยืนอยู่ เขามีท่าทีตกใจเล็กน้อยแต่ก็รีบทำความเคารพเธอก่อนจะเอ่ยธุระให้เธอได้ยิน
“ ท่านผู้กล้าครับ… คือว่าท่านนักบุญเสียชีวิตแล้วครับ ” ดวงตาของเธอเบิกโพลงไม่นึกว่าจะได้รับข่าวร้าย เธอหันกลับไปมองยูลินที่นอนอยู่บนเตียงแล้วเอ่ยตอบกลับทหารคนนั้นเสียงเบา
“ แล้วเวทย์ส่งตัวกลับของท่านล่ะ? ” อาจดูผิดประเด็นไปหน่อยแต่นี่คงเป็นเรื่องที่ไม่ถามไม่ได้
“ เรากำลังจะประกาศให้คนทั่วไปรับทราบครับ และจะเริ่มการคัดเลือกนักบุญในอีกสองสัปดาห์ ” ยูริยกมือนวดขมับ ก็จริงที่เวทย์มนต์นั้นฝึกฝนได้แต่กับเวทย์ระดับสูงแบบนั้นอาจต้องใช้เวลาหลายปี
“ ท่านผู้กล้าครับ! องค์จักรพรรดินีทรงเรียกประชุมด่วนครับ ” ทหารอีกรายหนึ่งวิ่งเข้ามาแจ้งข่าวให้เธอทราบ แต่เรียกประชุมด่วนเนี่ยนะ? เธอรู้อยู่แล้วรึไงว่าเดี๋ยวเราก็ฟื้น
ห้องประชุมภายในวังเป็นห้องทรงโดมขนาดใหญ่ ตรงกลางมีโต๊ะวงกลมล้อมรอบด้วยเก้าอี้ของเหล่าผู้กุมอำนาจภายในจักวรรดิ และที่เหลือคือเก้าอี้ของขุนนางทั่วไป
“ นั่นใครกัน ”
“ เห็นว่าเป็นพวกบูชาจอมมารน่ะ ”
“ บูชาจอมมาร?! แล้วใครอนุญาตให้มันเข้ามากัน? ”
“ องค์จักรพรรดินีปล่อยให้เข้ามาเองเลยนี่ ”
“ จริงเหรอ? นี่ท่านคิดอะไรอยู่กัน? ”
เสียงพูดคุยจอแจจากขุนนางทั้งหลายแหล่มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือบุรุษในชุดเกราะฟูลเพลตสีเงินที่ยืนนิ่งอยู่ตรงมุมห้อง แต่ก่อนที่การสนทนาจะไปไกลกว่านี้องค์จักรพรรดินีก็เอ่ยขึ้นเสียก่อน
“ เราขอบคุณที่พวกเจ้ามาตามการเรียกของเรานะ แล้วก็ขอโทษด้วยที่เร่งรีบ ” เธอยืนขึ้นส่งสัญญาณมือไปให้ทหารนายหนึ่งนำลูกแก้วออกมาวางบนโต๊ะ
“ หัวข้อในการประชุมของพวกเราก็คือ… ” ลูกแก้วเวทย์มนต์ฉายภาพของกลุ่มคนกรูกันออกมาจากโลงศพในป่า อันเดดแห่งฟารอนก้าวออกจากรอยแยกที่มีไอควันสีดำพวยพุ่งออกมาไม่ขาด
“ มันคือรอยแยกมิติ ต้นเหตุความผิดปกติในช่วงนี้ยังไงล่ะ ” เมื่อภาพจากลูกแก้วดับลงคริสทีน่าก็พูดต่อ
“ ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมเชื่อว่าคนของเราแก้ปัญหานี้ได้พะยะค่ะ ” พระสันตะปาปากล่าวขึ้น พวกเขาเป็นผู้รับผิดชอบในการอัญเชิญผู้กล้าจึงทำให้พวกเขามีความรู้เรื่องเกี่ยวกับเวทย์มนต์ด้านมิติ
“ เราเองก็คิดเช่นนั้น แต่คงต้องรอใครบางคนก่อน ” สิ้นเสียงประตูก็ถูกเปิดออกโดยสองผูกล้า พวกเธอก้มหัวแสดงความเคารพพลางขอโทษที่มาช้า
“ เช่นนั้นเรามาต่อกันเถอะ เราจำเป็นต้องมีเวทย์บทพิเศษเพื่อปิดรอยแยกและเราก็มีมันอยู่ที่นี่แล้ว ” องค์จักรพรรดินีผายมือไปยังบุรุษในชุดเกราะ
เนมเลสที่ถือม้วนคัมภีร์อยู่ในมือมอบมันให้แก่ยูริแล้วเดินออกจากห้องไปโดยไม่สนใจทั้งสองเลย ยูลินเหม่อมองเขาจนกระทั่งลับสายตาไป
“ แผนผังเวทย์มนต์เหรอ? ” เสียงพูดของยูริทำให้ยูลินได้สติอีกครั้ง เธอหันมาให้ความสนใจกับหน้ากระดาษในมือผู้เป็นพี่
“ เวทย์สำหรับใช้แทรกแซงมิติสินะ ” ใช้เวลาครู่เดียวเธอก็วิเคราะห์มันได้
“ ขอกระผมดูบ้างได้ไหมครับ? ” พระสันตะปาปาเดินเข้ามาตรวจสอบบ้าง
“ ฮึ่ม ถ้าเป็นเช่นนี้คงใช้เวลาประมาณสองวันคงจะใช้ได้พะยะค่ะ ” เขาหันกลับไปแจ้งให้องค์จักรพรรดินีซึ่งเธอพยักหน้ารับทราบ การประชุมดำเนินไปอีกพักหนึ่งก่อนจะสิ้นสุดลง
ภายในเมืองหลวงแออัดไปด้วยผู้คนที่ดูดีมีฐานะ อาคารบ้านเรือนสูงใหญ่เต็มไปด้วยร้านค้า แต่ทว่าไม่ได้มีนักผจญภัยอยู่เลย
ถนนของเมืองถูกปูด้วยพื้นหินอย่างดีแยกพื้นที่สำหรับเดินเท้าและทางเดินรถม้า คนส่วนใหญ่แต่งกายด้วยชุดสูทสุภาพและเดรสยาว เท่าที่สังเกตุดูเหมือนจะมีเผ่ามนุษย์มากกว่าเผ่าอื่นอาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่างจากโลเวียน่าที่มีครึ่งมนุษย์เป็นครึ่งครึ่งในเมือง ร้านค้าภายในเมืองส่วนใหญ่เป็นร้านค้าเสื้อผ้าและร้านเสริมความสวยงาม
แอ๊ด⁓*- บรรยากาศของตึกกิลด์เมืองหลวงดูต่างจากของโลเวียน่าอยู่พอควร มีกลุ่มนักผจญภัยเดินกันขวักไขว่ บนเพดานมีหินเรืองแสงแทนที่โคมไฟ
ที่มุมหนึ่งของห้องมีกระดานภารกิจและแผนที่เมืองอยู่เขาจึงไปหยิบมันขึ้นมาเช็คดู เมืองหลวงมีเส้นทางแยกและซอกซอยเยอะมาก
“ หลงทางเหรอ? ข้าไม่เคยเห็นเจ้าที่นี่เลยนะ ” เมื่อหันไปหาต้นเสียงก็พบอมนุษย์หญิงที่มีหูกระต่ายอยู่บนหัว จะเห็นกี่ครั้งก็ไม่ชินจริงๆ…
“ ข้าเป็นไกด์ให้ได้นะ แค่จ่ายมาหนึ่งเหรียญเงินก็พอ ” เธอว่าพลางยกนิ้วชี้ขึ้นมาหนึ่งนิ้วประกอบคำพูด เนมเลสชี้นิ้วลงบนแผนที่ให้เธอดู
“ เจ้าอยากไปประตูเมือง? ไว้ใจข้าได้เลย ” เธอเดินนำทางเขาออกจากกิลด์ ผ่านถนนและร้านค้ามากมาย
เธอพาเขาเดินไปเรื่อยจนมาถึงเขตสลัม สถานที่ที่ผู้คนใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเต็มไปด้วยความสกปรก
จนสุดท้ายเขาก็เดินมาจบที่ซอยหนึ่ง ข้างในมีกลุ่มชายฉกรรจ์อยู่จำนวนหนึ่ง
“ นี่ลุงคิดจะเดินตามคนอื่นไปเรื่อยๆเลยรึไง นี่โง่จริงหรือแกล้งโง่กัน ” กลุ่มคนเดินเข้ามาล้อมตัวเขาปิดทางออกเอาไว้
“ นี่ลุง ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็ส่งของมีค่ามาซะ! ”
ความคิดเห็น